ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) Niger | Albus (KaiDo - KaiSoo)

    ลำดับตอนที่ #2 : Niger - I

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ค. 58


     
    I

     

                “ออกไปขอโทษเขาซะ” จงอินฟังคำพูดจากผู้จัดการส่วนตัวแล้วขมวดคิ้วแน่น

    “พี่จงแด!” เขาร้องประท้วงทำสีหน้าสื่อความหมายไม่ยินยอมพร้อมใจ ทว่าสายตาคาดคั้นที่ไม่ยอมถอนออก ก็ทำให้หนุ่มน้อยจำเป็นต้องพ่นลมหายใจแรงๆ อย่างหัวเสีย วางแก้วน้ำดื่มเย็นเฉียบที่พร่องลงยังไม่ถึงครึ่งของตัวลง ก่อนที่จะเดินฟึดฟัดออกไปจากโกดังที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ

                ช่างภาพปากร้ายที่เดินออกมาก่อนคนนั้นไม่ได้หาตัวยากนัก เพราะเพียงแรกก้าวออกจากประตู สายลมก็หอบนำเอากลิ่นบุหรี่เจือจางให้ลอยมาแตะจมูก หันหน้าไปตามต้นลม ที่ต้นตอของกลิ่นมิ้นท์และเขม่าควันจางๆ นั้น ร่างสมส่วนสันทัดของชายหนุ่มก็ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล

                เขาย่ำเท้าสาวเข้าหา สีหน้ายังคงเจือความหงุดหงิดใจ

    ทว่าเมื่อเข้าไปใกล้พอ...

    สิ่งที่ได้เห็นด้วยสองตา...แม้แต่นายแบบผู้ซึ่งเคยพบเจอผู้คนหน้าตางดงามมาหลากหลายก็ยังต้องชะงักลงชั่วครู่

    ดวงหน้าคมอ่อนเยาว์ของช่างกล้องหนุ่มตรงหน้าเขา แม้ไม่ได้งดงามหล่อเหลาจนสามารถใช้คำว่าไร้ที่ติได้ ทว่าก็ยังคงต้องบอกว่าน่ามอง... ดวงตากลมคมสุกใสคู่นั้นจดจ้องอยู่กับนาฬิกาข้อมือโลหะเรือนงาม ระหว่างกลีบปากอิ่มเต็มสีอ่อนแทรกไว้ด้วยมวนบุหรี่ที่ส่วนปลายติดไฟแดงฉาน และม่านควันบางเบาที่รุมรอบอีกฝ่ายไว้...

    ทั้งหมดประกอบกัน...ให้กลายเป็นราวกับภาพวาดมายาอันไม่สามารถจับต้อง

                จงอินถูกสะกดไปชั่วครู่...สั้นๆ...

                และก็เป็นชั่วครู่นั้น ที่เพียงพอจะทำให้ดวงตากลมคมเงยขึ้นจากนาฬิกา

                คยองซูแตะปลายนิ้วเรียวประคองมวนบุหรี่ไว้ สูดเอาไอควันเข้าปอดแล้วจึงพร่างพรูออก ชั่วขณะนั้น หางตาก็พลันเหลือบเห็นบางสิ่ง...บางคนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คงอยู่

                ชายหนุ่มเบือนหน้ามอง สานสายตาประสบเข้าหากัน และนั่นก็ทำให้จงอินรู้สึกตัว ว่าได้เผลอหลงคล้อยไปชั่วพริบตาอย่างน่าเจ็บใจ ความรู้สึกนั้นยิ่งถ่วงรั้งให้คำที่ถูกบอกให้มาพูดกล่าวหนักอึ้ง...ล่วงผ่านเรียวปากออกมาไม่ได้เสียที

                คนอายุมากกว่าเองก็ไม่ได้คิดจะกล่าวอะไร ตอนที่มองผ่านมาเห็นร่างสูงของนายแบบหนุ่ม เมื่อแรกแม้จะนึกแปลกใจอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ลบเลือนมันออกไปได้ในพริบตา และแสดงกิริยาว่ามองผ่านเลยไป ทำราวกับตัวตนของอีกฝ่ายไม่ได้สลักสำคัญอันใดต่อตน

                ความเงียบงันคลี่คลุมลงระหว่างทั้งคู่

                อึดใจนั้น ต่างฝ่ายต่างคล้ายกำลังรอคอย

                นายแบบหนุ่มมองเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์ไม่สมอายุจากด้านข้าง มองเงาเลือนรางของแพขนตาที่พาดลงบนผิวแก้ม เลื่อนสายตาลง... มองกลีบปากอิ่มซึ่งแตะสัมผัสอยู่กับมวนบุหรี่ที่กำลังลุกไหม้ และมอง...ละอองแสงสีแดงที่ค่อยๆ ลามเลียบุหรี่มวนนั้นให้ค่อยๆ หดสั้นลง...อย่างเชื่องช้า

                สายตาที่จดจ้องมองมา ในที่สุด...ก็กดดันจนคนถูกมองต้องกล่าวอะไรออกมาสักคำ

                “...มีอะไร?”

                จงอินไม่คิดว่าจะถูกถาม ดังนั้นจึงเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วค่อยพูดออกมา

                “...ผม...พร้อมจะทำงานแล้ว”

                “อ้อ?” เสียงทุ้มต่ำอันนุ่มนวลทว่าเจือแววเยาะเย้ยถากถางของช่างภาพหนุ่ม ทำให้ความรู้สึกวูบไหวคล้ายถูกมนต์สะกดของคนได้ยินปลาสนาการไปจนสิ้น นายแบบหนุ่มขบกรามแน่น ข่มความรู้สึกเสียหน้าและกล่าวคำที่ถูกสั่งให้มาพูดด้วยท่าทีราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขม

                “ขอโทษด้วยครับ ผม...จะไม่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนอย่างนี้อีก”           

                สิ้นประโยคขออภัยอันฝืดฝืนใจนั้น กลีบปากอิ่มงามของคนฟังก็บิดคลี่เป็นรอยยิ้มหยัน คยองซูปล่อยบุรี่ที่เหลืออยู่กว่าครึ่งของตนลงบนพื้น เหยียบย่ำให้สิ้นเชื้อไฟ ก่อนตบมือเรียวของตนลงบนบ่าลาดแข็งแกร่งของอีกฝ่ายสองสามครั้ง

                “หึ เป็นประโยคขอโทษที่จริงใจไม่เลว” ถ้อยคำนั้นแน่นอนว่าเป็นการประชดประชัน ดังนั้นใบหน้าคนฟังจึงยิ่งปั้นยากเข้าไปใหญ่ “ก็นะ ไหนๆ คุณก็อุตส่าห์ออกปากขนาดนี้แล้ว...”

    ดวงตาของหนุ่มน้อยคล้ายพร่าพราย เหมือนมองเห็นภาพผ่านกองไฟ ทว่าน่าตลกเหลือเกินที่โสตประสาทกลับยังคงได้ยินแจ่มชัดเสียทุกคำ

    “ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกซ้ำสอง...นะครับ...คุณไค”

                ดั่งเช่นน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ

    เพลิงโทสะค่อยๆ หลอมเหลวสิ่งที่เคยมีอยู่ยึดถือให้ละลาย ความถือตนและความหยิ่งยโสบนพื้นฐานของพรสวรรค์ของเขาไม่เคยถูกใครลบหลู่ดูหมิ่นซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงเพียงนี้มาก่อน...

    ชั่วขณะนั้นความรู้สึกในใจได้กลั่นออกมา คิมจงอินได้ให้สัญญากับตัวเอง

                ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร เขาก็จะทำให้โดคยองซูได้รู้สึกอับอาย ให้รู้สึกเสียหน้า ให้เขาได้เป็นฝ่ายหยันยามจนสาแก่ใจ จะต้องได้รับสิ่งเดียวกันกับที่เขาได้สัมผัสในวันนี้ หมื่นร้อยพันเท่าทบทวี

                และเป็นในวินาทีนี้...ที่เพลิงอัคคีแรกของสงคราม ได้ถูกจุดโชติชัชวาล

     

                และเพราะด้วยหนี้แค้นหนนั้น สัปดาห์ต่อมาในตอนที่ถูกเสนองานชิ้นหนึ่งมาให้ ยังไม่ทันรับทราบถึงรายละเอียดอื่นใด เพียงแค่เห็นชื่อของช่างภาพที่ระบุไว้ในเอกสาร นายแบบหนุ่มก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

                “เอาจริงน่ะ?”

                คิมจงแดถามเหมือนไม่แน่ใจ

                “ปกติเห็นไม่ชอบไปถ่ายแถวชานเมืองไม่ใช่เหรอ?”

                “เพิ่งสอบเสร็จเลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่ได้หรือ?”

                หาข้ออ้างบอกไปได้อย่างคล่องปาก ไม่เสียทีเลยที่เป็นคนทำงานในวงการอย่างนี้ จงอินยักไหล่ แสดงท่าทีเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร ผู้จัดการหนุ่มกำลังก้มลงพิจารณาเอกสารระบุรายละเอียดคร่าวๆ ของงาน ดังนั้นจึงไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มและแววตามาดร้ายที่ปรากฏขึ้นของนายแบบหนุ่มในความดูแล

                “ถ่ายนอกเมืองบ้างก็ดีเหมือนกัน น่าสนุกจะตายไป”

                แน่นอนว่าคำนั้น แท้จริง...ไม่ได้หมายถึงงานเลย

     

                วันถ่ายทำเมื่อมาถึง จงอินมาก่อนเวลาอย่างจงใจเล็กๆ ว่าจะประชดประชันคนที่คราวก่อนดุว่าเขาเสียหายให้ไม่มีโอกาสได้พูดอะไร

    และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย

    ในตอนที่ก้าวลงจากรถ บังเอิญได้ปะทะสายตาเข้ากลับช่างภาพหนุ่มที่กำลังสั่งงานสตาฟผู้ช่วยในกองเข้าพอดี ทางนั้นมองหน้าเขา เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วก้มมองดูนาฬิกา เผยรอยยิ้มเยาะหยันบนกลีบปากรูปหัวใจทรงเสน่ห์ ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้สักครึ่งคำ

    ยามเมื่อได้เห็นกิริยาอย่างนั้น จงอินที่คิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายได้วางท่าเขื่องโขกลับหงุดหงิดใจ

    “เป็นอะไรของนาย หงุดหงิดแต่เช้าเชียว”

    แรงตบบนไหล่ ทำให้นายแบบหนุ่มที่กำลังหงุดหงิดได้ที่หันไปมองเจ้าของมือ พอดีสบเข้ากับรอยยิ้มน้อยๆ อย่างคนรอชมเรื่องสนุกที่ระบายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์

    “ยุ่ง”

    จงอินปัดมือเรียวออก ทำตาเขียวใส่คนที่กำลังเริ่มต้นส่งเสียงหัวเราะ

    “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ฮึ โอเซฮุน”

    “ก็มาทำงานน่ะสิวะ” อีกฝ่ายตอบง่ายๆ ก่อนจะถูกผู้จัดการส่วนตัวเรียกให้ไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยรอการถ่ายทำ โอเซฮุนร้องรับเสียงเรียก หันมาดูสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านใจที่เห็นได้ไม่ง่ายของคนที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนที่มีอยู่อีกหน คลี่ยิ้มน่าชม

    “อยากรู้จังว่าทำไมไอ้หมีถึงได้ทำหน้าอย่างนี้ได้ ไว้เลิกงานไปหาอะไรดื่มกันไหม?” คิมจงอินกลอกตาเบื่อหน่าย ทว่าที่จริงก็ไม่ได้อารมณ์เสียกับความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนเท่าไหร่นัก ดังนั้นในที่สุดแล้วก็ยังพยักหน้าตอบรับว่าได้ ก่อนจะแยกไปเตรียมตัวในส่วนของตนเช่นกัน

    งานถ่ายแบบรอบนี้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของรถยุโรปนำเข้า ทั้งสองล้อและสี่ล้อ ดังนั้นเลยแบ่งออกเป็นสองชุดย่อย ภายใต้คอนเซ็ปต์ของเทพบุตรและปิศาจ ฝั่งเทพบุตรที่ประกอบด้วยนายแบบยอดนิยมสองคนนั้นน่ะไม่มีปัญหาอะไร ทันทีที่แต่งหน้าทำผมกันเสร็จ ก็เริ่มถ่ายกันได้เลย

    แต่ทางส่วนของปิศาจนี่สิ...

    จงอินเพ่งมองตัวเลขแสดงเวลาบนหน้าจอสมาร์ทโฟนเครื่องหรู ใบหน้าคมคายที่เดิมทีเรียบนิ่งเป็นวิสัย ตอนนี้ยังเพิ่มความเย็นชาอย่างหนึ่งเข้ามา

    พาร์ทเนอร์ที่จะถ่ายคู่กับเขาเลทมามากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว

    แต่กระนั้นนายแบบหนุ่มก็ไม่สามารถบ่นโวยวายอะไรได้มากนัก ในเมื่อเขาเองเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่ตรงเวลาอะไรเท่าไหร่ แถมพอตัวเองต้องมาเป็นฝ่ายรอบ้างอย่างนี้ จึงค่อยรับรู้ว่ารสชาติความไม่พอใจที่ถูกปล่อยให้รอโดยไม่มีจุดหมายนั้นมันเป็นอย่างไร

    “กำลังตามตัวทางนั้นอยู่ รออีกหน่อยนะจงอิน” ตอนที่พี่จงแดที่เป็นผู้จัดการเข้ามาปลอบอย่างนั้น จงอินก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับแกนๆ ละสายตาออกจากหน้าจอทัชสกรีนหันไปชมดูการถ่ายทำอีกครึ่งหนึ่งแทน

    นายแบบหนุ่มสองคนในชุดสูทลำลองสีขาวทั้งตัว คนหนึ่งเพิ่งจะขยับลงนั่งพัก ส่วนอีกคนประจำที่เรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็สามารถปั้นยิ้มกว้างขวาง แสดงกิริยานุ่มนวลชวนฝันเชื้อเชิญผู้หญิงในชุดวันพีซสีฟ้าอ่อนให้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน

                ท่วงทีราวกับเจ้าชายที่หลุดออกมาจากในนิทานก่อนนอนอย่างไรอย่างนั้น

                ทว่าจุดที่สายตาของจงอินจับอยู่ กลับไม่ใช่คนที่กำลังยืนอยู่หน้ากล้อง แต่เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

                ช่างภาพปากร้ายคนนั้นในเวลานี้ยิ้มกว้าง สีหน้าผ่อนคลายพึงใจ ออกปากชมนายแบบที่กำลังอยู่ได้ไม่ขาด

                “คริสดีมาก ค้างไว้อย่างนั้นก่อน คุณนางแบบรบกวนหันหน้ามาอีกนิดนะครับ...อ่า นั่นล่ะ”

                “ขออีกเซ็ตนะครับ แล้วเราค่อยพักกัน”

                คำพูดนุ่มนวลแบบนั้นมันอะไร จงอินฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ยังจำได้ดีนักถึงความสามารถทางการเยาะหยันประชดประชันของช่างภาพหนุ่มในครั้งก่อนที่ได้ร่วมงานกัน

     ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างขวางบนกลีบปากรูปหัวใจของทางนั้น เขาก็แค่นเสียง เฮอะ ออกมาหนึ่งคำ เบือนสายตาลงสนใจกับสมาร์ทโฟนในมือของตัวเองต่อ กดเล่นเกมเรื่อยเปื่อยไปแต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก ราวกับมีบางอย่างกวนใจอยู่ไม่หยุดหย่อน

    เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น เสียงวิ่งทั่กๆ ของใครบางคนก็ดึงดูดความสนใจของเขา และรวมถึงคนทั้งกองด้วย

    “ขอโทษที่มาสายนะครับ!

    ในที่สุดพาร์ทเนอร์ของเขาก็มาแล้วนั่นไง

    นายแบบหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองเห็นว่าใครคนหนึ่งก้มหน้าหอบหายใจอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่ เรือนผมสีปีกกาของทางนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผิวสีนมน้ำผึ้งเรื่อแดงขึ้นมาเล็กน้อยอย่างคนเพิ่งออกกำลัง และกลีบปากหยักสวยก็กำลังเผยอออกสูดอากาศหายใจ

    ทว่าร่างสูงกลับหยุดพักเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวคำขอโทษอีกหลายครั้ง ค้อมศีรษะลงแสดงท่าทีสำนึกผิดอย่างจริงใจ จนคนที่มองเห็นต่างก็โกรธเคืองไม่ลง

    คยองซูพรูลมหายใจ ออกปากบอกให้นายแบบนางแบบที่นั่งอยู่บนรถหรูเปิดประทุนให้พักก่อนเวลา แล้วค่อยถ่ายเซ็ตถัดไปกันใหม่ในอีกสิบห้านาทีข้างหน้า ร่างสูงสันทัดเดินเข้าไปหาผู้มาใหม่ ปั้นสีหน้าเรียบเฉย ทว่าก็ออกปากดุเพียงสองสามประโยค แล้วก็ไล่ให้อีกฝ่ายไปเตรียมตัว

                “ทำไมมาช้าอย่างนี้ฮึ? เทา?”

    “โทษทีจริงๆ นะ คยองซูอ่า...” เป็นอีกฝ่ายเสียอีกที่รู้สึกผิดไม่หาย ยังคงกล่าวคำขอโทษขอโพย ดวงตาเฉี่ยวคมที่สมควรจะดูดุเข้มเย็นชา เวลานี้กลับส่องประกายหงอยๆ อย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าน่าเอ็นดูสงสาร

    “เออๆ รู้แล้วๆ ไปเตรียมตัวไป” เขาโบกมือไล่อีกหน กิริยาเหมือนรำคาญใจ แต่จากน้ำเสียงก็บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้ถือสาหาความอะไรมากนัก ท่าทีอย่างนั้นยิ่งทำให้จงอินลอบเบะปากหนักกว่าเดิม

    “ลำเอียงชะมัด” นายแบบหนุ่มพึมพำ

    แน่ล่ะว่าเมื่อเอาเหตุการณ์เมื่อครู่ไปเปรียบเทียบกับคำดุว่าแสบทรวงที่เขาต้องเผชิญเมื่ออาทิตย์ก่อน ก็เห็นได้ชัดว่าช่างภาพปากร้ายคนนั้นปฏิบัติได้อย่างไม่เท่าเทียมถึงเพียงไหน สีหน้าขุ่นข้องใจที่แสดงออก ในยามที่คยองซูหันมามองเห็นยังต้องชะงักไปครู่หนึ่ง

    ทว่าเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไร อารมณ์ที่แสดงอยู่บนใบหน้ายังคงเป็นแบบเดิมไม่คลาย

    แต่ในจังหวะที่ก้าวเดินผ่านร่างสูงของทางนั้นเพื่อกลับไปทำงานของตนต่อ เสียงกระซิบเจือความเหยียดหยามอย่างหนึ่งก็ดังขึ้นแผ่วเบา ให้ได้ยินกันสองคน

    “อ้อ... นี่น่ะหรือการทำงานของผู้ใหญ่” นายแบบหนุ่มหัวเราะ ทว่าเสียงหัวเราะนั้นไร้ประกายความขบขันใดๆ “...แล้วผมจะจำไว้นะครับ คุณ-โด-คยอง-ซู

    คยองซูรู้หรอกว่าเขาทำตัวไม่เหมาะสม ทว่าเมื่อถูกคนอายุน้อยกว่าติเตือนอย่างนั้น ด้วยถ้อยความที่ไร้ความเคารพเกรงใจ ชายหนุ่มก็เชิดหน้าขึ้น สบสายตาวาววามของอีกฝ่ายโดยไม่คิดจะถอยแม้สักก้าวเดียว

    “นี่ล่ะครับ การทำงานของผู้ใหญ่ โตกว่านี้เมื่อไหร่แล้วคุณก็จะเข้าใจเอง”

    ตอกย้ำคำเยาะที่ว่าอีกฝ่ายยังเป็นเพียงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมในสายตาเขาให้ได้เจ็บใจ พลางใช้ไหล่กระแทกกระทบขณะเดินผ่านอย่างจงใจให้ได้เจ็บกาย

    ก้าวเดินละห่างทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่มองตาม

    รู้สึกได้ชัดเจนถึงสายตาแข็งกร้าวที่ตามติดมา ทว่าก็เลือกที่จะเมินเฉยไม่สนใจ ร้องบอกให้นายแบบหนุ่มและนางแบบสาวที่กำลังพักผ่อนให้เตรียมตัวถ่ายทำกันต่อ

    ทิ้งให้สงครามเล็กๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านมา และผ่านเลยไป

    ทำราวกับว่ามันไม่ค่าควรแม้แต่จะจดจำใส่ใจ ก็เป็นเพียงการหาเรื่องชวนทะเลาะอย่างเด็กๆ เท่านั้นเอง

     

    การทำงานดำเนินไปเหมือนจะราบรื่นตลอดทั้งวัน นายแบบทุกคนล้วนแต่เป็นงาน ช่างภาพเองก็จัดว่าชั้นหนึ่ง ดังนั้นถึงแม้จะมีการกระทบกระทั่งกันเบาๆ ระหว่างหนึ่งในนายแบบกับช่างภาพอย่างที่แทบไม่มีใครจับสังเกตเห็น แต่ไม่ว่าจะเป็นภาพเดี่ยวของแต่ละคน ภาพรวมเป็นคู่ หรือภาพที่จัดวางไว้ครบทั้งสี่คนให้ปรากฏเป็นสีขาวตัดกับสีดำ เป็นภาพลักษณ์ตามคอนเซ็ปต์ของเทพบุตรและปิศาจทรงเสน่ห์ก็ดูลงตัวเหมาะสมได้โดยอาศัยเวลาเพียงไม่นาน เวลาเลิกกองจึงเสร็จสิ้นลงเร็วกกว่าที่คาดกันไว้หลายชั่วโมง

    “ขอบคุณทุกคนสำหรับวันนี้นะครับ” หลังจากที่เอ่ยบอกเลิกกอง ให้ทุกคนแยกย้ายกันเก็บข้าวของและเตรียมตัวกลับ คยองซูก็กล่าวขอบคุณทีมงานอีกคำ แล้วค่อยหันไปจัดการกับอุปกรณ์ของตัวเอง เก็บไปได้ครู่เดียวเงาของใครบางคนก็พาดผ่านลงมาทับ เมื่อแรกคยองซูคิดว่าจะเป็นใครอีกคนที่มาหาเรื่องอีก แต่พอเงยหน้าขึ้นแล้วพบกับคนที่ส่งยิ้มมาให้เขาก็ขยับยิ้มส่งกลับไป

    เทาย่อกายสูงโปร่งนั้นลงนั่งข้างๆ มองดูเขาทำงาน แล้วชวนคุยไปด้วย

    “วันนี้โทษทีจริงๆ นะ ฉันมาเลทตั้งเกือบชั่วโมง”

    “เออน่ะ ก็บอกว่าไม่เป็นไร เลิกคิดมากได้แล้ว” หนึ่งในเหตุผลที่คยองซูไม่ค่อยได้ดุว่าอะไรอีกฝ่าย นอกจากว่าการมาสายครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่องานมากนัก ยังเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน

    แต่เหตุผลที่สำคัญกว่านั้น...

    “ฉันก็ผิดด้วยส่วนนึง ที่เมื่อวานจับแกกรอกเหล้าเยอะไปหน่อย”

    ช่างภาพหนุ่มว่าเสียงเบาลง ยิ้มทะเล้น เจตนาหยอกล้อกันแค่สองคน ไม่คาดว่ากลับมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในบทสนทนา

    “นี่มาสายเพราะงี้หรอกเหรอ?” แม้ในน้ำเสียงจะเปี่ยมไปด้วยการหยอกล้อ คล้ายกำลังเย้าเล่น ทว่าเนื้อเสียงนั้น ก็สามารถทำให้   คยองซูนิ่งไป

    “อ้าว จงอิน” เป็นนายแบบหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเขาที่เงยหน้าขึ้นมอง แล้วยิ้มแห้งส่งให้

    “ความแตกซะแล้ว” ว่าพลางเกาแก้มเก้อๆ “ไม่โกรธกันน้า จงอิน”

    “ผมจะโกรธไปทำไม คุณตากล้องเขายังไม่ว่าอะไรเลย” ประโยคนั้นปะปนด้วยเสียงหัวเราะ ทว่าท่ามกลางการพูดคุยทักทายที่ดูเหมือนเรื่อยเปื่อยไม่มีอะไรของนายแบบทั้งสอง ใบหน้าของอีกคนในวงสนทนากลับยิ่งเรียบนิ่งลงไป ในเมื่อประโยคเมื่อครู่นั้น...มีหรือไม่ใช่จะประชดเสียดสีเขาอย่างจงใจ

    ดวงตากลมเข้มคมของช่างภาพหนุ่มหลุบลง ขี้คร้านจะเสวนาต่อปากต่อคำเป็นเด็กๆ แล้ว ดังนั้นทันทีที่เก็บอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋าเสร็จสิ้น ก็รูดซิปปิดแล้วลุกขึ้นทันที

    “คุยกันไปก่อนละกัน ฉันกลับก่อนนะ มีธุระต่อนิดหน่อย”

    บอกข้ออ้างในการแยกตัวหนีเพียงเท่านั้น ใครจะไปคาดคิดว่าคู่ปรับอย่างคิมจงอินจะลุกยืนขึ้นตาม ส่งยิ้มไร้พิษภัยมาให้อย่างคาดไม่ถึง แล้วเอ่ยเสียงซื่อ

    “กระเป๋าคุณท่าทางจะหนัก ให้ผมช่วยถือไหมครับ คุณคยองซู” เจ้าของชื่อชะงักไป ยังไม่ทันตอบอะไร อีกฝ่ายก็ฉวยเอากระเป๋ากล้องที่เขาถืออยู่ไปไว้ในมือ ท่วงท่ากิริยากระตือรือร้นอย่างที่ถ้าปราศจากแววตาวับวาวมาดร้ายที่ทอประกายอยู่นั้น คยองซูก็คงจะคิดจริงๆ ว่าอีกฝ่ายมีน้ำใจอยากช่วยเหลือตนเหลือเกิน

    “คุณ!

    จะออกปากโวยวายกลางกองถ่ายให้คนสงสัยสอดรู้ก็ไม่ใช่เรื่อง หนำซ้ำถ้าอีกฝ่ายเกิดโมโหจะทำอะไรอุปกรณ์ในกระเป๋าเขาเรื่องจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ดังนั้นคยองซูจึงได้แต่ขบฟันลงกับริมฝีปาก ก้าวฝีเท้าตามอีกฝ่ายที่ค้อมศีรษะลงลานายแบบอีกคนที่กำลังนั่งงงๆ อยู่ แล้วออกเดินไปก่อน

    คล้อยหลังจากเทาได้ไม่ทันไร เขาก็พูดเสียงขุ่นเคืองใส่

    “เอากระเป๋าของผมคืนมา!

    ตรงข้ามกับอาการเดือดเนื้อร้อนใจแทบเป็นไฟของคยองซู คิมจงอินกลับนิ่งราวน้ำ...

    “แหม อย่าหงุดหงิดสิครับ ผมแค่อยากช่วยเท่านั้นเอง”

    ...แต่เป็นน้ำนิ่งที่ข้างใต้ไหลเชี่ยวน่ะนะ

    “อย่ามาโกหกหน่อยเลย!

    เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับอาการขุ่นเคืองของอีกฝ่าย กลับยังยิ้มแย้มถามอีกว่า

    “รถคุณอยู่ทางไหน?”

    คนที่ตกเป็นรองอยู่จะทำอะไรได้นอกจากชักสีหน้าโกรธเคืองใส่ แล้วชี้มือไปยังที่จอดรถของตัวเอง เมื่อทั้งคู่เดินห่างออกมาจากกองอีกระยะหนึ่ง รอยยิ้มใสซื่อจอมปลอมของคิมจงอินจึงได้คลายลง หลงเหลืออยู่แต่สีหน้าเรียบนิ่งที่เจือความเยาะหยันอย่างที่คยองซูคุ้นเคยมากกว่าเอาไว้

    ช่างภาพหนุ่มเห็นสีหน้าอย่างนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองใจร้อนเกินไป ดังนั้นจึงสงบความหงุดหงิดลง ระวังตัวมากขึ้น ทันทีที่ถึงรถก็ปลดล็อคแล้วขยับแยกไปอีกฝั่ง เปิดประตูแล้วสอดกายเข้านั่งหลังพวงมาลัย ติดเครื่องเตรียมพร้อมไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินใดๆ ทุกการกระทำล้วนไม่ปล่อยให้เกิดช่องว่างจะให้อีกฝ่ายฉกฉวยทำอะไรเขาได้เลย

    “วางเอาไว้บนเบาะแล้วจะไปไหนก็ไป”

    เขาร้องบอกในยามที่อีกฝ่ายเปิดประตูรถออกด้วยกิริยาเชื่องช้าจนน่าหงุดหงิดใจ

    แต่ไม่ได้คาดคิดว่าพอวางกระเป๋าลงเรียบร้อย แทนที่จงอินจะขยับถอยยอมรามือกลับไป ร่างสูงของอีกฝ่ายกลับขยับเข้ามาใกล้เสียแทน

    ช่างกล้องหนุ่มหลับตาลงตามสัญชาติญาณ ด้วยนึกว่าอีกฝ่ายจะทำร้าย

    ทว่าสัมผัสที่ได้รับ แม้หนัก...ทว่ายังร้อนด้วย บดขยี้กันปานจะทำให้แหลกไป

    ที่บนริมฝีปากของเขานี่เอง

    “อื้อ!

    คยองซูดิ้น จนใจที่ศีรษะถูกมือใหญ่จับยึดเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะทั้งทุบต่อย จิกปลายเล็บลงกับเนื้อหนังของอีกฝ่ายมากเท่าไร ทว่าจูบที่ไม่เหมือนจูบนั้นก็ยังดำเนินต่อไป ริมฝีปากหนาของอีกฝ่ายแค่บดเบียดอยู่ภายนอก ไม่ได้ล่วงลึกเข้ามาทว่ากลีบปากของชายหนุ่มก็ถูกบดจนปริแตก จนเลือดสดๆ เอ่อซึม

    กระทั่งเมื่อช่างภาพหนุ่มดึงสติของตนกลับมาได้ และพยายามที่จะกัดลงบนกลีบปากหยักหนาของผู้รุกราน คิมจงอินจึงค่อยถอนสัมผัสของตนออกไป

    มองใบหน้าขาวที่แดงก่ำของอีกฝ่าย หัวใจในอกข้างซ้ายก็เต้นรัวเร็วขึ้นมา ความรู้สึกลำพองของการเป็นผู้ชนะเอิบอาบทั่วกาย

    จงอินยังไม่ลืมยิ้มเยาะใส่ ขณะที่ขยับตัวออกจากรถยนต์คันหรู

    “ถือว่าเป็นค่าแรงยกของของผมแล้วกัน”

    ประตูรถถูกปิดลง ไม่หนักไม่เบา ทว่าคยองซูที่หูอื้ออึงไปนั้นแทบไม่ได้ยิน สีหน้าเหนือกว่าแสนอวดดีนั้นยังคงลอยวนอยู่ในห้วงภวังค์ และในที่สุดช่างภาพหนุ่มก็ทุบหมัดลงกับพวงมาลัยเพื่อระบายความเจ็บใจ

    “มันจะมากเกินไปแล้ว คิมจงอิน!

              ชายหนุ่มคำรามในลำคอ

                ไม่ได้รู้เลยว่า... อีกด้านหนึ่งนั้น คนที่เดินจากไป...กำลังถือกระดาษแผ่นเล็กแผ่นหนึ่งไว้ในมือ

                กระดาษใบนั้น...คลับคล้ายว่าจะเป็นนามบัตรของคนที่เขาเพิ่งจูบไปเมื่อครู่นี้  เป็นของที่หยิบฉวยเอามาจากช่องใส่ของจุกจิกที่ข้างเกียร์โดยไม่ได้ขออนุญาตแต่อย่างใด

                คิมจงอินคลี่ยิ้มมาดร้าย มองชื่อ และหมายเลขสิบหลักที่ถูกพิมพ์ด้วยหมึกอย่างดีบนแผ่นกระดาษมีราคา

                ก็อย่างที่เขาเคยบอกไว้นั่นล่ะว่า...

                สงครามระหว่างเรา มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง...


     


    To be continued

    เริ่มเขียนก่อนก็ยังเสร็จทีหลังอะ พี่ชลแม่ม ปิศา--- เอ๊ย เครื่องจักรเขียนฟิคมากๆ

    #ฟิคดำks




     

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×