ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    E - Villain คนประลัยสายพันธุ์อี

    ลำดับตอนที่ #2 : 02 การก่อเหตุของเลดี้ คิลเลอร์

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 65


                   “เดินตรงไปเลย ห้องสุดท้ายทางซ้ายมือนั่นแหละหน้าละอ่อน” ตำรวจวัยกลางคนตอบคำถามพลางชี้ไปยังด้านหลังของตน ก่อนกลับมาให้ความสำคัญกับกองเอกสารที่อยู่ตรงหน้าที่เขาต้องรับผิดชอบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว แทบจะไม่มีเวลาไปให้ความสนใจกับตำรวจหนุ่มผู้ยืนถามเลยแม้แต่น้อย

                   ตำรวจหน้ามนผู้เอ่ยคำถามมองไปยังทางที่ถูกชี้นิ้วเมื่อครู่ เขาเห็นห้องทึบและประตูบานหนึ่งอยู่ตรงนั้นพอดีก่อนหันกลับมายังผู้ตอบคำถามที่ตั้งใจทำงานยิ่งกว่าใคร ๆ

                   “อะ ขอบคุณครับ” เขาว่าพร้อมกับก้มหัวลงไป

                   หลังจากที่ได้คำตอบมาแล้วตำรวจหนุ่มจึงย่างไปตามทางเดินแล้วหยุดลงไปที่หน้าประตูของห้องสารวัตร เขาฉุกคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าใช่หรือเปล่าก่อนตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป แต่แล้วเขาก็ต้องมาเจอเรื่องที่น่าตะลึงงันเข้าจนได้เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือสาวสวยรุ่นใหญ่ที่กำลังถอดเสื้อตำรวจด้วยความอึดอัดหลังโต๊ะทำงาน โดยสาวเจ้าคนนั้นก็คือสารวัตรที่เขาจะต้องมาทำงานด้วยนั่นเอง และยิ่งไปกว่านั้นคือเขาแทบจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสารวัตรที่ว่าจะกลับกลายเป็นผู้หญิงไปแบบนี้เสียได้ มิหนำซ้ำเธอยังดูสะสวยเสียจนไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงกลับไปอีกด้วย

                   ดวงตามีเสน่ห์ของตำรวจสาวนาม “รัตนา” มองตรงไปยังหนุ่มหน้ามนที่กำลังอ้าปากค้างอยู่ เธอไม่ได้มีท่าทีเอียงอายหรือโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อยที่จู่ ๆ ตำรวจหนุ่มก็เปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นเธอในสภาพแบบนี้

                   “เคาะประตู” ตำรวจหญิงบอก ขณะเดียวกันก็กลับไปถอดเสื้อออกให้เสร็จโดยที่ไม่กลัวว่าเขาจะมองหรือเห็นอะไรของเธอหรือเปล่า และถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถอดเสื้อซับในออกด้วยก็ตามแต่เพียงแค่นั้นมันก็เผยให้เห็นสัดส่วนหรือว่าเนื้อหนังที่ดูวาบหวามเสียจนไม่มองไม่ได้อยู่พอสมควร

                   “อะ ครับ” ตำรวจหนุ่มตอบแบบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เขาปิดประตูแล้วโทษตัวเองใจใจที่ทะเล่อทะล่าเข้าห้องคนอื่นโดยที่ไม่ได้เคาะประตูไปได้ยังไง ก่อนจะสูดหายใจแล้วเคาะประตูตามที่บอกทีหลัง

                   “เข้ามาได้” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นจากข้างใน ตำรวจหนุ่มที่ยืนรออยู่ข้างนอกก็ได้ยินคำตอบเต็มสองรูหู

                   เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ตำรวจหนุ่มจึงเปิดประตูเข้าไปข้างในอีกครั้ง แต่แล้วครั้งนี้กลับต้องมาเจอเรื่องที่น่าตะลึงงันหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาถูกตำรวจหญิงกระชากคอเสื้อแล้วผลักให้ติดกับผนังของห้องไปอย่างทันท่วงที แต่ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงร้องอะไรเขาก็ถูกอีกฝ่ายเอามือปิดปากเอาไว้อย่างเร็วไวเหมือนกัน

                   “อื้อ” เขาร้องเสียงหลงทั้ง ๆ ที่ยังถูกปิดปาก มองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าพร้อมทั้งหายใจถี่เร็วที่โดนกระทำโดยไม่ทันตั้งตัว

                   ตำรวจหญิงสบตากับชายหนุ่มทันควัน ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างปิดประตูเอาไว้โดยที่ไม่ได้ละสายสายตาจากเขาเลยแม้แต่น้อย

                   “ถ้าอยากดูก็ขอกันดี ๆ ไม่ใช่พรวดพราดเข้ามา”

    “ม ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” ตำรวจหนุ่มตอบเสียงอู้อี้เพราะยังถูกปิดปาก เขารู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อยที่จะถูกลงโทษเพราะเรื่องที่ตัวเองทำผิดไปตั้งแต่เมื่อครู่

                   “แปลว่าไม่ได้อยากดูงั้นสิ” ตำรวจหญิงพยายามเล่นลิ้น ทำเอาตำรวจหนุ่มรู้สึกกลัวขึ้นมากับน้ำคำของเธอ เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไรจากตนกันแน่ และในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อาจหักห้ามไม่ให้เผลอมองหน้าอกอันกลมมนและเต่งตึงของเธอได้เลย

                   เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายแบบนั้นตำรวจหญิงจึงใช้มืออีกข้างวางบนอกผึ่งผายของเขาแล้วใช้ปลายนิ้วไล้ลงข้างล่างอย่างไม่รีบร้อน

                   “ชื่ออะไรหน้าละอ่อน”

                   “อ อ้นครับ” ตำรวจหนุ่มควบคุมสติตนเองไม่ได้ ลืมไปแล้วว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เขาต้องแนะนำตัวกันยังไง

                   และยิ่งถูกไล้ลงต่ำไปมากเท่าไหร่ตำรวจหนุ่มก็ยิ่งควบคุมสติตนเองไม่ได้เท่านั้น สายตาของเขามองตามปลายนิ้วเย้ายวนที่เลื่อนผ่านกระดุมเสื้อเม็ดแล้วเม็ดเล่าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก้อนเหงื่อเม็ดเล็กค่อย ๆ เล็ดซึมออกมาตามใบหน้า แขนกำยำทั้งสองข้างดูไร้เรี่ยวแรงที่จะยกขึ้นมาห้ามมือของเธอเอาไว้ ทำได้เพียงแค่หรี่ตาสุดขีดเมื่อปลายนิ้วงาม ๆ เลื่อนไล้ลงไปจนถึงหัวเข็มขัดและต่ำกว่านั้นจนถึงอะไรต่อมิอะไร

                   “ก็หน้าตาดีใช้ได้เลยหนิ” ริมฝีปากอวบอิ่มถูกยื่นเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ กับใบหูของตำรวจหนุ่ม แต่เขาผู้นี้จะรู้หรือเปล่าว่าสาวสวยที่อยู่ตรงหน้ากำลังหมายถึงอะไรอยู่กันแน่

     

                   ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่เงียบสงบ ณ ช่วงเวลาก่อนที่วันใหม่จะมาถึง ผู้คนเริ่มพลุกพล่านตามท้องถนนน้อยลงไปในทุก ๆ นาที แต่ทว่าวิถีชีวิตของคนในเมืองยังคงดำเนินอยู่อย่างนั้นต่อไป

                   ไม่นานเสียงไซเรนที่คุ้นหูกันดีก็ส่งเสียงดังขึ้น รถตราโล่หลายคันแห่กันมาเป็นขบวนมุ่งตรงไปยังที่ที่หนึ่งซึ่งอยู่ในเขตของตัวเมือง ชาวเมืองที่อยู่ในบริเวณนั้นหันคอมองตามด้วยอยากรู้อยากเห็น

                   แทบไม่ต้องรอให้รถหยุดนิ่งแม้แต่อย่างใดเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่โดยสารอยู่ด้านหลังก็กระโจนลงพื้นกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเขากรูกันเข้าไปยังตึกหลังหนึ่งพร้อมปืนครบมือ ส่วนตำรวจที่เหลือที่ตามมาทีหลังก็รวมกลุ่มกันเป็นหลายกอง โดยแต่ละกองอยู่ห่างกันออกไปเพื่อดูความเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างจากทั่วทิศทาง

     

                   ห่างจากจุดที่กลุ่มตำรวจรวมตัวกันพอประมาณ ในอีกมุมหนึ่งของตึกหลังใหญ่ที่ไม่มีใครสัญจรไปมาจู่ ๆ ก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดลำลองสีดำโผล่ออกมาจากในเงามืดอย่างไร้ซุ่มเสียง เธอจับตาดูกลุ่มคนในเครื่องแบบที่ยกโขยงกันมาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักนิด

                   “คิดถูกหรือเปล่านะที่ไปท้าพวกตำรวจแบบนี้น่ะ” สาวชุดดำที่ชื่อ “น้ำ” พึมพำกับตัวเอง เธอไม่นึกมาก่อนเลยว่าพวกตำรวจจะเตรียมรับมือได้ตั้งขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่มันก็ดึกไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะ

                   หญิงสาวกวาดตาไปทางอื่นบ้าง พอเห็นว่าทุกอย่างปลอดภัยจึงเข้าไปหลบยังหน้าตึกหลังนั้นที่เต็มไปด้วยกระถางดอกไม้และม้านั่งทันที

                   เธอหลบซ่อนอยู่ในมุมที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้โดยง่ายก่อนจะวางเป้ที่อยู่บนหลังลงแล้วควักถุงมือมาใส่อย่างไม่ติดขัด ตามมาด้วยปลอกขาที่เหน็บมีดสั้นและแม็กกาซีนสำรองเอาไว้อีกตั้งหลายอันภายในเวลาไม่นาน

                   “คราวนี้เสี่ยงไม่ใช่เล่นเลยแฮะ” เธอว่าพลางนับดูจำนวนตำรวจที่ตนกำลังจะเผชิญไปแบบคร่าว ๆ ก่อนจะตรวจสอบทุกอย่างให้พร้อมอีกที “เดี๋ยวแม่จะยิงไม่เลี้ยงเลยคอยดู”

     

                   ในอีกมุมหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากกองตำรวจมากนักจู่ ๆ ก็มีรถเก๋งสีดำวิ่งเข้ามาจอดอยู่ใกล้ ๆกับที่แห่งนั้น ก่อนที่เจ้าของรถอย่างรัตนาในเครื่องแบบตำรวจครบครันจะก้าวลงมาจากมันในเวลาไม่นาน ส่วนตำรวจหน้ามนอย่างอ้นที่ติดรถมาด้วยก็รีบลงมาแทบจะไม่แพ้กัน แล้ววิ่งอย่างแข็งขันไปยังตำรวจหญิงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

                   “คนร้ายบอกว่าจะลงมือที่นี่จริง ๆ อย่างนั้นเหรอครับ” ตำรวจหน้าใหม่ถามขึ้นทันที การลงปฏิบัติงานจริงเป็นครั้งแรกทำให้เขาตื่นเต้นมากกว่าที่ควร ส่วนสารวัตรหญิงก็กวาดตาดูรอบ ๆ ว่ามีอะไรผิดสังเกตไปบ้างหรือเปล่า

                   “ใจเย็น ๆ หน้าละอ่อน จับคนร้ายมันไม่ใช่อะไรที่ง่าย ๆ ขนาดนั้น”

                   “อะ ครับ จับคนร้ายไม่ใช่เรื่องง่าย”

                   หลังจากตำรวจหนุ่มได้รับคำตอบทั้งสองจึงเริ่มเดินหาที่เหมาะ ๆ สำหรับการซุ่มยิงหรือกำบังตัวเพราะว่าบางทีคนร้ายอาจจะเล่นของหนักมากกว่าที่คิดก็เป็นได้ ขณะเดียวกันก็มีตำรวจวัยเริ่มชรานายหนึ่งวิ่งเข้ามาหาสารวัตรหญิงอย่างรัตนาภายในเวลาไม่นานอีกด้วย

                   “สารวัตรครับ” เขารีบทัก ทำเอารัตนากับอ้นต้องหันไปดูไปเพียงครู่เดียวก่อนที่ทั้งสามจะก้าวเดินต่อไปพร้อม ๆ กัน “ตอนนี้เราเจอตัวเหยื่อแล้วครับ กำลังพาเธอไปหลบอยู่ในที่ปลอดภัย หากคนร้ายโผล่มาตอนนี้ก็ยังพอจะเปลี่ยนไปหลบอยู่ในโกดังเก็บไม้ใกล้ ๆ นี้ได้อยู่ครับ”

                   “โอเคจ่า ทำตามแผนที่วางเอาไว้นั่นแหละ คุ้มกันเหยื่อเป็นหลัก ถ้าจำเป็นก็จับตายคนร้ายได้ ระวังตัวไว้ให้ดี”

                   แต่ทันทีที่สารวัตรหญิงพูดจบจู่ ๆ ก็มีปืนดังลั่นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำเอาตำรวจวัยเริ่มชราคนเมื่อครู่ถึงกับฟุบลงพื้นไปอย่างทันท่วงที พร้อมกันนั้นก็ยังมีเลือดสีแดงข้นคลั่กหลั่งไหลออกมาจากกลางกบาลของเขาอีกด้วย ส่วนชาวเมืองและเจ้าหน้าที่ชุดดำที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลต่างก็ตกใจกับเสียงเมื่อครู่แล้วรีบมองหาที่มาของเสียงลั่นทันที

                   แต่ไม่ทันจะหาที่มาของเสียงที่ว่านั้นได้ตำรวจอีกนายก็ถูกเล่นงานที่กลางกบาลไปบ้างเหมือนกัน และถึงแม้ว่าจะโดนเล่นงานเข้าไปอีกรอบติด ๆ แต่ทว่าคราวนี้ตำรวจที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ก็สามารถจับตำแหน่งของคนร้ายได้ในที่สุด

                   “มันอยู่นั่นเลดี้ คิลเลอร์” ตำรวจนายหนึ่งตะโกนเสียงดัง หันปืนไปยังรถกระบะคันหนึ่งที่ผู้ก่อการร้ายปริศนาได้ใช้กำบังตัว            

                   ฝั่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เริ่มกราดกระสุนตอบโต้คืนบ้าง เสียงลั่นจากอาวุธสังหารสร้างความโกลาหลไปทั่วบริเวณ ชาวเมืองเลิกให้ความสนใจกับข้าวของแล้วหาที่กำบังตัวเอาไว้โดยไว บ้างก็วิ่งไปให้ไกลจากจุดเกิดเหตุ บ้างก็ถ่ายวิดีโอเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นโดยที่ไม่กลัวเลยว่าอาจจะมีลูกหลงพุ่งเข้ามาหาตัวเองก็ได้

                   ผู้ก่อการร้ายกลายเป็นฝ่ายถูกรุมยิงบ้าง แต่ทว่ากลับไม่มีกระสุนลูกใดจะต้องตัวเธอได้เลยสักนิด เธอในตอนนี้มีแว่นกันลมขนาดใหญ่คาดอยู่บนใบหน้าเพื่อปิดบังตัวจริงกับปืนพกในมืออีก 2 กระบอกที่พร้อมจะปลิดชีพเป้าหมายได้ทุกเวลา แต่แล้วเธอกลับเก็บเจ้าปืนพวกนั้นกลับเข้าซองที่ต้นขาตามเดิมก่อนจะควักเอาระเบิดมือจากช่องใส่ของข้างกระเป๋าออกมา แล้วเธอก็ใช้มันขว้างออกไปยังกลุ่มตำรวจที่กำลังยิงสวนตน

                   เพียงไม่กี่วินาทีระเบิดลูกนั้นก็ทำงานจนได้ มันส่งเสียงกระหึ่มและปล่อยสะเก็ดจนโดนตัวเป้าหมายเข้าไปอย่างจัง ตำรวจหลายนายที่อยู่ในรัศมีของระเบิดแทบจะเสียชีวิตและบาดเจ็บหนักกันเป็นว่าเล่น

                   ขณะที่ตำรวจคนอื่น ๆ กำลังตกใจอยู่นั้นน้ำก็อาศัยโอกาสอันน้อยนิดนี้วิ่งตรงไปยังที่กำบังตัวแห่งใหม่ ฝ่าดงกระสุนของเหล่าตำรวจที่ไล่ยิงตามหลังอย่างไม่ขาดสาย ก่อนหายตัวไปยังด้านหลังของรถอีกคันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เดิมนัก

                   แต่เพียงไม่กี่อึดใจเธอก็ออกไปยิงถึง 3 นัดติด ๆ กันแล้วหลบเข้าที่เดิมด้วยความรวดเร็ว ทำเอาตำรวจต้องล้มลงพื้นและเสียชีวิตด้วยกันอีก 2 คนภายในเวลาไม่นาน สร้างความตระหนกให้กับเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เอาเป็นอย่างมากเพราะความแม่นยำที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ

                   หลังจากที่เห็นอย่างนั้นตำรวจหน้าใหม่อย่างอ้นก็ถึงกับอึ้งในการปฏิบัติงานจริงครั้งแรกที่ตนไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน คิดอยู่ในใจว่าตัวเองจะต้องมาเผชิญกับผู้ก่อการร้ายสุดอันตรายอย่างนี้จริง ๆ น่ะหรือ

                   “นี่น่ะเหรอ เลดี้ คิลเลอร์ที่ว่า” ตำรวจหนุ่มพึมพำพลางมองตาค้างไปยังตัวคนร้าย

                   ที่หลังรถคันเดิม ขณะที่ผู้ก่อการร้ายสาวกำลังหลบซ่อนอยู่นั้นเธอก็สังเกตเห็นว่ามีตำรวจหญิงคุ้นหน้ากำลังวิ่งอ้อมเข้ามาจากที่ไกล ๆ เธอที่เห็นอย่างนั้นจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาภายในทันที

                   “หน็อยยัยกากี รู้งี้รีบฆ่าทิ้งไปตั้งแต่ทีแรกซะก็ดี”

                   น้ำเก็บปืนเข้าซองอีกครั้งก่อนขว้างระเบิดไปยังผู้ที่ทำให้ตนต้องเผยความโกรธออกมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเดิมทีเธอก็ไม่ชอบขี้หน้าของสารวัตรหญิงคนนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

                   ระเบิดของผู้ก่อการร้ายตกลงไปใกล้กับรัตนาเอาเป็นอย่างมาก เธอที่เห็นอย่างนั้นจึงวิ่งไปหลบในซอกแคบ ๆ ของอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลอย่างสุดชีวิต และเพียงไม่นานระเบิดลูกนั้นก็ทำงานไปในที่สุด มันออกแรงทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีของมัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจทำอะไรสารวัตรหญิงที่หลบได้ทันเลยแม้แต่นิดเดียว

                   “บ้าเอ้ย อีกนิดเดียวแท้ ๆ” ตำรวจหญิงว่าอย่างเจ็บใจ เธอพลาดโอกาสที่จะจับกุมคนร้ายโดยไม่ต้องจับตายไปจนได้เสียแล้ว

                   เมื่อเวลาหนีมาถึงผู้ก่อการร้ายสาวจึงวิ่งออกจากที่กำบังในทันทีทันใด เธอตรงไปยังซอกตึกที่อยู่ด้านหลังก่อนหันไปยิงเพื่อกันไม่ให้ใครไล่ตามมา

                   “ตามไปเร็ว” ตำรวจนายหนึ่งรีบออกคำสั่ง พร้อมกันนั้นก็วิ่งนำคนอื่นไปด้วยความกล้าหาญ ส่วนตำรวจที่เหลือก็กรูตามคนร้ายไปอย่างไม่กลัวตาย มีเพียงแต่อ้นคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ตามไปเหมือนกับคนอื่นเขา

                   ตำรวจหน้ามนวิ่งตรงไปยังซอกตึกแห่งหนึ่งที่ซึ่งมีสารวัตรหญิงอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว เขาตรงเข้าไปดูเธอเผื่อว่าอีกฝ่ายอาจจะได้รับบาดเจ็บอะไร

                   “เป็นอะไรมั้ยครับสารวัตร”

                   “ช่างฉันเถอะน่า รีบตามคนร้ายไปเร็ว” สารวัตรหญิงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ ใช้มือของตนกุมไหล่ข้างที่รู้สึกเจ็บ เพราะแม้ว่าเมื่อครู่จะสามารถหลบพลังทำลายของระเบิดมาได้แต่ก็ดันโชคไม่ดีที่ไหล่ของตนดันไปชนเข้ากับผนังตึกอย่างจัง

                   “อะ ครับ” ตำรวจหนุ่มตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนตัดสินใจวิ่งไปยังเส้นทางที่คนร้ายใช้หนีไป ทิ้งให้สารวัตรหญิงอยู่เพียงลำพังเพราะเห็นว่าเธอนั้นปลอดภัยแล้ว

                   หัวไหล่ของรัตนาดูเจ็บไม่ใช่น้อยจากอุบัติเหตุที่เธอเพิ่งได้รับ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามอดกลั้นเอาไว้แล้วยันตัวเองให้วิ่งไปยังอีกทาง

     

                   เจ้าหน้าที่ทุกนายวิ่งตามคนร้ายไปจนถึงโรงงานกระดาษที่ดูเหมือนจะว่างเปล่าผู้คน ทางตำรวจจึงรู้สึกโล่งใจที่จะไม่มีใครได้รับอันตรายใด ๆ จากการเข้าปะทะกันภายในครั้งนี้ จากนั้นจึงค่อย ๆ ก้าวเข้าไปทำภารกิจด้วยความระมัดระวังอย่างถึงที่สุด

                   ตำรวจนายหนึ่งยกคันโยกเบรกเกอร์ตรงทางเข้าขึ้นไปจนสุดพร้อมทั้งลองกดสวิตช์ไฟดู แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนพบว่ามันชำรุดอย่างหนักเนื่องจากถูกยิงเข้าไปที่แผงวงจร พวกเขาทุกคนจึงตัดใจจากมันแล้วอาศัยแสงสว่างจากภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่างกระจกในการตามหาตัวคนร้ายแทน

                   ตำรวจคนเดิมเริ่มออกคำสั่งให้แยกย้ายกันออกไปเพื่อตามหาตัวคนร้ายอย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว ตำรวจที่เหลือจึงยอมทำตามโดยไม่ขัดแย้งเลยแม้แต่น้อย รีบกระจายกำลังออกไปตามห้องต่าง ๆ ที่อยู่ข้างในภายในทันที บ้างก็เลือกที่จะไปเป็นคู่ บ้างก็เลือกที่จะไปคนเดียว

                    ตำรวจหน้าใหม่อย่างอ้นสูดลมหายใจเต็มปอดก่อนที่จะปล่อยเอามันออกมา เขาตัดสินใจเข้าไปสำรวจยังห้องห้องหนึ่งด้วยตัวของเขาแต่เพียงผู้เดียว แต่พอเดินเข้าไปถึงก็พบว่ามันเป็นห้องที่ค่อนข้างจะใหญ่อยู่พอสมควร เต็มไปด้วยเหล่าเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้ซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี

                   เขาเลือกที่จะเดินลึกเข้าไปโดยที่ไม่ลืมระมัดระวังตัวให้ดีอยู่ตลอด ทั้งสอดส่ายสายตาและเงี่ยหูฟังอยู่ในทุก ๆ ย่างก้าว มือทั้งสองกำปืนไว้แน่นในสภาพพร้อมยิงอย่างกับอะไรดี

                   ไม่นานตำรวจหนุ่มก็สังเกตเห็นว่ามีเงาดำบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่หลังเครื่องจักรเครื่องหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป เขาจึงรีบเล็งปืนไปยังเงาที่ว่านั่นพร้อมกับรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี

                   “หยุดอยู่แค่นั้นแหละเลดี้ คิลเลอร์ วางอาวุธที่อยู่ในมือลงแล้วยอมมอบตัวกับทางตำรวจซะ” ตำรวจหนุ่มชี้ปืนไปยังเป้าหมายด้วยความแน่วแน่ ทำเอาเจ้าของเงาที่อยู่ข้างหลังเครื่องจักรเครื่องนั้นถึงกลับไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้ากันเลยทีเดียว

                   “ เลดี้ คิลเลอร์งั้นเหรอ เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคุณตำรวจ” เจ้าของเงาที่ว่าว่า

                   “ไม่ต้องพูดมาก ค่อย ๆ ขยับออกมาจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้”

                   เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าของเงาที่ว่าจึงค่อย ๆ เดินออกมาจากข้างหลังเครื่องจักร แสงสว่างจาง ๆ ที่ตกกระทบได้เผยให้เห็นว่าเป็นผู้ก่อการร้ายสาวคนเดิมที่เพิ่งก่อเหตุไปเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ โดยเธออยู่ในสภาพหันหลังและยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นโดยเป็นการยอมแพ้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีอาวุธอันตรายอยู่ในมือซ้ายของเธออยู่เหมือนเดิม

                   “อ้ะ ๆ ๆ วางปืนที่อยู่ในมือลงแล้วโยนมันทิ้งไปให้ไกล ๆ” ตำรวจหนุ่มออกคำสั่งต่ออย่างคนได้ใจ แอบดีใจอยู่ลึก ๆ ที่ตัวเองปฏิบัติงานได้ดีจนถึงขนาดนี้ ส่วนผู้ก่อการร้ายสาวก็หมดหนทางที่จะหนีเอาตัวรอดไปได้จึงเลือกที่จะทำตามคำสั่งของเขาด้วยการค่อย ๆ ลดระดับปืนลงไป

                   ทว่าสุดท้ายผู้ก่อการร้ายสาวก็ไม่คิดที่จะยอมง่าย ๆ ไปอย่างนั้นจริง ๆ เธอตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนั้นยกปืนในมือขึ้นมาอีกครั้งแล้วเสียงร้อง “ปัง” จึงดังก้องไปทั่วโรงงาน

     

                   การก่อเหตุของเลดี้ คิลเลอร์

                   E – Villain: Lady Killer คนประลัยสายพันธุ์อี: เพชฌฆาตแค้นสวาท

     

      ………………………………………………………………………………………………………………………

     

                   แก๊กท้ายตอน

                   รัตน์: ชื่ออะไรหน้าละอ่อน

                   อ้น: “อ้น” ครับ

                   รัตน์: ก็หน้าตาดีใช้ได้เลยหนิ

                   อ้น: ลองใช้ดูได้นะครับ ฟรี

     

                   ช่วงนี้มีสาระ (มั้ง)

                   ประชาชนธรรมดาอย่างเรา ๆ ไม่สามารถที่จะมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองได้นะครับ มันผิดกฎหมาย หากจะมีก็ต้องทำการเดินเรื่องเพื่อขอใบอนุญาตพกพาอาวุธปืนเสียก่อนถึงจะได้ แต่ถ้ามีแล้วก็ใช่ว่าจะเอามันมาไล่ยิงใครก็ได้นะครับ ฮ่า ๆ ๆ มันก็ยังมีกฎหมายหรือว่าข้อห้ามที่ห้ามฆ่าใครอยู่ดี แค่เรามีมันเอาไว้อย่างถูกกฎหมายก็เท่านั้นเอง ยังไงก็ดีอย่าไปยุ่งกับมันเลยจะดีกว่านะครับ

                   เอ๊ะ เมื่อกี้ผมใช้คำว่า “ยังไงก็ดี” งั้นเหรอ ?

                   หาข้อมูลเพิ่มเติมเองเน่อ

     

                   *** สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วนะครับก็ต้องขอย้ำเอาไว้อีกครั้งว่า “นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาที่คอนข้างรุนแรง เหมาะสำหรับผู้ที่บรรลุนิติภาวะหรือแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้เท่านั้น” ฉะนั้นแล้วเด็ก ๆ ทั้งหลายที่บังเอิญผ่านเข้ามาได้โปรดอย่างทำร้ายตัวเอง ตัวนักเขียน และตัวนิยายทางอ้อมด้วยการอ่านต่อเลยนะครับ

     

                   ขอบคุณที่ติดตามผลงาน ขอให้สนุก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×