คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 06 - พลั้ง
006 - พลั้ง
เคยได้ยินมาว่าถอนหายใจหนึ่งครั้งชีวิตจะสั้นลงหนึ่งวัน
ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง สงสัยว่าชีวิตของเขาคงจะหดสั้นลงไปสามปีแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจเป็นครั้งที่พัน ขณะเหม่อมองหมายเลขโทรศัพท์ที่คุ้นเคยในมือ ลังเลอยู่ชั่วอึดใจแล้วจึงกดโทรออก
ไม่ต้องรอนานนัก อีกฝ่ายก็รับสาย
“ไงจ๊ะ?”
“สวัสดีครับคุณแม่...” เขาร้องทักทายอย่างสุภาพ “ผม... ผมมีเรื่องจะปรึกษาคุณแม่นิดหน่อย”
ในน้ำเสียงของชายหนุ่มเจือความกระอักกระอ่วนใจ ทว่ากลับแว่วเสียงหัวเราะจากปลายสาย เสียงหัวเราะที่เหมือนสามารถมองทะลุถึงส่วนลึกของความกลัดกลุ้มกังวลของเขา
“ไปทำอะไรให้ลูกชายแม่เค้างอนเข้าแล้วใช่ไหมจ๊ะ อี้ฟาน” คำถามนั้นทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนใบหน้าของตนร้อนผ่าวขึ้นมา
“คุณแม่ทราบ...?”
“แม่พอจะเดาได้จ้ะ” หญิงสาวหัวเราะอย่างนึกขัน จากการพบปะกันหลายครั้งมีหรือเธอจะมองไม่ออก เด็กคนนี้ชอบพอลูกชายของเธอ รักใคร่เอ็นดูเกินกว่าคำว่าพี่น้อง...
บางคนอาจจะรังเกียจ...แต่เธอไม่
เธอรู้...รู้ว่าเรื่องของหัวใจไม่ใช่เรื่องที่ใครจะสามารถหักห้ามได้ ในเมื่ออี้ฟานเลือกแล้วที่จะรัก ในฐานะคนเป็นแม่ เธอก็ทำได้เพียงยกทั้งหมดให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจื่อเทา
ลูกโตแล้ว...
เขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่จะต้องให้ใครไปชี้แนะกะเกณฑ์ว่าควรเดินไปทางไหน
คุณนายหวงเอนหลังลงพิงกับพนักโซฟานุ่ม รอคอยว่าเด็กน้อยคนนี้จะพูดอะไรต่อหลังจากที่เธอพูดออกไปอย่างนั้น
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น...” อีกฝ่ายยังคงอึกอัก นานนักกว่าจะสามารถรวบรวมความกล้าถามออกมาได้
“คุณแม่พอจะบอกวิธีง้อจื่อเทาให้ผมได้ไหมครับ....”
ปลายสายส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดจะหักห้าม
ในฐานะคนเป็นแม่ เธอทำได้เพียงยกทั้งหมดให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจลูก
แต่ในฐานะคนเป็นแม่ เธอก็คิดว่าเธอมีสิทธิที่จะช่วยให้การสนับสนุนสักเล็กน้อย เพื่อให้ลูกชายคนดีตัดสินใจอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น ผ่านไปครู่สั้นๆ เธอก็ห้ามตัวเองให้หยุดหัวเราะได้ แกล้งพูดหยอกเอินอีกฝ่ายสองสามประโยคก่อนที่จะกดเสียงเบาลง กระซิบกระซาบบอกด้วยรอยยิ้ม
“แม่บอกได้แค่ว่า....”
หลังจากได้ฟังคำแนะนำ คริสก็บังคับแลกห้องกับซิ่วหมิน ตอนแรกพี่ใหญ่ก็ทำเป็นอิดออดไม่เต็มใจ แต่พอถูกบอกว่าจะเลี้ยงติ่มซำเจ้าอร่อยเข้าหน่อยเจ้าตัวก็รีบหอบหมอนหอบผ้าห่มไปห้องอีกฝ่ายแทบไม่ทัน
คนยื่นข้อเสนอได้แต่ส่ายศีรษะอย่างระอาใจ
ให้ตาย...เจ้าซาลาเปาเห็นแก่กินนี่เกินเยียวยาแล้ว...
ชายหนุ่มต่อว่าในใจ ขณะที่มองประตูห้องของเพื่อนร่วมวง ยอมรับว่าค่อนข้างลังเลไม่แน่ใจกับวิธีการที่ถูกแนะนำมา แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเคาะประตู ทว่าเขาไม่ได้รอให้อีกฝ่ายมาเปิด กลับเลี่ยงเดินหลบไปอยู่ที่มุมทางเดิน รอจนได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูดังขึ้นจึงค่อยเดินไปเคาะอีกหน ก่อนจะกลับไปหลบอยู่ที่เดิมอีกครั้ง
ทำซ้ำแบบนี้อยู่สามสี่รอบ เขาก็คิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว
ชายหนุ่มก้าวเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเงียบกริบ พรูลมหายใจยาวเหยียด และยกมือขึ้นเคาะประตูอีกครั้ง
แตกต่างจากหลายครั้งก่อนหน้านี้ คริสไม่ได้เดินหลบไปไหน เพียงยืนรออยู่อย่างใจเย็น
เงียบ...
คนที่อยู่ข้างในไม่ได้เดินมาเปิดให้ ซึ่งนี่ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากการคาดคำนวณของเขา ชายหนุ่มเม้มปาก ก่อนจะเผยอออก ส่งเสียงร้องเรียกคนที่อยู่ในห้อง
“จื่อเทา? นอนแล้วเหรอ?”
ได้ยินเสียงกุกกักเบาๆ บ่งบอกว่าในห้องเกิดการเคลื่อนไหว อึดใจต่อมาประตูห้องก็ถูกเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดเผือดสีของเด็กหนุ่มผ่านช่องว่างระหว่างประตู
“ตุ้ยจาง...?” สุ้มเสียงแผ่วเบาสั่นเครือเจือด้วยเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร ...น่าสงสารจนคมหอกของความรู้สึกผิดทิ่มแทงลงในหัวใจ ...เกือบจะเผลอร้องสารภาพออกมาแล้ว ทว่าก็ยังยับยั้งมันไว้ทัน คริสยื่นมือออกไป ลูบเบาๆ ที่ข้างแก้มเย็นเฉียบ เอ่ยปากถามไถ่อย่างห่วงใยแม้จะรู้ดีถึงเหตุผลอยู่แล้วก็ตาม
“เป็นอะไร? ร้องไห้ทำไม?” คำถามจากปากของชายหนุ่มยิ่งเร่งเร้าให้สีเลือดเลือนหายไปจากใบหน้าอ่อนเยาว์ เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง แสดงสีหน้าหวาดหวั่นไม่ปิดบัง อึดอัดลังเลอยู่หลายอึดใจเขาก็เอ่ยปากถามกระท่อนกระแท่น
“เมื่อ...เมื่อกี้นี้...ตุ้ยจางได้เคาะประตูรึเปล่า”
“ใช่ พี่เคาะเอง ทำไมเหรอ?”
“ไม่ใช่...ก่อนหน้านี้อีก...”
“ก่อนหน้านี้? พูดอะไรของเรา? พี่เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี่เอง” แสร้งทำเป็นตีหน้าซื่อโกหกออกไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน เด็กหนุ่มฟังแล้วก็เบะปาก ทำสีหน้าเหมือนพร้อมจะร้องไห้ออกมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง นั่นทำให้คริสพรูลมหายใจยาว ดันตัวแทรกเข้าในห้อง วาดแขนโอบคว้าร่างประเปรียวสั่นเทาของอีกฝ่ายเอาไว้
ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าเนียนลาด สัมผัสแผ่วเบาที่คล้ายจะปลอบประโลมและขอโทษขอโพยอยู่ในที
“ฮึก...ฮึก...ตุ...ตุ้ยจาง” นิ้วเรียวกอบกำเสื้อของชายหนุ่มแน่น ออกแรงจนข้อนิ้วซีดขาว หวาดหวั่นขลาดกลัวจนลืมไปเสียสนิทว่าหลายวันมานี้ตัวเองพยายามที่จะอยู่ห่างจากอีกฝ่าย ร่างประเปรียวสมส่วนแทบจะเบียดเข้าหาอ้อมกอดอุ่น ร่ำร้องหาการปกป้องจากอ้อมแขนนี้
“เป็นอะไรครับ...ไม่เอาน่า ไม่ร้องนะ พี่อยู่ที่นี่แล้ว...” มือกร้านกดให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ซุกลงบนบ่าของตน ทางหนึ่งเพื่อปลอบขวัญเด็กขี้กลัว ส่วนอีกทาง...คือปกปิดสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของตนเอาไว้
อ่า... คริสยอมรับว่าเขาก็ไม่ใช่คนดีนักหรอก เพราะอย่างนั้น เขาถึงได้ทำตามคำแนะนำของคุณแม่ ใช่แล้ว...คำแนะนำที่บอกว่า...
‘จื่อเทาจะง้อง่ายที่สุดตอนที่เจ้าตัวกำลังกลัวผี’
...
เคยมีใครสักคนบอกว่าที่จริงแล้วคริสเป็นคนที่ร้ายกาจ...
เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดจะยอมรับ แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้ว
รอจนกระทั่งการสะอึกสะอื้นของอีกฝ่ายลดลงบ้าง คริสก็จูบเบาๆ ลงที่หน้าผากเนียนอีกครั้ง ก่อนที่จะคลายอ้อมแขนออก จับหมุน รุนหลังอีกฝ่ายให้เดินไปที่เตียง เด็กหนุ่มตัวสูงเดินตามแรงผลักนั้นอย่างว่าง่ายเชื่อฟัง จนกระทั่งตอนที่ถูกกดบ่าให้นั่งลงบนเตียง เขาก็ยื่นมือไปยื้อข้อมือแข็งแกร่งของพี่ชายเอาไว้
...ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างออดอ้อน
“อย่า...อย่าไปไหนนะครับ...” เสียงทุ้มเจือสะอื้นร่ำร้อง “เมื่อกี้มีเสียงคนเคาะประตู แต่พอผมออกไปก็ม...ไม่...ไม่มีใคร พี่มินซอกก็ไปไหนไม่รู้ ตุ้ยจาง... ฮึก... อ...อยู่เป็นเพื่อนผมนะ...”
คริสทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียง ยิ้มบางเบาอ่อนโยน ลูบศีรษะอีกฝ่ายเพื่อปลอบขวัญ
“ได้สิ คืนนี้พี่จะอยู่เป็นเพื่อนนาย”
หลังจากที่ถูกหลบหน้ามาหลายวันจนแทบจะขาดใจตาย ในที่สุดคริสก็ทวงเอาความไว้ใจที่น้องเคยมีให้กลับมาได้ การถูกน้องอ้อน พูดจาเอาแต่ใจใส่เหมือนเดิมในที่สุดแบบนี้ทำให้รู้สึกดีกว่าอะไรทั้งหมด
ส่งเด็กขี้แยเข้านอน ถูกอ้อนให้จับมือเกาะกุมไว้จนกว่าจะหลับ...ใครบ้างไม่รู้ว่าตุ้ยจางจอมเจ้าเล่ห์ต้องกลั้นยิ้มจนปวดแก้มกับผลลัพธ์ที่ดีเกินความคาดหมายนี้
คริสอารมณ์ดี...ดีมากๆ
ดังนั้นแล้วการที่ได้มีเมล์ปริศนาหนึ่งฉบับ ซึ่งแนบไฟล์ภาพ HQ ตอนที่ลู่หานกำลังหอมแก้มเมนแดนซ์ตัวขาวเจ้าของรอยยิ้มน่ารักของฝั่งเอ็ม ส่งถึงมักเน่ของฝั่งเคจนเป็นเหตุให้เช้าวันถัดมาฟลาวเวอร์บอยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นตอนตีสี่ด้วยสายด่วนจากเกาหลี...
...นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด (เหรอ?)
“ลู่หานฮยอง!” เดิมทีเขายังคิดจะตวาดด่า แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่ตนรับสายอีกฝ่ายก็ตวาดสวนขึ้นมาเสียก่อน ชายหนุ่มผู้ง่วงงุนขมวดคิ้ว ฝืนลืมดวงตาที่แทบจะปิดปรือ ยกโทรศัพท์ออกห่าง เขม้นมองดูชื่อที่โทรมาเพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้จำเสียงคนผิด
...ก็ถูกคนนี่หว่า?
“เซฮุนอา... โทรมาแต่เช้ามีอะไรหือ?...” เขาถามเสียงงัวเงีย แต่กลับได้ยินปลายสายแค่นเสียงดังเฮอะ ก่อนจะพูดด้วยเสียงราบเรียบเหมือนทะเลไร้ลม
“ฮยองหอมแก้มอี้ชิงฮยองทำไม?”
...เป็นลมสงบก่อนที่พายุจะมา
ลู่หานถึงกับตื่นเต็มที่ ชายหนุ่มยืดหลังตรงสีหน้าซีดเผือด และปรากฏความตื่นตระหนกในแววตา
กลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ พยายามตีมึนหาข้อแก้ตัว
“เอาอะไรมาพูด! ฮยองไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย!” ที่ท้ายประโยคถึงกับขึ้นเสียงสูงอีกหนึ่งคีย์อย่างคนร้อนตัว แล้วมีหรือที่คนขี้หวงอย่างโอเซฮุนจะไม่รู้สึกถึงมัน
“อย่ามาโกหก...” มักเน่หนุ่มน้อยกดเสียงต่ำ
“ผมให้เลือกระหว่างอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไม ‘คนของผม’ ถึงได้ไปหอมก้มคนอื่นแบบนั้น...ถ้าฟังไม่ขึ้นล่ะก็ เจอกันคราวหน้าผมจะเล่นคุณให้หนักเชียว!” สรรพนามที่ใช้ถึงกับลดระดับลงมา ลู่หานตัวสั่น กลืนน้ำลายขมๆ อีกครั้งแล้วค่อยกลั้นใจถามเสียงเบาหวิว
“ละ...แล้วอีกตัวเลือกนึง?”
“อีกตัวเลือกนึง...” เสียงทุ้มราบเรียบจากปลายสายเงียบหายไปครู่สั้นๆ
“...คือไม่ต้องแก้ตัวให้เสียเวลา ยอมรับความผิดแล้วล้างคอรอถูกลงโทษไว้ได้เลย!” คนฟังทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ใบหน้าอ่อนเยาว์ไม่สมอายุของชายหนุ่มบิดเบี้ยวเหยเก ร้องครางเสียงหงิงๆ เหมือนลูกหมาถูกแกล้ง
“เซฮุนอา…. ; Д ;...”
“แปลว่าจะไม่แก้ตัว... ดี... เจอกันปลายเดือนนะครับ ลู่หาน” เด็กหนุ่มคาดโทษเสียงเหี้ยมเกรียมก่อนจะตัดสายทิ้งไป ปล่อยให้คู่สนทนาแข็งค้างเหมือนถูกสาปให้เป็นหินอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ร่างผอมก็คำรามออกมาเสียงต่ำ ผุดร่างลุกขึ้นจากเตียงอันยุ่งเหยิง
“คริส!” ราวกับสัญชาติญาณสัตว์ป่ากระซิบบอกถึงคำตอบของคำถามที่ว่าต้นเหตุของเรื่องคือใคร และเขาก็ยังรู้ด้วยว่าเมื่อคืนนี้ไอ้คนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจนั่นติดสินบนมินซอกเพื่อที่จะไปนอนห้องเดียวกับน้องเล็ก ดังนั้นในอีกห้านาทีต่อมาชายหนุ่มก็พาตัวเองมายืนทำหน้าบูด เคาะประตูรัวๆ เรียกคู่กรณีออกมาเฉ่งเอาเรื่อง
ไม่นานนักคริสที่ดูเหมือนจะยังไม่ตื่นดีก็งัวเงียลุกขึ้นมาเปิดประตูให้ ไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำทำเพลงลู่หานจัดการฝากฝ่ามือลงบนหัวทองๆ นั่นไปรอบหนึ่ง แต่ก่อนที่เขาจะทันซ้ำเป็นหนที่สอง ในสมองก็ผุดพรายวิธีการที่จะทำร้ายอีกฝ่ายให้ได้ผลดียิ่งกว่าขึ้นมา
ชายหนุ่มร่างผอมใช้ไหล่กระแทกร่างสูงกว่าให้พ้นทาง ก้าวฉับๆ เข้าไปหา ‘เครื่องมือ’ สำหรับการแก้แค้น
‘เครื่องมือ’ ที่ว่ายังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ขดตัวกลมอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ ดวงตาทั้งคู่หลับพริ้ม ริมฝีปากหยักสวยน่ามองเผยอออกน้อยๆ เป็นท่าทางที่ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนคนครึ่งค่อนโลกคงไม่ใจร้ายพอที่จะปลุกเขาให้ตื่นจากความฝัน
..น่าเสียดายที่ลู่หานผู้กำลังโมโหจัดและพาลพาโลอย่างยิ่งไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของคนครึ่งค่อนโลกที่ว่านั้น มือเรียวเอื้อมมากระชากดึงผ้าห่มออก ปีนขึ้นทามทับเด็กหนุ่มผู้ถูกรบกวนให้ตื่นจากฝันหวาน จดจ้องอยู่เพียงครู่เดียวก็ฝังจมูกลงบนแก้มหอมกรุ่นแรงๆ อย่างที่ไม่มีการกระทำใดจะแสดงออกถึงความประชดประชันได้ชัดเจนเท่านี้
คริสที่ตอนแรกยังคงมึนๆ งงๆ ร้องเฮ้ย ปรี่เข้าไปดึงเจ้าของร่างผอมบางที่เริ่มล้วงมือซุกซนเข้าไปใต้เสื้อยืดของน้องเล็กออกมา แขนแกร่งสอดเข้ากอดเอวสอบ อุ้มยกร่างนั้นจนลอยหวือ
แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะยอมให้ความร่วมมือง่ายๆ ลู่หานดิ้นปัดๆ อาศัยช่วงชุลมุนฟาดมือลงบนศีรษะของอีกฝายไปหลายหน จนคริสต้องลดแขนลงวางร่างผอมบางของเพื่อนร่วมงานลงบนพื้นเพื่อที่จะสามารถรวบสองมือที่พยายามประทุษร้ายเขาเอาไว้
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ภาพแรกที่คนที่กำลังงัวเงียปรือเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นมาเห็นเป็นภาพที่ดูคล้ายกับว่าคริสกับลู่หานกำลังกอดกันกลมอยู่ข้างเตียง
ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ... ใบหน้าคมคายอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มมุ่ยลงถนัด ร่างสูงขยับตัวลงจากเตียงคว้าแขนแข็งแรงข้างหนึ่งของคริส อารามที่ทั้งง่วงทั้งโมโหไม่ทันคิดใคร่ครวญใดๆ เขาก็ประกาศออกมา
“พวกพี่ทำอะไรกัน! ตุ้ยจางเป็นของผมนะ!”
สามวินาทีหลังจากนั้น เทาค่อยรู้ตัวว่าพลาดพลั้งพูดอะไรออกไป...
เด็กหนุ่มร้องครางเสียงแผ่ว ปล่อยมือออกจากท่อนแขนที่กำลังยึดเหนี่ยวเกาะกุม บนใบหน้าอ่อนเยาว์คมคายปรากฏริ้วสีแดงจัดพาดขวาง เขาเผยอริมฝีปากออก คลับคล้ายว่ามีบางอย่างจะพูด...ก่อนที่จะเปลี่ยนใจ หมุนตัวกลับขึ้นเตียงและดึงผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะ
...ส่งเสียงอู้อี้ลอดผ่านผืนผ้าออกมา...
“เมื่อกี้ผมละเมอ ลืมๆ มันไปให้หมดเลย...”
งื้อ.....!!
TBC.
น้องเหมียวพลาดแล้ว........
พูดถึงเรื่องนี้อย่าลืมติดแทก #คิมหันต์KT
130817 : แก้คำผิด
ความคิดเห็น