ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) Niger | Albus (KaiDo - KaiSoo)

    ลำดับตอนที่ #4 : Niger - III

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 706
      13
      4 พ.ค. 58

    III

     

                พอตื่นขึ้นมาในตอนสายของอีกวัน คยองซูก็พบว่า...แขกที่ไม่ได้ยินดีเชิญของตนคนนั้นกลับไปก่อนแล้ว

                ช่างภาพหนุ่มไม่ได้ว่าอะไรขณะถือแก้วกาแฟร้อนกรุ่นของตน คนเชื่องช้าให้น้ำตาลละลาย พลางพิศมองโน้ตกระดาษที่ถูกเขียนไว้ด้วยลายมือหวัดๆ

                ขอบคุณที่ช่วยทำแผลให้ ขอโทษที่ออกไปก่อนนะครับ ผมมีเรียน

                ความเร่งรีบร้อนรนที่ส่งผ่านตัวหนังสือออกมา ทำให้ชายหนุ่มนึกภาพออกได้ไม่ยาก ว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าท่าทางเช่นไร เรียวปากอิ่มงามรูปหัวใจบิดคลี่รอยยิ้มขัน เช่นเดียวกันกับรอยอารมณ์ที่ปรากฏในดวงตา

                ดวงตากลมคมสดใสกวาดผ่านแผ่นกระดาษอีกครั้ง ก่อนที่จะหยิบขึ้นจากโต๊ะ สอดเก็บไว้ในหนังสือเล่มที่หยิบได้ใกล้มือ แสดงกิริยาเหมือนไม่ได้ใส่ใจ ไม่ใช่ของมีค่าสำคัญ ทว่าก็...ไม่ได้ทิ้งไป...

     

                เรื่องคืนนั้นราวกับความฝัน กระทั่งจงอินก็ยังไม่ใคร่แน่ใจ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นแท้จริงจะใช่ความทรงจำปลอมๆ ที่เกิดจากฤทธิ์เมรัยของตนหรือไม่ ชั่วขณะหนึ่งเขาเคยคิดว่าตนจะไม่มีวันญาติดีกับช่างภาพปากร้ายคนนั้นได้ ทั้งที่เคยตั้งใจจะแก้แค้นเอาคืนให้ได้เสียหน้าเจ็บใจ ...ให้ได้อับอาย

    แต่เมื่อคืนก่อนตอนนั้น ...หรือไม่ใช่ว่าพวกเขาได้นั่งดื่มอยู่ด้วยกัน

                เงียบงันไร้คำพูด ไม่มีเสียงหัวเราะหรือแม้แต่การชนแก้ว

                แค่ดื่มด้วยกันเงียบๆ เมื่อหมดแก้วแล้วก็รินเติมใหม่ เหมือนไม่ข้องเกี่ยวกันแต่อย่างใด เพียงปล่อยให้รสแรงร้อนของบรั่นดีแผดเผาตนจากข้างใน ทว่าไม่รู้เหตุใด... บางครั้งบางคราว... บางหนรู้ตัว บางทีก็ไม่ ...เขาก็จะครุ่นนึกถึงบรรยากาศในตอนนั้น คิดถึงรสเหล้าที่แรงบาดคอ ทว่ายามเมื่อล่วงลึกผ่านโคนลิ้นไป จะทิ้งกลิ่นหวานหอมเอาไว้....ให้หวนคะนึง

                จงอินปิดหนังสือที่ถืออ่านติดมือมาสองสามวันลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกให้ไปเข้าฉาก

                นายแบบหนุ่มยืดตัวเต็มความสูง ปัดความคิดไร้สาระทั้งหลายที่ก่อกวนอยู่ในสมองออกไป เลือกหยิบหน้ากากสวมใส่ให้เหมาะสม บนใบหน้าค่อยๆ ถูกประดับรอยยิ้มพรายทรงเสน่ห์ และเมื่อเขาได้หยุดยืนต่อหน้ากล้อง คนทั้งหลายก็เหมือนได้ถูกสะกด

                กระทั่งรอยแผลถลอกเป็นแนวยาวที่บนท่อนแขนสีน้ำผึ้ง ยังคล้ายถูกจงใจปั้นแต่งขึ้น...เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะชิ้นงาม

                คิมจงอินมองรอยสีอ่อนที่บ่งบอกว่าบาดแผลเริ่มหายแล้วบนท่อนแขนตน ดวงตาวูบไหวด้วยระลอกอารมณ์อย่างหนึ่งที่กระทั่งตนเองยังไม่รู้จัก

                เหล่าผู้คนที่ถูกบรรยากาศของเขาสะกดไว้...ยิ่งคล้ายจมลงหนักยิ่งขึ้นไป

                ราวกับการได้มองเห็นการแย้มกลีบอ่อนหวานของกล้วยไม้ล้ำค่า...เกิดขึ้นที่เบื้องหน้าด้วยตาตน

                “แผลนั่นได้มาจากไหนน่ะ ไค” ใครคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อการถ่ายทำที่เงียบงันนั้นผ่านพ้นไป เมื่อนายแบบหนุ่มได้รับอนุญาตให้พัก บรรยากาศกลับคืนสู่การผ่อนคลาย

                คนถูกถามเพียงแตะยิ้มเล็กน้อย บอกปัดว่าไม่มีอะไร แค่ซุ่มซ่ามไปหน่อยเลยล้มจนได้แผลถลอกเป็นรอย

                ทว่าน้ำเสียงที่ใช้... คล้ายไม่ใช่มีเพียงแค่นั้น

                แต่ก่อนที่ผู้คนทั้งหลายจะคิดไปไกล เจ้าตัวก็เสทำเป็นหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมา แล้วขอตัวออกไปผ่อนคลายที่ด้านนอก ทิ้งให้ความสงสัย ค่อยๆ ตกตะกอนอยู่ในใจ

               

                นายแบบหนุ่มพรูลมหายใจยาวยามที่เลี่ยงออกมาได้สำเร็จ ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่ากับเรื่องแค่นี้ ทำไมต้องวุ่นวายใจ

                “อ้าว จงอินอ่า~” เดินออกมาได้เพียงครู่เดียวก็ถูกเสียงหนึ่งรั้งไว้ เจ้าของเสียงนั้นเพิ่งจะเดินออกมาจากอีกประตูของสตูดิโอที่ห่างกันไม่ไกล

                “เทา?” ด้วยเพราะอายุห่างกันแค่ปีเดียว หนำซ้ำยังสนิทสนมกันไม่น้อย ดังนั้นสรรพนามคำว่าพี่ที่ควรจะใช้ จงอินก็โยนทิ้งไปตั้งชาตินึงได้แล้ว

                “มาทำงานเหมือนกันเหรอ บังเอิญจัง”

                “อือ” นายแบบผิวสีน้ำผึ้งตอบง่ายๆ แล้วเอ่ยปากชวนกลับ “ถ่ายอีกนานไหม ทางนี้ใกล้จะเลิกแล้ว ไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน?”

                สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป หากจงอินไม่ได้มองพลาดผิดไปอารมณ์ที่ฉายอยู่บนดวงหน้าคมคาย....ช่างคล้าย...กับสัตว์เลี้ยงที่ถูกขังอยู่ในกรง?

                “ก็อยากไปอยู่หรอก” ทั้งสีหน้าแววตาและน้ำเสียงช่วยยืนยันได้ ว่าคำนี้มาจากใจจริงแท้ “แต่คงอีกพักใหญ่...หรือไม่ก็อาจจะทั้งวัน”

                เจ้าของดวงตาเรียวคมและริมฝีปากงดงามว่าพลางย่นคิ้วเข้าหากัน เสียงพูดที่เดิมทีก็เบา... ยิ่งถูกกดให้เบาลง ยามกระเง้ากระงอดฟ้องร้องบางสิ่งให้อีกฝ่ายได้ยิน

                “นายแบบที่ถ่ายด้วยกัน แม่ง-โคตร-เรื่อง-มาก...”

                “หวงจื่อเทา” เสียงเย็นที่สวนกลับมาทันทีทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงเป็นคนที่อีกฝ่ายเพิ่งจะบ่นถึงกับเขาเมื่อประโยคก่อนหน้า

                คนมีชนักติดหลังแยกเขี้ยว แอบทำสีหน้าล้อเลียนให้เพื่อนดู จึงค่อยหันไปยังต้นเสียง

                จงอินก็มองตาม เห็นว่าคน โคตรเรื่องมาก ที่อีกฝ่ายพูดถึง ที่แท้ถึงกับเป็นคนที่จงอินไม่คิดว่าจะผูกโยงเข้ากับคำนั้นได้มาก่อน

                “พี่คริส?”

    จากที่เคยร่วมงานกันมาตั้งหลายหน ไม่ว่าจะฝีมือ หน้าตา หรือการวางตัว จะอย่างไรจงอินก็ไม่สามารถใช้คำคำนั้น มาบรรยายผู้ชายตัวสูงเจ้าของผมสีบลอนด์และดวงหน้านิ่งเย็นราวกับรูปสลักคนนี้ได้จริงๆ

    “ไง ไค” ทางนั้นทักกลับมาสั้นๆ ค่อยหันไปดุใส่นายแบบอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน “ใครอนุญาตให้คุณออกมา ยังถ่ายกันไม่เสร็จเลย อยากอยู่จนเย็นมากนักหรือไง”

    “แล้วมันเพราะใครกันที่ช่างติ จนผมต้องถ่ายซ้ำๆ ซากๆ อยู่หลายรอบ” เทาถลึงตาใส่ ด้วยดวงตาดุเข้มเรียวยาวจึงค่อนข้างดูเอาเรื่องน่ากลัวอยู่สักหน่อย ทว่าใครก็ตามที่รู้จักเจ้าตัวจะรู้เลยว่านั่นก็เป็นเพียงการกางเล็บแยกเขี้ยวของลูกแมวขนฟู

    และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้น รู้จัก จื่อเทาไม่น้อยเลย

    สีหน้าของนายแบบหนุ่มไม่แม้กระทั่งจะเปลี่ยนไป คริสตอบเสียงเรียบ อย่างที่คนนอกมองยังรู้ ว่าจงใจเย้า...หมายจะกวนอารมณ์อีกฝ่ายให้ขุ่นมัว

    “ผมแค่อยากให้งานออกมาดีที่สุด หรือคุณไม่อยาก?” เหตุผลอย่างที่ใครก็เถียงไม่ออกถูกบอกออกมา แล้วหวงจื่อเทาจะทำอะไรได้ หนุ่มน้อยเจ้าของผิวสีนมน้ำผึ้งได้แต่เบ้หน้า ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ก่อนหันมาบอกลาเพื่อนที่เพิ่งได้เจอกันอีกสองสามคำ  ค่อยยู่หน้าใส่อีกฝ่าย ก้าวเดินตามการฉุดรั้งเบาๆ ของทางนั้นกลับเข้าไปในสตูดิโอ

    จงอินไม่ทราบอุปมานไปเองหรือไม่ ทว่าเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด

    ว่าที่มุมปากอิ่มหนาได้รูปของนายแบบรุ่นพี่คนนั้น... ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ อย่างคนพึงใจ

    อ้อ...

    แค่เพียงพริบตานั้น คนที่มองเห็นก็รู้ได้ และถูกรอยยิ้มแบบนั้น กระตุ้นให้เผลอไผล

    “เทา” จงอินร้องเรียกในวินาทีสุดท้าย พอเจ้าของชื่อหันมา คนที่อยู่ด้วยกันก็หยุดด้วย แล้วยังส่งสีหน้าดุๆ มาเป็นการเตือน

    นายแบบหนุ่มผิวแทนยักไหล่ เรื่องที่เขาจะพูดไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางนั้นสักหน่อยนี่นา

    “จะได้เจอคุณคยองซูไหม มีของจะฝากให้”

    “อ้อ ได้สิ ตอนเย็นมีนัดกันไว้พอดี”

    เอาเป็นว่ารับปากแล้วนะ จงอินพยักหน้ารับเสร็จสรรพ วางใจว่าของจะถึงมือคนรับ แม้ว่าหลังจากหันหลังจากมาได้ไม่ทันไรจะแว่วได้ยินเสียงเรียบๆ เย็นๆ...ที่ปลายเสียงเจือการหยอกเย้า ประมาณว่า คิดหรือว่างานคุณจะเสร็จก่อนตอนเย็น อะไรทำนองนั้น...ดังให้ได้ยิน

     

    ที่จริงจะส่งข้อความไปที่เบอร์ของอีกฝ่ายก็ได้ แต่เขาที่เป็นฝ่ายเจ้าคิดเจ้าแค้นไปเองก่อน จู่ๆ ก็จะยอมลดยอมลงให้ก่อนก็ดูจะเสียหน้าเกินไป ดังนั้นวิธีที่นายแบบหนุ่มเลือกใช้ จึงเป็นการสอดกระดาษข้อความแผ่นน้อย แนบไปกับหนังสือที่ถือติดมือมาหลายวัน ...เป็นหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสบายๆ ในย่านตัวเมืองนี่เอง ส่วนหน้าที่บรรจงพับคั่นไว้ ก็เป็นหน้าที่แนะนำร้านกาแฟน่านั่งที่หนึ่งพอดี

    จงอินก้มอ่านถ้อยความที่เขียนไว้ในกระดาษ

    ผมอยากขอโทษ เรื่องที่ผ่านมา ...พรุ่งนี้ตอนเย็น ถ้าคุณว่าง อนุญาตให้ผมเลี้ยงกาแฟสักแก้วนะครับ

    ใบหน้าหล่อเหลาซับสีระเรื่อเจือจาง เนื้อความอย่างนี้ดูมีอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป แต่เขาก็ตัดสินใจจะไม่แก้ไข สอดกระดาษข้อความตรงหน้าที่คั่นไว้ ก่อนจะเดินเอาไปฝากไว้กับเพื่อนร่วมอาชีพที่ห้องใกล้ๆ กัน

    “รบกวนด้วยนะ” โชคดีที่เขาไปถึงในช่วงที่อีกฝ่ายได้หยุดพักพอดี ดังนั้นจึงส่งมอบให้โดยง่าย แล้วยังได้ของแถมเป็นการบ่นอุบหลายประโยคในเรื่องเดิม...เรื่องของคนๆ เดิม...

    คิมจงอินฟังคำบ่นของเพื่อนแล้วได้แต่ยกยิ้ม ประกายตาที่ใช้มองนายแบบอีกคนที่กำลังทำงานอยู่หน้ากล้อง ...เพิ่มความเห็นใจขึ้นมาส่วนหนึ่ง

    การที่จะสื่อสารข้อความในใจออกมา แม้หลายคนบอกว่าง่ายดาย แต่เขาก็รู้...สำหรับบางคนแล้ว...

    มันไม่ง่ายเลย...

     

    ถึงแม้จะมีการปรามาสไว้ หนังสือเล่มนั้นก็ถูกส่งถึงมือโด   คยองซูได้ ในเย็นวันนั้นจริงๆ

    “อะไรน่ะ?” คนอย่างหวงจื่อเทา ไม่ใช่คนที่จะซื้อหนังสืออะไรอย่างนี้มาฝากใคร ที่จะเป็นไปได้ ก็มีแต่เหล้านอก กับไวน์บ่มนานปีมีราคา...หรือไม่ก็กับแกล้มดีๆ สักหลายจาน

    “มีคนฝากมาให้” นายแบบหนุ่มน้อยตอบพลางจัดเรียงกับแกล้มลงจาน

                “ใคร?” คยองซูถามอีกพลางพลิกหนังสือดูทั้งหน้าหลัง แต่ในขณะที่กำลังจะเปิดดูนั้น คำตอบที่ได้ยินก็ทำให้มือเรียวขาวชะงักไป

                “จงอิน...ไม่สิ ไคน่ะ”

                “...อ้อ” ช่างภาพหนุ่มวางหนังสือในมือลง ...กิริยาราวกับไม่ใส่ใจ ทว่าคนรับฝากของมาก็ยังยิ้ม ถามออกมาเสียงเจือการล้อเลียน

                “สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “เปล่านี่”

    ฝ่ายนั้นตอบกลับรวดเร็วไร้พิรุธ สีหน้าเองก็เรียบเฉยจับเค้าอารมณ์ไม่ได้

    ทว่านายแบบหนุ่มยังยิ้ม ยักไหล่แล้วหยิบขวดบรั่นดีที่วางไว้ใกล้มือ รินลงแก้วเย็นจัดสองใบ

    “เปล่าก็เปล่า มาเร็ว ดื่มกัน”

    คยองซูกลอกตา แสดงอาการเบื่อหน่ายเมื่อเพื่อนไม่ยอมเชื่อ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ช่างภาพหนุ่มเสหยิบแก้วเหล้าของตนขึ้นมา เขย่าเบาๆ สองสามครั้งให้เย็น จากนั้นค่อยส่งผ่านลำคอ

    ชั่วขณะนั้นที่นึกว่ามรสุมได้ผ่านพ้นไป ไม่คิดว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยินยอมหยุดลง

    “เอ้อ จริงสิ อาทิตย์ก่อนไม่ใช่นายบอกว่าได้มาสอง ทำไมถึงเหลืออยู่แค่ขวดเดียว”

    “...” คำถามนี้ช่างภาพคนเก่งไม่ได้ตอบอย่างรวดเร็วเช่นทุกที ชายหนุ่มเอาแต่ก้มลงมองแก้วเหมือนไม่ได้ยิน พินิจดูน้ำแข็งสีใสที่กำลังละลายช้าๆ

    สองแก้ม...เรื่อแดงขึ้นมาเล็กน้อย

    เห็นแล้วเทาก็หรี่ตา รอยยิ้มที่ประดับไว้คล้ายเหยียดคลี่กว้างขึ้น

    นายแบบหนุ่มยกแก้วของตนขึ้นจิบบ้าง ให้รสแรงร้อนของเครื่องดื่มแผดเผาลำคอ ก่อนที่จะพูดอีกประโยคหนึ่ง

    “เหล้าแรง...มิน่า คุณโดคยองซูคนเก่งดื่มไปแค่จิบเดียว..ก็เมาหน้าแดงซะแล้ว”

    “จื่อเทา!” คนฟังมีหรือไม่รับรู้ถึงความนัยน์ที่แฝงไว้ “ก็บอกว่าไม่มีอะไร” รีบร้อนยืนยันคำเดิม

    เทาหัวเราะ แสร้งทำสีหน้าคล้ายไม่เข้าใจ

    “ไม่มีอะไรคืออะไร ฉันพูดถึงเหล้าชัดๆ...เอ...หรือคยองซูจะหมายถึงอะไร...หมายถึงใคร?”

    รอยแต้มแดงชาดบนสองแก้มขาวยิ่งเข้มขึ้น ในที่สุดชายหนุ่มก็ทนไม่ไหว เงื้อมือขึ้นต่อยแรงๆ หมัดหนึ่งลงกับบ่ากว้างแข็งแรงของเพื่อน พลางบอกเสียงฉุนเฉียวให้อีกฝ่ายดื่มไปเงียบๆ ไม่อย่างนั้นบรั่นดีชั้นเลิศขวดนี้ จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ดื่มอีกแม้แต่อึกเดียว

    นายแบบผู้ถูกข่มขู่ยังไม่คลายใบหน้าออกจากยักยิ้มที่คยองซูรู้สึกว่าช่างน่าหมั่นไส้ ช่างภาพหนุ่มมองอีกฝ่ายยักไหล่ หัวเราะเสียงดังด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่ก็ยังดีที่ตลอดคืนนั้นก็ไม่ได้มีคำพูดกวนอารมณ์อื่นใดหลุดออกมาซ้ำเติม

     

    เนิ่นนานหลังจากนั้นจื่อเทาก็กลับไป... ด้วยสภาพกึ่งรู้ตัวกึ่งเมามาย คยองซูยึดกุญแจรถของอีกฝ่ายไว้ ลงไปส่งจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ขึ้นแท็กซี่อย่างปลอดภัย ช่างภาพหนุ่มจึงค่อยกลับขึ้นมาที่ห้องของตน

                ร่างสูงสันทัดทิ้งตัวลงบนโซฟาสีขาว ตั้งใจจะหลับตาพักผ่อนสักครู่ทว่าที่หางตาก็เหลือบเห็นหนังสือ...เล่มเดียวกันกับที่ถูกคนฝากมาให้เมื่อตอนหัวค่ำ

                เขานิ่งไปครู่ใหญ่ก็เอื้อมหยิบมา โดยไม่ทันสังเกตว่ากระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่สอดไว้ได้ร่วงหล่นลง

                ดังนั้นหนังสือเมื่อถูกกางออก ก็ไม่มีอะไรนอกจากหน้ากระดาษหน้าหนึ่งที่ถูกพับคั่นไว้ คยองซูหรี่ตามองร้านกาแฟในหน้านั้น ทว่าเมื่อไร้ข้อความอธิบายเขาก็ย่อมไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ

                ตั้งใจจะทำอะไรกัน? วิธีเรียกร้องความสนใจแบบใหม่หรือ?

                เขาคิดพลางแตะปลายนิ้วลงกับหน้าหนังสือ ลูบไล้แผ่นกระดาษเคลือบมันที่พิมพ์ประทับภาพของร้านกาแฟงดงาม และความคิดเริ่มเหม่อลอย...

                หวนกลับไปนึกถึงเรื่องตั้งแต่แรกเจอกัน

                ถึงปากเขาจะบอกว่าไม่ชอบขี้หน้า พบกันกี่ครั้งก็มีแต่เรื่องให้กระทบกระทั่งกัน แต่ทั้งหมดนั้น...

    เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนสักหน่อย

    จะดีจะร้าย...ก็รู้ตัวอยู่ลึกๆ หรอกว่า ช่างภาพคนไหนในโลกก็ล้วนแต่มีความลำเอียงอย่างหนึ่ง ไม่สามารถชิงชังรังเกียจนายแบบนางแบบที่มีพรสวรรค์โดดเด่น

    แล้วกับพลอยแท้น้ำงามเม็ดนั้น...ยามที่ดวงตาได้จดจ้องภาพอันแสนงามผ่านเลนส์... อย่างไรเขาก็ต้องมีความรู้สึกว่าอยากจะช่วยเจียรนัย ขัดเกลาให้ได้ทอประกาย...จับใจผู้คนมากยิ่งกว่าเดิม

    ช่างภาพหนุ่มแย้มยิ้มบางเบาขึ้นบนริมฝีปากรูปหัวใจ

                “กับเด็กอวดดี ก่อนอื่น...ก็ต้องสอนให้รู้จักเคารพ มีมารยาทล่ะนะ” หนังสือเล่มบางถูกเปิดใหม่ตั้งแต่หน้าแรก ขณะที่คนถือเอนตัวลงนอนตามแนวยาวของเบาะนั่ง สายตาเริ่มมองผ่านข้อความในหนังสือ ในขณะที่เสี้ยวหนึ่งของห้วงภวังค์ก็ยังครุ่นคิดคำนึง

              ...จะได้น่าเอ็นดูกว่านี้สักหน่อย...ถึงจะดี

     

    แต่เพราะไม่ได้พบเห็นโน้ตแผ่นนั้น ดังนั้นผ่านไปหลายวัน ช่างภาพหนุ่มก็ยังใช้ชีวิตของตน...โดยไม่ทราบว่ามีคนกำลังรอคอย

    วันที่สามแล้ว

    คิมจงอินนั่งรอเหมือนคนโง่มาจนถึงวันที่สามแล้ว

    เขามานึกได้ทีหลังว่าโน้ตของตัวไม่ได้นัดแนะเป็นวันที่แน่นอน เมื่อไม่ทราบว่าอีกฝ่ายจะได้อ่านมันเมื่อไหร่ เมื่อไม่อาจคาดเดาได้ จึงได้แต่มานั่งรออย่างนี้ หวังว่า...หวังเพียงสักเล็กน้อยว่า...อีกฝ่ายจะแวะมา

    ...เทาบอกกับเขาเองว่าได้ส่งหนังสือเล่มนั้นถึงมือตั้งแต่สามวันก่อน นั่นมัน...หมายความว่าอย่างไร?

    นายแบบหนุ่มมองแก้วกาแฟที่ชืดเย็นไร้กลิ่นหอมใดแล้วของตน สายตาค่อยๆ...เยียบเย็นลง

    เวลาสามวันย่อมนานพอที่จะทำให้เขาแน่ใจ... คำตอบของคำถามนั้นมีเพียงสองข้อ ที่กระทั่งเขาเองก็ไม่แน่นักว่าข้อไหนที่เลวร้ายกว่ากัน

    ข้อแรกอาจเป็นเพราะหนังสือที่ได้รับนั้นอีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจกระทั่งจะเปิดอ่าน

    หรืออีกข้อนั้น...คือเห็นแล้ว...แต่ไม่คิดจะมา

    ถ้าหากไม่มา...ไม่คิดจะมา อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันสักหน่อย เบอร์โทรศัพท์ของเขา...ก็ใช่ว่าจะไม่มี

    ปลายนิ้วแข็งแกร่งดันเลื่อนถ้วยกาแฟออกจนพ้นหน้า ประกายความเข้มลึกในตา...ยิ่งนาน ยิ่งมืดดำ...

    ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนเขาก็ไม่สามารถคิดอย่างอื่นได้ นอกจากว่าอีกฝ่ายจงใจมองข้าม ไม่เห็นว่าคำขอโทษของเขานี้สำคัญที่ตรงไหน ที่จริงจะว่าไป...ไม่ว่าคำพูดใดของเขาอีกฝ่ายก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญมาแต่ตั้งแต่ต้น

    รอยยิ้มเยาะรอยหนึ่งผุดขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา

                คิมจงอินคงจะลืมไป ว่าระหว่างเขากับโดคยองซูคนนั้น เดิมทีก็เป็นเช่นไฟกับน้ำมัน  ที่พร้อมจะแผดไหม้...กันและกันให้กลายเป็นจุล


    To be continued

    พี่ชลบอกตอนบ่ายสองว่าเพิ่งได้ไม่กี่คำ บ่ายสองห้าสิบพี่ชลก็มาบอกว่า "เขียนเสร็จแล้ว" ...เคสนี่ช็อคมากจริงๆ ครับ /พรั่นพรึง 
    #ฟิคดำks


     



     

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×