คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Niger - I
I
“ออกไปขอโทษเขาซะ” จงอินฟังคำพูดจากผู้จัดการส่วนตัวแล้วขมวดคิ้วแน่น
“พี่จงแด!” เขาร้องประท้วงทำสีหน้าสื่อความหมายไม่ยินยอมพร้อมใจ ทว่าสายตาคาดคั้นที่ไม่ยอมถอนออก ก็ทำให้หนุ่มน้อยจำเป็นต้องพ่นลมหายใจแรงๆ อย่างหัวเสีย วางแก้วน้ำดื่มเย็นเฉียบที่พร่องลงยังไม่ถึงครึ่งของตัวลง ก่อนที่จะเดินฟึดฟัดออกไปจากโกดังที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ
ช่างภาพปากร้ายที่เดินออกมาก่อนคนนั้นไม่ได้หาตัวยากนัก เพราะเพียงแรกก้าวออกจากประตู สายลมก็หอบนำเอากลิ่นบุหรี่เจือจางให้ลอยมาแตะจมูก หันหน้าไปตามต้นลม ที่ต้นตอของกลิ่นมิ้นท์และเขม่าควันจางๆ นั้น ร่างสมส่วนสันทัดของชายหนุ่มก็ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล
เขาย่ำเท้าสาวเข้าหา สีหน้ายังคงเจือความหงุดหงิดใจ
ทว่าเมื่อเข้าไปใกล้พอ...
สิ่งที่ได้เห็นด้วยสองตา...แม้แต่นายแบบผู้ซึ่งเคยพบเจอผู้คนหน้าตางดงามมาหลากหลายก็ยังต้องชะงักลงชั่วครู่
ดวงหน้าคมอ่อนเยาว์ของช่างกล้องหนุ่มตรงหน้าเขา แม้ไม่ได้งดงามหล่อเหลาจนสามารถใช้คำว่าไร้ที่ติได้ ทว่าก็ยังคงต้องบอกว่าน่ามอง... ดวงตากลมคมสุกใสคู่นั้นจดจ้องอยู่กับนาฬิกาข้อมือโลหะเรือนงาม ระหว่างกลีบปากอิ่มเต็มสีอ่อนแทรกไว้ด้วยมวนบุหรี่ที่ส่วนปลายติดไฟแดงฉาน และม่านควันบางเบาที่รุมรอบอีกฝ่ายไว้...
ทั้งหมดประกอบกัน...ให้กลายเป็นราวกับภาพวาดมายาอันไม่สามารถจับต้อง
จงอินถูกสะกดไปชั่วครู่...สั้นๆ...
และก็เป็นชั่วครู่นั้น ที่เพียงพอจะทำให้ดวงตากลมคมเงยขึ้นจากนาฬิกา
คยองซูแตะปลายนิ้วเรียวประคองมวนบุหรี่ไว้ สูดเอาไอควันเข้าปอดแล้วจึงพร่างพรูออก ชั่วขณะนั้น หางตาก็พลันเหลือบเห็นบางสิ่ง...บางคนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้คงอยู่
ชายหนุ่มเบือนหน้ามอง สานสายตาประสบเข้าหากัน และนั่นก็ทำให้จงอินรู้สึกตัว ว่าได้เผลอหลงคล้อยไปชั่วพริบตาอย่างน่าเจ็บใจ ความรู้สึกนั้นยิ่งถ่วงรั้งให้คำที่ถูกบอกให้มาพูดกล่าวหนักอึ้ง...ล่วงผ่านเรียวปากออกมาไม่ได้เสียที
คนอายุมากกว่าเองก็ไม่ได้คิดจะกล่าวอะไร ตอนที่มองผ่านมาเห็นร่างสูงของนายแบบหนุ่ม เมื่อแรกแม้จะนึกแปลกใจอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ลบเลือนมันออกไปได้ในพริบตา และแสดงกิริยาว่ามองผ่านเลยไป ทำราวกับตัวตนของอีกฝ่ายไม่ได้สลักสำคัญอันใดต่อตน
ความเงียบงันคลี่คลุมลงระหว่างทั้งคู่
อึดใจนั้น ต่างฝ่ายต่างคล้ายกำลังรอคอย
นายแบบหนุ่มมองเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์ไม่สมอายุจากด้านข้าง มองเงาเลือนรางของแพขนตาที่พาดลงบนผิวแก้ม เลื่อนสายตาลง... มองกลีบปากอิ่มซึ่งแตะสัมผัสอยู่กับมวนบุหรี่ที่กำลังลุกไหม้ และมอง...ละอองแสงสีแดงที่ค่อยๆ ลามเลียบุหรี่มวนนั้นให้ค่อยๆ หดสั้นลง...อย่างเชื่องช้า
สายตาที่จดจ้องมองมา ในที่สุด...ก็กดดันจนคนถูกมองต้องกล่าวอะไรออกมาสักคำ
“...มีอะไร?”
จงอินไม่คิดว่าจะถูกถาม ดังนั้นจึงเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วค่อยพูดออกมา
“...ผม...พร้อมจะทำงานแล้ว”
“อ้อ?” เสียงทุ้มต่ำอันนุ่มนวลทว่าเจือแววเยาะเย้ยถากถางของช่างภาพหนุ่ม ทำให้ความรู้สึกวูบไหวคล้ายถูกมนต์สะกดของคนได้ยินปลาสนาการไปจนสิ้น นายแบบหนุ่มขบกรามแน่น ข่มความรู้สึกเสียหน้าและกล่าวคำที่ถูกสั่งให้มาพูดด้วยท่าทีราวกับถูกบังคับให้กลืนยาขม
“ขอโทษด้วยครับ ผม...จะไม่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนอย่างนี้อีก”
สิ้นประโยคขออภัยอันฝืดฝืนใจนั้น กลีบปากอิ่มงามของคนฟังก็บิดคลี่เป็นรอยยิ้มหยัน คยองซูปล่อยบุรี่ที่เหลืออยู่กว่าครึ่งของตนลงบนพื้น เหยียบย่ำให้สิ้นเชื้อไฟ ก่อนตบมือเรียวของตนลงบนบ่าลาดแข็งแกร่งของอีกฝ่ายสองสามครั้ง
“หึ เป็นประโยคขอโทษที่จริงใจไม่เลว” ถ้อยคำนั้นแน่นอนว่าเป็นการประชดประชัน ดังนั้นใบหน้าคนฟังจึงยิ่งปั้นยากเข้าไปใหญ่ “ก็นะ ไหนๆ คุณก็อุตส่าห์ออกปากขนาดนี้แล้ว...”
ดวงตาของหนุ่มน้อยคล้ายพร่าพราย เหมือนมองเห็นภาพผ่านกองไฟ ทว่าน่าตลกเหลือเกินที่โสตประสาทกลับยังคงได้ยินแจ่มชัดเสียทุกคำ
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกซ้ำสอง...นะครับ...คุณไค”
ดั่งเช่นน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ
เพลิงโทสะค่อยๆ หลอมเหลวสิ่งที่เคยมีอยู่ยึดถือให้ละลาย ความถือตนและความหยิ่งยโสบนพื้นฐานของพรสวรรค์ของเขาไม่เคยถูกใครลบหลู่ดูหมิ่นซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงเพียงนี้มาก่อน...
ชั่วขณะนั้นความรู้สึกในใจได้กลั่นออกมา คิมจงอินได้ให้สัญญากับตัวเอง
ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร เขาก็จะทำให้โดคยองซูได้รู้สึกอับอาย ให้รู้สึกเสียหน้า ให้เขาได้เป็นฝ่ายหยันยามจนสาแก่ใจ จะต้องได้รับสิ่งเดียวกันกับที่เขาได้สัมผัสในวันนี้ หมื่นร้อยพันเท่าทบทวี
และเป็นในวินาทีนี้...ที่เพลิงอัคคีแรกของสงคราม ได้ถูกจุดโชติชัชวาล
และเพราะด้วยหนี้แค้นหนนั้น สัปดาห์ต่อมาในตอนที่ถูกเสนองานชิ้นหนึ่งมาให้ ยังไม่ทันรับทราบถึงรายละเอียดอื่นใด เพียงแค่เห็นชื่อของช่างภาพที่ระบุไว้ในเอกสาร นายแบบหนุ่มก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
“เอาจริงน่ะ?”
คิมจงแดถามเหมือนไม่แน่ใจ
“ปกติเห็นไม่ชอบไปถ่ายแถวชานเมืองไม่ใช่เหรอ?”
“เพิ่งสอบเสร็จเลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่ได้หรือ?”
หาข้ออ้างบอกไปได้อย่างคล่องปาก ไม่เสียทีเลยที่เป็นคนทำงานในวงการอย่างนี้ จงอินยักไหล่ แสดงท่าทีเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร ผู้จัดการหนุ่มกำลังก้มลงพิจารณาเอกสารระบุรายละเอียดคร่าวๆ ของงาน ดังนั้นจึงไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มและแววตามาดร้ายที่ปรากฏขึ้นของนายแบบหนุ่มในความดูแล
“ถ่ายนอกเมืองบ้างก็ดีเหมือนกัน น่าสนุกจะตายไป”
แน่นอนว่าคำนั้น แท้จริง...ไม่ได้หมายถึงงานเลย
วันถ่ายทำเมื่อมาถึง จงอินมาก่อนเวลาอย่างจงใจเล็กๆ ว่าจะประชดประชันคนที่คราวก่อนดุว่าเขาเสียหายให้ไม่มีโอกาสได้พูดอะไร
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย
ในตอนที่ก้าวลงจากรถ บังเอิญได้ปะทะสายตาเข้ากลับช่างภาพหนุ่มที่กำลังสั่งงานสตาฟผู้ช่วยในกองเข้าพอดี ทางนั้นมองหน้าเขา เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วก้มมองดูนาฬิกา เผยรอยยิ้มเยาะหยันบนกลีบปากรูปหัวใจทรงเสน่ห์ ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้สักครึ่งคำ
ยามเมื่อได้เห็นกิริยาอย่างนั้น จงอินที่คิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายได้วางท่าเขื่องโขกลับหงุดหงิดใจ
“เป็นอะไรของนาย หงุดหงิดแต่เช้าเชียว”
แรงตบบนไหล่ ทำให้นายแบบหนุ่มที่กำลังหงุดหงิดได้ที่หันไปมองเจ้าของมือ พอดีสบเข้ากับรอยยิ้มน้อยๆ อย่างคนรอชมเรื่องสนุกที่ระบายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์
“ยุ่ง”
จงอินปัดมือเรียวออก ทำตาเขียวใส่คนที่กำลังเริ่มต้นส่งเสียงหัวเราะ
“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ฮึ โอเซฮุน”
“ก็มาทำงานน่ะสิวะ” อีกฝ่ายตอบง่ายๆ ก่อนจะถูกผู้จัดการส่วนตัวเรียกให้ไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยรอการถ่ายทำ โอเซฮุนร้องรับเสียงเรียก หันมาดูสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านใจที่เห็นได้ไม่ง่ายของคนที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนที่มีอยู่อีกหน คลี่ยิ้มน่าชม
“อยากรู้จังว่าทำไมไอ้หมีถึงได้ทำหน้าอย่างนี้ได้ ไว้เลิกงานไปหาอะไรดื่มกันไหม?” คิมจงอินกลอกตาเบื่อหน่าย ทว่าที่จริงก็ไม่ได้อารมณ์เสียกับความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนเท่าไหร่นัก ดังนั้นในที่สุดแล้วก็ยังพยักหน้าตอบรับว่าได้ ก่อนจะแยกไปเตรียมตัวในส่วนของตนเช่นกัน
งานถ่ายแบบรอบนี้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของรถยุโรปนำเข้า ทั้งสองล้อและสี่ล้อ ดังนั้นเลยแบ่งออกเป็นสองชุดย่อย ภายใต้คอนเซ็ปต์ของเทพบุตรและปิศาจ ฝั่งเทพบุตรที่ประกอบด้วยนายแบบยอดนิยมสองคนนั้นน่ะไม่มีปัญหาอะไร ทันทีที่แต่งหน้าทำผมกันเสร็จ ก็เริ่มถ่ายกันได้เลย
แต่ทางส่วนของปิศาจนี่สิ...
จงอินเพ่งมองตัวเลขแสดงเวลาบนหน้าจอสมาร์ทโฟนเครื่องหรู ใบหน้าคมคายที่เดิมทีเรียบนิ่งเป็นวิสัย ตอนนี้ยังเพิ่มความเย็นชาอย่างหนึ่งเข้ามา
พาร์ทเนอร์ที่จะถ่ายคู่กับเขาเลทมามากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว
แต่กระนั้นนายแบบหนุ่มก็ไม่สามารถบ่นโวยวายอะไรได้มากนัก ในเมื่อเขาเองเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่ตรงเวลาอะไรเท่าไหร่ แถมพอตัวเองต้องมาเป็นฝ่ายรอบ้างอย่างนี้ จึงค่อยรับรู้ว่ารสชาติความไม่พอใจที่ถูกปล่อยให้รอโดยไม่มีจุดหมายนั้นมันเป็นอย่างไร
“กำลังตามตัวทางนั้นอยู่ รออีกหน่อยนะจงอิน” ตอนที่พี่จงแดที่เป็นผู้จัดการเข้ามาปลอบอย่างนั้น จงอินก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับแกนๆ ละสายตาออกจากหน้าจอทัชสกรีนหันไปชมดูการถ่ายทำอีกครึ่งหนึ่งแทน
นายแบบหนุ่มสองคนในชุดสูทลำลองสีขาวทั้งตัว คนหนึ่งเพิ่งจะขยับลงนั่งพัก ส่วนอีกคนประจำที่เรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็สามารถปั้นยิ้มกว้างขวาง แสดงกิริยานุ่มนวลชวนฝันเชื้อเชิญผู้หญิงในชุดวันพีซสีฟ้าอ่อนให้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ท่วงทีราวกับเจ้าชายที่หลุดออกมาจากในนิทานก่อนนอนอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าจุดที่สายตาของจงอินจับอยู่ กลับไม่ใช่คนที่กำลังยืนอยู่หน้ากล้อง แต่เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ช่างภาพปากร้ายคนนั้นในเวลานี้ยิ้มกว้าง สีหน้าผ่อนคลายพึงใจ ออกปากชมนายแบบที่กำลังอยู่ได้ไม่ขาด
“คริสดีมาก ค้างไว้อย่างนั้นก่อน คุณนางแบบรบกวนหันหน้ามาอีกนิดนะครับ...อ่า นั่นล่ะ”
“ขออีกเซ็ตนะครับ แล้วเราค่อยพักกัน”
คำพูดนุ่มนวลแบบนั้นมันอะไร จงอินฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ยังจำได้ดีนักถึงความสามารถทางการเยาะหยันประชดประชันของช่างภาพหนุ่มในครั้งก่อนที่ได้ร่วมงานกัน
ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างขวางบนกลีบปากรูปหัวใจของทางนั้น เขาก็แค่นเสียง เฮอะ ออกมาหนึ่งคำ เบือนสายตาลงสนใจกับสมาร์ทโฟนในมือของตัวเองต่อ กดเล่นเกมเรื่อยเปื่อยไปแต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก ราวกับมีบางอย่างกวนใจอยู่ไม่หยุดหย่อน
เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น เสียงวิ่งทั่กๆ ของใครบางคนก็ดึงดูดความสนใจของเขา และรวมถึงคนทั้งกองด้วย
“ขอโทษที่มาสายนะครับ!”
ในที่สุดพาร์ทเนอร์ของเขาก็มาแล้วนั่นไง
นายแบบหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองเห็นว่าใครคนหนึ่งก้มหน้าหอบหายใจอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่ เรือนผมสีปีกกาของทางนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผิวสีนมน้ำผึ้งเรื่อแดงขึ้นมาเล็กน้อยอย่างคนเพิ่งออกกำลัง และกลีบปากหยักสวยก็กำลังเผยอออกสูดอากาศหายใจ
ทว่าร่างสูงกลับหยุดพักเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวคำขอโทษอีกหลายครั้ง ค้อมศีรษะลงแสดงท่าทีสำนึกผิดอย่างจริงใจ จนคนที่มองเห็นต่างก็โกรธเคืองไม่ลง
คยองซูพรูลมหายใจ ออกปากบอกให้นายแบบนางแบบที่นั่งอยู่บนรถหรูเปิดประทุนให้พักก่อนเวลา แล้วค่อยถ่ายเซ็ตถัดไปกันใหม่ในอีกสิบห้านาทีข้างหน้า ร่างสูงสันทัดเดินเข้าไปหาผู้มาใหม่ ปั้นสีหน้าเรียบเฉย ทว่าก็ออกปากดุเพียงสองสามประโยค แล้วก็ไล่ให้อีกฝ่ายไปเตรียมตัว
“ทำไมมาช้าอย่างนี้ฮึ? เทา?”
“โทษทีจริงๆ นะ คยองซูอ่า...” เป็นอีกฝ่ายเสียอีกที่รู้สึกผิดไม่หาย ยังคงกล่าวคำขอโทษขอโพย ดวงตาเฉี่ยวคมที่สมควรจะดูดุเข้มเย็นชา เวลานี้กลับส่องประกายหงอยๆ อย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าน่าเอ็นดูสงสาร
“เออๆ รู้แล้วๆ ไปเตรียมตัวไป” เขาโบกมือไล่อีกหน กิริยาเหมือนรำคาญใจ แต่จากน้ำเสียงก็บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้ถือสาหาความอะไรมากนัก ท่าทีอย่างนั้นยิ่งทำให้จงอินลอบเบะปากหนักกว่าเดิม
“ลำเอียงชะมัด” นายแบบหนุ่มพึมพำ
แน่ล่ะว่าเมื่อเอาเหตุการณ์เมื่อครู่ไปเปรียบเทียบกับคำดุว่าแสบทรวงที่เขาต้องเผชิญเมื่ออาทิตย์ก่อน ก็เห็นได้ชัดว่าช่างภาพปากร้ายคนนั้นปฏิบัติได้อย่างไม่เท่าเทียมถึงเพียงไหน สีหน้าขุ่นข้องใจที่แสดงออก ในยามที่คยองซูหันมามองเห็นยังต้องชะงักไปครู่หนึ่ง
ทว่าเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไร อารมณ์ที่แสดงอยู่บนใบหน้ายังคงเป็นแบบเดิมไม่คลาย
แต่ในจังหวะที่ก้าวเดินผ่านร่างสูงของทางนั้นเพื่อกลับไปทำงานของตนต่อ เสียงกระซิบเจือความเหยียดหยามอย่างหนึ่งก็ดังขึ้นแผ่วเบา ให้ได้ยินกันสองคน
“อ้อ... นี่น่ะหรือการทำงานของผู้ใหญ่” นายแบบหนุ่มหัวเราะ ทว่าเสียงหัวเราะนั้นไร้ประกายความขบขันใดๆ “...แล้วผมจะจำไว้นะครับ คุณ-โด-คยอง-ซู”
คยองซูรู้หรอกว่าเขาทำตัวไม่เหมาะสม ทว่าเมื่อถูกคนอายุน้อยกว่าติเตือนอย่างนั้น ด้วยถ้อยความที่ไร้ความเคารพเกรงใจ ชายหนุ่มก็เชิดหน้าขึ้น สบสายตาวาววามของอีกฝ่ายโดยไม่คิดจะถอยแม้สักก้าวเดียว
“นี่ล่ะครับ การทำงานของผู้ใหญ่ โตกว่านี้เมื่อไหร่แล้วคุณก็จะเข้าใจเอง”
ตอกย้ำคำเยาะที่ว่าอีกฝ่ายยังเป็นเพียงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมในสายตาเขาให้ได้เจ็บใจ พลางใช้ไหล่กระแทกกระทบขณะเดินผ่านอย่างจงใจให้ได้เจ็บกาย
ก้าวเดินละห่างทิ้งให้อีกฝ่ายได้แต่มองตาม
รู้สึกได้ชัดเจนถึงสายตาแข็งกร้าวที่ตามติดมา ทว่าก็เลือกที่จะเมินเฉยไม่สนใจ ร้องบอกให้นายแบบหนุ่มและนางแบบสาวที่กำลังพักผ่อนให้เตรียมตัวถ่ายทำกันต่อ
ทิ้งให้สงครามเล็กๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านมา และผ่านเลยไป
ทำราวกับว่ามันไม่ค่าควรแม้แต่จะจดจำใส่ใจ ก็เป็นเพียงการหาเรื่องชวนทะเลาะอย่างเด็กๆ เท่านั้นเอง
การทำงานดำเนินไปเหมือนจะราบรื่นตลอดทั้งวัน นายแบบทุกคนล้วนแต่เป็นงาน ช่างภาพเองก็จัดว่าชั้นหนึ่ง ดังนั้นถึงแม้จะมีการกระทบกระทั่งกันเบาๆ ระหว่างหนึ่งในนายแบบกับช่างภาพอย่างที่แทบไม่มีใครจับสังเกตเห็น แต่ไม่ว่าจะเป็นภาพเดี่ยวของแต่ละคน ภาพรวมเป็นคู่ หรือภาพที่จัดวางไว้ครบทั้งสี่คนให้ปรากฏเป็นสีขาวตัดกับสีดำ เป็นภาพลักษณ์ตามคอนเซ็ปต์ของเทพบุตรและปิศาจทรงเสน่ห์ก็ดูลงตัวเหมาะสมได้โดยอาศัยเวลาเพียงไม่นาน เวลาเลิกกองจึงเสร็จสิ้นลงเร็วกกว่าที่คาดกันไว้หลายชั่วโมง
“ขอบคุณทุกคนสำหรับวันนี้นะครับ” หลังจากที่เอ่ยบอกเลิกกอง ให้ทุกคนแยกย้ายกันเก็บข้าวของและเตรียมตัวกลับ คยองซูก็กล่าวขอบคุณทีมงานอีกคำ แล้วค่อยหันไปจัดการกับอุปกรณ์ของตัวเอง เก็บไปได้ครู่เดียวเงาของใครบางคนก็พาดผ่านลงมาทับ เมื่อแรกคยองซูคิดว่าจะเป็นใครอีกคนที่มาหาเรื่องอีก แต่พอเงยหน้าขึ้นแล้วพบกับคนที่ส่งยิ้มมาให้เขาก็ขยับยิ้มส่งกลับไป
เทาย่อกายสูงโปร่งนั้นลงนั่งข้างๆ มองดูเขาทำงาน แล้วชวนคุยไปด้วย
“วันนี้โทษทีจริงๆ นะ ฉันมาเลทตั้งเกือบชั่วโมง”
“เออน่ะ ก็บอกว่าไม่เป็นไร เลิกคิดมากได้แล้ว” หนึ่งในเหตุผลที่คยองซูไม่ค่อยได้ดุว่าอะไรอีกฝ่าย นอกจากว่าการมาสายครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่องานมากนัก ยังเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน
แต่เหตุผลที่สำคัญกว่านั้น...
“ฉันก็ผิดด้วยส่วนนึง ที่เมื่อวานจับแกกรอกเหล้าเยอะไปหน่อย”
ช่างภาพหนุ่มว่าเสียงเบาลง ยิ้มทะเล้น เจตนาหยอกล้อกันแค่สองคน ไม่คาดว่ากลับมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในบทสนทนา
“นี่มาสายเพราะงี้หรอกเหรอ?” แม้ในน้ำเสียงจะเปี่ยมไปด้วยการหยอกล้อ คล้ายกำลังเย้าเล่น ทว่าเนื้อเสียงนั้น ก็สามารถทำให้ คยองซูนิ่งไป
“อ้าว จงอิน” เป็นนายแบบหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเขาที่เงยหน้าขึ้นมอง แล้วยิ้มแห้งส่งให้
“ความแตกซะแล้ว” ว่าพลางเกาแก้มเก้อๆ “ไม่โกรธกันน้า จงอิน”
“ผมจะโกรธไปทำไม คุณตากล้องเขายังไม่ว่าอะไรเลย” ประโยคนั้นปะปนด้วยเสียงหัวเราะ ทว่าท่ามกลางการพูดคุยทักทายที่ดูเหมือนเรื่อยเปื่อยไม่มีอะไรของนายแบบทั้งสอง ใบหน้าของอีกคนในวงสนทนากลับยิ่งเรียบนิ่งลงไป ในเมื่อประโยคเมื่อครู่นั้น...มีหรือไม่ใช่จะประชดเสียดสีเขาอย่างจงใจ
ดวงตากลมเข้มคมของช่างภาพหนุ่มหลุบลง ขี้คร้านจะเสวนาต่อปากต่อคำเป็นเด็กๆ แล้ว ดังนั้นทันทีที่เก็บอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋าเสร็จสิ้น ก็รูดซิปปิดแล้วลุกขึ้นทันที
“คุยกันไปก่อนละกัน ฉันกลับก่อนนะ มีธุระต่อนิดหน่อย”
บอกข้ออ้างในการแยกตัวหนีเพียงเท่านั้น ใครจะไปคาดคิดว่าคู่ปรับอย่างคิมจงอินจะลุกยืนขึ้นตาม ส่งยิ้มไร้พิษภัยมาให้อย่างคาดไม่ถึง แล้วเอ่ยเสียงซื่อ
“กระเป๋าคุณท่าทางจะหนัก ให้ผมช่วยถือไหมครับ คุณคยองซู” เจ้าของชื่อชะงักไป ยังไม่ทันตอบอะไร อีกฝ่ายก็ฉวยเอากระเป๋ากล้องที่เขาถืออยู่ไปไว้ในมือ ท่วงท่ากิริยากระตือรือร้นอย่างที่ถ้าปราศจากแววตาวับวาวมาดร้ายที่ทอประกายอยู่นั้น คยองซูก็คงจะคิดจริงๆ ว่าอีกฝ่ายมีน้ำใจอยากช่วยเหลือตนเหลือเกิน
“คุณ!”
จะออกปากโวยวายกลางกองถ่ายให้คนสงสัยสอดรู้ก็ไม่ใช่เรื่อง หนำซ้ำถ้าอีกฝ่ายเกิดโมโหจะทำอะไรอุปกรณ์ในกระเป๋าเขาเรื่องจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ดังนั้นคยองซูจึงได้แต่ขบฟันลงกับริมฝีปาก ก้าวฝีเท้าตามอีกฝ่ายที่ค้อมศีรษะลงลานายแบบอีกคนที่กำลังนั่งงงๆ อยู่ แล้วออกเดินไปก่อน
คล้อยหลังจากเทาได้ไม่ทันไร เขาก็พูดเสียงขุ่นเคืองใส่
“เอากระเป๋าของผมคืนมา!”
ตรงข้ามกับอาการเดือดเนื้อร้อนใจแทบเป็นไฟของคยองซู คิมจงอินกลับนิ่งราวน้ำ...
“แหม อย่าหงุดหงิดสิครับ ผมแค่อยากช่วยเท่านั้นเอง”
...แต่เป็นน้ำนิ่งที่ข้างใต้ไหลเชี่ยวน่ะนะ
“อย่ามาโกหกหน่อยเลย!”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับอาการขุ่นเคืองของอีกฝ่าย กลับยังยิ้มแย้มถามอีกว่า
“รถคุณอยู่ทางไหน?”
คนที่ตกเป็นรองอยู่จะทำอะไรได้นอกจากชักสีหน้าโกรธเคืองใส่ แล้วชี้มือไปยังที่จอดรถของตัวเอง เมื่อทั้งคู่เดินห่างออกมาจากกองอีกระยะหนึ่ง รอยยิ้มใสซื่อจอมปลอมของคิมจงอินจึงได้คลายลง หลงเหลืออยู่แต่สีหน้าเรียบนิ่งที่เจือความเยาะหยันอย่างที่คยองซูคุ้นเคยมากกว่าเอาไว้
ช่างภาพหนุ่มเห็นสีหน้าอย่างนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองใจร้อนเกินไป ดังนั้นจึงสงบความหงุดหงิดลง ระวังตัวมากขึ้น ทันทีที่ถึงรถก็ปลดล็อคแล้วขยับแยกไปอีกฝั่ง เปิดประตูแล้วสอดกายเข้านั่งหลังพวงมาลัย ติดเครื่องเตรียมพร้อมไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินใดๆ ทุกการกระทำล้วนไม่ปล่อยให้เกิดช่องว่างจะให้อีกฝ่ายฉกฉวยทำอะไรเขาได้เลย
“วางเอาไว้บนเบาะแล้วจะไปไหนก็ไป”
เขาร้องบอกในยามที่อีกฝ่ายเปิดประตูรถออกด้วยกิริยาเชื่องช้าจนน่าหงุดหงิดใจ
แต่ไม่ได้คาดคิดว่าพอวางกระเป๋าลงเรียบร้อย แทนที่จงอินจะขยับถอยยอมรามือกลับไป ร่างสูงของอีกฝ่ายกลับขยับเข้ามาใกล้เสียแทน
ช่างกล้องหนุ่มหลับตาลงตามสัญชาติญาณ ด้วยนึกว่าอีกฝ่ายจะทำร้าย
ทว่าสัมผัสที่ได้รับ แม้หนัก...ทว่ายังร้อนด้วย บดขยี้กันปานจะทำให้แหลกไป
ที่บนริมฝีปากของเขานี่เอง
“อื้อ!”
คยองซูดิ้น จนใจที่ศีรษะถูกมือใหญ่จับยึดเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะทั้งทุบต่อย จิกปลายเล็บลงกับเนื้อหนังของอีกฝ่ายมากเท่าไร ทว่าจูบที่ไม่เหมือนจูบนั้นก็ยังดำเนินต่อไป ริมฝีปากหนาของอีกฝ่ายแค่บดเบียดอยู่ภายนอก ไม่ได้ล่วงลึกเข้ามาทว่ากลีบปากของชายหนุ่มก็ถูกบดจนปริแตก จนเลือดสดๆ เอ่อซึม
กระทั่งเมื่อช่างภาพหนุ่มดึงสติของตนกลับมาได้ และพยายามที่จะกัดลงบนกลีบปากหยักหนาของผู้รุกราน คิมจงอินจึงค่อยถอนสัมผัสของตนออกไป
มองใบหน้าขาวที่แดงก่ำของอีกฝ่าย หัวใจในอกข้างซ้ายก็เต้นรัวเร็วขึ้นมา ความรู้สึกลำพองของการเป็นผู้ชนะเอิบอาบทั่วกาย
จงอินยังไม่ลืมยิ้มเยาะใส่ ขณะที่ขยับตัวออกจากรถยนต์คันหรู
“ถือว่าเป็นค่าแรงยกของของผมแล้วกัน”
ประตูรถถูกปิดลง ไม่หนักไม่เบา ทว่าคยองซูที่หูอื้ออึงไปนั้นแทบไม่ได้ยิน สีหน้าเหนือกว่าแสนอวดดีนั้นยังคงลอยวนอยู่ในห้วงภวังค์ และในที่สุดช่างภาพหนุ่มก็ทุบหมัดลงกับพวงมาลัยเพื่อระบายความเจ็บใจ
“มันจะมากเกินไปแล้ว คิมจงอิน!”
ชายหนุ่มคำรามในลำคอ
ไม่ได้รู้เลยว่า... อีกด้านหนึ่งนั้น คนที่เดินจากไป...กำลังถือกระดาษแผ่นเล็กแผ่นหนึ่งไว้ในมือ
กระดาษใบนั้น...คลับคล้ายว่าจะเป็นนามบัตรของคนที่เขาเพิ่งจูบไปเมื่อครู่นี้ เป็นของที่หยิบฉวยเอามาจากช่องใส่ของจุกจิกที่ข้างเกียร์โดยไม่ได้ขออนุญาตแต่อย่างใด
คิมจงอินคลี่ยิ้มมาดร้าย มองชื่อ และหมายเลขสิบหลักที่ถูกพิมพ์ด้วยหมึกอย่างดีบนแผ่นกระดาษมีราคา
ก็อย่างที่เขาเคยบอกไว้นั่นล่ะว่า...
สงครามระหว่างเรา มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง...
To be continued
เริ่มเขียนก่อนก็ยังเสร็จทีหลังอะ พี่ชลแม่ม ปิศา--- เอ๊ย เครื่องจักรเขียนฟิคมากๆ
#ฟิคดำks
ความคิดเห็น