คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ๗.ก้านบัวเอนอ่อนแอบอิง
๗
- ก้านบัวเอนอ่อนแอบอิง -
ฮันบินไม่มีความเห็นใดกับเรื่องการก่อกบฏเพื่อทวงคืนดินแดน
คำว่าแคว้นเมืองประเทศล้วนเป็นสิ่งที่พวกมนุษย์สมมุติขึ้นและทำลายลงตามความพอใจของตัว
ทั้งที่ยึดถือจับต้องไม่ได้ก็ยังพยายามรักษาและไขว่คว้าช่วงชิง
ทว่าในฐานะหมอผู้หนึ่ง เขาย่อมรู้สึกเกลียดชังสงคราม--- หนำซ้ำนี่ยังเป็นสงครามที่ก่อขึ้นโดยลากผู้บริสุทธิ์มาเข้าร่วมอย่างไม่เต็มใจ
เจ้าจิ้งจอกพิจารณาความรู้สึกของตัว ได้ข้อสรุปว่าออกจะขุ่นเคืองอยู่มากทีเดียว
ดังนั้นในตอนที่ถูกถามถึงวิธีหยุดยั้งคำสาปนี้
เขาจึงเลือกที่จะให้ความร่วมมือกับจีวอนโดนไม่ลังเล
“บางทีอาจมีหมู่บ้านที่ต้องคำสาปอย่างนี้อีก?”
ขุนนางหนุ่มเอ่ยหยั่งเชิง สีหน้าแววตาปรากฏแววครุ่นคิด
หากนี่เป็นการกบฏจริง แผนการที่ถูกซ่อนไว้คงไม่ได้มีเพียงเท่านี้
น่ากลัวว่าอาจมีหมู่บ้านอีกมากที่ผู้คนใกล้จะถูกเปลี่ยนเป็นปิศาจเช่นกัน หรือไม่บางที
ในแง่ร้ายที่สุด--- กองทัพกบฏอาจได้ปิศาจจำนวนมากเข้าร่วมไปแล้วก็เป็นได้
ทว่าฮันบินกลับช่วยยับยั้งความกังวลใจของเขา
“ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าไม่” เจ้าจิ้งจอกว่า
“การกำกับคำสาปชั้นสูงอย่างนี้ย่อมไม่อาจทำได้โดยง่าย”
ส่วนที่สำคัญที่สุดของคำสาป คาดว่าคงเป็นตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งนี้
เขารู้สึกได้ตั้งแต่เข้ามา หากพูดไปแล้วก็นับเป็นจุดพิเศษ---
เลวร้ายเป็นพิเศษสำหรับมนุษย์ และดีเป็นพิเศษสำหรับปิศาจภูติพราย
ไม่ว่าภูเขาหรือแม้น้ำล้วนก่อเป็นค่ายกลธรรมชาติ กักกันอึมไม่แพร่งพราย กีดกันยางไม่กรายกล้ำ
กับพื้นที่อัปมงคลอย่างนี้ ไม่แปลกเลยที่จะถูกเลือกเป็นสถานที่ประกอบพิธีอัปรีย์เช่นนั้นได้
กระนั้นจะลงคำสาปเปลี่ยนมนุษย์จำนวนมากให้กลายเป็นปิศาจ
ก็ไม่เพียงแต่อาศัยธาตุอึมที่สะสมขึ้นเอง
ยังต้องใช้วัตถุดิบมีค่าหลายอย่างก่อร่างขึ้นเป็นวงเวทย์
ปัจจัยทั้งสองเป็นเครื่องยืนยันว่าคงไม่อาจมีเมืองผีอย่างนี้เป็นแห่งที่สองอีก
“แล้วจะทำลายคำสาปได้อย่างไร?”
เรื่องนี้อยู่เหนือจากขอบเขตความเข้าใจของเขา
ขุนนางหนุ่มไม่สามารถทำอย่างอื่นได้นอกจากซักถามความกับเจ้าจิ้งจอกตรงหน้า
ฮันบินลูบจอกเมรัยในมือ ก้มหน้าลงต่ำเล็กน้อยจนใบหน้าครึ่งบนถูกปลายผมสีหมึกบดบัง
ปรากฏให้เห็นเพียงปลายจมูกโด่งคม
“ใช้เลือดของผู้ไม่เคยกระทำบาปใดตั้งแต่เกิดมา--- ลบล้างความอัปมงคล”
จีวอนฟังคำพลันขมวดคิ้ว ใจกระหวัดนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาในทันที
โชคร้าย--- ที่เขาไม่ได้คาดเดาผิดไปแต่อย่างใด
“...บุตรชายข้า เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวทีเดียว”
เจ้าจิ้งจอกเอ่ยเหมือนไม่มีอะไร
ทว่าแววตาที่ซ่อนอยู่หลังปลายผมที่แท้ไม่ทราบกำลังความรู้สึกใดอยู่
“...ฮันบิน”
“ไม่เป็นไร” เจ้าของชื่อออกปากปัดไป เอียงเทจอกกระเบื้องจิบสุราเลิศรสหนึ่งคำ
ระบายลมหายใจ
“ใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อันตราย”
เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นใช่พูดเองว่าคำสาปที่กำกับอยู่เป็นมนตราชั้นสูง
ไหนเลยจะอาศัยเลือดเพียงไม่กี่หยดก็ลบล้าง?
ท่านเอ่ยถูกได้ต้อง
คิกคิกคิก ไหนเลยจะได้--- คิกคัก...
คิกคัก...
ท่านหมอทั้งสองกลับมายังค่ายพักนอกเขตหมู่บ้านในกลางดึก ในขณะที่เจ้าจิ้งจอกแยกออกไปหาบุตรชาย
จีวอนก็จุดตะเกียง ฝนหมึกเขียนสาสน์กราบทูลเรื่องราวโดยคร่าวถึงองค์จักรพรรดิ
แม้ฮันบินยืนยันหนักแน่นว่าไม่อาจมีหมู่บ้านโชคร้ายเช่นนี้อีกเป็นแห่งที่สอง
ทว่าแผนการก่อกบฏคงไม่ได้มีการซ่องสุมขุมกำลังเพียงแห่งเดียว ย่อมยังมีเรื่องอื่นที่ถูกปกปิดพ้นพระเนตรพระกรรณ
เขาทูลเตือนไว้ว่าให้ทรงระวังตระเตรียม ยังจำได้ว่าเคยตรัสถึงเรื่องขุนนางท้องถิ่นที่ไม่รายงานความผิดปกติ---
บางทีอาจมีปัญหาที่คนใน
ตราประจำตัวขุนนางกดลงเพื่อยืนยัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะปิดผนึกจดหมายประทับตราอีกหน
ยื่นส่งให้แก่ม้าเร็ว
“ด่วนที่สุด รายงานลับ นอกจากองค์จักรพรรดิห้ามให้ผ่านมือผู้ใด
เป็นไปได้อย่าให้ใครทราบว่ามีสาสน์จากข้าทูลเกล้าถึงองค์เหนือหัว”
“ทราบแล้วขอรับ”
อีกฝ่ายร้องรับคำ แล้วร่างในชุดรัดกุมก็ตวัดกายขึ้นบนหลังม้าพุ่งทะยานออกไปราวกับลูกธนู
เพียงพริบตาฝุ่นควันและเสียงกีบเท้ากระทบพื้นก็จางหายไปในความมืดมิดของราตรี
พวกเขาเดินทางเป็นขบวนเล็กอย่างรีบเร่ง
หยุดพักเพียงไม่กี่ชั่วยามในแต่ละคืน กว่าจะมาถึงหมู่บ้านนี้ยังกินเวลาเกือบสามวัน
ต่อให้เป็นม้าเร็วฝีเท้าจัด กว่าสาสน์จะส่งถึงพระหัตถ์อย่างน้อยก็คงเป็นช่วงค่ำของวันถัดไป
แม้เขาขอกำลังจากหน่วยลับไปในราชสาสน์ ทว่าจะให้พร้อมใช้ ---ก็เป็นวันมะรืน
มือกร้านเลิกม่านผ้าใบ ก้าวออกจากกระโจมที่กางไว้
ดวงตาเรียวยาวเงยมองจันทร์บนฟ้า...เสี้ยวเติมเต็มได้ถึงกึ่งกลางแล้ว ฮันบินบอกว่าอำนาจคำสาปเกี่ยวพันกับพระจันทร์
ยิ่งใกล้จันทร์เพ็ญจะยิ่งอันตราย เขาได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะทันการณ์
“ท่านมีแผนที่หมู่บ้านใช่ไหม? ขอให้ข้าดู?”
เสียงเรียกจากด้านข้างทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากท้องฟ้า
หันมองยังต้นเสียง
เด็กหนุ่มในชุดขาวปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ในอ้อมอกของอีกฝ่ายมีทารกน้อยเยาว์วัย
ดวงตาเรียวรีใสกระจ่างของเจ้าตัวน้อยไม่ปรากฏแววง่วงงุน ออกจะดูขุ่นเคืองใจ มือเล็กๆ
เองก็กำแน่นอยู่กับสาบเสื้อของคนที่อุ้มไว้ราวกับจะไม่ปล่อยไปอีกโดยง่าย
จีวอนมองเห็นเด็กน้อยเกาะบิดาไว้ราวกับลูกลิง อดไม่ได้ที่จะขบขัน
“ไม่ใช่เวลาหัวเราะ”
เสียงนั้นของเจ้าจิ้งจอกเจือฉุน
ทว่าตัวเองก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ก็จะให้เขาทำอย่างไรเพียงโผล่หน้าไปดูสักหน่อย เจ้าลูกลิงนี่กลับตื่นขึ้นมาพอดีราวกับรู้
โผเข้าใส่แล้วทำอย่างไรก็ไม่ปล่อยมือจากเขาอีกเลยจึงมีแต่ต้องอุ้มมาด้วยกัน
ท่านขุนนางถูกติเข้าก็ซ่อนรอยยิ้มเก็บไว้
ทว่าในดวงตายังมีความประกายพริบพราย
บรรยากาศเครียดขรึมทั้งหลายล้วนปลาสนาการ
หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยอบอุ่นหนึ่งสายที่คลุมทับอยู่ในอากาศ
ทำให้ปัญหาหนักหนาล้วนเบาบาง
พวกเขาก้าวกลับเข้าไปในกระโจม จีวอนใช้เวลาไม่นานก็รื้อค้นเอาแผนที่หมู่บ้านออกมาได้
กางลงบนโต๊ะไม้ไผ่ที่ประกอบขึ้นง่ายๆ ใต้แสงตะเกียง ก่อนจะยื่นมือออกไป
หลอกล่อเจ้าตัวเล็กหลายคำในที่สุดเจ้าหนูก็ยอมปล่อยมือจากบิดา
เปลี่ยนมาให้เขาเป็นฝ่ายอุ้มไว้แทน
ฮันบินเหยียดแขนที่เมื่อยขบจากการอุ้มเจ้าลูกลิงเอาไว้เสียนาน พ่นลมหายใจเฮือกหนึ่งค่อยก้าวประชิดโต๊ะ
กวาดสายตามองแผนที่ มองหาจุดที่น่าจะเป็นศูนย์กลางของข่ายมนตรา ปลายนิ้วเรียวกวาดไปบนแผนที่
เดี๋ยวเคาะข้อนิ้วลงตรงนั้นอย่างครุ่นคิด เดี๋ยวจรดนิ้วนับคำนวณ
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา เรียวปากอ้าออกกำลังจะเอ่ยคำก็พลันชะงักไว้
เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีสายตาของใครบางคนจ้องมองมาอยู่นานแล้ว
ก่อนจะทันได้คิดอะไรเจ้าจิ้งจอกก็เบือนสายตาหนี ...คำพูดที่ตระเตรียมไว้จะพูดออกได้กระจัดกระจาย
ปลายนิ้วขาวขยับยกขึ้นจัดปอยผมอย่างเงอะงะ
ฮันบินกระแอมเรียกสติเพื่อที่จะเอ่ยปากอีกครั้ง
“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นตรงนี้” เขาว่าพลางชี้ให้เห็นตำแหน่งหนึ่งบนแผนที่
ค่อนออกไปทางภูเขาหลังหมู่บ้าน เป็นแอ่งเว้าธรรมชาติที่พอดีสามารถกักกัน อึม
ไว้ “แต่ก็ต้องไปยืนยันให้แน่ใจ”
“รั้งรอได้หรือไม่ อีกสามวัน ข้าขอให้จักรพรรดิส่งคนมาช่วยแล้ว”
“จะไปดูเท่านั้นเอง”
“อย่างนั้นให้ข้าไปด้วย”
ปิศาจจิ้งจอกขึงตาใส่ สีหน้าปรากฏความไม่พอใจ
“ท่านไปมีประโยชน์อันใด อย่าดื้อนักได้ไหม”
“ใครกันที่ดื้อ”
ท่านขุนนางว่าพลางโอบแขนรอบเอวสอบของอีกฝ่าย ยังไม่ทันได้โวยวาย
เจ้ามารน้อยที่อีกฝ่ายช่วยอุ้มไว้ก็ถูกส่งคืนมา และถูกดันให้เดินออกไปข้างนอกกระโจม
“เอาไว้พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปด้วยกัน ตอนนี้ก็ไปพักผ่อนกันเถิด
เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
ฮันบินส่งเสียงประท้วงในลำคอหลายคำ ทว่าก็ยังเดินตามการชักนำไปจนถึงรถม้าที่มีฟูกหนาปูรองรอไว้พร้อมสรรพแล้ว
จนเมื่อเจ้าจิ้งจอกรู้สึกตัวอีกครั้งว่ามีบางอย่างผิดปกก็เป็นตอนที่แผ่นหลังถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นหลังจากล้มตัวลงนอนกับบุตรชาย
“นี่!”
ฮันบินร้องทัก บิดหยิกเนื้อบนท่อนแขนที่พาดทับอยู่รอบเอว
“อะไรหรือ?”
ฟังเสียงถามราวกับงุนงงไร้เดียงสา ทว่าเปี่ยมมารยาอย่างนั้น
เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าที่แท้ใครกันที่เป็นจิ้งจอกแปลงมาหลอกลวงผู้คน ฮันบินขมวดคิ้ว
ออกแรงหยิกแรงๆ อีกที
“ท่านไฉนมานอนที่นี่”
“นั่นสินะ ทำไมกัน” จีวอนร้องรับเออออ
ทว่ากลับไม่คลายวงแขนออกแม้เพียงสักน้อย
“นี่!”
“ชู่ว...ฮันบินอา นอนเถอะ ดึกมากแล้ว”
เจ้าจิ้งจอกยังออกแรงบิดเนื้อหนังของอีกฝ่ายอีกครั้ง
ทว่าลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมาบนใบหูก็กลับไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ยังคงลึกยาว เป็นจังหวะเนิบช้า...และอุ่น...เสียจนทำให้รู้สึกคันยุบยิบที่กลางอก
คล้ายรำคาญคล้ายจะไม่ใช่
ฮันบินดิ้นรนขัดขืนได้ไม่มากนักเพราะเจ้าตัวน้อยที่หลับปุ๋ยคาอก
ดังนั้นสุดท้ายแล้วก็ได้แต่ยอมหลับตาลง พยายามนอนทั้งที่ยังอึดอัดทั้งรำคาญใจ...?
คิกคิก...จะใช่หรือไม่นะ...?
รุ่งสางมาเยือนเร็วยิ่ง ปิศาจจิ้งจอกที่รู้สึกเหมือนยังไม่ค่อยได้นอนนักถูกปลุกขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
พวกเขาอาศัยจังหวะที่เจ้าตัวน้อยยังไม่ตื่นอุ้มพาไปฝากไว้กับผู้ดูแลคนเดียวกับเมื่อวาน
ฮันบินได้แต่ทำสีหน้าขอโทษขอโพยยามเมื่อเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของอีกฝ่าย
ด้วยรู้ดีกว่าเจ้ามารน้อยคงจะแผลงฤทธิ์เอาไว้มาก
ทว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่อาจพาไปด้วยได้จริงๆ
“หากกว่าร้องไห้อีกก็เอาขนมให้สักหน่อย แต่อย่ามากนัก
ประเดี๋ยวจะแกล้งร้องเพื่อเอาขนมได้ อย่าลืมป้อนข้าวให้ตรงเวลา อย่า...”
“ฮันบิน หากยังมัวชักช้าเจ้าตัวเล็กจะตื่นขึ้นมาก่อนก็ได้นะ”
“ข้ารู้อยู่แล้วล่ะน่า”
ปากว่าอย่างนั้น ทว่าเจ้าตัวก็จู้จี้กำชับไปอีกหลายเรื่องกว่าที่จะตัดใจชักม้าออกจากค่ายได้
จีวอนได้แต่อมยิ้มไว้ที่มุมปาก เห็นอีกฝ่ายเปิดปากร้องเรียกบุตรชายตนคำหนึ่งก็เจ้ามารน้อย
สองคำก็เจ้าปิศาจ ทว่าน้ำเสียงและการกระทำกลับรักใคร่เอ็นดูยิ่งกว่าแก้วตา
ชาติกำเนิดของเจ้าตัวน้อยคลุมเครือไม่แน่ชัด
เมื่อแรกเขาไม่ได้นึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง...
ด้วยว่าเด็กคนนั้นดูคล้ายอายุเกือบครบขวบปีเข้าไปแล้ว แต่เมื่อเพิ่มปัจจัยที่ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์เข้าไป...
เขาก็...
จีวอนไม่กล้าครุ่นคิดต่อด้วยหวาดกลัวว่าจะคาดเดาเข้าข้างตัวเองมากเกินไป
ทว่าที่สุดแล้วหัวใจก็คล้ายจะปรากฏความคาดหวังบางอย่างขึ้นมารางเลือน ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดของตัวเนิ่นนาน รู้สึกตัวอีกครั้งก็เป็นตอนที่บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก
จู่ๆ ฮันบินก็ชักม้าให้หยุดลง--- ไม่
ถ้าจะให้พูดให้ถูกต้องคือกำลังรั้งบังเหียนให้ม้าหนุ่มพ่วงพีที่ขี่อยู่สงบลงจากความตื่นตระหนกบางอย่าง
ดวงตาเรียวงามของเจ้าจิ้งจอกมองตรงไปข้างหน้า คล้ายกำลังมองบางอย่างที่เขาไม่อาจมองเห็น
“ถึงกับมีของเช่นนี้...”
ปิศาจจิ้งจอกร้องครางคำหนึ่ง จีวอนคล้ายจับความอับจนหนทางได้ในน้ำเสียงนั้น
ท่านหมอหนุ่มยังไม่ทันได้ถามออก ดวงหน้าคมคายหล่อเหลาดวงนั้นก็หันมา
ซีดเผือดเสียจนผู้คนกังวลใจ
“ท่านนำดอกจันทร์ ลูกกระวาน กานพลูมาด้วยจำนวนเท่าใด?”
จีวอนขมวดคิ้วฉับ ดอกจันทร์ และลูกกระวานล้วนแต่เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์บำรุงโลหิต
ดอกกานพลูเองก็เป็นกระษัยสำหรับยาบำรุงธาตุ
เขายังจำได้ดีว่าคืนก่อนหน้านี้คนตรงหน้ายังเอ่ยถึงเรื่องการใช้เลือดของใคร
“เจ้าใช่บอกว่าเลือดของบุตรชาย ใช้แค่เล็กน้อยก็พอเพียง?”
“ข้ากล่าวเช่นนั้น และมันควรจะเป็นเช่นนั้น
หรือมากมายกว่ากันไม่เท่าไหร่ ถ้าหากว่าที่แอ่งเขานั่น
...ที่สำหรับการวางวงเวทย์ของมนตรา จะมิใช่สุสานอย่างที่เป็น”
จีวอนฟังคำเหล่านั้น เรื่องหลักอึมยาง[i]
ร้อนเย็นเขาเองศึกษาการแพทย์มาก็ย่อมรู้บ้างส่วนหนึ่ง อึมเย็นยางร้อน คนตายและคนเป็น
เปลี่ยนแปลงสงบนิ่ง รวมถึงปิศาจและมนุษย์ การวางตัวของสุสานในตำแหน่งอัปมงคลอย่างยิ่งเช่นนี้
ยิ่งเสริมส่งให้วงเวทย์แข็งแกร่งทรงพลังจนน่าเจ็บใจ
“จำเป็นต้องใช้เลือดมากเท่าใด?”
ฮันบินหลับตา คำถามนี้ช่างเป็นคำถามที่เขาไม่อยากได้ยินและไม่อยากตอบมากที่สุด
ทว่าก็ไม่อาจไม่ตอบได้
“อย่างน้อยก็ครึ่งชั่ง[ii]”
ไม่น้อยเลย...ไม่น้อยแม้เมื่อเปรียบเอาจากเลือดของผู้ใหญ่ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าพวกเขาต้องใช้เลือดมากเช่นนั้นจากเด็กทารกที่ไม่คล้ายเต็มขวบปีดีคนหนึ่ง
“...ต้องใช้เลือดของคนที่ไม่เคยกระทำบาปใดตั้งแต่เกิดมา? อย่างนั้นใช้ร่วมกับเลือดของทารกคนอื่นก็ย่อมได้มิใช่หรือ?
มะรืนนี้คนขององค์จักรพรรดิจะมาช่วยพวกเรา ไม่สู้ให้พวกเขาออกค้นหาเด็กทารก---”
“ไม่ได้”
“เหตุใดจึงไม่ได้” ฮันบินอ้ำอึ้ง เบื้อใบ้ไปชั่วขณะ
เขาจะบอกได้อย่างไรว่านอกจากเรื่องนั้น เลือดที่ใช้ยังต้องเป็นส่วนผสมกันของเลือดมนุษย์และปิศาจ
เด็กทารกเช่นนี้ตามหาทั่วแผ่นดิน ไม่ทราบจะมีสักกี่คน
“...ไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“ก็แล้วเหตุใดจึงไม่ได้เล่า” ท่านหมอหนุ่มคาดคั้น บางอย่างในแววตาทำให้ฮันบินต้องเสสายตาหลบ
ก้มหน้าตบคอม้าหนุ่มที่ขี่อยู่ กระตุ้นบังคับให้มันเดินไปข้างหน้า
พลางกระซิบตอบพึมพำ
“ต้อง...จะต้อง...จะต้องเป็นเด็กที่มีเลือดมนุษย์เพียงครึ่งเดียว...”
จีวอนถึงกับลืมเลือนเหตุร้ายแรงตรงหน้าและปัญหาที่ต้องแก้ไข
ดวงตาเรียวยาวมกริบคู่นั้นเบิกกว้างขึ้น
จับจ้องเจ้าจิ้งจอกด้วยสายตาร้อนแรงอ่อนหวานเข้มข้นหนึ่งสาย เข้มเสียจนสองแก้มคนถูกมองปรากฏสีแดงเข้มระเรื่อขึ้นมา
ฮันบินที่รู้สึกว่าถูกจ้องจะอย่างไรก็ไม่ยอมหันหา ยังรีบร้อนแก้ตัวปากคอสั่น
“ท่านกำลังคิดเหลวไหลอันใด! มารดาของเจ้ามารน้อยสกุลกู!”
คำนั้นทำให้ความอ่อนหวานนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังขึ้นมาฉับพลัน
แสนเศร้าเสียดาย ฮันบินแม้ไม่ได้สบอยู่ยังรู้สึกถึงความตัดพ้อที่ลามเลียแผ่นหลังจากคนที่ชักม้าตามมา
แต่เขาก็ไม่ได้ปดใคร...
กูมิโฮรับปากยินยอมเป็นแม่บุญธรรมของเจ้าปิศาจน้อย ยอมรับแล้วจริงๆ เขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ...ก็ทั้งที่เรื่องราวทุกอย่างเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใด...จึงคล้ายมีความรู้สึกไม่ถูกต้องบางอย่างเกาะกุม พยายามอย่างไร ก็สลัดให้หลุดไม่ได้เสียที
ฮันบินทำเป็นไม่ใส่ใจ ฝืนบังคับพาหนะให้เข้าใกล้ศูนย์กลางของเขตอาคมที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทว่าเข้าไปจนถึงเพียงขอบเขตของสุสาน เจ้าม้าหนุ่มทั้งสองก็หยุดนิ่งเป็นหิน
จะอย่างไรก็ไม่ยอมขยับอีกเลย
ยังดีที่พวกมันล้วนเป็นอาชาที่ได้รับการฝึกฝนเข้มงวดเช่นเดียวกันกับม้าศึกของทหาร
ดังนั้นแม้หวาดกลัวบางอย่างก็ยังไม่ถึงกับตื่นเตลิดหลุดจากการควบคุม
หนึ่งคนหนึ่งปิศาจจิ้งจอกตัดสินใจผูกม้าเพื่อลงเดินเท้า ที่จริงจีวอนคัดค้านแล้ว
รู้สึกว่าอันตรายเกินกว่าคำว่า เพียงไปดู ที่อีกฝ่ายเอ่ยอ้างในตอนแรก
แต่ฮันบินไม่ยินยอม ด้วยหวังว่าหากตนหาทางบั่นทอนกำลังชองวงเวทย์หรือทำลายได้
บุตรชายก็จะไม่ต้องเสี่ยงอันตราย
ท่านหมอมองสบกับแววตาดื้อรั้น ได้แต่ต้องโอนอ่อนผ่อนตาม
“ฮันบินอา... ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้ตัวเสมอว่ากำลังทำอะไร”
เจ้าจิ้งจอกสานสายตาสบมองอยู่เพียงครู่หนึ่งก็เบือนออกไม่ได้แม้แต่จะพยักหน้าลง
ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าอันตราย
เหตุใดปิศาจจิ้งจอกจึงยังเอาตัวเองและลูกเข้าไปเสี่ยงภัย
ท่านจะว่าอย่างไรหากข้าจะบอกว่า...
แต่ไหนแต่ไรมา
เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นก็เป็นเป็นปิศาจปากร้ายใจเต้าหู้ ใจดีขี้สงสารเสียจนทำให้ตัวเองเดือดร้อนอยู่ร่ำไป
คิกคิกคิก...
ด้านนอกนั้นบรรยากาศว่าเยียบเย็นแล้ว
ยามเมื่อก้าวเข้ายังระยะที่คนด้านหน้าเอ่ยบอกว่าเป็นขอบเขตของค่ายกลแม้ว่ายามเงยหน้าขึ้นมองจะยังคงสามารถเห็นดวงอาทิตย์แผดจ้า
ทว่าอากาศที่แตะต้องลงบนผิวกลับคล้ายว่าพวกเขากำลังอยู่ในค่ำคืนแห่งฤดูหนาว
กระทั่งลมหายใจก็ออกมาเป็นควันขุ่น
ฮันบินเป็นปิศาจ ที่จริงไม่ค่อยรู้สึกอะไรนัก ทว่าจู่ๆ
เสื้อคลุมที่ยังเหลือไออุ่นผืนหนึ่งก็ถูกคลุมลงบนบ่า
“เจ้าสวมเสื้อเพิ่มอีกชั้น”
หนุ่มน้อยในชุดขาวแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง
เปี่ยมล้นทั้งการดูแคลนทั้งเหยียดหยามแก่คนที่ใบหน้าซีดขาวและริมฝีปากเริ่มจะกลายเป็นสีม่วงจางๆ
ที่ข้างตัว
จีวอนไม่ได้ถือสา ออกจะคุ้นชินและคาดเดากิริยาอย่างนี้ได้อยู่ก่อนแล้ว
แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคืออีกฝ่ายกลับไม่ได้ปัดเสื้อคลุมชั้นนอกของเขาทิ้ง
ซ้ำยังเอื้อมมือเรียวขาวนั้นมาหา ฉกฉวยเอามือของเขาไปกุมไว้
“ท่านนี่ช่างเป็นตัวถ่วงยิ่งนัก”
แว่วเสียงบ่นพึมพำ พร้อมกับไออุ่นที่แผ่นมาจากอุ้งมือที่อีกฝ่ายยึดเอาไปจับถือไว้
อุ่นจนเหมือนร่างกายค่อยๆ จมลงในน้ำร้อน ทั้งอุ่นร้อน ทั้งเบาสบาย
จีวอนไม่ทราบด้วยซ้ำว่าความอุบอุ่นนี้ก่อเกิดจากการส่งกระแสพลังอย่างหนึ่งผ่านมาจากมือ
หรือที่แท้มีต้นกำเนิดจากเนื้อก้อนหนึ่งในอกตนเอง
ณ เวลานี้ ท่ามกลางหมอกขาวที่เริ่มโรยตัวบดบังแสงอาทิตย์เบื้องบน
และบรรยากาศหนาหนักราวกับมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นกดทับไว้ มีเพียงอย่างเดียวที่เขาแน่ใจ
กลิ่นดอกบัวที่กรุ่นอยู่รอบกาย...
ช่าง...หอมจรุง....
To be continue.
เริ่มต้นการแก้บน
เห็นไหมว่าอยากแก้จะตายแล้ว
ขอให้ได้แก้ทีเถอะ /พนมมือสาธุ
ความคิดเห็น