คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ๓.กลิ่นเจ้าจรุงยังจำ
๓
- กลิ่นเจ้าจรุงยังจำ -
ภายในจวนสกุลคิมกำลังแตกตื่น บ่าวน้อยใหญ่วิ่งพล่านไปมาเพื่อช่วยกันดับไฟที่ลุกโหม บนหลังคาหอสูงที่ไกลออกมาเล็กน้อย คนผู้หนึ่งคลี่ยิ้มนั่งชมภาพความวุ่นวาย หัวเราะออกมาราวกับกำลังสนุกสนานเสียเต็มประดา
ร่างสูงโปร่งที่อยู่ในอาภรณ์สีขาวเรียบง่าย ...ย่อมเป็นใครไม่ได้นอกจากเจ้าปิศาจจิ้งจอกจอมคิดแค้นตนนั้น ที่ในตอนนี้...ได้กลับคืนสู่ลักษณ์แห่งบุรุษแล้ว
คิ้วเรียวเข้มดวงตาพยัคฆ์ จมูกโด่งคมและริมฝีปากอิ่มงาม เค้าหน้าที่คล้ายคลึงกับยามเป็นสตรีอยู่แปดเก้าส่วน ทว่าเพิ่มความห้าวหาญเข้มแข็งอย่างหนึ่งเข้ามา คิมฮันบินยามจำแลงร่างสตรีนั้นงามสง่ายวนตา ส่วนในยามเป็นบุรุษเช่นนี้ก็ยิ่งดูโดดเด่นเหนือผู้คน
ในอ้อมแขนของปิศาจจิ้งจอกโอบประคองห่อผ้าห่อหนึ่งไว้ เป็นห่อผ้าแพรเนื้อนิ่มที่ห่อหุ้มร่างเล็กจ้อยของทารก ดวงตาแวววาวของเจ้าตัวเล็กเป็นประกาย ยื่นแขนออกไปในอากาศเหมือนต้องการจะไขว่คว้าบางอย่าง ปลายนิ้วเรียวยาวจึงเขี่ยเบาๆ ที่ใจกลางฝ่ามือน้อย และได้ถูกนิ้วนุ่มนิ่มทั้งห้าจับยึดไว้
“เจ้ามารน้อย ดูสิ สนุกดีหรือไม่?” ฮันบินเอียงห่อผ้า จงใจอวดให้เด็กน้อยได้เห็นภาพความวุ่นวายเหล่านั้น เมื่อเห็นทารกให้ห่อผ้าหัวเราะเอิ้กอ้ากเหมือนชอบใจ ยิ้มจนดวงตาหยีลงเป็นเส้นโค้งงดงามน่ารัก เจ้าปิศาจจิ้งจอกก็หัวเราะเสียงต่ำ รอยยิ้มที่ปาดวาดอยู่บนดวงหน้าชวนมอง...คล้ายกับยังมีบางอย่างในใจ
เจ้าปิศาจจิ้งจอกอันธพาลตัวนั้น เผาบ้านคนก็แล้ว กลับยังไม่สาสมใจ คิกคิก...
เขายังทำอะไร?
คิกคัก...คิกคัก...
“คิมฮันบิน” เสียงหวานจากท่านผู้ครองจวน กรีดผ่านบรรยากาศเงียบงันของยามสาย ในความหวานซ่อนคม กรีดแทงบาดเฉือนอย่างที่ทำเอาเหล่าคนที่ได้ยินสะดุ้งไหว อดไม่ได้ที่นึกหวั่นใจแทนเจ้าของชื่อ
ใบหน้างดงามหยาดเยิ้มของกูมิโฮงามหยดอย่างไรก็ยังงามอย่างนั้น ริ้วความโกรธเกรี้ยวแม้สักน้อยจะฉายฉานก็หาไม่ ทว่าด้วยเสียงหวานหยดแหลมคมที่ทิ่มแทงผู้คน...นางก็เอ่ยตำหนิออกมาหลายคำ
“ข้าต้องพูดอีกกี่ครั้ง เรื่องเจ้าพาเด็กยังไม่ครบเดือนดีออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก หืม?”
คนถูกด่ากลายๆ กลับไม่รู้ร้อน กระเซ้าเย้าแหย่อยู่กับเจ้าตัวเล็กบนตัก ทำให้ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ เอ่ยตอบเฉไฉเสียงเรื่อยๆ กังวานชวนฟัง
“เจ้ามารน้อยนี่พอไม่เห็นข้าก็จะโยเย มีทางเลือกไหนนอกจากพาออกไปด้วยกัน” คำอ้างอย่างนั้นทำให้คนฟังขมวดคิ้วคราหนึ่ง สีหน้าอย่างที่ขับให้เจ้าตัวงดงามตรึงใจน่าถนอม ทว่านั่นก็เพียงพอที่จะบอกชัดว่ากำลังขุ่นเคืองเพียงไร
แต่ฮันบินเหมือนไม่ทราบถึงเพลิงพิโรธที่แผดเผาอยู่ข้างในดวงตา
“อย่าขมวดคิ้วนิ่วหน้ามากไป ประเดี๋ยวก็ได้บ่นกับข้าเรื่องตีนกา”
กลับยังกล้าเขี่ยคุไฟโทสะให้ระอุซ้ำ สาดน้ำมันลงในกองเพลิง
กูมิโฮฟังแล้วนางกลับยังสามารถคลี่ยิ้มพริ้มพรายงามงดออกมา--- อารมณ์ข้างในยิ่งกราดเกรี้ยวเท่าใด ยิ้มนั้นยิ่งหวานล้ำปานจะคั้นหยดออกมาได้
“ฮันบินเอ๋ยฮันบิน...” เสียงของนางไม่มีวี่แววความขุ่นใจ แต่หากถ้อยคำที่สรรใช้--- “เป็นมารดาคนแล้วทั้งที เหตุใดไม่ห่วงลูกบ้าง”
---เห็นได้ชัดว่ากระทบกระแทกอย่างจงใจให้เจ็บทรวง
เจ้าปิศาจจิ้งจอกที่เดิมทีเหมือนไม่แยแสใส่ใจต่อสิ่งใดรอบกายถึงกับสำลักน้ำลายกระอักไอ ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำถึงใบหู ฮันบินอ้าปาก คล้ายกับจะพูดคำผรุสวาทใดออกมาสักหลายคำ ทว่าที่สุดแล้วก็ยังเพียงพูดลอดไรฟันออกมาได้ประโยคเดียว
“ข้า-เป็น-บิดา!”
กูมิโฮปิดปาก หัวร่ออ่อนหวาน
แต่แววประกายในดวงตาดอกท้อ และคมคำของนางนั้น--- น่ากลัวจะคมยิ่งกว่าดาบธนูศาสตรา
“ไม่ใช่เจ้าหรือที่คลอดเขาออกมา”
ฮันบินแยกเขี้ยว เผยแนวฟันแหลมคมที่เรียงรายเป็นระเบียบ ส่งเสียงคำรามในคอคำหนึ่ง ในที่สุดก็เลือกที่จะอุ้มเจ้าตัวเล็กลุกขึ้น หมุนกายก้าวหนักๆ หนีออกไปจากการสนทนา ส่งให้นางจิ้งจอกเก้าหางเอนกายอ้อนแอ้นทิ้งน้ำหนักลงกับหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน มองตามแผ่นหลังของสหาย ก่อนจะถอนหายใจ...กึ่งระอิดระอาเอ็นดู
ท่านยังไม่บอกข้า...ปิศาจจิ้งจอกตนนั้นได้กระทำสิ่งใด?
ชู่ว... ท่านโปรดเย็นใจ...เล่าเรื่องข้ามไปย่อมมีรสชาติบางอย่างขาดหาย หากฟังไม่ครบถ้วนก็ออกจะน่าเสียดาย คิกคิก
ร่างสูงเพรียวโอบอุ้มเด็กน้อยในห่อผ้าเดินผ่านตลาด สีหน้าหงุดหงิดขัดเคืองปานโกรธเกรี้ยวผู้คนแต่ชาติไหน กระนั้นด้วยใบหน้าหล่อเหลาคมคาย หญิงสาวหลายคนก็ยังชม้อยสายตาแลส่งให้แต่ไกล
หากเป็นเวลาอื่น ฮันบินอาจนึกสนุกหรี่ตาส่งยิ้มยั่วเย้ากลับไปบ้าง การหยอกเอินกับสาวงาม เดิมทีไม่ใช่กิจกรรมที่ปิศาจจิ้งจอกจะรังเกียจไม่ชอบใจ ทว่าในเวลาเช่นนี้ ยามที่เพลิงโทสะแผดเผาข้างในอกจนแทบมอดไหม้ มองเห็นแต่เพียงปื้นแดงฉานสายหนึ่งพาดทับดวงตา เขาจึงทำเพียงกระชับเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนแล้วย่ำเดินไปข้างหน้า หวังในใจเพียงว่าจะไปให้ไกลจากนางจิ้งจอกปากมีดดาบตนนั้น
หนี้แค้นหนนี้ข้าจะจดไว้แน่ ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปียังไม่สาย!
เขาเข่นเขี้ยวฮึดฮัดได้ไม่ทันไร ร่างก็ปะทะเข้ากับกำแพงที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“!!” ร่างโปร่งเพรียวซวนเซไปเล็กน้อย ยังดีที่ กำแพง ได้ยื่นแขนออกมาช่วยประคองไว้ทำให้ไม่ล้มลงไปจนพลอยให้เจ้าตัวเล็กต้องมีอันตราย
“ขออภัย ข้าไม่เห็นว่ามีคน” ฮันบินเงยหน้าขึ้น ไฟโทสะยังสุมอยู่ในใจ ดังนั้นแม้ได้รับการช่วยเหลือและเสียงขอโทษนุ่มนวลจากอีกฝ่าย เขาก็ยังตั้งใจจะด่าคนที่จู่ๆ ก็โผล่มาขวางทางสักหลายคำเพื่อระบายความหงุดหงิดใจ
ไม่คาดว่ายามเมื่อมองเห็นภาพชัดเจน คำผรุสวาทหยาบคายสักคำจะทันได้ล่วงออกก็หาไม่ ก็ภาพที่สะท้อนอยู่ในสายตา ถึงกับเป็นดวงตาหงส์และคิ้วใบหลิวที่เกือบจะเรียกได้ว่าคุ้นเคย...
ฮันบินส่งเสียงร้องไร้ความหมายออกมาคำหนึ่ง
คิดได้แต่ว่านี่จะต้อง...เป็นเวรกรรมแน่ๆ
เขาไม่น่านึกประมาทได้ ที่ผ่านมาอีกฝ่ายวุ่นวายอยู่กับภาระหน้าที่ ได้เพียงส่งคนอื่นออกมาตามหา ดังนั้นฮันบินจึงเลินเล่อไป คิดว่ากลับเป็นบุรุษได้เรื่องราวทุกอย่างก็จะพ้นตัว ลืมเลือนไปเสียสนิทว่าในโลกใบนี้ยังมีคนผู้หนึ่งที่เห็นใบหน้าตนที่คล้ายคลึงกับยามเป็นสตรีแล้วย่อมจะคิดสงสัย
คนที่ว่านั้นบัดนี้อยู่ตรงหน้าเขา... ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน ทว่าเป็น คิมจีวอน
วันนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดขุนนางสีน้ำเงินเข้ม ทั้งร่างเปล่งรัศมีสูงส่งของขุนนางชั้นสูง
ปิศาจจิ้งจอกใจหล่นร่วงไปอยู่ที่ปลายเท้า เกือบจะผงะถอยหลัง ติดอยู่ที่มือกร้านของอีกฝ่ายยังกอบกุมบ่าของตนเอาไว้ เมื่อแรกแม้เรียกได้ว่าเป็นการประคองไม่ให้พลัดล้มไป ทว่าในเวลานี้...สมควรบอกว่าเป็นการจับกุมอย่างหนึ่งกระมัง
“นายท่านจีวอน มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?” คนที่ตามมาด้านหลังร้องถามอย่างสุภาพนบน้อม ยิ่งยืนยันให้ฮันบินทราบว่าตนไม่ได้จำคนผิดไป ทว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากลอบกลืนน้ำลายแล้วกระชับเจ้ามารน้อยในอ้อมแขนไว้กับตัวใกล้ขึ้น
“ไม่มีอะไร แจ้งเรื่องไฟไหม้กับกรมเมืองเรียบร้อยแล้วพวกเราก็กลับกันเถอะ ท่านลุงไปตามรถม้า...ข้าจะรออยู่ตรงนี้”
ชายหนุ่มว่าโดยไม่หันไปมองคนถาม ดวงตายังคงจดจ้องอยู่กับบุรุษหนุ่มเยาว์วัยตรงหน้าผู้เพิ่งได้พานพบกัน...
สายตาพินิจพิจารณาแปลกประหลาดที่มองมาคล้ายคนสัมผัสเค้าลางบางอย่างได้ เจ้าจิ้งจอกได้แต่ปลุกปลอบขวัญตนเอง จะอย่างไรตัวเองในเวลานี้ก็เป็นชาย อีกฝ่ายย่อมไม่อาจผูกโยงเข้ากับเรื่องวิบัติอัปยศในคืนนั้นได้ง่ายดายนัก
ดังนั้นจึงทำใจกล้า ปั้นรอยแย้มยิ้มออกมารอยหนึ่ง ไร้พิรุธอันใดให้คนจับต้อง
“...พี่ชายปล่อยข้าได้แล้วกระมัง?”
จีวอนนิ่งไปครู่หนึ่ง ครู่นั้นที่ยาวนานจนเกือบทำให้ปิศาจจิ้งจอกไพล่นึกไปว่าอีกฝ่ายคิดจะไม่ปล่อยตน ชายหนุ่มก็พึมพำขออภัยออกมาเสียงนุ่มนวล มือกร้านปล่อยปละไหล่ลาดที่ยึดยื้อจับกุมไว้ให้เป็นอิสระจากกัน
ฮันบินยังโล่งใจได้ไม่ทันไร ก่อนจะทันกำลังจะหมุนตัวกลับหลังแล้วเผ่นหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้าตัวเล็กที่เดิมทีนอนนิ่งอย่างว่าง่ายก็ไม่ทราบเหตุใดจึงยื่นมือออก ดึงนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มเอาไว้ด้วยปลายนิ้วเล็กๆ ของตน
“!”
บุตรชายตนไม่ชมชอบเล่นกับคนแปลกหน้า เหตุใดเขาจะไม่ทราบ แม้แต่กูมิโฮที่เห็นกันมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกหากนึกครึ้มอยากจะอุ้มเล่นเมื่อไร ยังต้องแลกเปลี่ยนหลอกล่อด้วยของเล่นกับขนม หาไม่เจ้าลูกจิ้งจอกตัวนี้ก็จะแผดเสียงร้องไห้ราวกับจะถูกจับถลกหนัง
หากตอนนี้ปลายนิ้วน้อยๆ นั้น กลับกอบกุมเรียวนิ้วแข็งแกร่งของคนแปลกหน้าคนหนึ่งไว้ ดวงตาเรียวน่ารักบิดโค้งเป็นรอยยิ้มน่าชัง
จีวอนเลิกคิ้ว หัวเราะเบาๆ เหมือนจะเอ็นดู ปล่อยให้เจ้าตัวเล็กเล่นนิ้วของตนโดยไม่ได้ว่าอะไร ผิดกับคนเป็นผู้ปกครองที่ดูจะร้อนใจ กระซิบเสียงดุ บอกให้บุตรชายรีบปล่อยมือ
ทว่าเด็กชายกลับยิ่งกอบกุมนิ้วของอีกฝ่ายแน่นขึ้น ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยออกแต่อย่างใด ฮันบินได้แต่ใช้ท่อนแขนข้างหนึ่งประคองเจ้าตัวเล็กไว้ อีกมือเขี่ยแตะบนหลังมือน้อยๆ เกลี่ยวนเหมือนล่อลวงหยอกเย้า ก่อนจะค่อยๆ งัดแกะมือเล็กออกจากเรียวนิ้วนั้น
ปลายนิ้วที่บังเอิญปัดถูกกระทบกันกับอีกคน...ได้กระตุ้นความรู้สึกคุ้นเคยอีกระลอกหนึ่งขึ้นมา
จีวอนหลุบสายตามองคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจ กิริยาแฝงความประหม่าร้อนรนอยู่บ้าง มองปลายจมูกโด่งงามเครื่องหน้าเข้มคม แพขนตาที่บดบังแววประกายในดวงตาพยัคฆ์ ทั้งเรียวคิ้วกลีบปาก ล้วนให้ความรู้สึกครุ่นคะนึงน่าประหลาด
นาสิกยังคล้ายได้กลิ่นหอมจางๆ ของกุสุมา
พริบตานั้น เขาถามออกมา...เสียงกึ่งไม่แน่ใจ...
“เป็น...เจ้า?”
มือเรียวขาวของเจ้าจิ้งจอกชะงักไปชั่วอึดใจ ...ชั่วเสี้ยวอึดใจ ก็ถามกลับมาเสียงซื่อ
“ข้าทำไมหรือ?”
ทวนคำคล้ายไม่เข้าใจ ทว่าจีวอนไม่ได้ฟัง ปลายนิ้วเรียวเอื้อมแตะกรอบหน้าคมคายอย่างถือวิสาสะ ทำให้คนที่ยังคงสาละวนกับบุตรชายสะดุ้งไหวกับสัมผัสนั้น เอียงใบหน้าหลบหนีตามสัญชาติญาณ
นั่นพอดีเปิดเผยให้คนมองได้เห็นรอยแต้มจุดตำหนิเล็กๆ ราวกับหยดหมึกดำเพียงหยดหนึ่งที่บนผิวขาวผ่อง... ที่ตำแหน่งเดียวกันในความทรงจำ...
“...เป็นเจ้า” ครานี้น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การถามอีกต่อไป ทว่าเป็นความมั่นใจ
หัวใจคนฟังแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะด้วยน้ำเสียงนั้น ภาพความทรงจำน่าขายหน้าพร่างพรูวูบวาบส่งให้ใบหน้าคมคายของเจ้าจิ้งจอกแดงระเรื่อน่าชม กระนั้นเจ้าตัวก็ยังยืนยันปฏิเสธหนักแน่น แม้ตายก็ไม่ยอมรับ
“ท่านว่าอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
มารยาปิศาจจิ้งจอกอายุร่วมสามร้อยปีย่อมไม่อ่อนด้อย กระทั่งความงุนงงในแววตาก็เสกปั้นขึ้นมาได้ กิริยาทั้งหลายเกือบจะสามารถล่อลวงให้คนเชื่อผิดไป ทว่าเวลานี้ปลายนิ้วของชายหนุ่มยังแตะอยู่กับจุดชีพจรบนลำคอเรียว ย่อมสัมผัสได้ไม่ยากเย็นถึงจังหวะที่รวนเรตื่นใจของอีกฝ่าย
ตอกย้ำมัดตรึงเจ้าจิ้งจอกไว้ ไม่สามารถกระโจนหนีจากหลุมลึกที่ได้พลัดพลั้งตกลง
มือกร้านกอบกำรอบข้อมือขาว รั้งดึงแผ่วเบาให้ขยับเข้าใกล้...เกือบจะเรียกได้ว่าแนบชิดแอบกาย หากไม่นับว่ายังมีเจ้าตัวเล็กที่กำลังหัวเราะชอบใจกั้นอยู่ตรงกลาง
“!!!”
ฮันบินทำตาโต ตรงกันข้ามกับดวงตาบิดโค้งแพรวพราวของคนที่บัดนี้สอดแขนเข้ามาโอบรอบเอวของตนไว้ ...กอดกักราวกับลูกกรง แน่นหนาเสียยิ่งกว่าขื่อตรวนอันใด ไม่สนใจเสียด้วยว่ากับการที่บุรุษสองคนดอกรัดกันอยู่กลางตลาดจะทำให้ผู้คนเล่าลือต่อไปเช่นไร
“พี่ชาย เราไม่เคยพบกันมาก่อน บ--- บางที--- ท่านอาจ--- อาจ---จำคนผิดไป”
ปิศาจจิ้งจอกยังคงพยายามดิ้นรน ทว่าอีกฝ่ายกลับผลักเขาตกลงไปในหลุมที่ลึกยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ อย่างน้อยก็น่าจะได้พบกันแล้วครั้งหนึ่ง”
“เมื่อเช้าบ้านข้ามีคนวางเพลิง” เขาเกริ่น...มือข้างที่ว่างอยู่ฉวยคว้าแขนเสื้อของอีกฝ่ายแล้วรั้งลงรวดเร็ว เผยให้เห็นคราบเขม่าปื้นหนึ่งบนท่อนแขนเรียวขาว
“...” ฮันบินอ้ำอึ้งไป ส่วนอีกคนกลับยังคงแย้มยิ้มพราย
“รอยเขม่าบนแขนเจ้าสีดำอมเทา มีกลิ่นจางๆ ของไม้สน...บังเอิญเหลือเกินที่เรือนข้าก็เป็นไม้สนเช่นกัน”
ไม้สนเดิมทีก็ไม่ใช่ของหาง่าย แน่นอนว่ายิ่งไม่ใช่ของที่ใครจะเผาเล่นตามความพอใจ รอยเขม่านี้บังเอิญมีอยู่บนท่อนแขนของเขาได้ประจวบเหมาะเหลือเกิน แม้ไม่อาจนับเป็นหลักฐานแน่นหนา ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถปล่อยผ่านโดยไร้คำอธิบาย
“คนชุดขาวที่ข้าเห็นเมื่อเช้านั้นน่าสงสัย ส่วนสูงก็ดูใกล้เคียงกับเจ้าทีเดียว”
เจ้าจิ้งจอกกลอกตาวูบหนึ่ง หลักฐานแน่นหนายิ่งนักเขายังพยายามพลิกพลิ้วเอาสีข้างเข้าไถ
“บ้านข้าใช้ไม้สนทำฟืน แล้วท่านจะทำไม เพียงมีรอยเขม่าเปื้อนแขนก็ใส่ไคล้ว่าข้าเป็นคนร้ายวางเพลิงหรือ ออกจะมากเกินไปกระมัง?”
ทำราวกับตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ร้องหาความยุติธรรม
“คนชุดขาวอะไรนั่นข้าก็ไม่ทราบเรื่อง แน่ใจได้อย่างไรว่าท่านไม่ได้ตาฝาดไปเอง”
ว่าพลางพยายามบิดแขนขืนตัวออกจากการเกาะกุม นึกอยากกระชากรุนแรงก็กลัวเจ้าตัวน้อยในอ้อมอกหลุดร่วงหล่นไป ดังนั้นจึงได้แต่ยุดยื้อกันอยู่เช่นนั้น สลัดให้หลุดไม่ได้เสียที จีวอนเองก็ย่อมทราบว่าชีวิตน้อยๆ ที่จ้องตนด้วยดวงตาเรียวใสกระจ่างนี่เป็นเครื่องต่อรองชั้นยอด ดังนั้นจึงชิงผูกมิตรเสียด้วยพัมคยองดัน[1]ที่บังเอิญมีติดตัวมา
เห็นเจ้าตัวเล็กส่งเสียงอ้อแอ้ ปากเล็กๆ ที่ฟันยังไม่ทันขึ้นครบอ้างับขนมเกาลัดที่ถูกป้อนให้อย่างตะกละ ดวงตาของผู้ที่ยึดถือตัวเองเป็นบิดาก็แทบลุกเป็นไฟ
เขาส่งเสียงร้องฮึดฮัดอีกหลายคำ ก็ล้วนยังไม่สามารถขยับเขยื้อนออกจากการเกาะกุม
“จะอย่างไรก็ต้องคุมตัวไปสอบสวนให้รู้เรื่อง” ท่านผู้ครองจวนหนุ่มว่าเสียงนุ่มนวล เหมือนประโยคที่เอ่ยไม่ใช่การจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยคดีวางเพลิงจวนขุนนาง ทว่าเป็นการเรียนเชิญแขกมีเกียรติไปร่วมร่ำสุรา
“เป็นขุนนางยศใหญ่ก็คิดจะรังแกชาวบ้านตาดำๆ กันง่ายๆ เช่นนี้หรือ!”
ฮันบินยังคงโวยวายไม่ยอมแพ้ยามถูกท่อนแขนแข็งแรงสอดรวบอุ้มร่างตนยกขึ้นประคอง บังคับให้ขึ้นนั่งบนรถม้าหรูหราที่มาจอดเทียบ
“ปล่อยข้า!!” ร้องตะโกนเสียงกร้าว ทว่าไม่กล้าดิ้นรนมากไป หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาตัวเองเจ็บตัวยังไม่เท่าไหร่ แต่เจ้ามารน้อยน่าชังตัวนี้...ไม่อยากให้ได้เจ็บเคืองระคาย ทว่าเจ้าลูกจิ้งจอกที่กลายเป็นทั้งต้นเหตุและตัวช่วยส่งเสริมในความเดือดร้อนของบิดากลับยิ้มกว้าง หัวเราะ สองแก้มกลมยุ้ยยัดเต็มไปด้วยขนมเกาลัดหวาน
“อร่อยดีหรือไม่”
“อื๊อ!”
“พวกเจ้า!!”
จะอมพะนำไปถึงเมื่อไหร่ บอกได้หรือยังว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร
คิก...คิกคัก...คิกคิกคิก...
...ดาบนั้นหมายใช้ทำร้ายคน คมกลับย้อนมาต้องบาดตัวเข้าเสียได้ คิก...
ตลอดทางกลับจวนสกุลคิมอย่าว่าแต่ตัวท่านขุนนางหนุ่ม กระทั่งบรรพบุรุษสิบแปดชั่วรุ่นที่นอนนิทราในหลุม เจ้าจิ้งจอกล้วนขุดออกมาด่าว่าเสียจนไม่เหลือชิ้นดี ทว่ารอยยิ้มที่เกลื่อนอยู่บนหน้าของคนฟังกลับยังไม่คลายออกแม้สักวินาที
ดวงตาเรียวยาวงดงามยังทอประกายคล้ายเอ็นดูเมื่อมองเห็นใบหน้าคมคายหล่อเหลาที่กรุ่นอยู่ด้วยความโมโหโกรธาของคนผู้ถูกบังคับให้นั่งอยู่ด้วยกัน รถม้ากำลังเคลื่อนที่อยู่ แม้มีหน้าต่างประตูทว่าก็ไม่ต่างจากไร้ทางหนี ฮันบินทำได้เพียงจำยอมนั่งลงตรงข้ามกับเจ้าของรถม้าทั้งที่สีหน้าขุ่นเคืองใจ
“เจ้าคือสตรีในคืนนั้น?”
“ไม่ทราบท่านตาบอดหรือเสียสติไป? ข้าเป็นเป็นบุรุษก็เห็นกันอยู่ จู่ๆ จะกลายเป็นสตรีได้อย่างไร?”
อีกฝ่ายดื้อแพ่งไม่ยอมรับ จีวอนก็ได้แต่ยักไหล่ เปลี่ยนไปคาดคั้นเสียในประเด็นอื่น
“อย่างนั้นเหตุใดจึงต้องเผาเรือนข้าด้วยเล่า?”
ดวงตาเรียวงดงามที่ปลายหางตาตกลงเล็กน้อยราวกับตาพยัคฆ์ของฮันบินถลึงใส่คนถาม ตอบเสียงห้วนกร้าวมั่นใจ โดยไร้ความรู้สึกสำนึกผิดชอบต่อการโกหกแม้สักเศษเสี้ยว
“ข้า-ไม่-ได้-เป็น-คน-เผา-เรือน-ท่าน!”
ปากแข็งยิ่งนัก... ชายหนุ่มหัวเราะ โคลงศีรษะเล็กน้อยคล้ายระอา ล้วงหยิบของบางอย่างออกมาจากอกเสื้ออย่างเชื่องช้า... ถือไว้แล้วเขย่ามันเบาๆ ต่อหน้าคนที่นิ่งขึงไปถนัดใจ
เห็นกิริยาอย่างนั้นเขาก็ทราบแล้วว่าคนตรงหน้ารู้ดีอย่างยิ่งว่าของสิ่งนี้คืออะไร แน่ล่ะก็จะไม่รู้ได้อย่างไร ...ในเมื่อเขาค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายนั่นล่ะเป็นผู้เอามาวางไว้ด้วยตนเอง
สิ่งที่อยู่ในมือของจีวอนนั้น ที่แท้เป็นเพียงถุงผ้าแพรที่ตัดเย็บขึ้นอย่างประณีตใบหนึ่ง สิ่งที่น่าสนใจแน่นอนว่าไม่ใช่ตัวถุงผ้างดงามเรียบหรู หากแต่เป็นของข้างใน... ชายหนุ่มเทของออก เมล็ดสีน้ำตาลเข้มที่ส่งกลิ่นหอมหวานชวนให้ลุ่มหลงหลายเมล็ดกลิ้งออกมานอนนิ่งบนฝ่ามือเรียวขาว
“เมล็ดไร้นิทรานี่ไม่ทราบเหตุใดจึงอยู่ใต้หมอนในห้องนอนข้า” เรือนนอนปีกตะวันตกที่ถูกไฟไหม้ไปนั้นที่แท้เป็นเพียงหมากหลอก จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของคนวางเพลิง เห็นทีจะเป็นการนำเมล็ดนี้ไปใส่ไว้ใต้หมอนเขาที่เรือนทางปีกตะวันออกเสียมากกว่า
เมล็ดชนิดนี้มีฤทธิ์ตามชื่อ กลิ่นหอมหวานที่กำจายจะทำให้คนที่ได้รับกลิ่นนอนหลับสนิทไม่ได้ ...ทำให้ฝันไม่ดี แม้ไม่เชิงนับว่าเป็นยาพิษแรงร้าย ทว่าก็แน่นอนว่าไม่ใช่ของให้คุณ
ของเช่นนี้ปรากฏอยู่ใต้หมอนในห้องนอน หากไม่ใช่ว่าเขาเคยได้กลิ่นมันมาก่อนก็อาจหลงคิดว่าเป็นกลิ่นเครื่องหอมชนิดใหม่ ฤทธิ์ของมันจะแสดงผลเมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ถึงนั้นเขาก็ไม่อาจเชื่อมโยงอาการป่วยของตนเข้ากับกลิ่นหอมนี้ได้ นับเป็นการวางแผนลงมือที่หมดจดไร้ช่องโหว่เสียจริง
จีวอนขยับยิ้มอีกครั้ง แบมือปล่อยให้เมล็ดเหล่านั้นกลับเข้าไปในถุงแพร ก่อนที่จะโยนถุงไปไว้ทางหนึ่ง
ฮันบินทราบถึงความหมายของการกระทำอย่างนั้น เจ้าจิ้งจอกจึงได้อุ้มบุตรชายแนบอกถอยกรูดจนแผ่นหลังชิดผนังรถม้า จนใจที่รถคันนี้แม้กว้างขวางหรูหรา ทว่าก็ยังคับแคบเกินไปที่จะหนีพ้นจากเงื้อมือของอีกฝ่าย ปลายนิ้วเรียวขาวที่ติดจะกร้านอยู่บ้างเอื้อมมาหา... แตะลงกับสาบเสื้อที่เขาพยายามดึงรั้งเอาไว้... แทรกผ่านเข้ามาด้านใน
“หยุด!!”
ปิศาจจิ้งจอกร้องสั่ง น้ำเสียงเจือความตระหนกใจ
"อยู่ไหนกันนะ..."
“ข้าบอกให้หยุด!”
เสียงของอีกฝ่ายกร้าวลึก ใบหน้าคมคายหล่อเหลาแดงก่ำด้วยอัปยศอับอาย ทว่าฝ่ามืออุ่นจาบจ้วงของอีกฝ่ายยังคงไล้ผ่านแผ่นอกล่วงลึกมากยิ่งขึ้นไป ต่ำลง...ต่ำลง...ต่ำลง...
"อ้า---"
“เจ้ายอมรับได้แล้วกระมัง”
...และในที่สุดก็ผละออกไปพร้อมกับถุงผ้าเนื้อหนาในมือ เขาเปิดเทออกดู ของที่อยู่ในถุงเองก็เป็นเมล็ดไร้นิทราอย่างที่คาดไว้
พืชประหลาดนี้ไม่ใช่ของพื้นเมืองโชซอน แต่เป็นสินค้าราคาแพงจากทะเลทราย น้อยคนนักที่จะสามารถมีไว้ในครอบครอง คราบเขม่าพร้อมกับเมล็ดพืชนี้ มีอย่างใดอย่างหนึ่งยังไม่เท่าไหร่ ทว่าเมื่อมีสองอย่างอยู่กับตัวพร้อมกัน หลักฐานแน่นหนาสอดคล้อง ดิ้นหนีอย่างไรก็ไม่หลุดแล้ว
“ไม่ใช่!”
ยังจะดื้ออีก?
จีวอนเลิกคิ้ว มองคนตรงหน้าเม้มริมฝีปากแน่นจนกลายเป็นสีแดงระเรื่อ... รอฟังว่าคำแก้ต่างใดที่จะเผยให้ได้ยิน
“ตลอดเช้า--- ข้า--- อยู่ที่จวนร้อยบุปผา คนในที่นั้นล้วนเป็นพยานให้ได้ ย่อมไม่มีเวลาจะมาวางเพลิงเผาเรือนท่าน” ฮันบินโกหกคำโตออกไปสีหน้าไม่เปลี่ยน หวังในใจว่าจะมีสักคนพอช่วยเป็นพยานเท็จให้ยามอีกฝ่ายให้คนไปสอบถาม ทว่ากลับไม่ทราบว่าตนคิดถึงแต่อุปสรรคข้างหน้า กลับลืมคมมีดที่ใกล้
เจ้าจิ้งจอกโชคร้ายเลือกไพ่ผิดไป...เลือกใช้ผิดใบ... ผิดไปมากจริงๆ...
“...จวนร้อยบุปผาสกุลกู?”
จีวอนทวนคำด้วยน้ำเสียงประหลาด คล้ายไม่เชื่อหู...คำที่คนตรงหน้าพูดออกมาเมื่อครู่นี้ ถึงกับเป็นคำว่าจวนร้อยบุปผา?
...นั่น...นับเป็นสถานที่เช่นไร?
“เจ้า...ถึงกับกล้าพาเด็กเล็กๆ เช่นนี้ไปหอคณิกา?”
ฮันบินได้ฟังเสียง สัมผัสได้ถึงทำนองแปร่งปร่ายามกล่าวพยางค์ท้ายประโยคออกมา ยามแรกได้ยิน นึกว่าอีกฝ่ายได้ดูแคลนสหายตน ดังนั้นจึงออกปากแก้ต่างให้นางเสียงขุ่นเคือง
“จวนร้อยบุปผาเป็นหอคณิกาชั้นสูง ขายศิลป์ไม่ขายตัว ท่านมีสิทธิ์อะไรดูถูกพวกนาง สตรีในที่นั้นล้วนงดงามอ่อนหวาน จริยาคุณธรรมสูงส่ง เพียงรับหน้าที่รินเหล้าร่ายรำ เล่นดนตรีสร้างความสำราญแก่แขกผู้มาเยือน”
แต่ไม่หรอก ไม่ใช่... รอยริ้วมืดดำสายหนึ่งที่พาดทับดวงตาเรียวยาว บันดาลให้รอยยิ้มงดงามน่าดูของคนที่บัดนี้ขยับเข้ามาใกล้อีกหนเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เกิดจากการดูแคลนในตัวเหล่านางคณิกาโฉมงาม แต่ว่า...
“เช่นนั้นเจ้าจึงไปหาความสำราญกับพวกนาง?”
...แต่ว่าเป็นความไม่พอใจ
ลมหายใจอุ่นจัดปัดรดบนผิวเชื่องช้า แฝงนัย ทว่าก่อนที่ฮันบินจะเข้าใจ...
“ช่าง...กล้าดี”
“!!!”
เรียวปากอิ่มของอีกฝ่ายก็เบียดแนบประทับลง แตะแต้มบนผิวขาวจัดชวนใหลหลง ที่ตำแหน่งเหนือรอยแต้มดั่งหยดหมึกรอยนั้น เรียวลิ้นฉ่ำชุ่มแลบเลีย รสที่สัมผัสได้จากปลายลิ้นไม่แตกต่างจากที่จำได้
เหนืออื่นใดกว่านั้น...
กลิ่นหอมจรุงของดอกบัวที่ติดปลายนาสา...ตนก็ไม่มีทางจำผิดเพี้ยนไป
มือแกร่งคว้าจับมือเรียวที่ตวัดฟาดลงมาจะทำร้าย ยึดกุมเอาไว้ทำให้ผู้คนมิอาจขัดขืนต้านทาน
ค่อยๆ บรรจงแต้มรอยสีชาด ปาดทับขึ้นตราบนนวลผิวกรุ่นหอม...
พูดได้แต่ว่าคงเป็นเวรกรรมตามทันเท่านั้นเอง ...คิกคิกคิก
To be continued
ฮู่ว หายไปนานเลยยย ไม่มีขอแก้ตัวอะไรนอกจากดอง... /โดนตี
เข็นตอนนี้ออกมาได้เพราะบาบิมาไทยเลยนะเนี่ยช่างเป็นผู้ชายที่เป็นแรงบันดาลใจชั้นดี
เมนต๋าน่ารักมากกก /ดิ้น
ระหว่างที่แรงบันดาลใจยังไม่หมดเคสก็ขอไปปั่นตอนถัดไปต่อล่ะครับ พบกันใหม่ตอนหน้าเร็วๆ นี้!
ปล. พูดถึงเรื่องนี้ในทวิตเตอร์
ติดแทก #บากิคนกินหมา กันได้นะครับ <3 แท็กนี้จริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น ถถถ
ความคิดเห็น