ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [iKON] เล่ห์จิ้งจอก [DoubleB]

    ลำดับตอนที่ #6 : ๖.ไม่อาจซุกซ่อนความจริง

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ค. 59





    - ไม่อาจซุกซ่อนความจริง -

     

     

    เนื้อยาแม้เย็นอยู่บ้าง ทว่าปลายนิ้วที่แตะแต้มลงบนใบหน้านั้นอุ่น จีวอนยังคงระบายยิ้มเต็มแก้มในขณะที่อาศัยแสงจากกองไฟกลางค่ายพักที่อยู่ห่างออกไปสองช่วงแขนมองสีหน้าหงุดหงิดใจของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

     

    “ยาดียิ่งนัก” เจ้าจิ้งจอกรำพึง น้ำเสียงเจือความเสียดายชัดเจน เมื่อรอยฝ่ามือที่ตนอุตส่าห์ตั้งใจประทับไว้เลือนลงไปจนแทบมองไม่เห็น “เดิมทีข้าหวังจะให้ประดับอยู่ไปหลายวัน ทว่าเพียงสองคืนก็จางเสียแล้ว”

     

    ท่านหมอหนุ่มฟังคำบ่นที่น่าเอ็นดูเหลือเกินเหล่านั้น ระบายยิ้มกว้างขวางไม่น่าไว้วางใจ

     

    “เป็นเพราะเจ้าประทับรอยผิดวิธี”

     

    ฮันบินเลิกคิ้ว มองรอยยิ้มน่าชังและดวงตาพริบพราวที่ทอประกายอยู่ในแสงสลัวสีส้มของกองไฟ รู้สึกตัวอีกครั้งในยามที่อีกฝ่ายใช้เรียวนิ้วอุ่นจัดที่ติดจะสากอยู่บ้างแตะลงเหนือผิวเนื้อบนต้นคอตน

     

    “ดูรอยที่ข้าประทับบ้างเป็นไร สามวันมาแล้วยังไม่จางเลย”

     

    ใบหน้าหล่อเหลาขาวจัดของเจ้าปิศาจจิ้งจอกซับสีระเรื่อน่าชมขึ้นทันตา

     

    ปิศาจเฒ่าในรูปลักษณ์เยาว์วัยอย่างเด็กหนุ่มแยกเขี้ยวเผยคมฟัน ยัดตลับยาพระราชทานจากองค์จักรพรรดิคืนใส่มือคนที่หัวเราะแผ่วเบาอยู่ในลำคอ ตวาดด่าหลายคำทำนองว่าวิปริตไร้ยางอาย

     

    “ท่านทาเอาเองแล้วกัน!

     

    ก่อนที่ร่างประเปรียวในอาภรณ์ขาวจะผุดลุกหนีหาย จีวอนก็รวบเอวสอบของอีกฝ่ายเอาไว้ ดึงรั้งให้เข้ามาใกล้และนั่งลงบนตักกว้าง

     

    “จุ๊ๆ... ขี้โมโหเหลือเกิน ข้าเพียงแต่บอกตัวอย่างให้มิใช่หรือ” เกี่ยวประสานสองมือกอดกักอีกฝ่ายที่พยายามดิ้นรนหนีห่าง บังคับให้เจ้าจิ้งจอกรั้งอยู่บนหน้าตัก “...ว่าแต่จะลองทำดูไหมเล่า ฮันบิน”

     

    “ไอ้...!!” นิ้วเรียวขาวทั้งหยิกทั้งดึง ทำจนผิวขาวของท่านหมอปรากฏรอยแดงช้ำจ้ำเขียว ทว่าจีวอนก็ยังไม่ย่นระย่อ เรียวแขนมั่นคงยังคงรัดรั้งราวกับขื่อตรวน ดิ้นรนอย่างไรก็ไม่หลุดรอดพ้นออกเสียที

     

    ฮันบินขัดขืนจนหอบตัวโยนยังไม่อาจหลุดพ้นจากการเกาะกุม ดังนั้นหลังจากฮึดฮัดอยู่อีกครู่ใหญ่ เจ้าจิ้งจอกก็เปลี่ยนจากทุบตีเป็นการนั่งนิ่งอย่างไม่ใคร่เต็มใจ

     

    “ทายาเสร็จข้าก็ปล่อยแล้ว” ตลับยาเรียบเย็นถูกวางลงบนฝ่ามือ พร้อมกับเสียงกลั้วหัวเราะดักคอคน

     

    “แต่ระวังอย่าลงมือหนักไป ประเดี๋ยวข้าเจ็บจนทนไม่ไหว ต้องเป็นธุระเจ้าคอยอยู่ดูแลนานขึ้นกว่าเดิม”

     

    ปลายนิ้วที่เตรียมจะกดลงแรงๆ ด้วยความโมโหสุดประมาณจึงได้แต่ต้องชะงักลง เจ้าจิ้งจอกส่งเสียงขัดอกขัดใจในลำคอ

     

    ตอแหล!

     

    จะมาเจ็บปวดอันใด! รอยที่อยู่บนหน้านี้เป็นเพียงรอยนิ้ว ไม่ได้บาดเจ็บลึกถึงเอ็นกระดูกผ่านมาตั้งสองคืนแล้ว กระทั่งรอยแดงเด่นชัดยังไม่ปรากฏ อย่าว่าแต่จะเจ็บ--- สันดานจิ้งจอกยิ่งนัก!

     

    ก่นด่ามนุษย์ที่เหมือนจิ้งจอกเสียยิ่งกว่าจิ้งจอกจริงๆ อยู่ในใจเป็นรอบที่ร้อย พอดีกับที่เนื้อยาหอมฉุนนั้นก็ถูกเกลี่ยทั่วผิวแก้มอย่างเบามือผิดกับความกรุ่นโมโหขัดเคืองอย่างที่กำลังรู้สึก

     

    “เสร็จแล้ว!” ฮันบินกระแทกเสียงห้วนสั้น ในน้ำเสียงเจือการออกคำสั่ง ดังนั้นอย่างอ้อยอิ่ง--- นายท่านตระกูลคิมก็ค่อยๆ ละสองมือที่กอดเกี่ยวเหนือเอวสอบเพื่อกักกันอีกฝ่ายเอาไว้

     

    ทว่าก่อนที่จะทันปล่อยออกเป็นอิสระ อ้อมแขนก็พลันกระชับแน่น บังคับให้ร่างโปร่งเพรียวที่กำลังจะลุกขึ้นซวนเซซบลงในอ้อมอก

     

    “!!”

     

    สัมผัสอุ่นจัดนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วยิ่ง เพียงพริบตาก็ประทับแตะและผละออก ทว่ายามเมื่อละห่างก็ยังหลงเหลือความรุ่มร้อนอย่างหนึ่งไว้ ความร้อนแผ่กระจ่ายออกจากจุดที่ถูกสัมผัส--- รอยแต้มแดงสดเหนือผิวเนื้อที่ติดกายไม่จืดจางมาหลายวัน แล่นริ้วผ่านลำคอขึ้นสู่สองแก้ม ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบของเจ้าจิ้งจอกแดงสดขึ้นทัดเทียมกัน

     

    ขอบคุณ

     

    รอยยิ้มอย่างที่ทำให้ดวงตากลายเป็นเส้นขีดโค้งน่าชังปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมของท่านขุนนาง กระตุ้นให้ความรุ่มร้อนบนสองแก้มยิ่งรุ่มร้อนขึ้นไป

     

    ฮันบินคำรามเสียงต่ำเกรี้ยวกราด และโดยไม่ทันยับยั้งตัวเองก็โน้มใบหน้าแนบริมฝีปากบนลำคอแข็งแกร่ง ทว่าสิ่งที่แต้มประทับไม่ใช่รอยจุมพิตแต่เป็นแนวฟัน

     

    “!” แรงกัดงับเต็มเขี้ยวเหมือนจะฉีกเนื้อกันอย่างนั้น ทำเอาจีวอนถึงกับต้องสะดุ้ง

     

    ทว่าในตอนที่เจ้าจิ้งจอกโมโหร้ายผละหนีไป รอยเขี้ยวที่ทิ้งไว้นอกจากปวดแสบปวดร้อนยังแอบแฝงความรู้สึกอ่อนหวานบางประการ

     

    “...ดุจริง

     

    ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ในน้ำเสียงที่เอ่ยออกเจือความเอ็นดูรักใคร่มากกว่าจะรังเกียจหวาดกลัว ขณะที่ขยับท่อนแขนที่ปรากฏรอยช้ำประปรายขึ้นลูบไล้รอยฟันที่มีหยาดเลือดเอ่อซึม

     

    รอยยิ้ม...ยังคงไม่ลบเลือนลง

     

    ฝ่ายเจ้าจิ้งจอกที่แยกตัวหนีมา กัดคนเสียจมเขี้ยวยังไม่หายหงุดหงิดใจ หลังจากปีนขึ้นรถม้ามาหาเจ้าตัวเล็กที่หลับปุ๋ยอยู่บนผ้าขนสัตว์อุ่นหนาในตะกร้าไม้สานขนาดใหญ่ มองเห็นเค้าหน้าที่คล้ายคลึงกับบางคนอยู่สามส่วนก็หงุดหงิดหนัก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกบิดแก้มยุ้ยขาวเบาๆ อย่างหมั่นไส้ จนเมื่อหยิกดึงจนพอใจก็กดจุมพิตที่ปลายจมูกน้อยๆ หนหนึ่ง ก่อนเลื่อนใบหน้าออก ...วางคางลงกับขอบตะกร้า

     

    จดจ้องบุตรชายได้ครู่หนึ่ง สายตาก็พลันเหม่อมองออกนอกหน้าต่างรถม้า ระหว่างเมฆดำของค่ำคืน--- จันทร์บนฟ้าได้สะท้อนภาพลงในดวงตาพยัคฆ์ ...เสี้ยวสว่างไสวที่เติมเต็มจนเกือบจะถึงกึ่งกลาง...

     

    ความรู้สึกวูบโหวงบางอย่างที่ไม่รู้จัก--- พลันก่อเกิดและจางหาย

     

    รวดเร็ว...ราวกับวงคลื่นที่เกิดขึ้นยามแมลงปอหรุบปีกร่อนตัวแตะผิวน้ำ ...เพียงพริบตาก็เลือนจาง เหมือนไม่เคยมีอยู่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

     


    คิกคิกคิก

    อะไร? รู้สึกอะไรกัน?

    เจ้าปิศาจเฒ่าโง่เง่าหัวทึบปานนั้นย่อมไม่เข้าใจ หรือว่าท่านเองก็หัวทึบเช่นกัน คิกคัก...คิกคัก...


     

                ขบวนเดินทางเข้าใกล้หมู่บ้านในช่วงสายของวันถัดมา

     

                เนื่องจากสถานที่ค่อนข้างอันตราย ดังนั้นก่อนถึงขอบเขตของหมู่บ้าน จีวอนก็สั่งให้ผู้ติดตามหยุดรถม้าลงตั้งค่าย และหลังจากรอฮันบินปลอบขวัญเจ้าตัวน้อยให้ยินยอมอยู่ในการดูแลของผู้ติดตามทั้งหลาย ท่านหมอทั้งสองก็ชักม้าเดินทางต่อกันตามลำพัง

     

                เพียงหนึ่งจอกชาให้หลัง บ้านเรือนที่เรียงติดกันเป็นทิวแถวก็ปรากฏให้เห็นรำไร ฮันบินหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่งอดไม่ได้ที่จะกระซิบ

     

                “แปลก...”

     

                จีวอนพนักหน้ารับ “เหตุใดจึงไม่มีคน”

     

                ทั้งที่เป็นเวลากลางวัน แต่คนหนุ่มไม่ออกมาจัดการแปลงผักไร่นา สตรีไม่เลี้ยงไก่ทอผ้า เด็กเล็กไม่ออกมาวิ่งเล่นซุกซน นอกจากร่องรอยการใช้ชีวิตเลือนราง ก็แทบดูราวกับว่าหมู่บ้านใหญ่โตแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไร้ผู้คน

     

                ทั้งสองลงจากหลังม้า ก้าวผ่านบ้านเรือนหลังแล้วหลังเล่าที่ล้วนปิดประตูหน้าต่างสนิทแน่นจนแสงแดดไม่อาจเล็ดลอดผ่านเข้าข้างใน ทว่ากลับรู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ตลอดเวลา

     

                ดังนั้นในที่สุด ฮันบินจึงเลือกที่จะเคาะประตูบ้านหลังหนึ่ง ร้องถามหาผู้อาศัย

     

                นาน--- จนเขาแทบคิดแล้วว่าประตูคงไม่เปิดออก ทว่าในที่สุดบานไม้นั้นก็ขยับ

     

                “มี...ธุระอันใด?”

     

    เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี..เยาว์วัย ดังลอดออกมาจากในเงามืดระหว่างประตู เสียงของนางแม้พยายามกดให้เรียบนิ่ง ทว่าก็ยังหลงเหลือความหวั่นกลัวอย่างหนึ่งเจืออยู่ในท้ายประโยค เจ้าจิ้งจอกย่อมสังเกตถึงได้ ดวงตาพยัคฆ์วูบพรายก่อนที่จะโกหกออกมาคล่องปาก

     

                “พวกข้าเป็นหมอกำลังเดินทางลงใต้ เวลานี้ตัวยาที่พกติดตัวมาร่อยหรอลงมากแล้ว ไม่ทราบว่าที่หมู่บ้านนี้มีร้านขายยาบ้างหรือไม่?”

     

    “...หมอรึ?” สตรีในเงามืดทวนคำ เงียบไปนานนักกว่าที่ประตูจะค่อยๆ แง้มเปิดกว้างขึ้น แสงแดดบางส่วนพอเล็ดรอดเข้าไปด้านใน ทำให้นางขยับถอยเข้าไปในเงา ทันเห็นแต่เพียงชายกระโปรงสีซีดที่ขยับพลิ้ว

     

    “เชิญท่านทั้งสองเข้ามาด้านในก่อนเถิด”

     

    ฮันบินกำลังจะก้าวเข้าในบ้านอย่างไม่ลังเล ทว่ากลับถูกจีวอนกุมมือรั้งไว้ เจ้าจิ้งจอกขมวดคิ้วคราหนึ่ง กระซิบดุ

     

    “ท่านอย่ามัวโอ้เอ้ ข้างในบ้านมีคนป่วย” คิ้วใบหลิวของชายหนุ่มพลันเลิกขึ้นสูง กระซิบถามกลับว่าอีกฝ่ายทราบได้อย่างไร คำถามนั้นพอถามออก สีหน้าของปิศาจจิ้งจอกก็ปรากฏความอวดโอ่ลำพองใจ กล่าววาจาเขื่องโขโอ้อวดโดยไม่ถ่อมตนแม้สักน้อย

     

    “ย่อมเป็นเพราะข้าได้กลิ่นยา”

     

    จีวอนสูดลมหายใจบ้าง ไม่ได้กลิ่นอันใดอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง พลันหวนคิดถึงท่าทางราวกับภูติพรายของสตรีในคืนวันฝนตกคราวนั้น เหมือนกับสามารถจับร่องรอยบางอย่างไว้ได้ในกำมือ ทว่ายังไม่อาจแน่ชัด ท่านหมอหนุ่มสามารถทำเพียงขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วก้าวตามอีกฝ่ายเข้าไปด้านในตัวบ้านอับทึบ

     

    ด้านในมืดนัก... พวกเขาก้าวเข้ามาจากที่สว่าง เมื่อแรกยังไม่ชิน เรียกได้ว่าถึงกับมองไม่เห็นอะไร กระทั่งเมื่อสายตาปรับเข้าที่แล้วก็ยังคงเห็นเพียงเงาเรือนลาง

     

    “รบกวนท่านหมอช่วยตรวจอาการของพี่ชายข้าได้หรือไม่?”

     

    “เขามีไข้สูงมาหลายวัน เจ้าของร้านขายยาจัดยามาให้รับประทานแล้ว มาทว่าอาการยังไม่ดีขึ้น”

     

    จีวอนเลิกคิ้วแปลกใจ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฮันบินคาดคำนวณไว้ ในบ้านนี้มีคนป่วยอยู่จริงๆ

     

    เจ้าจิ้งจอกเอ่ยปากขอเทียบยาเดิมจากหญิงสาวและได้รับในทันทีทว่าในความมืดมิดอย่างนี้ย่อมมองไม่เห็น จีวอนจึงเอ่ยถามอย่างสุภาพ

     

    “เปิดหน้าต่างสักบานได้หรือไม่?”

     

    หญิงสาวที่เป็นผู้เชื้อเชิญให้เข้ามาด้านในลังเลเล็กน้อย ในที่สุดนางก็หันไปหยิบตะเกียงดวงหนึ่งแล้วจุดติดไฟ

     

    ตะเกียงน้อยดวงนั้นเก่าคร่ำคร่า เขม่าดำและรอยน้ำมันแห้งขอดบ่งบอกว่ามีการใช้งานมานาน

     

    การกระทำของนางแปลกประหลาด ...แม้แต่ในเมืองหลวง ตะเกียงก็ยังถูกนับเป็นของฟุ่มเฟือย ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปหากเลี่ยงได้ก็จะประหยัดไว้ไม่ใช้สอย ไม่ต้องพูดถึงหมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้

     

    เวลานี้ยิ่งเป็นกลางวันที่แสงอาทิตย์ส่องไสว เพียงเปิดหน้าต่างประตูก็ย่อมมีแสงสว่างเพียงพอ เหตุใดจึงไม่ทำ?

     

    ทว่าฮันบินกลับไม่ซักถาม อาศัยแสงริบหรี่ของดวงไฟอ่านเทียบยาในมือ ก่อนก้าวเดินไปยังเตียงที่ตั้งอยู่ห่างไปไม่ไกล รั้งแขนเสื้อลงและเริ่มต้นตรวจคนที่นอนอยู่บนนั้นเงียบๆ

     

    จีวอนเหลือบมองดูหญิงสาวที่ยังประคองตะเกียงไว้ แสงไฟสีส้มนวลอาบไล้เรือนกายผ่ายผอมที่ห่มคลุมด้วยอาภรณ์กลางเก่ากลางใหม่สีเรียบง่าย แม้แต่ในบ้านที่มืดมิดเช่นนี้นางก็ยังสวมหมวกกันลมและผ้าคลุมหน้าอีกชั้นหนึ่งบดบังสีหน้าแววตา...

     

    ท่านขุนนางยังคงครุ่นคิดบางอย่างอยู่ขณะรั้งสายตากลับ เปลี่ยนเป็นมองดูชายหนุ่มบนเตียงไม้ สะดุดใจกับเรือนผมขาวโพลนทั้งที่ใบหน้ายังหนุ่มแน่นของอีกฝ่าย ความแปลกพิกลทั้งหมดเหมือนเชื่อมถึงกันอย่างน่าประหลาด ทว่าเขาก็ยังไม่อาจเข้าใจ

     

     แต่ในเมื่อฮันบินยังไม่ว่ากล่าวอันใด เขาจึงเงียบไว้ก่อนเช่นกัน

     

    เจ้าจิ้งจอกใช้เวลาอีกครู่หนึ่งในการตรวจดูลำคอของผู้ป่วย พลางถามไถ่อาการโดยละเอียดกับหญิงสาวที่ข้างเตียงหลายคำก็ระบุโรคได้ ปลอบโยนนางว่าไม่ใช่โรคร้ายรุนแรงอะไร เพียงแต่ยาที่ได้ก่อนหน้านี้ไม่ตรงกับโรคภัย ไข้สูงจึงยังเรื้อรังอยู่ไม่ยอมหาย

     

    ว่าพลางลงมือเขียนเทียบยาอย่างคล่องแคล่ว จนเมื่ออีกฝ่ายเขียนเสร็จและยื่นส่งให้แก่หญิงสาว เจียดสมุนไพรที่ติดตัวเผื่อมาพร้อมทั้งกำชับเพิ่มเติมเรื่องการต้มยา จีวอนที่ฟังก็อยู่ชมเชยในใจว่าเลือกได้ดี สัดส่วนปริมาณยาล้วนเหมาะสมไม่ขาดไม่เกิน เพียงเท่านี้ก็ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นหมอมากฝีมือ

     

    ท่านขุนนางมองดูเทียบยานั้นอีกรอบ ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยปากขอพู่กัน ตวัดอักษรฮันจา[i]ที่เข้มแข็งงดงามแถวหนึ่งให้ปรากฏขึ้นบนพื้นที่ว่างใต้เทียบยาเดิมของฮันบิน

     

    คราวแรกเจ้าจิ้งจอกขมวดคิ้ว ทักท้วงว่าฤทธิ์ร้อนของสมุนไพรที่อีกฝ่ายเขียนจะกลบฤทธิ์เย็นของยาที่ตนเขียนไว้

     

    “โสมไม่ได้---”

     

    ทว่าพอดีกับที่จีวอนเพิ่มสมุนไพรอีกอย่างหนึ่งลงในเทียบยา ร้อนเย็นสอดประสานสมดุล กลายเป็นเทียบยาบำรุงที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพที่ดีอยู่แล้วของตัวยาเดิมให้ดียิ่งขึ้นไป

     

    ฮันบินเห็นแล้วก็เข้าใจไม่ทักท้วงต่อ ทำเพียงลูบจมูกหนหนึ่ง ยังไม่ยินยอมเอ่ยคำชมเชยให้เสียปาก กลับแสร้งเป็นทวงถามหญิงสาวถึงร้านขายยาตามที่เคยเอ่ยไว้ในคราวแรก

     

    “เวลานี้ร้านยังไม่เปิดหรอกเจ้าค่ะ ต้องรอให้อาทิตย์ตกดินเสียก่อน”

     

    “เหตุใดต้องรออาทิตย์ตก?”

     

    นางอึกอักครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามของจีวอน ย่อกายลงคราหนึ่งเรียนเชิญท่านหมอทั้งสองให้พักผ่อนรอเวลา ก่อนถือตะเกียงนำทางไปยังอีกห้องสำหรับรับรองแขก หนำซ้ำยังจัดหาสุราอาหาร และยังมีเงินทองอีกถุงหนึ่ง

     

    ภายในถุงผ้าที่ปักอย่างประณีต เงินเหรียญที่ข้างในแม้ไม่เรียกได้ว่ามากมาย ทว่าก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับชาวบ้านในหมู่บ้านห่างไกล

     

    “เงินเพียงเล็กน้อยนี้ไม่อาจเทียบแทนพระคุณที่ช่วยรักษาพี่ชายของข้าได้ ทว่าท่านทั้งสองก็ได้โปรดรับไว้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

     

    “นี่ออกจะ...”

     

    คิมจีวอนทำท่าจะปฏิเสธ ทว่าก็เป็นเจ้าปิศาจจิ้งจอกที่ยื่นมือออกไปรับอย่างไม่เกรงใจ

     

    แต่หลังจากรับไปแล้ว ฮันบินกลับหยิบเอาไว้เพียงเศษเหรียญหนึ่งมุน ก่อนจะผูกปากถุงวางคืนลงในมือน้อยของนางเป็นเชิงบังคับให้รับไว้

     

    “นี่ข้าให้เป็นค่าที่พักรวมถึงค่านำทางพวกเราไปร้านขายยา ต้องรบกวนแม่นางแล้ว”

     

    หญิงสาวตะลึงตะลาน พยายามจะส่งเงินถุงนั้นคืนกลับไป

     

    “ท่านผู้มีพระคุณ ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร?”

     

    “พระคุณอันใด? ข้าถูกจ้างวานให้รักษา ไม่อาจนับเป็นพระคุณอะไรได้ เงินก็รับมาแล้ว ข้าจะใช้จ่ายอย่างไรก็เป็นความพอใจของตัวกระมัง” ปิศาจจิ้งจอกในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มรูปงามว่าพลางคลี่ยิ้มบางเบา ละมุนอ่อนหวานเหลือเกินในแสงตะเกียงที่ไม่ค่อยสว่างไสว

     

    จีวอนมองรอยยิ้มอย่างนั้น ปลายนิ้วเกี่ยวยกจอกเมรัยขึ้นจิบคำหนึ่ง ผ่อนลมหายใจ แล้วเอ่ยคำพูดแผ่วเบา

     

    “เห็นแก่สุราที่หมักได้ดียิ่งนี้...แม่นางก็อย่าได้ปฏิเสธเลย”

     

    หญิงสาวฟังคำอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตัน ร่างโปร่งบางในชุดเรียบง่ายยอบกายลงต่ำ คำนับให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ กล่าวเสียงสั่นเครือหลายคำว่าหากมีอันใดขาดเหลือให้บอกแก่นาง อย่าได้เกรงใจ สุ้มเสียงสั่นไหวทว่าอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง ก่อนที่นางจะขอตัวปลีกตัวไปต้มยาให้พี่ชาย

     

    “พวกเขาเป็นอะไร?”

     

    จีวอนถามขึ้นหลังจากที่เสียงฝีเท้าเคลื่อนห่างออกไปจากห้องรับแขก ท่ามกลางเรื่องน่าประหลาดใจเหล่านี้ ฮันบินกลับทำราวกับมองไม่เห็นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายคงจะรู้บางอย่างที่เขาไม่รู้

     

    “ข้ายังไม่แน่ใจ” เจ้าจิ้งจอกตอบแบ่งรับแบ่งสู้ “แต่คิดว่าคืนนี้ก็คงจะรู้แล้ว”

     

    คำพูดมีลับลมคมนัยของฮันบินไม่ได้ทำให้จีวอนร้อนรนขึ้นมาได้ อีกฝ่ายบอกให้รอ เขาก็รอ อย่างน้อยเวลานี้ก็ได้ทราบว่าการณ์ไม่ได้ร้ายแรงเป็นโรคระบาดอันตรายอย่างที่คาดเดากันไว้แต่แรก

     

    ขุนนางหนุ่มมองอีกฝ่ายคลึงเหรียญเงินหนึ่งมุนไว้ระหว่างปลายนิ้ว สีหน้าคล้ายเหม่อลอยครุ่นคิด ก็นึกถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ขึ้นมาได้ รอยยิ้มจึงได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งบนเรียวปาก

     

    “เจ้าใจดี”

     

    แกร๊ก!

     

    เหรียญโลหะเหรียญนั้นกลิ้งหล่นลงจากปลายนิ้วที่จับถือ

     

    ฮันบินที่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ จะถูกชมด้วยเสียงอ่อนหวานปานนั้นสบถออกมาคำหนึ่ง เอ่ยเสียงห้วนจัดแห้งแล้ง เจือความเยาะหยันไม่พอใจ “ถูกท่านชมเชยไปก็ไม่มีผู้ใดรู้สึกยินดี”

     

    ทว่าอีกใจหนึ่งกลับลอบคาดหวัง ว่าความสลัวของตะเกียงไฟคงจะช่วยปกปิดไว้ได้ ทำให้อีกฝ่ายมองไม่เห็น--- รอยสีชมพูจางๆ ที่ปรากฏขึ้นมาบนสองแก้มนี้กระมัง?

     

     

    เหตุใดจึงต้องรอถึงกลางคืนจึงจะแน่ใจ? ที่แท้เป็นโรคประหลาดอันใด?

    คิกคิกคิก... สิ่งที่คนในหมู่บ้านกำลังพบเผชิญ มิใช่โรคภัย ทว่า...

     

     

    อาทิตย์ลับฟ้าราตรีมาเยือนแล้ว

     

    ฮันบินได้ยินเสียงพูดคุย ได้กลิ่นอาหาร เสียงหัวเราะหยอกเย้าของเหล่าเด็กๆ ซุกซน ทั้งหมู่บ้านราวกับปลุกให้ตื่น

     

    หญิงสาวเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับมื้ออาหารหรูหราเท่าที่ชาวบ้านธรรมดาจะสามารถจัดหาได้ บอกกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดีว่าไข้สูงของพี่ชายดีขึ้นมากแล้ว แม้มีผ้าโปร่งผืนบางคลุมทับอยู่ทว่าเพียงฟังจากน้ำเสียงก็รับรู้ได้ว่าริมฝีปากของนางกำลังยิ้มแย้ม

     

    “อีกประเดี๋ยวข้าจะนำทางไปที่ร้านยาของหมู่บ้าน แม้จะเป็นร้านเล็กๆ ทว่าเจ้าของร้านนั้นพอเป็นวิชาแพทย์อยู่บ้าง สมุนไพรพื้นฐานล้วนมีอยู่ไม่ขาดพร่อง”

     

    ฮันบินร้องอืมคำหนึ่ง แล้วจึงถามออก เหมือนจงใจ เหมือนไม่จงใจ

     

    “เหตุใดเวลากลางคืนจึงดูคึกคักกว่ายามกลางวันเล่า?”

     

    มือน้อยที่กำลังรินสุรารับรองแก่แขกทั้งสองพลันชะงัก

     

    “เรื่องนี้...”

     

    น้ำเสียงของนางกลายเป็นเจือความหวาดวิตกกังวล ทว่าก็เอ่ยกับตัวเองว่าจะอย่างไรพวกเขาก็ต้องได้ทราบ ดังนั้นชั่วอึดใจต่อมาร่างโปร่งบางก็ขยับลุกขึ้น ก้าวไปยังบานหน้าต่างที่ใกล้ที่สุด และ--- ผลักให้เปิดออก

     

    ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างของข้างขึ้น ผู้คนที่เมื่อตอนกลางวันล้วนไม่พบเห็นล้วนปรากฏออกมา เดินไปตามถนนที่จุดไต้และโคมจนสว่างไสวราวกับมีงานเทศกาล ทว่ามองดูอีกทีก็ราวกับเป็นเพียงกิจวัตรธรรมดาในหมู่บ้านอื่น--- ยามกลางวัน

     

    สิ่งที่ทำให้จีวอนรู้สึกแปลกใจ ไม่ใช่กิริยาของผู้คนทั้งหลายทว่า---

     

    หญิงสาวถอดหมวกกันลมออกแล้ว เผยใบหน้าใต้ผ้าโปร่งให้เห็น--- ทำให้ผู้คนลืมแทบหายใจ ไม่ใช่ด้วยใบหน้าชวนมองโดดเด่นงามตา ทว่า...เป็นเพราะเรือนผมสีขาวยาวจรดกลางหลัง และดวงตาสีแดงอ่อนราวกับกระต่าย...เหมือนอย่างเช่นคนอื่นในหมู่บ้าน

     

    ใช่แล้ว ใต้แสงจันทร์กระจ่างและโคมไฟ เรือนผมของผู้คนทั้งหมู่บ้านนั้น--- ล้วนแต่เป็นสีขาวโพลน---

     

    จีวอนแม้ตกใจทว่าก็ยังรักษากิริยาไว้ได้ ส่วนฮันบินแม้สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแต่แววตาปรากฏอารมณ์อย่างหนึ่ง คล้ายขุ่นเคืองใจ คล้ายเวทนา...

     

    “นานเท่าใดแล้ว?”

     

    “...เจ้าคะ?”

     

    “พวกท่านในหมู่บ้าน เป็นเช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว?”

     

    ดวงหน้างดงามของผู้ถูกถามเดิมทีก็ดูไร้สีสัน ทว่ายามเมื่อถูกถามอย่างนั้น...ก็ยิ่งดูซีดเผือดมากยิ่งขึ้นไป นางเงียบอยู่นาน เหมือนกำลังย้อนนึกถึง ในขณะที่น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ... พร่างพรม

     

    “พวกเราแต่เดิมไม่ได้มีรูปลักษณ์อย่างนี้ ทว่าเมื่อหลายเดือนก่อน มีขบวนเดินทางมาจากเมืองใหญ่ พวกเขาเข้ามาพำนักในหมู่บ้านเราหลายวัน ยามเมื่อจากไป--- วันเพ็ญคราวนั้น--- ชาวบ้านก็ได้กลายเป็นเช่นนี้ หากให้นับเป็นช่วงเวลา พระจันทร์เต็มดวงก็ผ่านไปแปดหนแล้วเจ้าค่ะ”

     

    “เริ่มจากผมที่กลายเป็นสีขาว จากนั้นดวงตาจะเปลี่ยนเป็นแดง--- และเมื่อรุ่งอรุณมาถึง ก็จะไม่อาจต้องแสงตะวันได้โดยไม่ทรมานอีกต่อไป”

     

    นางยังคงกล่าวต่อไป น้ำเสียงเจือการสะอื้นร่ำไห้

     

    “นักเดินทางเมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน หากอยู่รั้งอยู่จนถึงวันเพ็ญ จะเปลี่ยนเป็นอย่างพวกเราเช่นกัน”

     

    “โรคประหลาดนี้ทำให้ชาวบ้านต้องเปลี่ยนเป็นดำรงชีวิตในตอนกลางคืน หวาดกลัวแสงตะวันราวกับปิศาจร้าย ท่านหมอถามเช่นนั้น...ย่อมหมายความว่ารู้จักโรคนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ? ...รักษาได้หรือไม่? สามารถรักษาได้หรือไม่?”

     

    นางเดินเข้ามาใกล้ ยอบกายลงคุกเข่าตรงหน้าปิศาจจิ้งจอกที่สีหน้าเรียบนิ่งเหมือนหน้ากากมากยิ่งขึ้นทุกที กริยาคล้ายคาดหวัง ทว่าก็คล้ายสิ้นหวังเหลือประมาณ

     

    “ท่านหมอ?”

     

    ฮันบินยื่นมือออกกุมมือนางไว้ กระซิบกล่าวปลอบใจ “ไม่เป็นไร...ยังทัน”

     

    “ข้าจะลองหาทางดู...ท่านเองก็ไปพักผ่อนเถิด เรื่องร้านขายยาเอาไว้วันพรุ่งนี้ค่อยไป เหนื่อยยากมาทั้งวันแล้วไม่ใช่หรือ?” เจ้าจิ้งจอกบีบมือนางเบาๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างลูบศีรษะปลอบโยน น้ำเสียงที่ใช้อ่อนโยนเหลือเกิน ทว่าดวงตา--- กลับเหมือนมีเปลวเพลิงเต้นเร่าอยู่ภายใน

     

    “ข้า...ข้า...ท่านหมอ...”

     

    “ไปพักผ่อนเถิด”

     

    ฮันบินย้ำอีกครั้ง ดังนั้นหญิงสาวจึงกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ผงกศีรษะรับคำ ประคองกายผอมบางย่างก้าวซวนเซจากไป

     

    จีวอนหมุนจอกสุราว่างเปล่าในมือเล่น รอคอยคำอธิบาย

     

    “เมื่อก่อนเคยมีเรื่องเล่า...” เจ้าจิ้งจอกในที่สุดก็สะกดข่มเปลวไฟนั้นลงได้ เอ่ยประโยคเกริ่นนำขึ้นมา “ว่ามีมนุษย์ผู้หนึ่งตกหลุมรักภูติดอกไม้”

     

    “พวกเขาผูกสมัครรักใคร่ ทว่าช่วงชีวิตของมนุษย์นั้นแสนสั้นเหลือเกิน สั้นจนเกินไป มนุษย์ผู้นั้นไม่อาจหักใจ ปล่อยให้หลังจากตนเองตาย ภูติดอกไม้ต้องอยู่เดียวดายลำพัง ดังนั้น--- จึงได้คิดค้นมนตรา ยินยอมละทิ้งแสงสว่างยามกลางวัน เปลี่ยนตัวเองให้เป็นปิศาจ--- มีผมหิมะดวงตาแดงฉาน--- เพื่อที่จะได้อยู่กับภูติดอกไม้ตลอดไป”

     

    เรื่องราวแสนซาบซึ้งตรึงใจสมควรจบลงตรงนั้น ทว่านิทาน...ยังมีบทต่อไป

     

    “เริ่มแรกเรื่องราวเป็นไปด้วยดี แม้ไม่อาจแตะต้องแสงตะวันได้อีก ทว่าในค่ำคืนที่อยู่ร่วมกับภูติดอกไม้ ล้วนแต่สุขสำราญใจ กระทั่งกาลดำเนินไป... เก้าครั้งพระจันทร์เต็มดวง ปิศาจผมขาวก็เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา กลายเป็นปิศาจไปจริงๆ”

     

    “กระหายเลือดและการเข่นฆ่าจนลืมสิ้นความรักผูกพัน สังหารภูติดอกไม้และผู้คน รวมถึงปิศาจภูติพราย... และสุดท้ายก็ถูกจอมปิศาจมากฤทธิ์ตนหนึ่งสังหารจนดับสูญ ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกตลอดกาล”

     

    “หรือว่า...?”

     

    ฮันบินพยักหน้าเคร่งขรึม

     

    “คนในหมู่บ้านนี้ไม่ได้เป็นโรคระบาดหากแต่กำลังต้องคำสาปจากมนตรา และกำลังจะถูกเปลี่ยนให้เป็นปิศาจ”

     

    จีวอนไม่นึกคลางแคลงใจ เส้นผมหิมะและดวงตาสีแดงอย่างนั้น จะดูอย่างไร...ก็ไม่อาจอธิบายว่าเป็นผลจากโรคภัย หนำซ้ำฮันบินยังไม่มีแม้สักหนึ่งเหตุผลให้ต้องโกหกตน

     

    “ผู้ที่จะประกอบพิธีเช่นนี้ได้ มีแต่เพียงมนุษย์เท่านั้น ทว่าข้าไม่เข้าใจ...มนุษย์จะทำเรื่องอย่างนี้ไปเพื่ออะไร?”

     

    เหตุใดต้องเปลี่ยนมนุษย์ด้วยกันให้เป็นปิศาจ ...หนำซ้ำยังเป็นปิศาจสังหารที่มีชีวิตอยู่ด้วยการเข่นฆ่าทำลาย เขาไม่เข้าใจ... หากรู้จักมนตรานี้ย่อมต้องรู้บทสรุปของเรื่องเล่า นิทานถูกเล่าต่อมา หรือไม่ใช่เพื่อย้ำเตือนถึงความผิดพลาดในอดีต แต่มนุษย์เหตุใดต้องก่อหายนะขึ้นซ้ำอีก หนำซ้ำคราวนี้...ยังใช้ผู้บริสุทธิ์มากมายเป็นเครื่องสังเวย

     

    แม้จะใช้ชีวิตล่วงเลยมากว่าสามร้อยปี แต่เรื่องราวเช่นนี้...เขาไม่อาจทำความเข้าใจ

     

    ทว่าตรงข้ามกับฮันบิน คิมจีวอนที่เติบโตขึ้นในสังคมมนุษย์--- สังคมของชนชั้นสูง แม้ยังเยาว์วัยกว่าเจ้าจิ้งจอกมากนัก ทว่ากับเรื่องสกปรกโสมมทั้งหลาย อันใดล้วนเคยล่วงรู้ผ่านตา เพียงได้ฟังเรื่องเล่านั้นจบลงก็คาดเดาขึ้นมาได้

     

    เขตทางใต้นี้ เดิมทีเป็นแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่ง ทว่าพ่ายแพ้สงครามตั้งแต่ในรัชสมัยของจักรพรรดิองค์ก่อนถูกรวบกลืนเป็นส่วนหนึ่งของโชซอนมากว่าหนึ่งชั่วอายุคนแล้ว

     

    ปิศาจในเรื่องเล่าเมื่อครู่ นิยมการเข่นฆ่าสังหาร--- ไยจะไม่ใช่ ทหารชั้นยอดสำหรับเป็นต้นทุนในการ---

     


    ---ก่อกบฏ

     

     

    มนุษย์ทั้งหลายต่างรังเกียจว่าปิศาจภูติพรายชั่วร้ายเลวทราม

    ทว่าหรือมิรู้ตนแม้สักนิด--- คิกคิก...คิก...

    ว่าปิศาจอย่างเรา มีหรือจะบังอาจเทียบเท่าพวกท่านได้ คิกคัก... คิกคัก...

     

     





     

     

    To be continue.

    ตอนนี้ยาวหน่อย อึดอัดนิดนึงนะครับ อือออ

    ตอนหน้าสัญญาว่าจะมาเร็วกว่าเดิม... /มั้งนะ... /มองการสอบมาราธอนหกสัปดาห์ติดกันของตัวเอง

    “...” เคสจะพยายามครับ

    แสดงความคิดเห็นที่ด้านล่าง หรือติดแทก #บาบิคนกินหมา ในทวิตเตอร์ ได้นะครับ!

    (จะดีใจมากถ้าไม่มีคำพูดที่บอกว่านึกว่าจะทิ้ง ฮือออ ไม่ทิ้งครับ ไม่ทิ้งจริงๆ แค่ไม่ค่อยมีเวลา , __ ,

    ขออภัยถ้าจะมาช้าไปสักหน่อย แต่เขียนจนจบแน่นอน สัญญา...)

    ไม่เอาไม่บ่นดีกว่า ฮาาา ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าครับผม!

     

     

     

     



    © themy  butter



    [i] อักษรจีนที่ยืมมาใช้ในภาษาเกาหลี ก่อนการประดิษอักษรฮันกึล ภาษาเกาหลียืมคำจากภาษาจีนเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาษาเกาหลีสามารถอ่านหรือสื่อความหมายได้ด้วยอักษรจีน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×