คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Jennifer Lopez
ชื่อ : เจนนิเฟอร์ โลเปซ (Jennifer Lopez) ชื่อตามกำเนิด : เจนนิเฟอร์ ลินน์ โลเปซ (Jennifer Lynn Lopez)
ชื่อเล่น : เจ. โล หรือ ลา โลเปซ (J. Lo or La Lopez)
วันเกิด : 24 กรกฎาคม 2513
สถานที่เกิด : เขตบรองซ์ เมืองนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
(Bronx, New York City, New York, USA)
ส่วนสูง : 5 ฟุต 6 นิ้ว หรือ 168 ซม.
สีตา : สีน้ำตาล
สีผมตามธรรมชาติ : สีน้ำตาล
บิดาชื่อ : เดวิด (David) เป็นช่างเทคนิคด้านคอมพิวเตอร์
มารดาชื่อ : กวาดาลูพี (Guadalupe) เป็นครูในโรงเรียนอนุบาล
พี่สาวชื่อ : เลซลี่ (Leslie)
น้องสาวชื่อ : ลินดา (Lynda)
คู่สมรส :
มาร์ค แอนโธนี นักร้องและนักแสดง 5 มิ. ย. 2547 - ปัจจุบัน
คริส ฌูดด์ นักออกแบบท่าเต้นและแดนซเซอร์ 29 ก. ย. 2544 - 26 ม. ค. 2546
โอฮานี โนอา นายแบบ 22 ก. พ. 2540 – 1 ม. ค. 2541
บิดามารดาของเจนนิเฟอร์ต่างเกิดที่Puerto Ricoแต่ทั้งสองไม่เคยได้พบกันมาก่อนจนกระทั่งทั้งสองได้มายังประเทศสหรัฐอเมริกา เจนนิเฟอร์ได้เรียนร้องเพลงและเต้นรำตั้งแต่เธออายุเพียง 5 ปี เมิ่ออายุ 7 ปี เด็กสาวคนนี้ได้ตระเวนร่ำเรียนการเต้นไปทั่วเมืองนิวยอร์ค เมื่ออายุ 16 ปี เจนนิเฟอร์ได้หยุดการเรียนเต้นช่วงสั้นๆ เพื่อไปแสดงภาพยนตร์เรื่อง My Little Girl ในปี พ. ศ. 2529 หลังจากนั้น เจ. โล ได้ทำงานช่วงหนึ่ง ในสำนักงานกฎหมายแห่งหนี่ง ระหว่างนั้น เธอยังคงเรียนเต้นรำในยามกลางคืน เมื่อเจนนิเฟอร์อายุ 18 ปี เธอได้ย้ายออกจากบ้านบิดามารดาของเธอ เนื่องจากมารดาของเธอไม่อยากให้ตัวเธอยึดการเต้นเป็นอาชีพ
อาชีพของเธอเริ่มต้นด้วยการเต้นในรายการ In Living Color ในปี พ. ศ. 2533 เจ. โล ได้เป็นนักแสดงบนจอโทรทัศน์ครั้งแรก ในซีรียส์เรื่อง South Central และต่อมาเธอได้ปรากฎตัวอีกครั้งบนจอแก้วในบทบาทของเมลินด้า โลเปซ (Melinda Lopez) ในซีรียส์เรื่อง Second Chances ในปี พ. ศ. 2536 ต่อมาก็แสดงในเรื่อง Hotel Malibu ในปี พ. ศ. 2538 เจนนิเฟอร์ ได้ทะยานสู่จอเงินในบทบาทดารานำเป็นครั้งแรก ในเรื่อง Money Train
เจนนิเฟอร์ ได้ทะยานมีชื่อเสียงอย่างทันที เมื่อได้รับเลือกให้แสดงเป็น Selena Quintanilla Perez ในภาพยนตร์แนวชีวประวัติของดาราดังคนนี้ ที่ชื่อว่า (Selena) ในปี พ. ศ. 2540 ซึ่งจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้เจ. โล กลายเป็นนักแสดงเชื้อสายลาตินที่มีค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
เจนนิเฟอร์ ได้เซ็นสัญญากับโซนี่ มิวสิค (Sony Music) ในการทำอัลบั้มแรกแนวป็อปมิวสิคของเธอที่ชื่อว่า On The 6 ด้วยกลิ่นไอลาติน ซึ่งออกมาในวันที่ 1 มิถุนายน พ. ศ. 2542 ซิงเกิ้ลแรกของเธอที่ชื่อว่า If You Had My Love ได้พุ่งขึ้นสู่อันดับหนึ่งในบิวบอร์ดชาร์ต และได้เป็นอัลบั้มทองคำขาว ซึ่งมียอดขายหนึ่งล้านแผ่น
เจนนิเฟอร์ ไม่ได้สิ้นเปลืองเวลาในการทำอัลบั้มที่สองให้เสร็จสมบูรณ์ อัลบั้มถัดมานี้มีชื่ออย่างเหมาะสมว่า “ เจ. โล” ( J.Lo) ซึ่งออกมาในวันที่ 23 มกราคม พ. ศ. 2544 เพลง Love Don't Cost A Thing ซิงเกิ้ลแรกในอัลบั้มที่สองของเธอ ได้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งของชาร์ตมากมายอย่างรวดเร็ว
อัลบั้มรวมเพลงรีมิคซของเจ. โล ที่ชื่อว่า J to tha L-O! ได้ออกมาในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ. ศ. 2545
ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ. ศ. 2545 เจ. โล ได้ออกอัลบั้มที่สามของเธอที่ชื่อว่า This Is Me...Then ซึ่งออกซิงเกิ้ลฮิตที่ชื่อว่า Jenny From the Block
หลังจากนั้น เจนนิเฟอร์ได้มีความรักอย่างลึกซึ้งกับนักแสดงและผู้เขียนบทภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี่ อวอร์ดที่ชื่อ เบน เอฟเฟ็ค ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้เป็นอมตะตลอดกาลในมิวสิค วีดีโอของเพลง “ เจนนี่ ฟอร์ม เดอะ บล็อค" ซึ่งถือเป็นเพลงรักของคนดังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 21 และเป็นที่แน่นอนว่า ความสัมพันธ์ที่เป็นอมตะนิรันดร์กาลในภาพยนตร์เรื่อง Gigli ใน พ. ศ. 2546 ทั้งสองได้หมั้นหมายกันในเดือนพฤศจิกายน พ. ศ. 2545 แต่การหมั้นหมายครั้งนี้ได้ถูกยกเลิกในเดือนมกราคม พ. ศ. 2547
ในเดือนมิถุนายน พ. ศ. 2547 เจ. โลได้เข้าพิธีแต่งงานอย่างสายฟ้าแลบกับมาร์ค แอนโธนี และเริ่มงานของเธอใหม่อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น จึงเกิดผลงานในอัลบั้มที่สี่ที่ชื่อว่า Rebirth ซิงเกิ้ลเปิดตัวของอัลบั้มนี้มีชื่อว่าGet Right
นอกจากนี้ เจ. โล ยังมีผลงานทางด้านภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง เช่น เรื่อง “ เจอร์ซี่ เกิล” ใน พ. ศ. 2546 และเรื่อง Shall we Dance?ใน พ. ศ.2547
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ . ศ 2548 เจนนิเฟอร์ และไมเคิล วารทัน (Michael Vartan) ได้อยู่ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์แนวโรแมนติค คอมมิวดี้ เรื่อง Monster-In-Lawในเมืองลอสแองเจลิส ตั้งแต่วันที่ 10 – 15 กุมภาพันธ์
น้ำหอมยี่ห้อแรกของเจ . โล มีชื่อว่า “ โกลว” (Glow) และน้ำหอมตัวที่สองได้ออกมาในชื่อ “ สติว”(Still)
ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ 2548 เจ. โล ได้ออกน้ำหอมตัวที่สามในเครือน้ำหอมของเธอที่ชื่อว่า “ ไมอามี่ โกลว” (Miami Glow)
ความคิดเห็น