คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Program 2 : Love Me Love My Dog (จับหัวใจใส่กรง)
“เอ้า! เร่เข้าม้า เร่เข้ามา หนุ่มๆทั้งหลายฟังทางนี้ มียุทธวิธีจีบสาวเจ๋งๆมาแจก แม้คุณอาจหน้าตาไม่ดี แต่กลเม็ดนี้ ไม่มีพลาด กับอีกหนึ่งยุทธการมัดใจของกระทาชายนาย เจตนา ซึ่งพกพาความบ้าเกินเยียวยามาให้ได้รักษากัน ตามเราให้ชิดเพื่อเกาะติดสถานการณ์มันส์ๆ ที่เหยื่อสาว ธารตะวัน จำต้องเจอ ผลที่เกิดคงยังไม่เสนอ เพราะอยากให้คุณได้เจอด้วยตัวเอง”
*******************
ผลัวะ!!!
เด็กหนุ่มไม่เคยคาด ว่าแรงส่งจากฝ่าเท้าเล็กๆของสาวน้อยตรงหน้า จะสร้างความจุกเสียดให้กับแผ่นอกของตนได้มากมายถึงเพียงนี้ คะเนจากสายตา ร่างของเขาในตอนนี้คงอยู่ห่างจากพิกัดเดิมวัดได้เป็นวา แต่ถึงกระนั้น ความเจ็บปวดก็ไม่อาจบั่นทอนความตั้งใจที่เต็มเปี่ยมในหัวใจไปได้ รอยยิ้มทะเล้นยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้าจืดๆราวก้อนเต้าหู้ของเขา สองแขนยันพื้นดันตัวขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของรุ่นพี่และน้องๆ ที่สัญจรไปมาอยู่บนระเบียงชั้นสาม หน้าห้องวิทยาศาสตร์ในยามเช้าเช่นนี้
“เตือนแล้วนะโว้ย ว่าถ้าเข้าใกล้ฉันอีกมิล เจอถีบแน่”
ธารตะวันปัดผมหน้าม้าของตนอย่างลวกๆ พอไม่ให้บังทัศนะวิสัยที่เพ่งอยู่ ตาชั้นเดียวที่ได้มาตามกรรมพันธุ์ ดูจะยิ่งหรี่เล็กลงไปอีกเมื่ออยู่ในสถานการณ์เดือดดั่งเช่นขณะนี้ แก้มป่องๆทั้งสองข้างแดงระเรื่อ ส่งใบหน้าสไตล์หมวยที่เป็นอยู่ให้น่ารักอย่างได้ใจ
“เฮ้ยๆ ขืนขยับอีกก้าว มีอีกทีนะโว้ย”
สาวน้อยยกการ์ดเตรียมรับมือ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะย่างสามขุมเข้ามาใหม่ เฮ้อ! นี่ไอ้เจตตั้งใจจะเปิดศึกกับเธอตั้งแต่เช้าวันแรกของสัปดาห์เลยหรือไง
“อย่างกไปหน่อยเลย เฟิร์ทคิสน่ะ เฟิร์ทคิส แบบในนิยายไง วันไม่เคยอ่านเหรอจ๊ะ ประเภทจูบแรกหลังเจอ แล้วเผลอใจน่ะ รู้จักมั้ย” เจตนาออดอ้อน “เรื่องราวของเราจะได้แฮปปี้เอนดิ้งกับเค้าเสียที”
“ใครจะสิ้นคิดอยากจบชีวิตกับแก” เด็กสาวแว้ด “แล้วไอ้มุขโหลๆในนิยายนั่น แกเลิกคิดได้เลย ต่อให้หล่อหรือรวยกว่านี้อีกล้านเท่า คงจะไม่มีใครหลงกลให้แกจูบง่ายๆหรอก”
“โธ่ๆๆ ใยสาวเจ้าไร้ปราณี ไม่อยากจบชีวีกับพี่เหรอน้อง”
“นี่! ไปเลยไปพ่อลิเก แกไม่เบื่อหรือไง มาวิ่งไล่ฉันแทบทุกวันแบบนี้ เลิกเล่นทุเรศๆสักทีเถอะ อยู่มอห้าแล้วนะโว้ย”
“จะให้เจตเบื่อได้ไง ในเมื่อได้อยู่ใกล้คนที่รัก” เจตนากวนประสาทคู่ปรับด้วยการยักคิ้ว ตามด้วยรอยยิ้มยียวนที่ชวนกระทืบ
“แต่ฉันเบื่อแกว่ะ” เด็กสาวปรายหางตามองอย่างระอา แล้วพุ่งร่างไปข้างหน้าโดยหวังว่าจะสลัดจอมตื้อให้เร็วที่สุด “รู้แล้วก็ถอยไปซะไอ้เจต ฉันรีบ”
รอยยิ้มกระจ่างฉายขึ้นในทันทีที่สาวน้อยมั่นใจว่าได้ทิ้งอีกร่างไว้เบื้องหลัง แต่แล้วมันกลับต้องหุบลงอีกครั้งตามแรงกระตุกที่ข้อมือ เพราะใครบางคนได้ฉุดไว้ เด็กสาวหันหน้ากลับไปในใจเตรียมคำด่าไว้เป็นชุด แต่สิ่งที่ประสบกลับเป็น...
“เดี๋ยว! เจตมีเรื่องต้องบอก ช่วยอยู่ฟังอีกนิดไม่ได้เหรอวัน มันสำคัญกับเจตมาก ได้โปรด” เจตนาสลดลง น้ำเสียงจริงจังอย่างรับไม่ทัน สายตาอ้อยอิ่งเศร้าสร้อยราวจะร้องไห้
“เอ่อ...” ธารตะวันหน้าเสีย เริ่มไม่แน่ใจกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เรื่องอะไรนะ! ที่ทำให้คนทะเล้นไม่รู้จักกาลเทศะอย่างนายเจตนา ซีเรียสได้ถึงขนาดนี้ ในใจพลันคิดไปต่างๆนานา “ฉันไปสำคัญอะไรกับแก”
เจตนาส่งสายตาวิงวอนให้เด็กสาวเนิ่นนาน ริมฝีปากคล้ายจะเอ่ยอะไรสักอย่างแต่กลับไม่ เวลาที่เคลื่อนอยู่ถูกยื้อไว้ ไม่ยอมให้เดินตามปรกติ
“มีอะไรก็พูดมาเร็ว ฉันอายนะโว้ย”
หน้าธารตะวันแปรเปลี่ยนเป็นสีแอ๊ปเปิ้ล ดวงตาทั้งคู่สอดส่ายมองผู้คนรอบข้างอย่างอึดอัด สาวน้อยนึกสงสัยอาการร้อนลุ่มที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าในขณะนี้ ว่ามีที่มาจากเหตุใด อาจเพราะความอายเมื่อต้องยืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางโฟกัสสายตาของกลุ่มเพื่อนๆนักเรียน หรือว่าจะเกิดจากนัยน์ตาสวยซึ้งสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นของคู่ปรับตลอดกาลเจ้าของทรงผมสกีนเฮทที่อยู่ตรงหน้ากันแน่ ไม่น่ะ! ไม่มีทางเป็นอย่างหลัง รับรองได้ เด็กสาวย้ำอยู่ในใจ
“ธารตะวัน”
“อย่าเรียกซะเต็มยศได้มั้ย ฉันขนลุกว่ะ” ธารตะวันลูบแขนตัวเองไปมา “แล้วไง ตกลงแกมีอะไร”
“เจตแค่จะเสริมว่า” เจตนาพยายามเค้นสายตาที่คิดว่าหวานที่สุด เท่าที่ชีวิตนี้ตนจะสามารถทำได้ “ที่อยากมาอยู่ใกล้ๆ เพราะวันเป็นดั่งลมหายใจ เพียงแต่คิดว่าต้องจากไกล ไม่รู้ทำไมหายใจไม่ทัน”
แหวะ!!!
เสียงที่เกิดไม่ได้มีต้นตอจากเด็กสาว แต่มันกลับเซอร์ราวด์มาจากรอบๆบริเวณ ตามด้วยเสียงสบถอื้ออึงก้องไปทั่ว เสี่ยวว่ะ- -บ้านน้อ~~~ก บ้านนอก- -โชคดีนะยะ ที่ฉันยังไม่ได้กินอะไร-
“ขอบคุณคร้า~~~บๆ” เจตนาแสยะยิ้ม มือทั้งสองกำประกบชูขึ้นแกว่งไกวในอากาศอย่างมีชัย วาดภาพดอกไม้นานาพันธุ์ถูกโยนมาให้ตนจากทั่วทุกสารทิศ
ผลัวะ!!! ตุบ!!!
ร่างเจตนากลิ้งอีกครั้งโดยแรงส่งจากขาข้างเดิม
“ไอ้เจต ฉันไม่น่าหลงลมแกเลย ให้ตายเถอะ”
ธารตะวันหัวเสีย สาระวนจัดเสื้อและกระโปรงที่ใส่อยู่ให้เข้าที่ เฮ้อ! นี่ยัยฟ้าคงบ่นแย่แล้ว เกิดโมโหหิวขึ้นมา กี่ชีวิตจะพอเนี่ย เห็นว่ามีเรื่องดีๆจะเล่าฟังด้วยสิ ไม่น่าขอขึ้นมาเก็บกระเป๋าก่อนเลย ไม่งั้นคงไม่ต้องมาเจอหน้าไอ้บ้าเจตแบบนี้ หลังจากพอใจในความเรียบร้อยแล้ว ใจก็เร่งให้เธอรีบลงไปพบเพื่อนที่โรงอาหารด้านล่างอีกครั้ง แต่เมื่อเท้าเริ่มก้าว เธอกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างคล้ายมือคนฉุดเอาไว้อีกอีกครั้ง ดวงหน้ากลมใสก้มมองลงตรงข้อเท้าเพื่อหาสาเหตุ ไม่ผิดแน่! ยังคงเป็นเจ้าเดิมอย่างแน่นอน
“วันจ๋า~~~ จะไปไหน อย่าทิ้งเจตไปเลยน้า” ดวงตาละห้อยชวนเหยียบเงยขึ้นมอง โดยไม่สะทกอารมณ์หงุดหงิดที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่าย
“ปล่อยช้า~~~น” เสียงกรีดร้องของธารตะวันทำให้นึกถึงภาพวัวถูกเชือดได้อย่างไม่ยากเย็น “ถ้าแกขีนยังไม่ยอมปล่อย ฉันจะใช้หน้าจืดๆของแกแทนลานจอดรองเท้า อยากลองดูมั้ย” ธารตะวันกระฟัดกระเฟียด สะบัดเท้าไปมาด้วยทีท่ารังเกียจอย่างที่สุด
“ม่ายอะ ยังไงก็ม่ายปล่อย” เจตนาอ้อนวอนทั้งๆที่นั่งคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น “ตัวไปไหน เค้าไปด้วย”
“โว้~~~ย” ธารตะวันยีผมตัวเองพลางกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “ฉันจะทำยังไงกับแกดี ไอ้หน้ามึนแมลงสาปยังอาย ปล่อยฉันนะโว้ย”
“ทำใจก็ดีนะ อึ้ย!” เจตนาสะดุดกับแววตามุ่งร้ายที่ส่งมาหลังได้ยินคำตอบ
“ด้า~~~ย ไม่ปล่อยใช่มั้ย” สาวน้อยขู่เสียงเหี้ยม “งั้นก็ไปมันทั้งยังงี้ล่ะวะ” ความโกรธละลายยางอายให้สลายไป ต่อหน้าเพื่อนนักเรียนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่นับสิบ เด็กสาวตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเลโดยมีปลิงหนุ่มเกาะติดอยู่ที่ข้อเท้า ริมฝีปากยังคงขมุบขมิบสาปแช่งตัวแสบอยู่ตลอดเส้นทาง
“ปล่อยช้า~~~~~~~~~~น”
ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วกับความพยายามของธารตะวันที่ดูจะไร้ผล เด็กหนุ่มยังคงฮัมเพลงคลอไปกับเสียงฟรืดๆจากการเสียดสีของกางเกงกับพื้นระเบียงอย่างสำราญ แววตาทะเล้นของจอมตื้อสอดส่ายชมวิวสองข้างทางด้วยสีหน้าที่แสนพึงใจ นั่นยิ่งทำให้เป็นการยากที่จุดเดือดแทบประทุของสาวน้อยจะสงบและเย็นลงได้
“นั่นพวกเธอเล่นอะไรกันน่ะ” เสียงทุ้มแต่แข็งกร้าวถูกโยนลงมาทลายกลุ่มไทยมุงที่มีอยู่ จนแตกกระจายคล้ายวงน้ำยามกระทบหิน
“อาจารย์พิชัย!”
ผู้ก่อการทั้งสองตกใจอุทานขึ้นพร้อมกัน เกมชักเย่อที่ดำเนินอยู่สะดุดกึกโดยฉับพลัน ธารตะวันแยกเขี้ยวหันไปทางคู่กรณีหวังให้สลดในการกระทำของตน แต่เด็กหนุ่มยังคงเลิ่กลั่กกับภาพชายร่างท้วมที่อยู่ตรงหน้า จนไม่ทันสังเกตว่ามีแววตาคมกริบคู่หนึ่งจ้องมองมา ราวกับว่าจะเฉือนเนื้อเขาให้แหลกไม่วินาทีใดก็วินาทีหนึ่ง
“ครูแน่ใจว่าไม่เคยอนุญาตให้ใคร ใช้ระเบียงทางเดินแทนสนามเด็กเล่นหรือเวทีคอนเสิร์ต ให้มาแหกปากร้องตะโกนแข่งกันแบบนี้” อาจารย์พิชัยส่ายหัวไปมาด้วยความเหนื่อยหน่าย “ธารตะวัน เดี๋ยวเธอตามครูไปที่ห้องฝ่ายปกครอง ส่วนเธอ เจตนา” ชายร่างท้วมเว้นจังหวะถอดหายใจ ก่อนเหลือบสายตาสุดระอาไปทางใบหน้าที่เหลือเพียงครึ่งของเด็กหนุ่ม “ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในห้องเรียนคาบแรก เธอคงจะหาวิธีดีๆทำให้รอยเท้าที่อยู่บนเสื้อหายไปได้แล้วนะ”
*******************
ธารตะวันไล่สายตามองโต๊ะทำงานทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าเก่าๆนับสิบตัว ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบห้องฝ่ายปกครองอย่างเบื่อหน่าย แผ่นกระดานไวท์บอร์ดผืนใหญ่ติดอยู่ข้างประตูทางเข้า ตารางมากมายบนนั้นบ่งบอกถึงรายชื่อวิชาและหมายเลขห้อง เพื่อให้อาจารย์แต่ละท่านใช้เตือนความจำถึงเวลาที่ต้องเข้าสอน เด็กสาวไม่เคยชอบบรรยากาศทึมๆที่ให้ความรู้สึกเป็นทางการแบบนี้เลยสักครั้ง แม้เข็มสั้นของนาฬิกาจะยังเดินไปไม่ถึงเลขเจ็ดดีนัก แต่ภายในห้องก็เริ่มเห็นผู้คนไม่ว่าครูหรือนักเรียนเข้ามาทำธุระกันตามหน้าที่ของตนบ้างแล้วประปราย น้องมอสองหลายคนช่วยกันปัดกวาดห้องและจัดหนังสือเรียนบนชั้นที่มีอยู่มากจนเธอคิดว่าไม่น่าจัดได้หมดภายในวันเดียว ขณะนี้อาจารย์พิชัยกำลังนั่งสั่งงานอะไรสักอย่างกับรุ่นน้องคนหนึ่งอยู่อย่างขะมักเขม้น สาวน้อยหยุดสายตาบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า โดยหวังว่าอาจมีกระดาษคำตอบข้อสอบปลายภาคถูกวางลืมไว้ให้ได้แอบดู แต่แน่ละ! ใครจะโชคดีขนาดนั้น
ไม่แฟร์! ธารตะวันเคยได้ยินมาว่าอาจารย์พิชัยมักลำเอียงเข้าข้างนักเรียนชายอยู่บ่อยๆ ก่อนเหตุการณ์ในวันนี้จะเกิด เธอได้แต่เพียงฟังผ่านๆอย่างไม่สนใจ แต่เมื่อมาเจอกับตัวเอง ใจก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งทั้งอาจารย์และตัวแสบเจ้าของคดี โดยหวังให้ทั้งคู่มีอันต้องท้องเสียไปตามๆกัน มีอย่างที่ไหน ทั้งๆที่เธอไม่ได้เป็นคนก่อ แต่กลับต้องมายืนบื้อเป็นหุ่นขี้ผึ้ง โดยไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างในห้องนี้ ในขณะที่ไอ้บ้าเจตหลุดร่างแหไปได้อย่างน่าเจ็บใจ ฝากไว้ก่อนเถอะแก! เด็กสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความอาฆาตพลางคิดหาไม้เด็ดเพื่อแก้คืนให้กับแค้นในครั้งนี้
“ขอโทษที ที่ปล่อยให้รอซะนาน” เสียงทุ้มปลุกภวังค์เด็กสาว “เรามีเรื่องอะไรกันนะ อ๋อ! ใช่สิ! ธารตะวัน เมื่อไหร่เธอกับนายเจตนาจะเลิกเล่นเป็นเด็กๆกันแบบนี้สักที มอห้าแล้วนะเรา ไม่อายรุ่นน้องมันบ้างเหรอ” อาจารย์พิชัยก้มลงจัดการบ้านกองใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะก่อนเอ่ยเสียงล้า “อีกอย่าง ครูขอได้มั้ยไอ้ท่าทีกระโดกกระเดกเป็นม้าน่ะ เลิกสักทีเถอะ”
“อาจารย์ไม่ยุติธรรม!” ธารตะวันท้วงขึ้น “ทำไมมีแต่หนูคนเดียวที่ถูกเรียกมาฟังเทศน์ อุ๊บ!” เด็กสาวตะปบปากตัวเองหลังเผชิญการปรามด้วยหางตาจากอาจารย์ “เอ่อ...มาอบรมในห้องนี้ ทั้งๆที่ตัวการไม่ใช่หนู แต่อาจารย์กลับปล่อยไอ้...”
“ธารตะวัน!” เด็กสาวถูกปรามอีกครั้งผ่านน้ำเสียงของผู้เป็นครู “นี่ห้องพักครูนะ จะเรียกใคร ก็ใช้สรรพนามให้ดีหน่อย แล้วที่ฉันเรียกเธอมาก็ไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อกี้หรอกนะ ไอ้ที่เธอชอบเล่นไล่จับกับนายเจตนาน่ะ ฉันปลงแล้ว ก็หวังว่าพวกเธอจะเลิกได้ในสักวัน” อาจารย์พิชัยหันมามองเด็กสาวอีกครั้ง
“หนูไม่ได้อยากเล่นกันมัน...เอ่อ!” ธารตะวันร้องอย่างเดือดดาล ก่อนจะรู้สึกตัวว่าได้เผลอหลุดปากไปอีกแล้ว “จริงสิคะ! ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น แล้วอาจารย์เรียกหนูมาทำไมคะ” เด็กสาวเสียงแผ่วลง ในหัวเริ่มคิดถึงวีรกรรมแต่หนหลัง จะใช่เรื่องที่เมื่อวานเธอทำกระจกห้องดนตรีแตกหรือเปล่าหว่า หรือคดีตบหัวรุ่นน้องเล่นเมื่ออาทิตย์ก่อน ไม่น่ะ! มันไม่กล้าฟ้องหรอก ขู่ไว้ซะขนาดนั้น แล้วมันเรื่องอะไรเนี่ย ปรกติเธอทำงานรัดกุมตลอด ไม่น่ามีหลักฐานให้สาวถึงตัวได้ เม็ดเหงื่อไหลอาบแก้มด้วยใจระทึก ลุ้นในสิ่งที่จะได้รับฟังในอีกไม่ช้า
“เอาไปดูซะ” อาจารย์หนุ่มเลื่อนกระดาษกองหนึ่งมาข้างหน้า “นี่เป็นข้อสอบเก็บคะแนนวิชาฉันที่เธอทำไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน” แขนทั้งคู่ของคนเป็นครูยกขึ้นเท้าบนโต๊ะ ฝ่ามือประสานกันเพื่อรองรับน้ำหนักจากคางที่หย่อนลงมา สายตาจับจ้องลูกศิษย์ค่อยๆหยิบกระดาษข้อสอบด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ
“แหะๆ” เด็กสาวหัวเราะแก้เก้อหลังมองดูข้อสอบ “ตรวจง่ายดีมั้ยคะ ข้อสอบหนู”
“ไม่มีคะแนนข้อสอบสะอาดให้เธอหรอกนะ” อาจารย์พิชัยเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ “ครูช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ ถ้าเธอยังส่งกระดาษเปล่าแบบนี้ ไม่เข้าใจบทไหนทำไมไม่ถามครู เพื่อนเธอก็ออกจะเก่ง ถ้าไม่อยากเจอครู เอกอัปสรก็น่าจะช่วยเธอได้”
“แหม! อาจารย์ ตัวเลขกับหนูมันศัตรูกัน กะโหลกหนาๆอย่างหนู ถ้ามาถามอาจารย์บ่อยๆ ก็กลัวอาจารย์จะเบื่อขี้หน้าหนูซะเปล่าๆ” เด็กสาววาดมือไปมาในอากาศอย่างออกรส “ส่วนยัยสรมันก็ช่วยหนูแล้วนะคะ แต่สมองมันไม่รักดี หนูก็เลยจนใจอยู่ทุกวันนี้”
“อย่ามาอ้างข้างๆคูๆ ครูเบื่อสาลิกาในปากเธอเต็มที” อาจารย์หนุ่มโบกมือไปมาด้วยความรำคาญ “สรุปเลยนะ ถ้าปลายภาคเธอทำเลขไม่ถึงเจ็ดสิบห้าคะแนน เตรียมตัวเรียนกับน้องมอสี่ได้เลย”
“โห! ‘จารย์ แค่สิบคะแนนหนูยังกลุ้ม นี่เจ็ดสิบกว่าหนูคงทำได้อยู่หรอก” เด็กสาวครวญ ก่อนจะหันมาส่งสายตาหวานหยดย้อย “อาจารย์ไม่มีคะแนนพิศวาสให้หนูบ้างเหรอคะ”
“อย่ามาทะลึ่งกับครูนะแม่ธารตะวัน ถ้าไม่อยากก้นลาย” อาจารย์พิชัยแยกเขี้ยว มองแม่ตัวดียืนก้มหน้าสลดอย่างระอาใจ “ครูคงทำใจให้พิศวาสตัวแสบที่เที่ยวทำกระจกห้องดนตรีแตกไม่ไหวหรอก”
“อาจารย์รู้!” ธารตะวันทะลึ่งพรวด ร้องลนลานเหมือนบ้านถูกไฟไหม้
“แล้วเธอจะแปลกใจ ว่าครูรู้อีกหลายเรื่อง”
“หนูว่าแล้ว” เด็กสาวกำมือขึ้นเหวี่ยงอากาศ “อาจารย์ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ”
“อย่ามาประจบครูซะให้ยาก เข้าเรื่องกันสักที” อาจารย์พิชัยเสียงเข้มขึ้น “ก็อย่างที่บอกไป วันนี้ครูเลยต้องเรียกเธอมาเพื่อจะบอกว่า ต่อไปนี้ทุกเย็นหลังเลิกเรียน เธอจะต้องมาเรียนพิเศษกับครูที่ห้องนี้จนกว่าจะถึงวันสอบปลายภาค เข้าใจมั้ย”
“อาจ้า~~~~น ไม่นะ” เด็กสาวร้องขึ้นสองมือกุมขมับ “แบบนี้หนูก็กลับไปดูละครไม่ทันน่ะสิ”
“ให้มันน้อยๆหน่อย หรือว่าอยากซ้ำชั้น”
สาวน้อยตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน สมองบวกลบคูณหารหาผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว(ถ้าเอาไปใช้ในการสอบ คงไม่ต้องมาต้องมาเป็นร้อ~~~~ก)
“เรียนก็ได้ค่~~~า” ธารตะวันรับเสียงอ่อยอย่างจำใจ “แล้วนี่วันเสาร์อาทิตย์หนูต้องมาเรียนด้วยมั้ยคะ”
“ถึงเธออยากมา ครูก็ไม่อยากเจอ” อาจารย์พิชัยก้มลงตรวจการบ้านต่อ ก่อนโบกเป็นเชิงไล่เด็กสาว “เอ้า! หมดเรื่องแล้ว จะไปไหนก็ไป ฉันจะทำงาน”
“ค่~~~~~า” ธารตะวันลากเสียงรับ ก่อนหันหลังเดินสะบัดไปทางประตู แต่ยังไม่วายบ่นขมุบขมิบโทษฟ้าโทษฝนอย่างหัวเสีย โดยไม่ใส่ใจเสียงหัวเราะคิกคักจากรุ่นน้องที่ดังไล่หลังมา
*******************
เสียงหัวเราะกระจายอยู่โดยทั่วพื้นปูหินขัดโทนสีส้มของทางเดินสายหลัก ที่นำไปสู่ประตูรั้วขนาดใหญ่ของโรงเรียนอัจฉริยะวิทย์ ตลอดแนวข้างทางเป็นที่ตั้งของตึกทรงลูกบาศก์สูงสี่ชั้นซึ่งบรรจุห้องเรียนไซส์ต่างๆไว้อย่างแน่นขนัด หากหันหน้าไปมองอีกฟาก จะเห็นสนามหญ้าอันแออัดไปด้วยการฟาดฟันของเหล่าทีมฟุตบอลหลากรุ่น ที่กำลังลงปะทะแข้งกันอยู่อีกนับสิบ จนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าลูกบอลลูกใดเป็นของคู่แค้นคู่ไหน นับเป็นอีกหนึ่งภาพเจนตาที่พบเห็นได้ไม่เว้นในช่วงเย็นหลังเลิกเรียนเช่นนี้ ต้นหูกวางที่ปลูกเรียงรายขนาบไว้ทั้งสองฝั่ง แผ่กิ่งก้านพลิ้วไสวร่ายรำต้านแรงลมในจังหวะนิ่มนวลและชวนพิศ ส่งกลีบใบซึ่งแห้งเหี่ยวตามกาล ให้ปลิวเอื่อยเฉื่อยล่วงหล่นลงสู่ชุดโต๊ะหินเบื้องล่าง ซึ่งถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบสำหรับนั่งหย่อนใจหรือจะเลือกเป็นจุดนัดพบในการทำกิจกรรมของกลุ่มนักเรียน
“เฮ้ย! โต๊ะนี้แล้วกัน” เจตนาวางหนังสือบนโต๊ะหินด้วยอาการที่อ่อนแรง “ทำไมต้องทำเวรกันด้วยวะ ที่บ้านส่งให้มาเรียนกันนะเว้ย ไม่ใช่ให้มาถูห้องแบบนี้ เหนื่อยเป็นบ้า! ไอ้เฟิร์ท นั่งพักเป็นเพื่อนข้าก่อน เดี๋ยวค่อยกลับบ้านกัน”
“เอ็งจะทำให้เขาเกลียดขี้หน้าเอ็งไปถึงเมื่อไหร่วะ” เอกเทศไม่เว้นช่วงให้เปลี่ยนเรื่อง ยังคงดึงเจตนาเข้าสู่เรื่องที่คุยค้างไว้ ในขณะที่ค่อยๆหย่อนร่างลงบนเก้าอี้หินตัวข้างๆที่เพื่อนนั่งอยู่
“เฮ้ยๆ พูดดีๆนะโว้ย ใครมันจะไปตั้งใจทำให้ยัยนั่นเกลียดวะ” เจตนาค้านเพื่อนขึงขัง
“ก็เอ็งไง! ไอ้เจต” เอกเทศสวนเพื่อนด้วยใบหน้ากวนนิดๆ “มีอย่างที่ไหน ชอบเค้าแต่กลับแสดงตลกคาเฟ่ให้เค้าดูทุกวัน”
“เอ็งนี่โง่จริงหรือแกล้งกันแน่วะ เค้าสำรวจกันมาแล้วทั้งโลก” เจตนาวางท่าทรงภูมิ ขยับแว่นล่องหนที่ไม่เคยสวม “เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงชอบชายหนุ่มที่มีอารมณ์ขันเฟ้ย ไอ้คุณท่านเอกเทศ เอ็งไม่เคยได้ยินเหรอครับ”
“จะว่าเคยมันก็เคย แต่ข้าว่าอย่างเอ็งออกจะขันแน่นไปหน่อยนะ” เอกเทศแย้งเสียงทะเล้น “แน่นขนาดเค้าขาดอากาศ พาลจะตายเอาก็ออกบ่อย นี่ขนาดเรียนอยู่คนละห้อง เค้ายังขยาดเอ็งได้ขนาดนี้ ถ้าต้องมานั่งอยู่ห้องเดียวกัน คงได้ส่งห้องไอซียูมันทุกวันแน่ๆ”
“เวอร์แล้วๆไอ้เฟิร์ท ข้าไม่ใช่ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ นะโว้ย จะได้ส่งใครเข้าโรงพยาบาลเป็นงานอดิเรก ใช่ซี้~~~ ข้ามันไม่หล่ออย่างเอ็งนี่ ถามจริงๆเถอะ เอ็งเป็นญาติกับ ติ๊ก เจษฎา หรือเปล่าวะ” เจตนาบ่นเซ็งๆ มองหน้าเพื่อนแล้วนึกอิจฉาจับใจ ต้องทำบุญกี่ชาติวะเนี่ย ถึงจะเกิดมาหน้าตาแบบไอ้เวรนี่! “หน้าจืดๆอย่างข้าก็เป็นได้แค่หม่ำล่ะว้า”
“ฮ่าๆๆๆ” เอกเทศกุมท้องหัวเราะตัวงอเหมือนกุ้งเสียบไม้ “รู้ตัวบ้างมั้ย จริงๆแล้วเอ็งน่ะ เป็นแชมป์เรียวลิตี้อะคาเดมี้ขี้อายได้เลยนะ ที่ทำตัวบ้าๆบอๆอยู่ทุกวัน ก็เพราะไม่กล้าเข้าไปจีบเค้าตรงๆไม่ใช่เหรอ”
“เออๆ พ่อเอกเทศคนเก่ง แสนรู้จริงนะเอ็ง” เจตนาแผ่วลง ความจริงเขาก็รู้ว่าที่ทำไปมันดูปัญญาอ่อนไปหน่อยในสายตาคนอื่น แต่ทำไงได้ละ พอจะจริงๆจังขึ้นมา ใจมันก็โยนผ้าขาวซะงั้น เฮ้อ! ชักรู้สึกไม่ค่อยดีแล้วแฮะ เปลี่ยนเรื่องคุยท่าจะดีกว่า “ตกลงปิดเทอมนี้เอ็งได้งานมั้ย”
“ก่อนอื่นนะไอ้เจต เอ็งจะเรียกชื่อจริงหรือชื่อเล่นของข้าก็เลือกมาสักชื่อ บอกตรงๆ ข้างงว่ะ” เอกเทศยิ้มกวนๆให้เพื่อน “ส่วนเรื่องงานข้าได้แล้ว เอ็งรู้จักร้านกาแฟที่ชื่อ ฟอเรส มั้ย”
“ป่ากลางกรุง ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ใช่มั้ย” เจตนาลูบคางใช้ความคิด “เฮ้ย! มันอยู่ใกล้ๆ เทคนิคอุตสาหการ นี่หว่า เด็กที่นั่นดุนะโว้ย”
“เออรู้แล้ว แต่ข้าไปเป็นเด็กเสิร์ฟ คงไม่มีใครบ้ามาหาเรื่องข้าหรอก” เอกเทศยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“อืมๆ”
เจตนารู้สึกทึ่งทุกครั้งเมื่อได้คุยเรื่องงานกับเพื่อนคนนี้ ทั้งๆที่ทางบ้านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่สำหรับไอ้เฟิร์ท มันรู้สึกสนุกเสมอเมื่อหางานพาร์ทไทม์ได้ มันเคยให้เหตุผลที่คงจะหาไม่ได้จากใครอีกแล้วว่า การหางานก็เหมือนเกม ถ้าเค้ารับเอ็ง เอ็งก็ชนะ- ต้องยอมรับว่าไอ้นี่มันรักการแข่งขันซะจริงๆ เอ๊ะ! อะไรชื้นๆอยู่ที่ข้อเท้าวะเนี่ย รู้สึกว่ายุ่นๆนิ่มๆด้วยแฮะ เด็กหนุ่มตัดสินใจก้มลงมองเพื่อคลายปริศนาที่คาใจ
ลูกสุนัขสีดำตัวจิ๋วกำลังใช้ลิ้นละเลียดขาของเขาอย่างเพลินใจ ใบหน้าเปี่ยมสุขของมันกระตุ้นให้เส้นผมที่ไม่ค่อยจะมีของเด็กหนุ่มลุกขึ้นราวพร้อมใจกันเคารพธงอะไรสักอย่าง ดวงตาของเขาเบิกกว้างเหมือนสิ่งที่เห็นไม่ใช่ลูกสุนัข แต่กลับเป็นราชสีห์ตัวโตที่พร้อมจะขย้ำเขาทุกเวลา
“ไอ้เฟิร์ท! ช่วยข้าด้วย!” เจตนาร้องเสียงหลง “ช่วยเอาไอ้ปีศาจนี่ไปที” ไม่พูดเปล่า เด็กหนุ่มตัวสั่นกระโดดไปแอบด้านหลังเพื่อน ปล่อยให้ลูกสุนัขครางหงิงๆอย่างตกใจกับท่าทีของมนุษย์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้า
“ไอ้เจต มันแค่ลูกหมานะโว้ย” เอกเทศพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนพลางโบกมือไล่ลูกสุนัข ซึ่งก็แทบไม่จำเป็นเลย เพราะมันเสียขวัญกับท่าทีของเจตนาและพร้อมจะวิ่งหนีไป ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงร้องของเด็กหนุ่มแล้ว
“ไอ้เฟิร์ทอย่าตลก ขอร้อง” เจตนาค่อยๆเคลื่อนไปนั่งที่เดิม หลังจากมั่นใจว่าศัตรูของตนวิ่งไปไกลแล้ว “รู้อยู่ว่าข้าแพ้ขนสัตว์ ยังมาทำเป็นเล่นอีก”
“แหม! ล้อเล่นไม่ได้เชียวนะ เอ๊ะ!” เอกเทศเหลือบเห็นใครบางคน “นั่นหวานใจเอ็งนี่หว่าเจต ไปทำอะไรที่ห้องฝ่ายปกครองวะ ออกมาคนเดียวซะด้วย สมาชิกแก็งค์ชาลีแองเจิ้ลหายไปไหนหมดเนี่ย”
“ไหนๆ” เจตนายืดคอยาวเหมือนยีราฟมองไปยังทิศที่เพื่อนบอก “จริงด้วย อย่าบอกนะว่าโดนเทศน์เรื่องเมื่อเช้ายาวถึงตอนนี้” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ใครจะไปด่ามาราธอนได้ขนาดนั้น ต่อให้เป็นอาจารย์พิชัยก็เถอะ” เอกเทศวิเคราะห์ “แบบนี้ ข่าวลืออาจจะเป็นจริงก็ได้มั้ง” เด็กหนุ่มรำพึง
“ข่าวลืออะไร!” เจตนาหูกางเป็นจานเรดาห์ ตอบรับทุกสัญญาณจากเพื่อน “ข้าไม่เห็นเคยได้ยิน”
“เป็นแฟนพันธุ์แท้ประสาอะไรวะ ตกแม้กระทั่งข่าวนี้” เอกเทศได้ทีข่มเพื่อนด้วยหางตา “ก็นึกว่าเอ็งรู้แล้ว เลยไม่ได้บอก”
“เออๆ ข้ามันหลังเขา” เจตนากระสับกระส่ายเขย่าตัวเพื่อน “บอกมาเร็วๆข่าวอะไร อย่ามาท่ามาก เดี๋ยวถูกยันนะโว้ย”
“บอกแล้วๆ ดุจัง! เห็นเค้าว่ายัยวันจะเรียนที่นี่เป็นเทอมสุดท้าย ก่อนจะย้ายไปเรียนต่อที่เชียงใหม่” เอกเทศยังคงร่ายต่อ โดยไม่สนใจอาการช๊อกตาค้างของเพื่อน(ไอ้นี่มันโอเวอร์ได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆแฮะ) “นี่ก็คงอยู่ทำเรื่องลาออก หรืออาจจะขอโอนวิชาเรียนก็ได้มั้ง แต่มันก็แค่ข่าวลือล่ะนะ เอ็งอย่าเชื่อให้.... เฮ้ย!เจต ไอ้เจต” เด็กหนุ่มเขย่าตัวร้องเรียกเพื่อน หลังจากรู้สึกว่าเพื่อนอ้าปากตาค้างผิดสังเกตอยู่นาน เริ่มแรกก็ใช้มือแล้วทำท่าจะเปลี่ยนเป็นใช้เท้าเขย่าในไม่ช้าหากอีกฝ่ายยังไม่ได้สติ
“รู้แล้วๆ ยังไม่ตายโว้ย แค่ช็อกน่ะ รู้จักมั้ย” เจตนาจำต้องรู้สึกตัว เพราะแรงเขย่าจากเพื่อนชักจะหนักมือเกินกว่าแค่หวังเรียกสติตน “ข้ากำลังใช้ความคิดอะไรอยู่เว้ย”
“คิดอะไรวะ คิดฆ่าตัวตายหนีรักช้ำเหรอไง” เอกเทศตอบเสียงทะเล้น “วิธีไหนละ ข้าช่วย”
“ไอ้เวร! แน่ใจนะว่าปากคน” เจตนาอวยพรเพื่อนตอบแทนความปรารถนาดี “เอางี้ เอ็งกลับบ้านไปก่อน” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มมองร่างลิบๆของธารตะวัน มือขวาหยิบกองหนังสือที่อยู่บนโต๊ะพลางขยับตัวในท่าเตรียมวิ่ง “ไว้พรุ่งนี้จะเล่าให้ฟัง”
*******************
เม็ดเหงื่อไหลชุ่มสองแขนที่โอบกอดเสาไฟฟ้า โดยหวังให้มันบดบังร่างกายให้พ้นจากสายตาของสาวน้อย ซึ่งกำลังเก้ๆกังๆเดินข้ามถนนสองเลนที่อยู่เบื้องหน้า เสียงกริ่งด้านหลังดังถี่ขึ้นตามจำนวนครั้งในการผลักบานประตูกระจกของร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น ก่อเกิดความปะหวั่นภายในใจ ด้วยกลัวว่าเป้าหมายอาจจะหันมาเจอเข้าสักหน เจตนาพึ่งสำนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่างานสะกดลอยไม่ใช่อะไรง่ายๆที่ใครก็ทำได้ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา นินจามือใหม่อย่างเขาเกือบจะต้องหัวใจวายก็หลายครั้ง ทั้งหมดที่ทำไปเพียงแค่หวังว่าจะได้... เฮ้ย! ไม่น่ะ! มันต้องไม่ใช่อย่างนี้
ซวย! ซวยแล้วไง เข้าใจว่ารักแท้ต้องมีอุปสรรค แต่แบบนี้มันโหดเกินไป ทำไมสวรรค์เบื้องบนไม่มีตา ดันลิขิตให้บ้านของหญิงสาวที่เขาหมายปองต้องมากลายเป็น....ร้านขายสัตว์เลี้ยง! ใช่! ไม่ผิดแน่ ด้านบนของตึกแถวขนาดสองห้องที่เด็กสาวพึ่งเดินเข้าไป ติดแผ่นป้ายขนาดใหญ่สีขาวขอบชมพูที่ผ่านการ ได-คัท มาอย่างดี บนนั้นประดับด้วยรูปการ์ตูนของสัตว์นานาพันธุ์เริงร่าอยู่รอบๆตัวอักษรพลาสติกสีฟ้า ซึ่งผสมได้คำว่า ธารตะวันเพ็ทช็อป-
หูเจตนาแว่วเสียงเหล่าปีศาจทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก ตะเบ็งแข่งกันข้ามมาจนถึงฝั่งที่เขายืนอยู่ แม้ความจริงจะมีเพียงเสียงยานยนตร์บนท้องถนนให้ได้ยินก็ตาม เพียงแค่คิดไม่ต้องสัมผัส เส้นขนทั่วร่างของเขาก็แข่งกันลุกชูชันเกินจะห้ามได้ไหว น้ำลายเหนียวหนืดเคลื่อนกลับสู่ลำคอพร้อมการตัดสินใจที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเด็กหนุ่ม เท้าข้างขวาก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ ประดุจย่ำอยู่บนกองถ่านหินที่ผ่านความร้อนระอุจนสีแปรเปลี่ยนเป็นแดงกล่ำน่าหวั่นใจ
ในที่สุดหลังการข้ามถนนอันยาวนาน ประตูร้าน ธารตะวันเพ็ทช็อป ก็อยู่ห่างจากหน้าเจตนาไม่ถึงฟุต เด็กหนุ่มเพ่งสายตามองผ่านเข้าไปในห้องกระจก ซึ่งทำหน้าที่ราวเกราะกันไอร้อนจากภายนอกไม่ให้ระคายผิวของลูกค้าที่อยู่ภายใน อุณหภูมิเย็นจากแอร์ถูกส่งผ่านมายังสองมือที่ทาบอยู่บนบานกระจก ทำให้รู้สึกได้ถึงความสดชื่น แม้จะน้อยนิดก็ตามที เขาเลื่อนสายตาผ่านกล่องอาหารสุนัขมากมายที่เรียงรายอยู่บนชั้นโดยหวังว่าร่างของเด็กสาวจะปรากฏให้เห็น แต่สิ่งที่ได้พบกับเป็นสรรพสัตว์หลากสายพันธุ์ ซึ่งอาศัยอยู่ในกรงหลายขนาด ต่างแข่งกันส่งสายตาน่ารังเกียจมาที่เขาเหมือนจะเตือนให้ระวังหากเผลอก้าวเท้าเข้าไป ทันใดนั้นเซลล์สมองก็สั่งให้ขาที่สั่นผละออกห่างจากภาพที่เห็น ก่อนเบือนหน้าเตรียมจะ เฮ้ย! เจตนากระโดดตัวลอยถอยหลังด้วยความตระหนก
“นายมาอยู่นี่ได้ยังไง” ธารตะวันในชุดเสื้อยืดรัดรูปกางเกงขาสั้น สวมผ้ากันเปื้อนปักโลโก้ร้าน กำลังยืนเท้าสะเอวจ้องมองแขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง “อย่าบอกนะว่าบังเอิญผ่านมา” เด็กสาวหรี่ตาลงเหมือนจะคาดคั้นหาความจริงจากคู่แค้น
“ถูกต้องนะคร้า~~~~บ” เจตนาชี้นิ้วเลียนแบบพิธีกรชื่อดังแก้เก้อ หลังปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้ม
“ไอ้เจต!” เด็กสาวตวาด “อย่ามามั่ว คดีเก่าเมื่อเช้ายังไม่สะสาง นี่คิดจะหาคดีใหม่แล้วเหรอ”
“เค้าเปล่าน้า” เจตนาตอบเสียงแผ่ว ร่างผงะไปด้านหลังสามก้าว “แค่มาเยี่ยมเฉยๆอะ”
ธารตะวันกลอกตามองผืนฟ้าอย่างเหนื่อยใจ ถ้าขืนต่อปากต่อคำกับไอ้นี่ต่อไป เห็นทีเที่ยงคืนก็ไม่จบ มันจะรู้จักบ้านเธอได้ยังไงก็ช่างหัวมัน ตรงเข้าประเด็นเลยดีกว่า
“เอ้า! มีธุระอะไรก็ว่ามา จะได้รีบไปๆซะ”
“วันใจร้าย เจตพึ่งมาจะไล่กันแล้วเหรอ อุ๊บ!” เจตนาสะดุ้งกับหางตามุ่งร้ายของเด็กสาว “ก็ได้ๆ เข้าเรื่องเลยละกัน คืองี้ เจตไปไห้ยินข่าวลือเกี่ยวกับวันมา” เด็กหนุ่มทำท่าขึงขัง “แต่เจตไม่เชื่อหรอกนะ เลยต้องมาถามโดยตรงกับวันนี่ไง”
“ข่าวอะไรว่ามา” ธารตะวันแกล้งเชิดเหมือนไม่สนใจ หมอนี่มันไปได้ยินอะไรมาวะ แย่แล้ว! ถ้าเกิดเป็นความลับของเธอล่ะ มันต้องมาแบล็กเมย์เธอแน่ๆ ไม่ได้! อย่างนี้มันต้องปิดปาก เด็กสาวกัดฟัน พับแขนเสื้อ ย่างสามขุมเข้าหาเหยื่ออย่างช้าๆ
“เจตได้ยินมาว่า ปิดเทอมนี้วันจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่” เจตนามองสาวน้อยตรงหน้าตาละห้อย “ไม่จริงใช่มั้ยวัน”
“เชียงใหม่? ย้าย?” ธารตะวันเบรกตัวโก่ง คิ้วสองข้างแทบผูกติด แม้จะโล่งอกที่ไม่ต้องฆ่าใคร แต่ความสงสัยก็เข้ามาแทน “นายไปได้ยินมาจากไหน” เหมือนลำดับเรื่องได้ เด็กสาวยักไหล่ แสดงท่าทีไม่ใส่ใจ
“ได้ยินจากไหนไม่สำคัญ เจตแค่อยากรู้ว่ามันจริงมั้ย” อารมณ์เจตนาตรงข้ามเด็กสาวโดยสิ้นเชิง เสียงเครือลอดผ่านไรฟัน(เห็นบทบาทมันแล้ว ทำเอาเกือบอินตาม)อย่างสุดกลั้น
“อืม! จะว่าอย่างงั้นก็ได้” ธารตะวันเบ้ปาก จิกร่างเบื้องหน้าด้วยหางตา “แล้วบอกก่อน แกไม่ต้องทะลึ่งมาส่งฉันนะ”
“ม่า~~~~~ยน้~~~~~~~า” เด็กหนุ่มโผเข้ากอดขาคู่สนทนารวดเร็วเกินตั้งตัว ธารตะวันสะดุ้งจนถลาไปด้านหลัง ซึ่งเป็นผลให้...
ฟุบ!!!
ร่างทั้งสองเสียหลักล้มลงบนฟุตบาธ สายตาตื่นตะลึงจากผู้คนที่สัญจรอยู่รอบข้าง ยิ่งทำให้เหตุการณ์ดูเลวร้ายลงทุกที
“โอ๊~~~~~ย” ธารตะวันลากเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด มือหนึ่งยันพื้น อีกมือคลำสะโพก สายตาสอดส่ายฝูงชนรอบข้างอย่างตระหนก “อีกแล้วนะแก จะมีสักครั้งมั้ยที่แกจะไม่ทำให้ฉันเป็นตัวตลกแบบนี้” เด็กสาวเดือดดาลด้วยความอาย
“ฮื่อๆๆ เจตไม่ให้ไป” เด็กหนุ่มมัวแต่ฟูมฟายโดยไม่สนใจคำถาม “อยู่กับเค้าอย่าไปไหนเลยน้~~~า”
“ปล่อยโว้ย!” ธารตะวันพยายามใช้ขาข้างที่เหลือยันร่างที่เกาะอยู่ให้หลุด แต่ความพยายามที่มีดูจะไม่เท่าอีกฝ่าย เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกคลาเคนลากลงทะเล สลัดหนวดข้างหนึ่งให้หลุด อีกข้างก็พร้อมจะตะปบกลับมาในทันที ถึงกระนั้น เด็กสาวก็ยังคงใช้กำลังทั้งหมดที่มีตะเกียดตะกายโดยหวังให้สามารถทรงตัวขึ้นได้บ้าง
“ฮื่อๆๆ ไม่ปล่อย จะทำยังไงก็ไม่ปล่อย” เจตนาฉุดร่างที่พยายามลุกขึ้นจากพื้นให้ลงมากองกับตนอีกครั้ง “ต้องรับปากก่อนว่าจะไม่ไป”
“เฮ้ย! พูดไม่รู้ภาษาหรือไง” ใบหน้าหมวยเปลี่ยนสีเข้มขึ้น เดาไม่ถูกว่าเพราะโกรธหรืออาย
ไทยมุงรอบๆขยายวงเชียร์อย่างออกรส บางกลุ่มเริ่มเสนอราคาขันต่อ ฝ่ายเด็กสาวดิ้นไม่หลุดสองเอาหนึ่ง เสียงลงเงินตามหลังเกรียวกราว
“บอกว่าให้ปล่อย”
“ฮื่อๆ รับปากก่อนสิว่าจะไม่ไป”
“ปล่อยโว้~~~~~ย!”
“รับปากก่อนน้~~~~~า”
“กรี๊~~~~~~~~~~~ด! ไอ้เวรเจต! ขืนแกขยับนิ้วขึ้นสูงอีกแค่คืบเดียว สาบานได้ฉันหักคอแกแน่”
“ฮื่อๆๆ รับปากเค้าก่อนสิ”
“ว้า~~~~ย! บอกแล้วไงโว้~~~~~~~ย อย่าเลื่อนมือขึ้นม้~~~~~~~~~า”
“ฮื่อๆ อย่าไปน้~~~~า”
“.......”
“.....”
“...”
สงครามยืดเยื้อสิ้นสุดลงหลังกินเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ผู้คนรอบข้างร่อยหลอจนบางตา บางส่วนแยกกลับไปทำกิจธุระของตนตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์จบ ที่เหลือต่างทยอยจากไปหลังแน่ใจแล้วว่า คงไม่มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นอีก จะเหลือก็แต่เพียงคู่กรณีนั่งหอบหมดสภาพอยู่กับพื้นเท่านั้น
“แฮ่กๆๆ ยางงายช้านก็ต้องปาย” ธารตะวันลิ้นห้อยเหมือนหมาหอบแดด เอ่ยอย่างอ่อนแรง
“แฮ่กๆๆ ม่ายห้ายไปอะ” เจตนาอาการพอกัน
“แฮ่กๆ แล้วแกจาอาวงาย”
ฟุบ!!! เจตนาทิ้งตัวนอนลงกับพื้นข้างถนนด้วยความเหนื่อยล้า ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มอับแสง ลมร้อนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นลง การจลาจลยังคงแออัดเป็นปรกติเหมือนทุกวัน เมื่อใจนิ่งสมองก็เริ่มทำงาน ถ้ามั่วแต่เถียงกันแบบนี้ ไม่ใครก็ใครคงตายเพราะขาดอากาศหายใจเป็นแน่ คงต้องปิดเกมซะแล้ว หลังจากสูดอากาศเข้าเต็มปอด เด็กหนุ่มผุดร่างขึ้นนั่ง สายตาจับจ้องไปยังสาวน้อยที่กำลังปล่อยใจไปกับภาพรถลาบนท้องถนนอย่างไม่รู้สึกตัว
น่ารัก! ทำไมผู้หญิงที่นั่งข้างๆเขาถึงได้น่ารักขนาดนี้ หน้าหมวยๆ แก้มใสกลม ดูสมวัย เขาไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมถึงชอบเธอคนนี้ ทั้งๆที่เพื่อนของแม่นี่ต่างก็ดูดีไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็นละอองฟ้าที่หยดย้อยราวเทพธิดา หรือเอกอัปสรที่งดงามดั่งนางในวรรณคดี แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถดึงความสนใจจากใบหน้าที่เขาจ้องอยู่ได้ สายลมพัดเส้นผมของเด็กสาวแรงจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องไว้ หลายคนลงความเห็นว่าเธอเป็นลูกเป็ดในกลุ่ม แต่เขาคนหนึ่งล่ะ ที่จะส่งเอสเอ็มเอสเชียร์เธอจนขาดใจ
“คบกับเจตสิ”
“เฮ้ย!” ธารตะวันร้องอุทานอย่างตกใจ ตาที่ค้างอยู่จ้องคู่กัดไม่กระพริบ “แกพูดอะไรนะ”
“ยอมเป็นแฟนเจตก่อนแล้วค่อยไปเชียงใหม่” เจตนาเอ่ยเสียงขรึมราวเป็นคนละคน
“แกมันบ้า” ธารตะวันลุกขึ้นยืน ชี้หน้าเด็กหนุ่มด้วยความตกใจ “บ้าไปแล้วแน่ๆ”
“ที่ผ่านมาเจตอาจจะเหมือนคนบ้าในสายตาวัน” เจตนาค่อยๆยันตัวขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่ติดอยู่ตามขากางเกง เอ่ยน้ำเสียงนิ่งจนผิดสังเกต ทำเอาเด็กสาวรู้สึกหวั่นใจอยู่ในที “ยังไงเจตก็ต้องขอโทษด้วยกับทุกครั้งที่ทำให้วันขายหน้า แม้ไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เจตไม่สนว่าวันจะคิดยังไง อยากให้รู้แค่ว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่เจตจริงจังได้เท่าครั้งนี้”
“เออ!” ธารตะวันลังเล พยายามค้นความจริงในแววตาเด็กหนุ่ม “เดี๋ยวแกจะปิดท้ายด้วยมุขฝืดๆตามฟอร์มใช่มั้ย”
“เจตก็อยากให้มีเหมือนกัน” รอยยิ้มอบอุ่นถูกฉาบบนใบหน้า “แต่สมองมันคิดไม่ทันจริงๆ”
รับมือไม่ไหวจริงๆ หมอนี่จะมาไม้ไหนกันแน่ ธารตะวันรู้สึกสับสนกับเรื่องที่เกิด มันมาเริ่มเรื่องอย่างระห่ำตามสไตล์ แต่ไหงมาหักมุมจบอีหรอบนี้ ใบหน้าเธอร้อนผ่าวด้วยความประหม่า สองมือปัดป่ายหาหลักยึดจนไปเจอบานกระจกหน้าร้าน ในใจเร่งคิดหนทางตอบโต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ ไม่ง่ายเหมือนทุกครั้ง ปรกติหมอนี่มักจะเดินเกมอย่างคนบ้า ซึ่งไม่ยากที่จะบ้ากลับไป แต่เหรียญออกหน้านี้เธอไม่เคยคาด สองตาเหลือบมองเข้าไปในร้าน ลานในหัวเริ่มเดินช้าๆแล้วค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จริงสิ! เมื่อกี้เห็นมันท่าทางแปลกๆตอนมองเข้าไปในร้าน เหมือนกลัวอะไรสักอย่างในนั้น คงไม่ใช่กองอาหารสัตว์ ปลอกคอ หรือกรงแน่ๆ แล้วอะไรล่ะที่มันกลัว จะได้โยนใส่แล้วไล่มันกลับไปสักที ฮ่า~~~ ก็เหลือแต่สัตว์เท่านั้นที่พอจะเป็นไปได้ จะว่าไปที่โรงเรียนก็ไม่เคยเห็นมันเข้าไปเล่นกับตัวอะไรเลยนอกจากคน ได้การล่ะ! เผลอๆจะไม่ใช่แค่ไล่มันกลับไปเท่านั้น แต่อาจโชคดีไม่ต้องทนเห็นหน้ามันอีกตลอดชีวิตก็เป็นได้ เจ๋ง! คิดพลางรอยยิ้มก็กางออกอย่างมีชัย เอ๋! แล้วมันกลัวตัวอะไรหว่า ในร้านก็มีแทบทุกพันธุ์ จะโยนใส่มันทั้งร้านก็ไม่ไหว สงสัยต้องเปลี่ยนแผนแล้วแฮะ อืม~~~ เย้! นึกออกแล้ว! มันกลัวสัตว์ก็ไม่น่ามีความรู้อะไรเกี่ยวกับสัตว์มากมายนัก ใช่ๆ ได้การล่ะ!
“แกแน่ใจเหรอว่าอยากจะคบกันฉัน” ธารตะวันแสยะยิ้มน่ารังเกียจ จ้องมองเด็กหนุ่มอย่างคนที่เหนือกว่า
“ช...ใช่ ทำไมเหรอ” เจตนาเลิ่กลั่กรับคำ มองแววตาชั่วร้ายตรงหน้า รู้สึกหวั่นใจกับสิ่งที่จะเกิด “วันตกลงใช่มั้ย”
“ฝันไปเถอะ”
“อ่าว!” เด็กหนุ่มคอตก น้ำเสียงผิดหวังเกินซ่อนได้
“แต่!” ธารตะวันเว้นวรรค จ้องมองแววตาที่กลับมามีความหวังอีกครั้งของเจตนา “ฉันอาจจะลองคิดใหม่ หากนายผ่านการทดสอบง่ายๆของฉันไปได้”
“ทดสอบอะไร ยากๆก็ได้ เพื่อวันเจตพร้อมลุย” เด็กหนุ่มลิงโลด
“เออๆ ฟังให้จบก่อนแล้วค่อยคุยก็ยังไม่สาย” ธารตะวันปรามอย่างเหนื่อยใจ “แกเห็นใช่มั้ย ว่าบ้านฉันเป็นร้านขายสัตว์เลี้ยง”
“เอ่อ~~~ จ๋ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะจ๊ะ”
เอาแล้วไง เจตนามั่นใจว่าได้กลิ่นอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วก็เป็นดั่งคาด หรือว่าความลับเรื่องแพ้ขนสัตว์ของเขาจะแตก ไม่นะ! ถ้าถูกสั่งให้ต้องยุ่งเกี่ยวกับมัน ไม่สิ! แค่เพียงได้ฟังใจก็สั่นแล้ว เหงื่อไหลอาบใบหน้าชุ่มจนเขาต้องดึงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับ สายตาเหลือบมองเหล่าซาตานภายในร้านอีกครั้ง จะรอดมั้ยวะคราวนี้ ก่อนเอ่ยเสียงสั่น
“วันจะให้เจตทำอะไรเหรอ”
“ก็ไม่ยากเท่าไหร่นะ ฉันคิดอยู่เสมอว่าคนที่จะมาเป็นแฟนฉันเนี่ย อย่างน้อยก็ต้องมีความรู้เรื่องสัตว์ติดหัวไว้บ้าง ไม่งั้นคงคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องมากล่ะ ขอแค่รู้จักสักห้าหกชนิดก็พอแล้ว เห็นมั้ยว่าง่ายๆ ทำได้มั้ย”
“โห! เด็กๆ แค่นี้สบายมาก”
เจตนาเหมือนยกภูเขาออกจากอก นึกว่าจะตายซะแล้ว แค่นี้ใครก็ทำได้ อ๊ะ! หรือจริงๆแล้วยัยนี่ก็ชอบเราเหมือนกัน ถึงถามอะไรง่ายๆขนาดนี้ แหม! ไม่น่าจะทำให้ยุ่งยาก แค่รับปากมาก็จบแล้ว อ๋อ~~~ ผู้หญิงก็คงต้องมีเล่นตัวกันบ้างพอเป็นพิธี เข้าใจล่ะ
“จะเอา หมู หมา กา ไก่ หรือนกล่ะ นี่ครบแล้วนะเนี่ย มาม่ะ มาให้หอมทีที่รัก”
เจตนาพุ่งโผเข้าหา.... เอ่อ.... ฝ่าเท้าที่เด็กสาวยกสวนขึ้นมา
พลั่ก!!!
ร่างเด็กหนุ่มเซถลาตามแรงส่ง
“น้อยๆหน่อย ถ้าแค่นั้นฉันไปเป็นแฟนเด็กอนุบาลยังเพลินซะกว่า” ธารตะวันชี้นิ้วเข้าไปยังกรงของนกตัวหนึ่งที่อยู่ติดด้านในของบานกระจก “นั่นอะไร”
“อู๊~~~~~ย นกอะ” เจตนากุมท้องโอดโอยหลังจากตั้งหลักได้
“นกอะไร”
“นกแก้วไง” ใช่แน่ๆ ทั้งจงอยปากทั้งหน้าตา คราวนี้ไม่พลาดแน่ เจตนายิ้มกริ่มทั้งๆที่จุก
“เกือบใช่ ลองใหม่อีกที”
“วันขี้โกง เห็นๆอยู่ว่าเป็นนกแก้ว เจตไม่ได้โง่นะ”
“ดูดีๆ แล้วค่อยตอบ” ธารตะวันมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความระอา ใจนึกอยากรู้ว่ามันจะโง่ได้ขนาดไหน
แม้รู้สึกว่าตนถูก แต่เจตนาจำต้องหันกลับไปเพ่งนกในกรงอีกครั้ง มันนกแก้วชัดๆ เขาค้านในใจ โอเค มันอาจจะมีสีสันสดใสกว่านกแก้วทั่วๆไปอยู่หน่อย ขนาดตัวก็อาจจะใหญ่กว่านิด แต่แล้วไง หน้ามันแปะอยู่บนสบู่ชัดๆ จะให้บอกว่าเป็นอะไรไปได้
“เจตว่าดูยังไงมันก็นกแก้ว ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ ยกเว้นจะมีคนทะลึ่งเรียกมันว่านกแก้วยักษ์หรือนกแก้วสายรุ้ง”
“วางใจได้ ไม่มีใครบ้าเรียกมันอย่างนั้นหรอก ฉันมั่นใจ” เด็กสาวถอนหายใจ “เพราะคนทั้งโลกเค้าเรียกมันว่ามาคอว์”
“อะไรนะ!”
“ในกรงเป็นนกมาคอว์ พ่อฉันพึ่งรับมาเมื่อเช้า มันเป็นนกที่จัดว่าสูงส่งและสวยที่สุดตระกูลหนึ่งเลยล่ะ มีถิ่นกำเนิดทางแถบอเมริกากลางและใต้ เป็นนกที่มีช่วงชีวิตยืนยาวมากๆ หากเลี้ยงดีๆร้อยปีก็ยังไม่ตาย”
“เออ...” คนฟังคำตอบได้แต่ตะลึงอึ้งเงียบงันดั่งรูปปั้นหิน
“นายต้องรู้ประมาณนี้” ธารตะวันแสยะยิ้มเย้ย “นี่ยังดีนะที่ฉันไม่ให้แกลงลึกถึงสายพันธุ์ ว่างัย! ง่ายสมใจมั้ย”
“โหด! นี่วันแกล้งเจตชัดๆ ไอ้นกบ้านี่จะมีเลี้ยงกันสักกี่คน ลองถามชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครรู้กันหรอก”
“เฮ้ย! นกก็มีจิตใจ อย่าปากสุนัขแบบนี้ให้ฉันได้ยินอีก” ธารตะวันเคืองถ้อยคำขัดหูที่ได้ยิน
“จ...จ๊ะๆ” เด็กหนุ่มตั้งตัวไม่ทัน คิดไม่ถึงจะมีใครรักสัตว์ได้ขนาดนี้
“อย่ามาแพ้แล้วพาลกับฉัน กระบืออย่างแกแค่ชื่อพันธุ์อย่างเดียวก็ยังไม่รอดเลยมั้ง ยอมรับผลแล้วไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว”
“ไม่ยอมอะ! ขออีกตัวนะ เอาที่คนทั่วไปเค้านิยมเลี้ยงกันสิ แบบนั้นเจตถึงจะยอมรับได้”
“แกนี่มันตื้อเป็นบ้า จะตัวไหนๆแกก็ไม่รู้หรอก เชื่อเถอะ”
“รับรองคราวนี้รู้ชัวร์ ให้โอกาสเจตอีกครั้งน้~~~~~า” เจตนาอ้อนวอนตาละห้อย
“เฮ้อ! แกนี่น้า~~~ เอ้าๆ” สาวน้อยล้วงมือลงไปในกระเป๋าหน้าของผ้ากันเปื้อน
“ตัวอะไรน่ะวัน” เจตนาแหยงกับสิ่งที่ดิ้นอยู่ในมือเด็กสาว “ไม่ต้องยื่นมาใกล้เจตมากก็ได้นะ แบบว่า เอ่อ... ไม่ใช่ว่ากลัวนะ แค่คิดว่าถ้ามันตกใจกระโดดหนีไปจะลำบาก เอ้ย!” เด็กหนุ่มผละไปข้างหลัง แต่ยังคงรักษามาดไว้ไม่ให้หลุด “ไอ้ตัวนี้มันกระโดดใส่ใครไม่ได้ใช่มั้ยวัน”
“อย่าเรื่องมากน่ะ!” ธารตะวันเริ่มรำคาญ ค่อยๆคลายมือออกที่ละนิดอย่างระวัง “เจ้านี่ตัวอะไร”
เจตนาพยายามเหล่มองโดยทิ้งระยะจากเป้าหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยี้~~~~~ นี่วันกล้าจับมันได้ไงเนี่ย ปีศาจจิ๋วสองหูสี่ขาขนปุยคล้ายก้อนไหมพรมลายทางสีเทา กลิ้งไปมาบนฝ่ามือเด็กสาว สกปรกจะตาย เป็นโรคฉี่หนูขึ้นมาได้หามส่งโรงพยาบาลกันไม่ทัน เดี๋ยวๆ เข้าเรื่องๆ มันต้องไม่ใช่หนูธรรมดาแน่ๆ ไม่อยากจ๋อยแบบเมื่อกี้อีกแล้ว แล้วมันพันธุ์อะไรล่ะ อ้างเหมือนตัวที่แล้วไม่ได้ด้วยสิ ไอ้ตัวนี้เห็นบ่อยๆเมื่อพักก่อน ทั้งชีวิตเขาไม่เคยสนใจว่าปีศาจเหล่านี้มันจะมีชื่อพันธุ์หรือชื่อเล่นวิเศษเริ่ดหรูสักแค่ไหน ขอให้อยู่ห่างๆกันไว้เป็นดี เอ๋~~~ จะว่าหนูขาวก็ไม่ใช่ ตัวมันเทาๆหม่นๆหน้าก็ทู่ๆ โว้~~~~~ย ตายแน่ตู!
“เฮ้ย! ขี้เกียจรอโว้ย ฉันต้องกลับไปทำงาน” ธารตะวันบ่นพลางเก็บเจ้าตัวเล็กลงกระเป๋าตามเดิม “ถ้าไม่ตอบ ฉันไปแล้วนะ”
“อย่าพึ่งวัน เจตตอบแล้ว” เด็กหนุ่มลนลานทำท่าจะโผหาอีกครั้ง แต่เมื่อนึกได้ว่ามีตัวอันตรายแฝงอยู่ในผ้ากันเปื้อน แม้จะมีที่ล็อคปิดอย่างดีแล้วก็ตาม ร่างกายก็หยุดกึกลงด้วยว่าไม่กล้าเสี่ยง
“ว่ามาตัวอะไร”
“เอ่อ........”
“ตัว-อะ-ไร” ธารตะวันเค้น
“เอ่อ....... แหะๆ” เจตนาหัวเราะกลบเกลื่อน
“จำไว้! เจ้าจิ๋วนี่เค้าเรียกแฮสเตอร์ ตัวที่ฉันให้แกดูชื่อพันธุ์ วินเทอร์ ไวท์ รัสเซียน ที่ชื่อนี้เป็นเพราะขนของมันจะเปลี่ยนเป็นสีขาวราวหิมะเมื่ออยู่ในอากาศเย็น เห็นน่ารักแบบนี้แต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน มันก็เกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้วนะ โชคดีจริงๆที่รอดมาได้”
“อืม~~~ เจตว่าสูญพันธุ์ไปได้ก็น่าจะดีนะ อุ๊บ!” กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรไป มันก็สายไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มได้แต่สาปส่งตัวเองในใจ
“ไอ้เจต! แก!” ธารตะวันเหลืออดแผดเสียงสุดกำลัง “ฉันไม่อยากคุยกับคนอย่างแกแล้ว จะไปไหนก็ไป ไป๊!”
“เจตไม่ไปไหนทั้งนั้น” เจตนากระโดดกางมือขวางประตูหน้าร้านไว้ “วันต้องยอมคบกับเจตก่อน”
“ไอ้เจต แกถอยไป ฉันจะกลับไปทำงาน”
“ไม่! ยังไงก็ไม่ถอย”
“งั้นฉันจะโยนแฮมสเตอร์ใส่แก”
“เฮ้ย! วันไม่ทำหรอกจริงมั้ย” เด็กหนุ่มร้อนรนสวนกลับด้วยความตกใจ “ไม่กลัวมันวิ่งหนีไปเหรอ”
“ฉันจะโยนแล้วน้~~~~า” ธารตะวันแสยะยิ้มสะใจ จ้องร่างที่สั่นเป็นลูกนกตากฝนอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า พลางล้วงมือลงไปในกระเป๋าใบเดิม แจ็คพ็อท มันกลัวหนูนี่เอง “ไม่หลีกใช่มั้ย”
“วันรักสัตว์จะตาย วันไม่กล้าหรอก” เจตนาเถียงแต่เสียงสั่นเหมือนนั่งแช่ในบ่อน้ำแข็ง
“เหอะๆๆๆ แกจะถอยมั้ย ไอ้เจต” เสียงเย็นยะเยือกชวนขนลุก ก้องสะท้านในรูหูเด็กหนุ่ม
เม็ดเหงื่ออาบทั่วร่างเจตนา สายตากระสับกระส่ายมองร่างที่เยื้องย่างเข้ามาด้วยใจระทึก คงไม่มีครั้งไหนที่เขาอยากจะอยู่ให้ไกลจากคนที่อยู่เบื้องหน้าได้เท่าครั้งนี้อีกแล้ว
“ยัยวันนั่นเพื่อนลูกเหรอ” เสียงนุ่มแทรกขึ้นจากด้านหลังเด็กสาว “มาเล่นอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ชวนเพื่อนเข้าไปนั่งในบ้านล่ะ”
“พ่อ!” ธารตะวันหันไปหาต้นเสียง “ไปส่งหมาเรียบร้อยแล้วเหรอคะ”
“ลูกค้ารายนี้ไม่เรื่องมาก เลยเคลียร์ได้เร็วน่ะ” ชายร่างสูงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “นั่นเพื่อนลูกเหรอ”
“ไม่ช....”
“ใช่ครับ คุณพ่อตา” เจตนาชิงสวน ทิ้งคราบลูกไก่เมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“ไอ้เจต!” ธารตะวันหัวเสียตะโกนใส่ เพ่งเด็กหนุ่มราวจะกินเลือด
“ฮ่าๆๆๆๆๆ เรียกแค่พ่อก่อนก็ได้นะ ฉันยังไม่อยากแก่” พ่อสาวน้อยชอบใจหัวเราะร่วน
“พ่อจะไม่สั่งสอนปากพล่อยๆของมันเหรอคะ”
“อ่าว! ลูกสาวขายออก(โดยเฉพาะเธอ ธารตะวัน) เป็นพ่อคนไหนก็ดีใจ” คุณพ่ออารมณ์ดีหันไปทางจอมตื้อ “จริงมั้ย เอ่อ... จะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไรดี”
“จริงคร้า~~~~~บ คุณพ่อตา เอ้ย! คุณพ่อ ผมชื่อเจตนาครับ เรียกสั้นๆว่าเจต หรือถ้าไม่ถนัด เรียกลูกเขยที่รักก็ยังไหว”
“ไอ้เจต!” เป็นอีกครั้งที่เด็กสาวถลึงตาใส่เจตนา
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” ชายกลางคนหัวเราะชอบใจ “เธอนี่มันบ้าจริงๆ ฉันชักชอบแล้วสิ”
“ถือเป็นเกียรติครับ” เจตนายิ้มกริ่ม “เออ! จริงด้วย ผมมาที่นี่ก็เพราะอยากจะขอร้องอะไรคุณพ่อสักอย่าง”
ธารตะวันกัดฟันมองหน้าคู่แค้น มันจะหาเรื่องอะไรมาให้ฉันอีกเนี่ย
“เรื่องอะไรละ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างครึ้มใจ
“ก็เรื่องที่คุณพ่อจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่น่ะครับ ผมอยากให้คุณพ่อคิดดู...เฮ้ย!”
เจตนามีโอกาสพูดได้แค่นั้น เนื่องจากฝ่ามือของธารตะวันพุ่งมาปิดปากเด็กหนุ่มเอาไว้ ร่างของเขาดิ้นไปมาเหมือนหนอนถูกย่าง สองมือพยายามคลายปากที่ถูกผนึกอยู่ให้เป็นอิสระ
“พ่อคะ อย่าฟังมันนะคะ เฮ้ย! แกนิ่งๆเป็นมั้ย”
ปล่อยให้ไอ้บ้านี่เพ้อไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เด็กสาวคิด ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็นนิยายเรื่องยาวแน่ อีกอย่างถ้าพ่อเธอรู้ มีหวังต่อไปต้องเอาปี๊บคลุมหัวคุยกัน มันส์ล่ะทีเนี้ย ไม่เอาโว้ย! ยังไงก็ให้มันพล่ามเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“ยัยวัน พ่อว่า....” ชายกลางคนยื่นมือออกไป หวังจะช่วยเด็กหนุ่ม น้ำเสียงที่เอ่ยแฝงแววกังวล
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพ่อ อย่าไปฟังมัน โอ้ย! อย่ากัดสิโว้ยไอ้เจต”
พรึบ!!!
ร่างหนุ่มสาวเสียหลักเซไปพิงบานกระจกหน้าร้านอย่างทุลักทุเล แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของธารตะวันไปได้แม้แต่น้อย
“แต่พ่อว่า...”
“ไม่มีจริงๆค่ะ หนูจัดการเรื่องนี้ได้”
“ยัยวัน...”
“พ่อคะ เชื่อหนูนะคะ ไม่มีอะไรจริงๆ”
“ยัยวัน! ฟังพ่อ!” คนเป็นพ่อแผดเสียงลั่นอย่างเดือดดาล จนผู้เป็นลูกต้องหันกลับมาไปมองตาค้างด้วยความตกใจ “เพื่อนลูกช็อคตาค้างน้ำลายฟูมปากแล้วไม่เห็นเหรอ ปล่อยมือได้แล้ว มาช่วยพ่ออุ้มเขาไปส่งโรงพยาบาลเร็ว”
ร่างสูงพุ่งลิ่วเข้าประกบสองหนุ่มสาวรวดเร็วเกินจะมองทัน
ธารตะวันค่อยๆคลายมือของตนออก ก่อนหันกลับไปมองใบหน้าของเจตนา ชั่วอึดใจที่ดูเหมือนจะเนิ่นนานราวฉากสโลโมชั่น ภาพลูกตาดำที่เหลือกมองไปบนผืนฟ้าของเด็กหนุ่ม และความชื้นจากน้ำลายของเขาที่ชโลมฝ่ามือของเธอจนชุ่ม คงจะเป็นภาพและความรู้สึกที่ประทับอยู่ในจิตของสาวน้อยไปอีกตราบนานเท่านาน
*******************
แม้ดวงตากลมใสจะเหม่อมองเส้นทางที่เดินอยู่ตรงหน้า แต่สติของสาวน้อย กลับลอยละล่องจมลึกลงสู่ห้วงอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน จะไม่ให้เฝ้าคิดถึงได้อย่างไร ในเมื่อเธออาจจะไม่ได้เดินลอยชายรับลมบนระเบียงหน้าห้องเรียนแบบนี้อีกแล้วก็เป็นได้ หากวันนั้นถ้าเธอปล่อยมือช้าอีกเพียงเสี้ยววินาที เพื่อนๆคงต้องไปถึงคลองเปรมถ้าอยากจะทะเลาะกับเธอ เกินจะเชื่อ ทั้งๆที่มั่นใจว่าฝ่ามือปิดแค่ปากโดยเหลือจมูกไว้ให้หายใจแล้วแท้ๆ แต่นายนั่นกลับมาช็อคเพราะอาการแพ้ขนสัตว์ขั้นรุนแรง จากคำวินิจฉัยของหมอทำให้รู้ว่า มีขนเล็กๆสีเทาจำนวนมากอยู่ในโพรงจมูกของนายนั่น ไม่ต้องบอกก็คงพอจะเดาออกว่ามาจากใคร อันที่จริงจะมาโทษเธอก็ไม่ถูกซะทีเดียว ทำไงได้ล่ะ ไม่เคยมีใครบอกเธอเรื่องนี้นี่ เฮ้อ! แต่อย่างน้อยให้พ่อสวดยับก็ดีกว่าโดนจับเพราะเป็นฆาตกรล่ะน่า
“เฮ้ยๆ เดินน่ะมองทางด้วย” เสียงละอองฟ้ากระชากวิญญาณเด็กสาวกลับจากอดีตกาล
ธารตะวันสะดุ้งหันกลับไปทางเพื่อน รอยยิ้มเจื่อนๆผุดขึ้นบนใบหน้า
“เออโว้ย! ยิ้มได้แบบนี้ อย่างน้อยก็รู้ว่ายังไม่ตาย” ละอองฟ้าเอ่ยแซวโดยหวังให้เพื่อนร่าเริงขึ้น แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นอีกทาง รอยยิ้มตรงหน้าหุบลงรวดเร็วเกินฉุดไว้ทันเมื่อได้ยินคำว่า-ตาย-
“อุ๊ย!” ละอองฟ้าหน้าเสียอุทานอย่างตกใจ “โทษทีวัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“อืม! ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่คิดอะไรมากแล้ว” ธารตะวันตอบเสียงแผ่ว
“บอกว่าไม่คิดอะไร แต่สีหน้าแกดูแย่มาหลายวันแล้วนะ ไปห้องพยาบาลหน่อยมั้ย อุ๊ย!” คราวนี้เป็นเอกอัปสรบ้าง ที่ต้องยกฝ่ามือขึ้นปิดปาก “ลืมไปว่าแกไม่อยากข้องเกี่ยวกับทุกที่ที่มีเตียงคนไข้”
“ใช่...” ธารตะวันเบ้ปากใบหน้าเซ็งสุดขีด “อย่างน้อยก็อีกสักพักล่ะนะ”
“เฮ้อ! เหลือเชื่อ! เกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย นี่ยังดีนะที่ไอ้เจตไม่เป็นอะไรมาก หมอแค่ให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนสองสามวันเท่านั้น พ่อแม่มันก็ไม่เอาเรื่อง ตัวมันเองก็ไม่ว่าอะไร แกนี่โชคดีเป็นบ้าเลยว่ะ” ละอองฟ้าเปรยพลางมองผู้คนที่เดินสวนไปมาอย่างไม่ใส่ใจ
“นี่ถ้าแกไม่หยุดพูดเรื่องนี้ ฉันกลับห้องจริงๆนะ(ยัยฟ้า แกลืมนับกรณีพ่อฉันไปนะยะ)” ธารตะวันออกอาการงอน
“โถๆ ไม่พูดอีกแล้วจ้า” ละอองฟ้าโถมเข้าไปเกาะแขนเพื่อน ส่งสายตาดั่งแมวน้อยประจบนาย “ไปคืนหนังสือเป็นเพื่อนเค้าน้~~~~า”
“เออๆ ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้” ธารตะวันเอ่ยเสียงยุ่ง “ฉันไม่ใช่ไอ้เวทของแก”
“อ่าว! แล้วมาเกี่ยวอะไรกับแฟนเค้าล่ะ” ถึงคิวละอองฟ้างอนบ้าง
“แหม~~~ เรียกแฟนซะเต็มปากเลยนะ อาทิตย์ที่แล้วเห็นบ่นว่าจะเลิกกันอีกแล้วนี่” ธารตะวันถอนหายใจ ก่อนเหล่เพื่อนด้วยหางตา
“ก็นายนั่นแย่งฉันกินไอศกรีมลูกสุดท้ายนี่” ละอองฟ้าหน้านิ่วกอดอกด้วยความขุ่นเคือง “พูดแล้วยังฉุนอยู่เลย”
“พอๆ พวกแกเลิกเถียงกันสักที ถึงห้องสมุดแล้ว เข้าไปแล้วก็อย่าเผลอทะเลาะกันอีกล่ะ ถ้าไม่อยากโดนลากออกมา” เอกอัปสรทำหน้าที่ปิดเกมอีกตามเคย
“จ้~~~~~~~~า แม่” ลิงสองตัวพร้อมเพรียงประสานเสียงรับ แล้วหันไปหัวเราะคิกคักใส่กันอย่างทะเล้น
เอกอัปสรส่ายหน้าด้วยความระอา เธอชาชินซะแล้วกับหน้าที่ผู้ปกครองของเด็กไม่รู้จักโตคู่นี้ มือเด็กสาวเลื่อนขึ้นมาขยับแว่นที่สวมอยู่ให้เข้าที่ ก่อนจะยื่นไปผลักบานประตูกระจกห้องสมุดทางฝั่งขวาให้เปิดค้างไว้ แล้วปล่อยให้เพื่อนทั้งคู่ทยอยเดินนำเข้าไปก่อน แต่สองแสบก็ยังไม่วายแผงฤทธิ์ล้อเลียนเพื่อนปิดท้าย ด้วยท่าเดินคล้ายเด็กเริ่มหัดตั้งไข่ เอกอัปสรมองหน้ากวนๆของคนทั้งคู่อย่างเหนื่อยใจ
“เดี๋ยวฉันกับยัยสรเอาหนังสือไปคืนที่เคาเตอร์ก่อนนะ ส่วนแกก็เดินหาหนังสือธรรมมะแถวนี้อ่านไปพลางๆแล้วกัน จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน” ละอองฟ้าเอ่ยหลังจากเพื่อนสาวคนสุดท้ายเดินเข้ามาภายในห้องเรียบร้อยแล้ว
“เออๆ” ธารตะวันรับคำส่งๆ ก่อนโบกมือเป็นเชิงไล่เพราะไม่อยากเปิดศึกในห้องสมุดให้เกิดเรื่อง “รีบๆไปเลยไป จะได้กลับห้องเรียนสักที ใกล้หมดเวลาพักแล้ว”
ชุดโต๊ะเก้าอี้ทรงกลมที่เรียงรายอยู่กึ่งกลางห้องยังคงหนาตาไปด้วยผู้คน แม้เหลืออีกเพียงห้านาทีจะบ่ายโมง อันเป็นเวลาสิ้นสุดของช่วงพักกลางวัน นั่นเพราะในไม่กี่วันข้างหน้าการสอบปลายภาคก็จะเวียนมาถึง สำหรับเหล่ามดที่ขยันเรียนมาตลอดทั้งปี การทบทวนอีกครั้งถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่ากลุ่มตั๊กแตนที่เหลือจะปล่อยตัวได้ตามสบาย โดยเฉพาะพวกขี้เกียจระดับหัวแถวแบบธารตะวัน ไม่ใช่แค่คณิตศาสตร์เท่านั้นที่เธอถูกหมายหัว เพราะหลังจากที่คุยกับอาจารย์พิชัย ตารางชีวิตของเธอก็ถูกฝูงอาจารย์ประจำวิชาอื่นๆแย่งทึ้งเอาเวลาว่างที่เคยมี ให้มลายหายวับไปกับคมเขี้ยวที่กระหายอย่างไร้เมตตา เด็กสาวสอดส่ายสายตามองหาเก้าอี้สักตัวที่จะว่างพอให้เธอนั่งรอเพื่อนได้ ไม่ไหวแล้ว! ขาทั้งสองโวยวายประท้วงตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา สืบเนื่องจาก การใช้ให้พวกมันวิ่งไปส่งรายงานกับอาจารย์ซึ่งกระจายอยู่ทุกจุดภายในโรงเรียนอย่างไม่ปราณี
ทำไมมันหายากนักวะ ธารตะวันบ่นในใจ มุมหนังสืออ่านนอกเวลาทางขวาสุดเต็ม มุมฟิสิกส์ด้านหน้าก็เต็ม อ๊ะ! มุมภาษาอังกฤษที่อยู่ซ้ายสุดก็เต็ม อะไรวะเนี่ย! มุมคณิตศาสตร์ที่น่ารังเกียจยังเต็ม เฮ้ย! แม้แต่ซอกน่าหลับอย่างมุมภาษาไทย หัวดำๆยังโผล่ให้เห็นราวกับดอกเห็ด ความหงุดหงิดเริ่มเด่นชัดบนใบหน้าเด็กสาว แต่ยังนับว่าโชคดี เพราะก่อนที่จุดเดือดภายในกายจะปะทุ ผลันสายตาของเธอก็ประสบพบที่ว่างตรงกลางมุมชีวะ ซึ่งแออัดไปด้วยผู้คนอย่างน่าอัศจรรย์ รอยยิ้มผุดขึ้น สองขาขยับไปยังพิกัดที่ปักไว้อย่างเริงใจ ริมฝีปากฮัมเพลงโดยไม่สนใจสายตาตำหนิที่ส่งมาจากสองข้างทาง
“นั่งด้วยคนนะคะ” ธารตะวันเอ่ยขอกับชายที่นั่งอยู่ก่อนแล้วตามมารยาท
“ครับ เชิญตาม....” เจ้าถิ่นเงยหน้าจากกองหนังสือเพื่อตอบรับ แต่ก็ต้องมาสะดุ้งตาค้างกับใบหน้าของเด็กสาว
“ไอ้เจต!” ธารตะวันตกใจไม่แพ้กัน ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วลง “เอ่อ....แกไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย”
“อ...อืม หมอพึ่งให้กลับเมื่อวานนี้เอง” เจตนาลนลานมือไม้กวาดหนังสือตรงหน้ามาไว้ในอ้อมอก
“ทำไมไม่นอนพักที่บ้านก่อนล่ะ รีบมาเรียนทำไม เดี๋ยวก็อาการทรุดหรอก”
“ขอบใจนะ แต่ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ใกล้สอบแล้วด้วย กลัวตามเพื่อนไม่ทัน” เด็กหนุ่มตอบพลางก้มหน้าพยายามโกยหนังสือที่อ่านค้างไว้ด้วยความระวัง โดยไม่หันมามองสาวน้อยที่อยู่ข้างๆแม้เพียงหางตา หลังจากมั่นใจว่าไม่มีเล่มใดหลุดรอดไปจากอ้อมกอด เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่ร้อนรน “เจตกลับห้องก่อนนะ ใกล้หมดเวลาพักแล้ว”
“เดี๋ยว! ไอ้เจต ฉัน...”
“ฉันไปก่อนนะ แล้วคุยกัน”
อย่างไม่มีทีท่าจะรอฟังว่าเด็กสาวอยากพูดอะไรกับตน เจตนาก็พุ่งเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่อออยู่หน้าประตูทางออกเรียบร้อยแล้ว
ธารตะวันอธิษฐานอยู่เสมอ หวังให้ชีวิตเธอปราศจากคนชื่อเจตนาสักที แต่ก็ไม่น่าเป็นเพราะเหตุผลที่เธอเคยเกือบจะฆ่าเขาแบบนี้เลย มันทำใจไม่ได้จริงๆ เธอบอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมในขณะนี้ รอบขอบตาจึงเอ่อล้นไปด้วยของเหลว แม้จะฝืนระงับอย่างเต็มกลั้นแล้วก็ตาม
“ยัยวัน กลับห้องกัน ฉันคืนเสร็จแล้ว”
ธารตะวันรู้สึกถึงไออุ่นจากฝามือที่เอื้อมมาทาบบนบ่าเธอจากด้านหลัง
“เฮ้ย! ร้องไห้ทำไม! ใครทำอะไรแก!”
*******************
ตลอดสองสัปดาห์ของการสอบปลายภาค บรรยากาศใน อัจฉริยะวิทย์ แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะร่าเริงที่เคยปรากฏอยู่โดยรอบสนามฟุตบอล เหล่านักเรียนทั้งชายและหญิงพากันจับกลุ่มตามโต๊ะหินใต้ต้นหูกวางเพื่ออ่านหนังสือหรือช่วยกันติว ความเครียดโรยตัวอยู่ทุกซอกของอาณาบริเวณโรงเรียน สร้างความอึดอัดให้กับผู้ที่เข้ามาสัมผัสได้อย่างไม่ยากเย็น
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ว่า ทันทีที่เสียงสัญญาณสิ้นสุดเวลาสอบวิชาสุดท้ายของภาคดังขึ้น เจ้าอารมณ์สนุกซึ่งถูกบีบอัดอยู่ภายในตัวเด็กๆทุกคน จะแย่งกันพุ่งพล่านทะลุออกมาโดยไม่ต้องรอใครอนุญาต สำหรับพวกที่ยังห่วงคำตอบที่ได้รับ ต่างจับกลุ่มกันสอบถามวิจารณ์วิธีแก้สมการคำถามของตนบนระเบียงหน้าห้องสอบอย่างเผ็ดร้อน ส่วนพวกที่เหลืออาจเพราะมั่นใจหรือปลงแล้วก็สุดจะทราบได้ เริ่มแยกย้ายไปตามจุดต่างๆทั่วโรงเรียนด้วยหลายจุดประสงค์ บ้างก็รี่ไปขอคะแนนอาจารย์กันเหนียว บ้างก็ลากเพื่อนฝูงไปฉลองตามศูนย์การค้าอย่างสำราญใจ(ทั้งๆที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าตกหรือได้กันแน่ เฮ้อ!) และในบางกลุ่มก็ลงไปนั่งผ่อนคลายสมอง ณ.โรงอาหารที่อยู่ภายใต้อาคาร
ตุบ!!!
กระเป๋านักเรียนที่หล่นกระทบโต๊ะตรงหน้า ทำเอาละอองฟ้ากับเอกอัปสรเกือบเบี่ยงจานข้าวที่กินอยู่หลบแทบไม่ทัน
“เฮ้ย! โยนมาได้กลางวง ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกับยัยสรกินข้าวอยู่” ละอองฟ้าโวยเพื่อนทันทีที่จานข้าวปลอดภัย
“ไม่สนโว้ย! คนกำลังเซ็ง ข้อสอบอะไรวะ ยากฉิบ” คนผิดเฉไปอีกเรื่อง
“โมโหเพราะทำข้อสอบไม่ได้ หรือขาดคนกวนใจกันแน่” ละอองฟ้าเปิดเกม
“อ่าว! พูดงี้ตบกันดีกว่า” ธารตะวันพับแขนเสื้อ ยกขาขึ้นวางบนเก้าอี้ “ใครมันจะไปคิดถึงไอ้บ้านั่น”
“นั่นแน่! ฉันไม่ได้บอกว่าแกคิดถึงใครนะโว้ย” ละอองฟ้ารี่ตาลง รู้สึกสนุกที่คุมเกมอยู่ “แค่บอกว่าแกขาดคนกวน...” เด็กสาวเว้นวรรคยื่นหน้าทะเล้นไปทางเพื่อน “ใจ”
“เออ! พูดได้พูดไป คนกำลังเซ็งเรื่องข้อสอบ ไม่อยากมีเรื่องกับมารร้ายให้เป็นลาง” ธารตะวันแสร้งทำไม่ใสใจ แต่หน้ากลับแดงปลั่งดั่งลูกตำลึง
“ฮิๆๆ เป็นมารร้ายไปแล้วฉัน ปรกติเห็นเป่าหูอยู่ตลอดว่างดงามราวเทพธิดา” ละอองฟ้าไม่ยอมเลิก “เอาวะ! ถึงเป็นนางมารก็เสกคนหน้าแดงได้แล้วกัน”
“ถ้าขืนแกยังไม่หยุด ฉันจะ... ฉันจะ...” ธารตะวันอึกอักในสมองคิดหาวิธีจัดการเพื่อนปากเสีย
“จะทำอะไรหนูค้~~~~~า” ละอองฟ้าไม่หยุดยวน
“ฉันจะแย่งแกกินข้าวจริงๆด้วย” ไม่พูดเปล่า ธารตะวันฉกจานข้าวจากมือเพื่อนมาตักเข้าปากอย่างเคืองใจ ที่หาวิธีโต้ตอบดีๆกว่านี้ไม่ได้ “งั่มๆๆ ฉันจะกินให้หมดเลยด้วย งั่มๆๆ” เด็กสาวเอ่ยทั้งๆที่มีข้าวอยู่เต็มปาก
“อ่าว! ไหงมาลงข้าวผัดฉันได้ล่ะ” ละอองฟ้ากล่าวอย่างอารมณ์ดี
“แต่ก็จริงนะ พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้านายเจตเลย” เอกอัปสรตั้งข้อสงสัยหลังจากเงียบมาตลอด
“ช่างหัวมันปะไร จะไปตายที่ไหนก็ช่างมัน” ธารตะวันเอ่ยเสียงเข้ม แม้ดวงตาจะดูหมองลงก็ตาม “ไม่เจอหน้ามันสิดี เห็นมั้ยช่วงนี้ชีวิตฉันมีความสุขขึ้นเยอะ”
“จ้าๆ แม่คนมีความสุข แต่มันคงไม่ตายหรอกนะ ในเมื่อคนที่อยากจะฆ่ามันยังนั่งอยู่นี่” ละอองฟ้าจี้จุดเพื่อนอีกครั้ง “ลองมาครั้งหนึ่งแล้วนี่ แต่ไม่สำเร็จ”
“เล่นแรงนะแก” ธารตะวันโวยสุดเสียง ทำเอานักเรียนที่นั่งอยู่โดยรอบสะดุ้งไปตามๆกัน “ถ้าเป็นเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ฉันคงฆ่าแกแทนมันแล้ว”
“จ้าๆ กลัวแล้วจ้~~~~~า” ละอองฟ้าแกล้งตัวสั่นนั่งขดอย่างแนบเนียน ท้าวงค้อนขุ่นเคืองของเพื่อนสาว “อย่าทำเค้าเลยน้~~~า”
“รู้สึกเหงาเหมือนกันนะเวลาไม่มีนายนั่น” เอกอัปสรเข้าเรื่อง “ปรกติเจอหน้าแทบทุกวัน ไม่รู้พักนี้หายไปไหน”
“ช่วงนี้มันสอบปลายภาค ใครๆก็ยุ่งกันทั้งนั้น” ธารตะวันหักรถเข้าสู่โหมดสลดอีกครั้ง
“อย่า...แก...อย่า อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ โรงเรียนก็แค่นี้ ตั้งสองอาทิตย์ไม่เจอกันเป็นไปไม่ได้หรอก ถึงจะเป็นช่วงสอบก็เถอะ” ละอองฟ้ามองเพื่อนอย่างรู้ทัน “ทุกครั้งที่เห็นหัวมันไวๆ ไอ้เจตก็รีบเดินฉีกไปอีกทางแล้ว มันตั้งใจหลบหน้าแกชัดๆวัน”
“ก็คงใช่” ธารตะวันก้มหน้ารับเสียงสลด พลอยทำให้เพื่อนที่นั่งอยู่ตรงหน้ารู้สึกเศร้าไปด้วย “ใครล่ะ อยากคุยกับคนที่เกือบจะฆ่าตัวเอง จริงมั้ย”
“อ่าว! นั่น!” เอกอัปสรอุทานขึ้น หลังจากมองเห็นร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เดินเข้ามาหากลุ่มตนอย่างช้าๆ
ธารตะวันหูผึ่งเมื่อได้ยิน รอยยิ้มฉายที่มุมปาก หรือว่าหมอนั่นอยากคุยกับเธอแล้ว เชอะ! ใครอยากจะคุยด้วย ถึงมาง้อตอนนี้ก็ไม่ยกโทษให้หรอก เดียวเจอหน้าจะด่าซะให้เข็ด คิดพลางค่อยๆหันหน้าไปยังผู้มาใหม่ เรียวปากเล็กๆเตรียมง้างสุดแรงเกิด
“นี่! ไอ้เจ....” สาวน้อยกลับต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าอาคันตุกะ “แกเองเหรอไอ้เฟิร์ท”
น้ำเสียงผิดหวังถูกแทนที่รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กสาว
“หวัดดีจ้า ชาลี แองเจิ้ล” เอกเทศยิ้มร่าตามสไตล์ ก่อนขยับตัวลงนั่งข้างๆธารตะวัน “ทำข้อสอบกันได้มั้ย”
“ก็พอได้ล่ะ” ละอองฟ้าตอบ “นี่แกจะเลิกเรียกพวกฉันแบบนี้สักทีได้มั้ย ฟังแล้วกระดาก”
“ไม่ชอบเหรอ ฉันว่าน่ารักดีออก” เด็กหนุ่มยักไหล่รับในท่าทีสบายๆ
“คู่หูนายไม่มาด้วยเหรอเฟิร์ท” เอกอัปสรถามถึงพระเอกของเรื่อง
“ไอ้เจตน่ะเหรอ” เอกเทศหันไปมองธารตะวัน ราวกับรู้ว่าจริงๆแล้วคำถามนี้ใครอยากถามที่สุด “สอบเสร็จก็วิ่งจู๊ดเข้าห้องสมุดไปแล้ว ครั้นจะฉุดมาด้วยก็ไม่ทัน” เด็กหนุ่มยักคิ้วยิ้มให้ธารตะวันอย่างเป็นนัย
“เพื่อนนายขยันขนาดนั้นเชียว หน้าตาโง่ๆแบบนั้นเนี่ยนะ” ละอองฟ้าไม่เชื่อหูกับเรื่องที่ได้ยิน “แถมนี่ยังสอบเสร็จแล้วด้วย”
ธารตะวันแอบค้อนเพื่อนซะหนึ่งดอก เอ๊ะ! แล้วนี่ฉันจะไปค้อนแทนมันทำไมเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ(เฮ้อ! จงโง่ต่อไปนะยัยวัน)
“อ่าวๆ เห็นเพื่อนผมยังงี้ มันสอบได้ที่หนึ่งของห้องทุกปีนะคร้า~~~~บ” เอกเทศย้ำข่าวเหลือเชื่อให้สาวๆฟังอีกครั้ง “ไม่รู้มันทำได้ยังไง หนังสือก็ไม่เคยเห็นมันอ่านสักที”
สามสาวอ้าปากค้าง ตะลึงกับเรื่องที่ได้ยิน นี่มันโลกาวินาศชัดๆ โลกถึงกาลอวสานแล้วหรือ คนอย่างไอ้เจตเนี่ยนะสอบได้ที่หนึ่ง แถมยังไม่เคยทบทวนบทเรียนอีกด้วย อมพระมาพูดก็ไม่อยากจะเชื่อ
“โม้แล้ว! สองอาทิตย์ก่อนฉันยังเห็นมันนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดอยู่เลย แล้วเมื่อกี้แกเองไม่ใช่เหรอ ที่บอกว่ามันแยกไปห้องสมุดน่ะ” ธารตะวันมีปากมีเสียงอีกครั้ง “ไหนว่ามันไม่เคยอ่านหนังสือสอบไง”
“แล้วใครว่ามันเข้าไปอ่านหนังสือเรียนล่ะ” เด็กหนุ่มตอบกวนๆ
“นี่! พูดให้มันชัดๆซิ” ละอองฟ้าชักรำคาญลีลาของอีกฝ่ายเต็มแก่ “ถ้ามันไม่ได้อ่านหนังสือสอบ มันคงเข้าไปอ่านเทคนิคพิชิตเพื่อนท่ามากสินะ”
“จึ๊ย! โดนซะหนึ่งดอก ถูกตอกเลยเรา” เอกเทศสะดุ้งรับ ปิดหน้าหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ “ฉันเองก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน ทั้งๆที่หนังสือเรียนจ้างเท่าไหร่ก็ไม่แตะ แต่พักนี้ไม่รู้อะไรเข้าสิง ฟิตอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตสัตว์จนแทบไม่หลับได้นอน ฉันรับประกันได้เลยว่า ตอนนี้คงไม่มีสัตว์โลกชนิดไหนที่มันไม่รู้จัก ยังสงสัยอยู่เลยว่ามันจะหาชีวิตสัตว์นอกโลกมาอ่านต่ออีกมั้ย”
“ฮิๆๆ จะอะไรเข้าสิงล่ะ ถ้าไม่ใช่วิญญาณทาร์ซาน สงสัยคงอยากปลูกป่าเป็นของตัวเองมั้ง” ละอองฟ้าโพล่งขึ้นง
แล้วเสียงหัวเราะก็ดังสนั่นทั่วบริเวณที่หนุ่มสาวทั้งสี่นั่งอยู่ จะมีเว้นก็แต่เพียงธารตะวันผู้เดียวเท่านั้นที่นิ่งเงียบ เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เจตนาจึงดูร้อนรนนักเมื่อเห็นเธอ รวมทั้งทุกครั้งที่เขาเจอเธอหลังจากนั้นด้วย หลงไม่สบายใจอยู่นาน ที่แท้หมอนั่นไม่ได้เกลียดเธอเลย ตรงกันข้าม เขากำลังพยายามทำเซอร์ไพร์ในสิ่งที่เธอขอ สิ่งที่เธอขอโดยหวังว่าเขาจะทำไม่ได้แล้วเดินออกไปจากชีวิตเธอซะ
เด็กสาวเหม่อมองไปทางห้องสมุดที่อยู่ลิบๆ ผมทรงหน้าม้าไหวระริกยามต้องสายลมโชยเอื่อยที่พัดเข้ามาภายในโรงอาหาร ทั้งๆที่รู้ว่าบ้านฉันเป็นร้านขายสัตว์เลี้ยง ทั้งๆที่แกก็แพ้ขนสัตว์รุนแรงออกขนาดนั้น ทำไมแกต้องดิ้นรนทำอะไรแบบนี้เพื่อฉันด้วย แกเห็นอะไรดีๆในตัวฉันที่ฉันมองไม่เห็นเหรอ ชักอยากรู้แล้วสิว่าแกเห็นอะไร ธารตะวันหัวเราะกิ๊กกั๊กกับตัวเอง ไอ้เจต! ทำไมแกโง่ได้ขนาดนี้นะ ฮิๆๆ
*******************
“ยัยวัน! อย่าลืมกระเป๋าเสื้อผ้าบนโต๊ะนะลูก” เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากภายในร้าน ธารตะวันเพ็ทช็อป
“ค่~~~~~า” เด็กสาวขานรับ ก่อนจะหันมาหน้านิ่วคิ้วผูกโบ เพ่งมองรถตู้ของพ่ออีกครั้งอย่างหัวเสีย
เหลือเชื่อ! หลังจากเสียเวลาราวครึ่งชั่วโมงเดินสำรวจจนทั่ว ธารตะวันไม่สามารถค้นพบซอกหลืบหรือมุมใดๆของ โตโยต้า แกรนเวีย 3.4 ออโต้ โฟร์วีล สีเทาคันงามที่จอดนิ่งอยู่ตรงหน้า เพื่อยัดกระเป๋าเสื้อผ้าใบจิ๋วของเธอลงไปได้เลย เพราะนอกจากกระเป๋าและกล่องหลากขนาดทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นแล้ว ภายในยังเต็มไปด้วยบรรดาสัตว์เลี้ยงนานาพันธุ์ ซึ่งพ่อเธอตั้งใจจะเอาไปกำนัลเหล่าญาติๆเมื่อไปถึง เฮ้อ! ของฝากอย่างอื่นไม่มีแล้วหรือไง ไอ้ที่คนทั่วไปเค้าซื้อฝากกันน่ะ ทำไมพ่อฉันถึงสรรหาได้ขนาดนี้ เด็กสาวเกาหัวด้วยความหงุดหงิดท่ามกลางการประสานเสียงร้องของสิงสาราสัตว์ อืม! สงสัยคงต้องยอมแพ้ตัดใจ วางไว้บนตักตามที่พ่อบอกซะแล้ว
“เรียบร้อยหรือยังจ๊ะสาวน้อย”
คุณพ่อตัวอย่างเอ่ยขึ้นทันทีที่ก้าวพ้นจากประตูร้าน แขนทั้งคู่หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ออกมาอีกสองใบ
“โห! พ่อ กระเป๋าอะไรคะ” ธารตะวันตกใจร้องก่อนปรายตาไปที่รถ “ไม่มีซอกไหนอัดได้อีกแล้วนะ”
“อุปกรณ์ถ่ายรูปน่ะ คราวนี้ล่ะ! จะเก็บภาพช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยให้หนำใจ”
ชายวัยกลางคนรับเสียงใส ก่อนเดินฮัมเพลงอย่างมีความสุขไปด้านหลัง แล้วค่อยๆเปิดฝากระโปรงรถขึ้น
เสียดาย! นี่ถ้าแม่เธอไม่ด่วนจากไป คงยังพอมีคนปรามพ่อเธอได้บ้าง ใบหน้าบูดบึ้งของธารตะวันเฝ้ามองพ่อทุ่มเทใช้ความพยายามทุกวิถีทาง ที่จะเนรมิตให้กระเป๋าหน้าใหม่ทั้งสอง ได้เข้าไปคุยกับเพื่อนของมันภายในรถ ท่าทางทุลักทุเลคล้ายจิ้งจกดิ้นของพ่อ คลายอารมณ์ที่มีอยู่ของสาวน้อยให้บางลง จนเกิดเป็นรอยยิ้มบนใบหน้า และทนไม่ได้ต้องเดินเข้าไปช่วยในที่สุด
ปัง!!!
เสียงกระโปรงหลังถูกปิดลง ตามมาด้วยภาพชายวัยกลางคนยืนปัดฝุ่นบนฝ่ามือด้วยความภาคภูมิ ราวกับพึ่งผ่านสมรภูมิเวียดนามมาก็ไม่ปาน
“เห็นมั้ยว่าเหลือเฟือ ทีนี้ก็ขาดแค่กระเป๋าลูกเท่านั้นนะ จัดการซะคนสวย”
“เหลือเฟือ!” ธารตะวันรับเนือยๆพลางปาดเหงื่อบนใบหน้า แววตาอิดโรยจ้องมองความเนี้ยบของพ่อที่ยังคงอยู่ด้วยความทึ่ง เค้าว่าคนบ้าไม่มีเหงื่อท่าจะจริงแฮะ “อยากพูดอะไรก็ตามใจ หนูไม่มีแรงจะเถียงแล้ว”
“หึๆๆ จ๊ะๆคนดี งั้นพ่อขอไปซื้อเบียร์แป๊บเดียวนะ ลูกจะเอาอะไรมั้ย”
“ไม่ล่ะค่ะ เสบียงหลังรถมีพอแบ่งคนทั้งจังหวัดแล้ว”
“ฮ่าๆๆๆ งั้นฝากดูทุกอย่างให้พร้อม พ่อกลับมาจะได้ไปกันเลย โอเคมั้ย”
“ค่~~~~~~า” ธารตะวันลากเสียงยานคาง ก่อนเดินกลับเข้าไปในร้านอย่างไม่ใส่ใจ
*******************
กระเป๋าเสื้อผ้าก็เอามาแล้ว! ประตูร้านก็ล็อคเรียบร้อยแล้ว! ขาดแต่สารถี ไม่รู้ว่ามั่วไปสีผู้หญิงถึงไหน ธารตะวันชะโงกดูประตูหน้าร้าน เซเว่นฯ ที่อยู่อีกฟากของถนนเป็นรอบที่ร้อย ใจคอพ่อจะเหมาเบียร์จนหมดร้านเลยหรือไง เข้าไปซื้อเป็นชั่วโมงยังไม่กลับมาอีก เด็กสาวทิ้งแผ่นหลังพิงรถตู้ พลางเตะก้อนกรวดบนฟุตบาธเล่นเพื่อระบายความขุ่นมัวที่ค้างอยู่ พวกผู้ชายนี่ไม่ได้ดั่งใจสักคน นึกแล้วฉุน ไอ้เจตเองก็ใช่ จนป่านนี้ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น ไอ้ที่เตรียมไว้สงสัยฉันคงได้เซอร์ไพร์ชาติหน้าแน่ๆ เฮ้อ!
“วัน!”
ธารตะวันเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงคุ้นหูรวดเร็วเกินใจห้ามได้ทัน หัวใจเต้นจังหวะแทงโก้ระรัวจนยากระงับ
“เฮ้ย! ไอ้เจต แกเป็นบ้าอะไรวะ”
เบื้องหน้าธารตะวันคือภาพหนุ่มน้อยในชุดแฟชั่นล้ำสมัยของเอสกิโม อันประกอบด้วย หมวกไหมพรมคลุมถึงหู ผ้าปิดปากสีขาวสะอาดตา เสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวโค่งภายใต้แจ็คเก็ตสีดำ สองมือสวมถุงมือหนังแบบที่พวกสิงห์มอเตอร์ไซค์เค้าใส่กัน กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มยาวจรด ไนกี้ รีบอค คู่งามที่ใส่อยู่(หน็อย! คำว่า-ซึ้ง-แกสะกดไม่เป็นใช่มั้ย)
สรุปได้คำเดียวสั้นๆว่า บ้า! หมอนี่มันบ้าเกินไปแล้ว เด็กสาวจ้องร่างผู้มาใหม่อย่างหวาดๆ ต่อให้ระแวงหรือแพ้ขนสัตว์ขนาดไหน แต่นี่มันเกินรับได้จริงๆ
“หน้าหนาวกรุงเทพฯ ไม่ได้เหมือนสวิตฯนะโว้ย แต่งตัวซะยังกับฝ่าพายุหิมะมางั้นแหละ”
“แหะๆๆ ประสบการณ์ฝังใจ ต้องปลอดภัยไว้ก่อนล่ะ”
“พอเลยๆ ฉันไม่อยากต่อปากต่อคำเรื่องนี้อีกแล้ว” ธารตะวันโบกฝ่ามือไปมาในอากาศ ใบหน้าหงุดหงิดขึ้นมาทันที “แล้วนี่ใครเป็นคนบอกแกว่าฉันจะไปวันนี้ล่ะ”
“ไอ้เฟิร์ทมันบอกน่ะ”
“ว่าแล้ว! ยัยฟ้าไม่น่าหลุดปากเลยให้ตายเถอะ” ธารตะวันนึกฉุนเพื่อน นี่ดีนะที่เธอห้ามไว้ทัน ไม่งั้นถ้าเผลอบอกไปทั้งหมด คงได้อดแก้เผ็ดกันพอดี โทษฐานที่ทำให้เธอกังวลใจตั้งหลายวัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอาคืน ปล่อยให้มันเพ้อไปคนเดียวอีกสักพักน่ะดีแล้ว เด็กสาวปรายตามองตัวแสบอีกครั้ง ก่อนส่ายหน้าด้วยความปลง อนาถใจกับคอสตูมที่ได้เห็น “เฮ้อ! ฉันล่ะสงสัยจริงๆ แกมาถึงที่นี่โดยไม่โดนตำรวจลากคอได้ยังไงเนี่ย”
“ก็หวิดอยู่หลายป้อมเหมือนกัน แหะๆๆ” เจตนาเบือนหน้า หลบสายตาที่จ้องอยู่ด้วยความอาย “เอ๊ะ! ในร้าน”
หลังสิ้นเสียงทัก ธารตะวันหันหน้าเข้าไปดูภายในร้านตามเด็กหนุ่ม รวดเร็วจนหัวแทบชนกัน ภาพที่ทั้งคู่ได้เห็นนั้น ไม่คุ้นเคยเหมือนวันวาน เพราะในวันนี้ นอกจากประตูทั้งหมดจะถูกปิดล็อกอย่างหนาแน่นแล้ว ภายในร้านยังปราศจากเสียงอื้ออึงจากสิ่งมีชีวิตใดๆอย่างที่เคยเป็น คงเหลือทิ้งไว้เพียงกรงเปล่าๆ กล่องอาหาร และอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยงไว้ให้ดูต่างหน้าในยามคิดถึง ซึ่งก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้สถานที่แห่งนี้กลับมามีชีวิตชีวาได้เหมือนเคย
เจตนาแอบชำเลืองสายตาไปยังใบหน้ากลมใสโดยไม่ให้เจ้าตัวได้รู้ อีกแล้วๆ นี่ชาติก่อนเธอเป็นหน่วยสวาทหรือไง ถึงได้ขยันจู่โจมเข้ามาภายในหัวใจของเขานัก
“มองอะไรของแก!”
ธารตะวันยื่นหน้าเพ่งมองแววตาเหม่อลอยของเด็กหนุ่มอย่างเอาเรื่อง แต่เธอคงไม่ทันสังเกตว่า ระยะห่างที่เคยมี ลดน้อยลงจนใบหน้าทั้งคู่แทบจะแนบชิดกัน
“เฮ้ย!” เจตนาสะดุ้งถอยจนสุดตัว ตายล่ะหว่า! ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย “เอ่อ...คือ...เอ่อ...ใช่ๆ สัตว์ที่เหลือในร้าน วันเอาไปเก็บไว้ไหนหมดแล้วล่ะ(ฟู่~~~ส~~~าธุ รอดทีเถ๊อะ)”
“อืม!” ธารตะวันวิเคราะห์ท่าทีเด็กหนุ่มด้วยสายตา “พ่อฉันทยอยเอาไปฝากร้านเพื่อนแถวจัตุจักรตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว” เด็กสาวตอบทั้งๆที่ยังคงรู้สึกไม่ไว้วางใจอยู่ “จริงสิ! แกยังไม่บอกเลย ตกลงวันนี้แกมาหาฉันทำไม(เอาแล้วๆ ตื่นเต้นๆ)”
“เออ! เกือบลืมเลย(มีใครเค้าลืมเรื่องแบบนี้กันบ้าง ห๊~~~า นายเจตนา)” เจตนาเว้นช่วงกระแอมด้วยทีท่ายียวนที่สุดเท่าที่เคยมีมา “แฮ่มๆๆ ฉันมาคิดดูแล้ว คงจะบ้าไปหน่อย ถ้าจะขอร้องให้พ่อเธอยกเลิกแผนการที่วางไว้ ทั้งๆที่เราก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน(พึ่งรู้เหรอเอ็ง) ดังนั้น...เรามาเป็นอะไรกันเถอะนะ(ขอถอนคำพูดเมื่อกี้ได้มั้ย)”
“ว่าไงนะ!” ธารตะวันถลึงตาแผดเสียงอย่างลืมตัวก่อนจะพุ่งร่างเข้าใส่คนปากเปราะ “มานี่เลย! ฉันจะช่วยแกะหมาออกจากปากแกให้”
“เดี๋ยวๆ ฟังให้จบก่อนสิ” เจตนาแก้ตัวพลางยกแขนขึ้นปัดป้องการจู่โจมพัลวัน “เจตไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“แฮ่กๆๆ งั้นว่ามา แกหมายความแบบไหน”
สาวน้อยสงบลงเพื่อดูท่าทีตัวแสบว่าจะเอายังไง
“เฮ้อ! คืองี้นะ เจตอยากจะขอทดสอบกับวันอีกครั้ง คราวนี้ล่ะ เจตจะแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครเหมาะกับวันเท่าเจตอีกแล้ว”
“เสียเวลาเปล่าๆน่ะ” ธารตะวันเก็บรอยยิ้มไว้ภายใต้หน้ากากที่เรียบเฉย
“อันนี้ก็ต้องลองดู” เจตนาหรี่ตาท้าทาย
“งั้น...เจ้าสี่ขาที่วิ่งอยู่ในรถน่ะพันธุ์อะไร” ธารตะวันชี้ไปที่กรงในสุดของรถตู้โดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว
“ไหน! กรงไหน อ๋อ! ตัวแรกก็เล่นซะหนาวเลยนะวัน”
“อะไรกัน! คิดว่ามีดีกว่านี้สักอีก นี่แค่ตัวแรกก็จอดแล้วเหรอ”
“ใครว่า ที่หนาวน่ะ เพราะว่าไอ้ตัวที่เธอชี้อยู่มันมาจากแถบตะวันออกของไซบีเรียต่างหาก สุนัขเอสกิโมขนานแท้ขนสองชั้น เจ้าของตำแหน่งแชมป์ลากเลื่อน ปัจจุบันนิยมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาเพราะทั้งสุภาพและขยัน ไซบีเรียน ฮัสกี้ ตัวนี้น่ารักดีนะวัน” เจตนาฉีกยิ้มยักคิ้วเย้ยเด็กสาว “มียากกว่านี้มั้ย”
“ในโหลทรงกลมนั่นปลาอะไร” เสียงธารตะวันเริ่มห้วน ด้วยขัดเคืองท่าทีกวนๆของคู่ปรับ
“เอ๋~~~~ ตัวนี้หายากนี่ ไปได้มาจากไหนล่ะ ตลกดีนะ ตัวเป็นปลาทะเลแต่ชื่อเหมือนนก คงเป็นเพราะฟันที่เชื่อมติดกันเป็นแผ่นมั้ง ชาวบ้านเค้าถึงเรียกกันว่าปลานกแก้ว เอาไปไกลๆแบบนี้ ไม่กลัวมันตายเหรอ”
“แล้วถ้าเป็นตัวที่นอนอยู่บนกิ่งไม้นั่นล่ะ”
“ตัวนี้ง่ายมากนะ แน่ใจเหรอวันว่าจะเลือกตัวนี้ เอ้า! ก็ได้ หัวโตมีหนามแหลมคล้ายหวีตลอดแนวกลางลำตัว ใต้คอมีเหนียงขรุขระขนาดใหญ่ ในตู้มีกิ่งไม้ให้แบบนี้มันคงชอบแน่ๆ ตอนเล็กๆชอบกินแมลงแต่พอโตเต็มวัยกลับกินพืชเป็นหลัก มีถิ่นกำเนิดบริเวณป่าร้อนชื้นแถบอเมริกากลางและใต้ เหมือนนกมาคอว์เมื่อคราวก่อนไง แค่กรีนอีกัวน่าอย่ามาถามให้เสียเวลาเลยวัน พอแค่นี้แล้วเรามาเป็นแฟนกันไม่ดีกว่าเหรอ ต่อให้ระยะทางจะห่างไกล แต่ระยะใจเราไม่ห่างกันนะจ๊ะ”
“หน็อย!” ความเจ็บใจและปลื้มใจตีกันวุ่นภายในกายสาวน้อย “รู้นิดรู้หน่อยทำมาเป็นคุย ใครจะไปยอมเป็นแฟนแกง่ายๆ ในรถก็ยังเหลืออีกเพียบ แล้วตัว...”
“อ่าว! พ่อตาค้าง วันนี้แต่งซะเต็มยศเชียวนะ คิดว่าจะไม่กล้ามาที่นี่แล้วซะอีก อาการดีขึ้นแล้วเหรอ”
คนอารมณ์ดีเข้ามาขัดจังหวะได้เหมาะเหม็ง ก่อนเดินไปเปิดประตูรถข้างคนขับ แล้วโยนถุงหิ้วพลาสติกขนาดใหญ่ข้างในบรรจุกระป๋องเบียร์จนเต็มไว้บนเบาะ
หลังรับไหว้เจตนาและอุดหูฟังเสียงบ่นเรื่องมาช้าจากลูกสาวตัวเองจนอีกฝ่ายเริ่มเหนื่อยหอบ ชายกลางคนก็ยกข้อมือของตนขึ้นดู
“ตายแล้ว! คุยเพลินไปหน่อย สายขนาดนี้แล้วเหรอ ยัยวัน พ่อว่าเราต้องไปแล้วล่ะ ถ้าไม่อยากฝ่าฝูงรถบนท้องถนน”
“อ๊ะ! จริงด้วยค่ะ เดี๋ยวไปถึงผิดเวลาคุณตาจะเป็นห่วง” ธารตะวันลิงโลดเหมือนนึกอะไรได้
“เฮ้ย! เรื่องของเราล่ะวัน เจตยังไม่ได้คำตอบเลยนะ”
“เรื่องอะไรฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ขอบใจมากนะเจตที่มาส่งพวกอา” คนเป็นพ่อร้อนรนเกินกว่าจะสนใจเสียงจากรอบข้าง “ลาเพื่อนซะวัน แต่เร็วหน่อยนะ พ่อจะไปสตาร์ทรถรอ สายแล้วๆๆๆ”
หลังกำชับลูกสาวแล้ว พ่อของธารตะวันก็รีบวิ่งไปอีกฝั่งของตัวรถ
“โชคดีนะ ขอบใจมากที่มาส่ง ฉันไปล่ะ” ธารตะวันสะบัดหน้าเตรียมพุ่งเข้าหาประตูรถข้างคนขับ
“วัน!”
เจตนาคว้าข้อมือเด็กสาวไว้แทบจะทันที ดวงตาทั้งคู่จับจ้องใบหน้าอันเป็นที่รัก
“อย่างน้อยก็ช่วยบอกทีว่า ผู้ชายคนนี้มีสิทธิ์ที่จะรอมั้ย”
ชั่วอึดใจที่ธารตะวันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่าง เมื่อได้ยินสิ่งที่หลุดมาจากปากของชายที่อยู่ตรงหน้า เธอตัดสินใจสะบัดข้อมือให้เป็นอิสระ ก่อนเอื้อมไปเปิดบานประตูที่อยู่ข้างๆ แล้วกระโดดขึ้นไปบนเบาะอันเต็มไปด้วยสัมภาระของพ่อ เอ๊ะ! กรงนี่มัน สาวร้อยน้อยฉีกยิ้มอย่างมีนัย
“พ่อฉันรออยู่ ฉันต้องไปแล้วล่ะ”
“แม้แต่การปฏิเสธที่เจตไม่อยากฟัง วันก็ให้ไม่ได้เชียวเหรอ” เจตนารำพึงทิ้งสายตาอ้อยอิ่งไว้ในใจเด็กสาว
“เอ้า! รับไป! อยากได้คำตอบนักไม่ใช่เหรอ” ธารตะวันร้องขึ้น ก่อนโยนอะไรบางอย่างเข้าสู่อ้อมอกเด็กหนุ่ม “วันนี้นายเตรียมตัวมาดี หวังว่าคงไม่เผลอสูดขนมันเข้าไปอีกล่ะ”
ฟิ้~~~~ว!!!
กรงนกขนาดย่อมพุ่งแหวกอากาศมุ่งตรงสู่เป้าหมาย
“เจตต้องการคำตอบ ไม่ใช่...เฮ้ย!”
เจตนาเซด้วยแรงส่งของสิ่งที่พึ่งรับมา ก่อนก้มหน้าเพื่อไขปริศนาที่คาใจ
“เหว~~~~อ วันทำไมแกล้งกันแบบนี้~~~~ ฮื่อๆๆ”
ทั้งร่างเจตนาแข็งทื่อด้วยความกลัว ดวงตาจ้องมองนกทั้งคู่ภายในกรงนิ่ง แม้สองแขนอยากจะขว้างทิ้ง แต่กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะทำ สองขาอ่อนยวบทรุดลงกับพื้นริมฟุตบาธ ภายในหัวค้นหาเหตุผลในการกระทำของเด็กสาว ก่อนเงยหน้าขึ้นหวังตัดพ้อกับเจ้าตัว แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า รถตู้ของเธอเคลื่อนออกไปได้สักพักแล้ว
ทำไม! ธารตะวันทำไมเธอถึงร้ายกับฉันนัก ฉันพยายามทำทุกอย่างตามที่เธอต้องการโดยหวังแค่เพียงคำตอบจากปากเธอ จะเป็นคำตอบแบบไหนก็ได้ ที่จะไม่ทำให้ฉันรู้สึกคาใจ ฉันรับได้ทั้งนั้น แล้วทำไม! ทำไม! ทำไมแค่นี้เธอถึงให้ฉันไม่ได้ หรือว่าสำหรับเธอฉันมีค่าแค่เพียง...เอ๊ะ!
เจตนาเพ่งดูนกตัวเล็กๆทั่งคู่ซึ่งกำลังโผไปมาอย่างร่าเริงภายในกรงอีกครั้ง ความเคยชินทำให้สมองเริ่มวิเคราะห์หาสายพันธุ์ แล้วเปลือกตาของเด็กหนุ่มก็เบิ่งกว้างขึ้นด้วยความตื่นเต้น ก่อนกระโดดจนสุดตัว ร้องตะโกนจนสุดเสียง เป็นผลให้ผู้คนที่สัญจรอยู่รอบข้าง ต้องหันกลับมามองด้วยความตกใจ
*******************
“แล้วจะให้พ่อบอกน้าแกว่ายังไง หา! ยัยวัน นกนั่นน่ะ ของฝากน้าแกนะ”
คนเป็นพ่อเท้าแขนกับพวงมาลัย เหม่อมองทะเลรถที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า ในขณะที่ริมฝีปากก็ขยับไม่หยุดมาตั้งแต่รถพึ่งออกตัวแล้ว
“ตอนนี้มันเป็นของฝากเพื่อนหนูแล้วไง เลิกบ่นสักทีเถอะพ่อ”
“แกก็พูดได้สิ คนที่โดนสวดไม่ใช่แกนี่ รู้อยู่ว่าน้าแกปากจัดแค่ไหน เค้าอุตสาห์กำชับมาตลอดว่าอย่าลืม เลิฟเบิร์ด ที่ขอนะ แล้วเป็นไง ถูกหลานสาวตัวดีขโมยให้เพื่อนซะงั้น”
“บอกว่าเลิกบ่นได้แล้วไงพ่อ เลิฟเบิร์ด คู่เดียว บ่นเป็นหมีไปได้ นั่นๆ ไฟเขียวแล้ว ขับๆไปสิคะ”
ธารตะวันสวนอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหันกลับมานั่งยิ้มกริ่มกับตัวเอง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่มีจุดหมายอีกครั้ง ป่านนี้นายบื้อนั่นจะรู้หรือยังนะ หวังว่าคงไม่โง่ถึงขนาดดูไม่ออกหรอกน่า เอ๋~~~~ สาวน้อยทะลึ่งสุดตัวขึ้นจากเบาะที่พิงอยู่ แล้วถ้ามันโง่ขนาดนั้นล่ะ พลันความกังวลใจก็เข้าจู่โจมเด็กสาวอย่างหนัก จนทำให้สองหูที่มีไม่สามารถตีความเสียงบ่นของพ่อ ที่ยังคงมีให้เธอฟังอยู่โดยตลอดเส้นทาง
*******************
“เมื่อไหร่ที่ไม่แน่ใจว่าจะใช้วิธีใดมัดใจคนที่ชอบ ลองเข้าหาเค้าอย่างจริงจัง ด้วยความจริงใจสักครั้งจะดีมั้ย เผื่ออะไรๆจะได้ลงตัวสักที”
Next Loading Program 3 : Classified (รักร้อนๆ พร้อมเสิร์ฟ)
ความคิดเห็น