ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FanFic : All Fiction [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #9 : [คู่ป่วนฯ] WAIT (เส้าตี๋อวี้ x อวี๋อิน)

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 54






    Title                 :  WAIT

    Pairing            :  เส้าตี๋อวี้ x อวี๋อิน
    Rating             :  PG-15
    Warning          :  สปอยเล่มห้านิดนึง O v O,, อ้อ...บอกแพริ่งชัดเจนแล้วนะคะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ได้เห็นคอมเม้นท์ให้สลับคู่ ขอบพระคุณค่ะ

     

    ----------------

     

     

     

     

                ปวดหัวชะมัด...

     

                นี่เป็นประโยคแรกหลังจากที่อวี๋อินลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายที่ค่อนข้างร้อน อบอ้าว แล้วพบว่าตนเองกำลังนอนมองทิวทัศน์ของเพดานโรงพยาบาลอันแสนคุ้นเคย คิ้วเรียวเข้มขมวดมุ่นให้กับความรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะ ชายหนุ่มใช้เวลาไม่นานในการรำลึกว่าสาเหตุของอาการปวดหัวนี้มาจากไหน

     

                เป็นรอยแผลจากการถูกทุบจนกะโหลกเกือบแตกเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้นั่นเอง

     

                คิดตกแล้วแทนที่จะทำตัวเป็นคนป่วยที่ดีอวี๋อินกลับเลือกที่จะทำตรงกันข้าม ร่างสูงโปร่งพยายามยันกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ดูท่าจะนอนมากเกินไปแขนขามันถึงได้ไม่มีเรี่ยวแรงเอาซะเลย หลังจากใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดยันตัวขึ้นนั่งได้สำเร็จดวงตาสีอ่อนคู่สวย ก็เริ่มสอดส่ายสายตาไปรอบๆห้องพักผู้ป่วยที่ว่างเปล่า

     

                ความรู้สึกเย็นเยือกวังเวงเกาะเข้าเกาะกุมจิตใจในทันที

     

                อวี๋อินไม่ชอบโรงพยาบาล...ไม่ชอบเอามากๆ....เพราะมันเป็นสถานที่ที่สามารถพบ เห็น ‘เพื่อนเกลอ’ ได้ง่ายๆ ยังดีที่นี่เป็นตอนบ่ายซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พวกนั้นจะไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็น แต่ว่า...เขาก็ยังไม่ชอบอยู่ดีนั่นล่ะ อย่าหาว่าเขาทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตเชียวนะ ลองได้มาเห็นอะไรๆอย่างเขาดูสิ เป็นใครก็ไม่อยากอยู่คนเดียวในโรงพยาบาลในสภาพที่ขยับตัวไม่ถนัดแบบนี้หรอก น่า!

     

                พ่อใหญ่ พ่อรองน่ะงานยุ่งก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะ...แต่ว่า...แต่ว่า...เสี่ยวอวี้! พี่ชายแสนดีคนนี้ป่วยไข้ไม่สบายไม่คิดจะมาเฝ้ากันหน่อยรึไง อวี๋อินมุ่ยหน้า แถมที่เป็นแบบนี้ยังเป็นเพราะนายด้วยนะ ต่อให้หยุดโรงเรียน นายก็ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฉันสิ!

     

                เบะปากไม่พอใจได้เพียงครู่เดียว หางตาก็เหลือบเห็นอะไรบางอย่างที่...ไม่ค่อยจะดีนัก...

     

                ริมระเบียงที่ยื่นออกไปด้านนอก ร่างเลือนรางบางอย่างแวบไหวให้เห็นผ่านรอยแยกระหว่างผ้าม่าน... อวี๋อินบังคับตัวเองสุดชีวิตไม่ให้หันไปมอง แม้ว่าจะรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านจากไขสันหลังลามขึ้นมาตามต้นคอ ชวนให้ขนลุกเกรียวแต่ชายหนุ่มก็พยายามปั้นหน้าเรียบเฉย เคยมีคนบอกว่าวิธีที่ดีที่สุดที่ใช้รับมือกับเพื่อนเกลอเหล่านี้ก็คือ แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นซะ นั่นละ...

     

                กลั้นลมหายใจรอคอยเจ้าสิ่งนั้นจากไปอย่างอดทน...กระทั่งผ่านไปหลายนาที...

     

                ก็แล้ว.....ทำไมถึงยังไม่ไปซะทีเล่า! อวี๋อินเริ่มร้อนใจ สัมผัสเย็นเยือกนั่นยังคงไม่หายไป ปลายหางตาก็ยังคงมองเห็นเงาร่างเลือนรางอยู่เช่นเดิม ปลายนิ้วเรียวยาวขยำผ้าปูเตียงจนยับยู่ยี่ด้วยความตึงเครียด พลางชั่งใจว่าควรจะหันไปมองให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีรึเปล่า...

     

                แกร๊ก..............

     

                เสียงเปิดประดูพลันดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาเส้นประสาทที่เครียดเขม็งจนถึงเมื่อครู่ขาดผึง

     

               “ว้ากกกกกก”อวี๋อินหลับตาแน่นพลางร้องลั่น หยิบเอาของใกล้มือเขวี้ยงไปทางต้นเสียงสุดแรงเกิด

     

               ปุ.....หมอนนุ่มใบโตปะทะเข้ากับเป้าหมายอย่างแม่นยำ ก่อนจะไหลร่วงลงไปกองกับพื้น ถ้าหากกำลังลืมตาอยู่อวี๋อินก็คงได้เห็นดวงตาสีม่วงสวยกำลังแสดงอารมณ์ขุ่น ขึ้งอย่างหาได้ยาก อวี้หรี่ตาลงมองคนอายุมากกว่าหลับตานั่งตัวแข็งอยู่บนเตียงคนป่วย อวี๋อินยังคงไม่รู้สึกตัวยามที่อวี้พาร่างผอมบางเคลื่อนที่เข้าใกล้จนชิดขอบ เตียง ทั้งยังโน้มใบหน้าลงใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจขาดห้วงของอีกฝ่าย

     

               “อาอิน...”เสียงที่จะว่าคุ้นก็ไม่ใช่ จะไม่คุ้นก็ไม่เชิงทำให้ดวงตาเรียวยาวสีอ่อนหรี่ขึ้นมองอย่างระแวดระวัง

     

               อวี๋อินกระพริบตาปริบๆสองสามครั้งก่อนเอ่ยถาม

     

               “...เสี่ยวอวี้ นายเองเหรอ”เด็กหนุ่มตาสีม่วงพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรเช่นเคย

     

               “พอดีเลย เดี๋ยวนึงนะ”อวี๋อินยกมือขึ้นจับบ่าที่กำลังจะขยับออกไปของอีกฝ่ายเอาไว้ กลั้นหายใจ พลางมองข้ามไหล่บางนั้นไปทางริมระเบียงเมื่อครู่

     

               ระหว่างรอยแยกของผ้าม่านนั่น...หลงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่าราวกับไม่เคย มีอะไรมาก่อน ชายหนุ่มพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะถอนสายตากลับมา...และพบว่า...

     

               ดวงตาสีม่วงคู่สวยนั้นดูจะอยู่ใกล้เกินไปหน่อย...

     

               เป็นครั้งแรกที่อวี๋อินได้มองดวงตาของอวี้ใกล้ขนาดนี้ ดวงตาเรียวได้รูปภายใต้แพขนตาสีเข้ม เป็นสีม่วงใสเฉดเดียวกันกับท้องฟ้ายามพลบค่ำ ก่อนที่แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า...

     

               อวี๋อินเหม่อมองดวงตาสีแปลกคู่สวยนั้นนิ่งนานราวกับต้องมนต์

     

               “อาอิน...อาอิน....”เสียงของอวี้แผ่วเบาจนเรียกได้ว่าไม่ดังไปกว่า เสียงกระซิบ แต่ด้วยระยะห่างที่ไม่มากนักทำให้ได้ยินชัดเจนไม่ตกหล่น ส่งให้เจ้าของชื่อหลุดจากภวังค์ เด็กหนุ่มมองคนกระพริบตาถี่ๆเรียกสติที่มึนเบลอให้กลับสู่สภาวะปกติด้วยสาย ตาแฝงคำถาม พลางเลิกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อย

     

               “........นาย...เห็น...?”เพราะไปรับปากสัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้ทำให้อวี้ต้อง เอ่ยถามจากปากแทนการเขียนลงบนสมุดโน้ตอย่างที่เคยชิน

     

               “อ่ะ อื้ม...นิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก...... มั้ง....”คำสุดท้ายเสริมขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วหวิว “ตอนนี้ไม่อยู่แล้วล่ะ น่าจะแค่ผ่านมาเฉยๆ...”อวี๋อินกล่าวให้อีกฝ่ายคลายความกังวล แม้ว่าดู...จะไม่ค่อยช่วยอะไรก็ตามที...

     

               เสหลบดวงตาสีม่วงที่มองจ้องมาไปอย่างคาดคั้น “...ว่าแต่ ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ล่ะ” ก่อนที่จะถามคำถามที่ตัวเองคิดว่าเซ่อมากออกมา อวี้ก็ต้องมาหาเขาแหงล่ะ “...ฉันหมายถึงทำไมนายถึงไม่ไปโรงเรียน”อวี๋อินรีบแก้

     

               “...พ่อเซี่ยให้ลาหยุด บอกว่าต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อนนาย...”นานมากกว่าอวี้จะตอบ ไม่ว่ายังไงเด็กหนุ่มก็ยังคงไม่ชินกับการพูดด้วยเสียงของตัวเองอยู่ดี...

     

               “ฮึ ฉันไม่ใช่เด็กๆซะหน่อย แค่อยู่คนเดียวน่ะ ทำได้หรอก!”อวี๋อินทำหน้างอ ลืมไปเสียสนิทว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้ายังโวยวายเรื่องที่ไม่มีคนอยู่เป็น เพื่อนอยู่เลย

     

               “....”อวี้เงียบ พลางทำเมินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไป ร่างผอมหันตัวกลับไป ก้มลงเก็บหมอนใบโตที่ยังคงกองอยู่กับพื้นขึ้นมาปัดฝุ่น

     

               “นี่นายแกล้งเมินฉันเหรอ ไอ้เด็กเวรนี่!”เมื่อก่อนอวี๋อินรู้สึกว่าไม่ว่าใครก็ทำเหมือนกับเขาเป็น เด็กที่ต้องคอยดูอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ทำเรื่องยุ่ง ยิ่งตอนนี้แม้แต่อวี้ก็ยังพลอยเป็นไปด้วย มันทำให้เขารู้สึก...ไม่พอใจมาก!

     

               “....”อวี้เงียบอีก ช้อนดวงตาสีสวยคู่นั้นขึ้นมองคนโตแต่ตัวทำท่าทางเหมือนเด็กเอาแต่ใจ

     

               “พูด!”อวี๋อินกอดอก เชิ่ดคางขึ้นเล็กน้อยพลางทำหน้าบึ้งตึง...ซึ่งไม่ว่าจะดูมุมไหน...ก็เด็กชัดๆ...

     

               “....”

     

               “เสี้ยวอวี้! พูดสิ! ส่งเสียงให้ฉันฟังเร็วเข้า”อวี้ต้องรู้แน่ล่ะว่าการที่จะให้อวี๋อินหายงอน ... แค่ก หายโกรธน่ะง่ายมาก แค่ยอมตามใจไปก็พอแล้ว แต่ว่า...

     

               “...”

     

               “เสี้ยวอวี้!!”

     

              ...การปล่อยให้พี่ชายคนนี้โวยวายไปก่อนจนหมดแรงไปเองก็สนุกดีเหมือนกัน...

     

              สิบนาทีต่อมา หลังจากที่โวยวายอยู่ฝ่ายเดียวได้ไม่หยุด คนป่วยไม่เจียมสังขารก็หมดแรงแล้วจริงๆ อวี๋อินหอบแฮ่ก จังหวะการหายใจถี่กระชั้นสับสนใช้ความพยายามอย่างมากที่จะสูดหายใจเอาอากาศ บริสุทธิ์เข้าปอด เห็นอวี๋อินเหนื่อยหอบจนหน้าแดงก่ำอวี้ก็ยอมเอ่ยปากในที่สุด

     

              “...นายมันดื้อ...”เสียงนั้นยังคงเรียบๆเบาๆอย่างเคย แต่ฟังแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า!

     

              “นายว่าใครดื้อกันวะ!”อวี๋อินสะบัดเสียงกระฟัดกระเฟียด ทั้งๆที่ยังไม่หยุดหอบดี อวี้ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนด้วยคำพูด

     

              “...อยากให้ฉันพูดอะไรล่ะ?”

     

              “สายไปแล้วเฟ้ย หุบปากของนายเลย! ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด เฮอะ!”อวี๋อินแค่นเสียงประชดประชันอย่างแง่งอน

     

              “...ได้...”อวี้กลับแกล้งทำเป็นเชื่อฟัง หุบปากสนิทอย่างว่าง่ายมาก...เอาแต่ยืนนิ่งมองอวี๋อินอย่างเงียบงัน…

     

              จนผ่านไปอีกหลายนาที ก็เป็นคนถูกมองนั่นล่ะที่ทนไม่ไหว

     

              “....เส้าตี๋อวี้! ฉันเกลียดนาย!”ตะโกนอย่างขัดใจพลางล้มตัวลงนอน มือเรียวคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมศีรษะไม่สนใจจะมองหน้าอีกฝ่ายให้อารมณ์เสียไป มากกว่านี้ กริยานั้นทำให้อวี้กลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าลงใกล้...เพื่อกระซิบ...

     

              “....ขอโทษครับพี่อาอิน...”

     

              ...........................ไอ้เด็กบ้า เด็กเวร ไอ้...ไอ้....ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์!!

     

              อวี๋อินหน้าร้อนฉ่า มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มแบบห้ามไม่อยู่ แต่ด้วยว่าทิฐิมีมากกว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมโผล่หัวออกไปจากผ้าห่ม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับอวี้อยู่แล้ว เด็กหนุ่มยังคงนิ่ง ซ่อนรอยยิ้มไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เหมือนกับกำลังรอคอยบางสิ่ง ไม่นานนักมือเรียวยาวของพี่ชายต่างสายเลือดก็ค่อยๆขยับออกมาจากผ้าห่ม...

     

              “จับมือ!”เป็นอีกครั้งที่อวี้กลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ยื่นมือขาวกอบกุมมือเรียวของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะขยับรั้งมือนั้นขึ้น ประทับริมฝีปากลงบนปลายนิ้วสั่นระริกอย่างแผ่วพลิ้ว

     

              อวี๋อินตัวแข็งค้าง สติหลุดลอยออกจากร่างไปไกลลิบ และดูท่าว่ายังจะอีกนานกว่าจะกลับคืนมาได้

     

              ...แต่ไม่เป็นไรหรอก อวี้ “รอ” ได้เสมอนั่นล่ะ......

     

     

     

    Fin.

     

     

     

    Note * ตามปกติแล้วจะเรียกใช้คำว่า เกอ เรียกพี่ชาย แบบว่า พี่ปิน ก็เรียก ปินเกอ อะไรแบบนี้ แต่ตามเนื้อเรื่องของนิยายแล้ว อวี๋อินเรียก อาข่าย ว่า พี่อาข่าย ดังนั้นในฟิคนี้เลยขอใช้คำว่า "พี่อาอิน" นะคะ ว้าย~ XD

    //ปิดหน้าขวยเขิน ไม่ได้เขียนฟิคซะนานรู้สึกภาษาชักจะขัดๆ ไว้วันหลังจะแก้ตัวใหม่น้า ;  q  ;




    ปล. ในยกตัวอย่างนั่นน่ะ ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงจริงๆนะคะ //เขร้มส์
    (´・ω・`) 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×