ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Believed

    ลำดับตอนที่ #32 : บทที่ 31 : บทส่งท้าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.27K
      0
      21 ส.ค. 50

     

                สองปีผ่านไป

     

                "พรุ่งนี้แล้วๆ" นักฆ่าหนุ่มน้อยจากป้อมอัศวินเอ่ยร่าเริงเป็นรอบที่สี่สิบเจ็ดและสี่สิบแปดของวัน แม้จะฟังดูน่ารำคาญ แต่คนที่เดินอยู่ข้างๆ ยังคงทำหน้าเฉยเหมือนไม่ได้ยิน

     

                "นี่แกไม่ตื่นเต้นบ้างเลยเหรอ เนอาร์" สุดท้ายเคนอลก็หลุดคำถามคาใจออกมาในรอบที่สี่สิบแปดนี้เอง ตาสีน้ำตาลเย็นชาและคมกริบมองมาทางคนพูดอย่างเชือดเฉือนเต็มที่

     

                "ไม่"

     

                "อะไรกัน พรุ่งนี้ชีวิตนักเรียนจะจบลงแล้วแท้ๆ ไม่รู้สึกเสียดายเลยรึไง" เจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาลใช้สายตาแบบเดิมเป็นคำตอบ ทำเอาคนที่ตื่นเต้นกับการเรียนจบบ่นเป็นหมีกินผึ้ง

     

                ไอ้ท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับสภาพรอบตัวมันก็ดีอยู่หรอก แต่แบบนี้เรียกว่าไม่สนใจอะไรในชีวิตเลยมากกว่า ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าชินกับนิสัยแบบนี้ของอีกฝ่าย หากนับจากเรื่องเมื่อสองปีก่อนที่มันถูกคิงชามัลเรียกตัวไป เกราะน้ำแข็งรอบตัวมันก็พัฒนากลายเป็นภูเขาน้ำแข็ง นอกจากไอเย็นจะปกคลุมรอบตัวหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม มันยังแผ่รัศมีสองเมตรรอบๆ ตัวจนตอนแรกแทบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ พอไปถามพี่ชายฝาแฝดตัวดี มันก็แค่ยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูดไปเลย

     

                ถึงจะเป็นเพื่อนสนิท แต่ถ้ามันไม่อยากพูด เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายได้

     

                ตาสีม่วงอ่อนเหลือบไปเห็นคนที่เขาเพิ่งจะนินทาในใจไปเมื่อครู่จึงร้องทัก

     

                "มายืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ เนอิน" ร่างสูงนั้นหันกลับมายิ้มทักทายตอบ ขณะที่เนอาร์เดินมาหยุดอยู่ตรงข้างหน้าต่างที่พี่ชายฝาแฝดยืนเหม่ออยู่เมื่อครู่ สายตามองผ่านหน้าต่างลงไปยังตัวเมืองด้านล่าง มันไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากชาวบ้านที่เดินไปมา ร้านค้าเร่ที่แข่งกันค้าขาย ดูๆ ไปก็เป็นภาพปกติที่หาดูได้ทั่วไป

     

                "แค่สูดอากาศนิดหน่อยน่ะ" ตอบพร้อมกับยิ้มกว้างตามแบบฉบับของคนอารมณ์ดี "แล้วแกล่ะ ปกติป่านนี้ต้องอยู่ที่ห้องประชุมแล้วไม่ใช่เหรอไง" หันไปเปรยกับน้องชายผู้ตรงต่อเวลา เนอาร์เบนสายตากลับมามองพี่ชาย แต่คนที่ตอบกลับเป็นเคนอล

     

                "โดนพวกสาวๆ กักตัวไว้น่ะสิ กว่าจะฝ่าออกมาได้ก็เกือบแย่ไปเหมือนกัน" นักฆ่าหนุ่มพูดพลางถอนหายใจหนัก ราวกับเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง "อีกอย่าง ไปช้าหน่อย ไอ้พวกนั้นมันก็คงไม่ได้นึกถึงเรานักหรอก มีแต่จะภาวนาให้ไปถึงช้าๆ ซะด้วยซ้ำ" ว่าแล้วก็หัวเราะร่า

     

                วันนี้มีการจัดฉลองเล็กๆ น้อยๆ ในห้องนั่งเล่นประจำป้อม ซึ่งได้รับอนุญาตจากมิซแรมเชล กิลเบิร์ต อาจารย์ประจำป้อมอัศวินเรียบร้อย ทั้งนี้งานเลี้ยงจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าชายเนอาร์ วาเนบลี ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าป้อมอัศวินชั้นปีที่เจ็ด และการที่คนดูแลไปถึงช้ามากเท่าไหร่ 'พวกลิง' ในงานเลี้ยงก็มีอิสระในการดื่มกินมากขึ้นเท่านั้น

     

                จากนั้นทั้งสามคนจึงมุ่งไปยังงานเลี้ยง ในขณะที่เนอินกับเคนอลกำลังพูดคุย หยอกล้อ หัวเราะไปตามปกติที่เคยเป็น ก็ปรากฏเด็กสาวรุ่นน้องเดินก้มหน้าเข้ามาพร้อมกับห่อของขวัญในมือ

     

                "เอ่อ..อยากให้รับ..นี่ไว้ด้วย..ค่ะ" เสียงหวานแผ่นเบาสั่นขาดๆ หายๆ จากความตื่นเต้น แต่ก็ได้ยินอย่างชัดเจน กลิ่นหอมหวานๆ ที่แตะจมูกทำให้ทั้งสามคนไม่ต้องเดาว่าภายในห่อของขวัญนั่นมีอะไรอยู่

     

                "ไม่" เคนอลอ้าปากค้าง มองคนที่เอ่ยปฏิเสธสั้นๆ อย่างไร้เยื่อใยสลับกับใบหน้าขาวที่เริ่มมีสีแดงระเรื่อจากความอับอายผสมกับความเสียใจ ส่วนเนอินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกนึกสงสารสาวน้อย อุตส่าห์รวบรวมความกล้ามายืนหน้าเจ้าเนอาร์ แต่กลับถูกมันบอกปัดแบบไม่ไยดี

     

                นักฆ่าหนุ่มหันไปหาฝาแฝดอีกคนที่ปกติมันต้องเสนอหน้ามารับของขวัญ พร้อมกับรอยยิ้มกระชากใจสาว แต่นี่มันกลับยืนเฉย ไม่คิดจะเข้ามาช่วยสาวน้อยที่ทำหน้าใกล้จะร้องไห้เต็มที

     

                "เฮ้ย มันจะไม่ไร้น้ำใจไปหน่อยเหรอวะ รับๆ ไว้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร น้องเขาอุตส่าห์..." คำกระซิบไม่ทันจะจบ เนอาร์ก็ตัดบทด้วยน้ำเสียงอันคมกริบยิ่งกว่ากรรไกร

     

                "ไม่ ฉันสายแล้ว ขอตัว" แล้วเจ้าชายน้ำแข็งก็หมุนตัวเดินออกไปทันที ไม่แม้แต่จะหันมามองเด็กสาวที่เริ่มร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ เดือดร้อนให้เนอินต้องเข้าไปปลอบเป็นการใหญ่

     

                กว่าเด็กคนนั้นจะหยุดร้องไห้ ยอมผละไปแต่โดยดีก็เล่นเอาเนอินเกือบหอบ ก็พอเข้าใจอยู่ว่าน้องชายเขามันหน้าตาดี เป็นที่หมายปองของสาวๆ ไม่น้อยไปกว่าเขา แต่เพราะนิสัยน้ำแข็งของมันทำให้ส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้ามายุ่ง มีไม่กี่คนที่มั่นใจกับเสน่ห์ของตนลองเข้ามาทำตัวเจ๊าะแจ๊ะ แต่สุดท้ายก็ถูกไอเย็นแช่แข็งส่งกลับไปทุกราย บางรายที่หน้าหนาหน่อยก็ถูกเนอาร์พูดแรงๆ ใส่ไม่ไว้หน้า กลายเป็นศัตรูไปเลยก็มี

     

                ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อย่างน้อยๆ วันนี้ก็วันสุดท้ายนะ มันน่าจะมีลดๆ หย่อนๆ ให้บ้างสิ

     

                "ว่าแต่แกเถอะ วันนี้ไม่มีใครมาให้อะไรเป็นที่ระลึกรึไง" เคนอลเปรยขึ้นระหว่างที่เดินลานตะวัน

     

                "มีสิ" เนอินตอบพลางหัวเราะอารมณ์ดี แต่คนฟังน่ะไม่ได้รู้สึกตามไปด้วย ตาสีม่วงอ่อนมองมือทั้งสองที่ว่างเปล่าของเนอิน

     

                คนที่เปลี่ยนไม่ได้มีแค่เนอาร์

     

                ใช่ เขารู้ ตั้งแต่สองปีก่อน เนอินไม่เคยรับของขวัญจากสาวคนไหนอีกเลย ยกเว้นแต่ของขวัญวันเกิดจากเขา และพวกญาติๆ คนรู้จัก แม้แต่นิสัยการพูดคุยก็เปลี่ยนไปด้วย กลายเป็นว่าถ้าไม่มีใครเข้ามาคุย เนอินก็จะไม่เสนอหน้าเข้าไปพูดด้วย และเป็นแต่เฉพาะกับพวกผู้หญิงเท่านั้น ท่าทีที่ชอบหาทางแต๊ะอั๋งคู่สนทนาตลอดเวลาก็หายไปด้วยเช่นกัน

     

                ...การได้รักใครซักคน ทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยหรือ...

     

                หรือบางที...นั่นอาจจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของเนอินก็เป็นได้

     

     

                ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าวันใหม่ เหล่านักเรียนต่างทยอยกันเดินทางกลับ ฉะนั้นบริเวณหน้าปราสาทเอดินเบิร์กจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย รวมไปถึงมังกร ม้า รถเกวียน รวมไปถึงสัตว์ประหลาดต่างๆ อีกด้วย ความคึกคักของตลาดจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้า ร้านอาหารคลาคล่ำไปด้วยผู้ที่มารอรับบุตรหลานของตน หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบปี บรรยากาศส่วนหนึ่งจึงมีกลิ่นอายของความอบอุ่นจากครอบครัวลอยอบอวล

     

                "แหม...ทำไมพวกพ่อแม่ของพวกเราไม่มารับแบบนี้บ้างนะ" เคนอลเปรยขณะเดินตัวปลิวออกมาผ่านประตูปราสาท ข้าวของติดตัวมีเพียงกระเป๋าสะพายใบเดียว ตาสีม่วงมองไปรอบตัวเป็นประกายขำขัน เพราะรู้ดีว่าที่ตนพูดไปนั้น ไม่ได้คิดจริงจังอะไร

     

                "หลังจากนี้ฉันคงไม่ได้เห็นหน้าพวกแกอีกนาน" ชายหนุ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ เหมือนพูดกับตัวเองเสียมากกว่า คนฟังที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังคงเงียบกริบ หากดูเหมือนความรำคาญจะสะสมจนถึงขีดสุด ร่างสูงสาวเท้ายาวออกเดินไปได้แค่ก้าวครึ่ง ศีรษะของเขาก็ถูกดึงไปด้านหลังโดยแรง

     

                "แกจะไปไหน" เนอาร์มองหน้าคนถามสลับกับมือที่กำผมสีเงินยาวของเขาเอาไว้ ตาสีน้ำตาลดุจนเกือบจะแช่แข็งคนถูกมอง...ก็ได้แค่ 'เกือบ' แค่นั้นล่ะ เมื่อเคนอลส่งยิ้มมาให้เป็นปกติ

     

                "เลิกดึงผมฉันซะที" เสียงทุ้มราบเรียบ หากแผ่รังสีอาฆาตไปรอบบริเวณ

     

                "ก็ถ้าเรียกเฉยๆ แกก็ทำเป็นไม่ได้ยินนี่ วิธีนี้ได้ผลที่สุด" ทั้งนี้เพราะได้ทำการทดลองมาแล้วตลอดหนึ่งปีที่ผมสีเงินเริ่มยาว และเจ้าตัวเริ่มมัดรวบไว้ด้านหลัง

     

                "แล้วนี่เนอินไปไหนน่ะ เมื่อคืนเห็นเข้านอนแต่หัวค่ำ วันนี้หายไปตั้งแต่เช้า" เคนอลถามต่อ มือก็ปล่อยผมของอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ หลังจากที่แน่ใจแล้วว่ามันจะไม่เดินหนีเขาไปอีก

     

                เนอาร์ถอนหายใจแผ่วเบา งานนี้กว่ามันจะยอมปล่อยให้เขากลับคาโนวาลได้ ก็คงต้องรอให้ผ่านประตูเมืองไปนั่นล่ะ ตาสีน้ำตาลมองภาพของผู้คนมากมายเบื้องหน้าก่อนตอบ

     

                "ไปหาคน"

     

                "หาคน?" เคนอลเลิกคิ้วสูง "หาใคร"

     

                เนอาร์ไม่ตอบคำถาม และเริ่มออกเดินอีกครั้ง

     

                "แล้วนั่นแกจะไปไหน" ใบหน้าสลักเริ่มมีริ้วรอยความรำคาญปรากฏขึ้น ถ้าไม่ตอบไอ้นักฆ่านี่มันก็จะยิ่งเซ้าซี้ไม่ได้ไปไหนกันพอดี

     

                "กลับบ้าน"

     

                "อ้าว แล้วแกไม่รอเนอินก่อนรึไง"

     

                เจ้าชายน้ำแข็งชะงักเท้าเหมือนจะฉุกคิดขึ้นได้ หากเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้พี่ชายฝาแฝดหายตัวไปแล้วก็ได้ข้อสรุป

     

                "ไม่จำเป็น"

     

     

     

                ลมหนาวพัดผ่านให้หลายๆ คนเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาเยือนอีกครั้ง ภาพของผู้คนที่ออกเดินซื้อเสบียงกรังกลายเป็นภาพเจนตาที่เห็นได้เป็นประจำทุกปี อีกไม่นาน ร้านค้าจะเริ่มปิดตัวเร็วขึ้น เช่นเดียวกับประตูบ้านและบานหน้าต่างจะถูกปิดเพื่อป้องกันลมหนาว แต่ละครอบครัวจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน นั่งล้อมวงกันหน้าเตาผิงเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย

     

                ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเหตุการณ์เหล่านี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง

     

                แต่สำหรับเนอาร์แล้ว...เขาเพิ่งจะรู้ซึ้งถึงความหนาวเหน็บของเหมันต์ฤดูเมื่อสองปีที่ผ่านมา

     

                ชายหนุ่มกระชับเสื้อโค้ทสีเข้มตัวหนาเข้ากับร่าง ลมหายใจที่พ่นออกมากลายเป็นควันสีขาวเมื่อกระทบกับอากาศที่เย็นกว่า

     

                หิมะคงจะตกลงมาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

     

                เนอาร์พูดกับตัวเองในใจ ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลคมยังคงจับจ้องอยู่ที่แผ่นศิลาสีเข้มเบื้องหน้า ตัวอักษรและลวดลายที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกชื่นชมแม้แต่น้อย แน่ล่ะ..คงไม่มีใครคิดจะเอ่ยปากชมว่า 'หลุมศพนี่สวยจัง เอาไว้ฉันตายแล้วจะทำป้ายแบบนี้บ้าง' แน่ๆ

     

                "สองปีแล้วนะ" เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบท่ามกลางความเงียบงันบนเนินสูงที่ไร้ผู้คน เนินแห่งนี้ถูกกั้นให้เป็นสถานที่ส่วนบุคคลนับตั้งแต่ที่ป้ายศิลาปรากฏขึ้น และเพราะเจ้าของไม่ต้องการคนสวนหรือคนดูแล สภาพรอบตัวจึงยังคงสภาพเป็นทุ่งหญ้าเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยป่าทึบ มีเพียงถนนเส้นเล็กที่ถูกถางออกเป็นทางตรงมาที่นี่

     

                ปกติเนอาร์ไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรมากอยู่แล้ว ดังนั้นไอ้เรื่องที่เขาจะพูดเป็นคุ้งเป็นแควต่อหน้าหลุมศพ สาธยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาย่อมเป็นไปไม่ได้ และการทำแบบนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่ใต้แผ่นศิลานี่จะตื่นขึ้นมานั่งฟังพร้อมตอบอือออไปด้วย

     

                แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่คำพูดมันถูกมันหลอมเป็นกลุ่มก้อนภายในอก ถ้าเป็นเนอินคงไม่มีปัญหาในการจะแก้กลุ่มก้อนนั้นแล้วพูดออกมา

     

                และนี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เนอาร์นึกเกลียดนิสัยพูดน้อยของตัวเอง

     

                สองปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่วีรกรรมของเนอินก็ดูจะลดน้อยลงจนมิซแรมเซิลรู้สึกตกใจ(ถึงกับลากเนอินเข้าห้องพยาบาลเช็กอยู่เกือบอาทิตย์) ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเนอาร์ที่ไม่ต้องคอยเก็บกวาดตามเช็ดตามล้างเรื่องที่พี่ชายตัวดีไปทำเอาไว้ ชีวิตผ่านไปอย่างเรียบง่ายจนเคนอลบ่นว่าเบื่อทุกวันอยู่หลายเดือน สุดท้ายก็ชินไปกับความเรียบง่ายและหยุดบ่นไปในที่สุด

     

                สำหรับการเปลี่ยนแปลงของเนอินนั้น เขาเข้าใจดี การตามหาคนที่วิ่งไปวิ่งมาทั่วทั้งเอเดนไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีหน่วยข่าวกรองอย่างอดีตห้องสมุดเดินได้อย่างน้าโรเป็นแหล่งข่าวก็ตาม ทันทีที่ปิดเทอม เนอินจะหายตัวไปและจะโผล่มาในวันเปิดเทอมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พูดหยอกเล่นหัวกันตามปกติ แต่เพราะเป็นฝาแฝดรึเปล่านะ เขาถึงรู้สึกว่าพี่ชายตัวเองกำลังเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ พอลองถามออกไปก็ได้รอยยิ้มกวนตีนกลับมาพร้อมกับคำตอบที่ว่า 'นายเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง'

     

                เนอาร์ถอนหายใจอีกครั้ง เขาไม่คิดว่าตัวเขาเกิดความเปลี่ยนแปลง

     

                เพียงแต่...รับรู้ถึงความเงียบในความวุ่นวายได้มากกว่าเดิมก็เท่านั้น

     

                ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ไม่ว่ารอบตัวจะเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะมากเพียงใด แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงช่องว่างเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในเสียงอึกทึกเหล่านั้น สายตาของเขาสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน และเมื่อรู้สึกตัวอีกที ตัวเขาก็ถูกดึงดูดให้เข้าไปอยู่ในช่องว่างของความเงียบงันนั้นเสียแล้ว

     

                บางทีนั่นอาจจะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เนอินพูดถึง

     

                สองปีที่ผ่านมาเนอาร์ค่อยๆ เรียนรู้ความหมายของความรู้สึกที่เรียกว่า 'รัก' อย่างช้าๆ ด้วยค่าตอบแทนที่สูงลิบลิ่วที่เรียกว่า 'ความสูญเสีย'

     

                เนอาร์เคยสงสัยว่า ทำไมท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ถึงจะไม่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ไม่มีเวลาใดที่ท่านพ่อจะไม่รู้ว่าท่านแม่อยู่ไหน เคยสงสัยว่า ทำไมแค่ท่านแม่เป็นไข้นิดหน่อย ท่านพ่อถึงกับลงทุนหอบงานมานั่งทำข้างเตียงเพื่อที่จะได้เฝ้าไข้ท่านแม่ไปพร้อมๆ กัน และกินอะไรไม่ลงเหมือนท่านแม่อีกด้วย

     

                เขาเคยสงสัยว่า...ถ้าหากท่านแม่เกิดไม่อยู่ขึ้น ท่านพ่อจะเป็นอย่างไร

     

                ไม่ใช่ว่าแช่งแม่ตัวเอง แต่แค่วันหนึ่งอีกฝ่ายเกิดนึกพิเรนไปเที่ยวเดมอสโดยไม่บอกไม่กล่าวขึ้นมา ท่านพ่อจะทำอย่างไร

     

                มุมปากเผลอกระตุกยิ้มขึ้นมา ขำกับความคิดของตน

     

                ไม่น่าจะถาม ท่านน้าโรคงหนีงานจากทริสทอร์มายั่วโมโหท่านพ่อให้กลุ้มใจเป็นสิบเท่า ก่อนจะตบท้ายด้วยการเฉลยว่าจริงๆ แล้วท่านแม่แค่ไปพักร้อนที่เดมอสสองอาทิตย์ และเรื่องก็จะจบลงด้วยการกักบริเวณท่านแม่เป็นการลงโทษซักกเดือนสองเดือน

     

                เขาไม่เคยเข้าใจการกระทำเหล่านั้นของทั้งสองคนเลย จนกระทั่งได้เจอกับซีเวีย

     

                มันไม่ใช่ว่าเขาต้องการอยู่กับเธอตลอดเวลา เพียงแค่ให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้หนีไปไหน ไม่ได้ต้องการให้เธอพูดคุยกับเขาทุกครั้งที่มีเวลาว่าง แค่ไถ่ถามกันบ้างยามที่มีเรื่องทุกข์ใจ เขาไม่ได้ต้องการให้ซีเวียรักเขามากถึงขนาดที่ไม่สามารถรักใครได้อีก เพียงแค่ขอให้เขาได้รับรู้ว่าเธอยังอยู่ ยังหัวเราะ ยังมีลมหายใจ...

     

                เนอาร์ไม่รู้ว่าประโยคที่ว่า 'รักมากที่สุด' นั้นมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะสามารถรักใครได้มากเท่าที่ได้รักซีเวียเช่นกัน

     

                เป็นคำถามที่แม้แต่น้าโรก็คงตอบไม่ได้ และไม่มีใครตอบได้นอกจากตัวเขาเอง

     

                "มานานแล้วหรือ" เสียงหวานคุ้นหูดังขึ้น ดึงความคิดทั้งหมดให้หยุดลง พร้อมกับเสียงย่ำแสกสากบนผืนหญ้าที่มาหยุดอยู่ด้านข้าง ช่อดอกไม้ป่าสีขาวถูกบรรจงวางลงบนแท่นศิลาที่เย็นเฉียบ เนอาร์ไม่ได้ตอบคำถาม และคนถามก็ชินกับนิสัยเงียบๆ ของอีกฝ่ายแล้วจึงไม่คิดจะเซ้าซี้เอาคำตอบ

     

                ลมหนาวพัดมาอีกครั้งให้เส้นผมสีทองสั้นเคลียไหล่ปลิวไหวไปตามแรงลม เวซิลยกมือขึ้นปัดผมบางส่วนที่ปิดหน้าตนออก

     

                "แค่ดอกไม้ยังไม่มีติดมือมาเหมือนเดิมเลยนะ"

     

                คำเปรยต่อมาเป็นเชิงติเตียนเล็กน้อย ปกติแล้วการมาเยี่ยมหลุมศพใครซักคน ก็น่าจะมีดอกไม้ซักดอกก็ยังดี

     

                "พอเหี่ยวแห้งไปก็ไม่ต่างจากขยะ" เนอาร์ตอบเสียงเรียบ ไม่คิดว่าตนทำผิดมารยาท หญิงสาวขยับยิ้มนึกโทษตัวเองที่เผลอพูดในสิ่งที่ไม่น่าพูด ที่สำคัญเธอนึกภาพเจ้าชายน้ำแข็งยืนถือดอกไม้ไม่ออกเสียด้วยสิ

     

                "ยังไม่เลิกหนีอีกหรือไง" คิ้วบางเลิกสูงเมื่อจู่ๆ ก็ถูกถามด้วยคำถามที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นที่สุด เนอาร์ไม่ได้หันมามองแต่ก็พอจะเดาได้ว่าตาสีเขียวนั่นจะสื่ออะไรออกมา

     

                "ฉันไม่ได้หนี" เวซิลตอบเสียงเบาราวกับไม่แน่ใจว่านั่นคือคำตอบที่แท้จริง คนฟังถึงกับส่งเสียงหึในลำคอออกมาอย่างหาได้ยาก

     

                "ตอบเหมือนพวกฉันเมื่อสองปีก่อนเลยนะ" หญิงสาวหัวเราะเบาๆ

     

                "แถมโดนไล่ตามเหมือนกันด้วยสินะ"

     

                ".........................."

     

                เสียงลมหวีดหวิว และเสียงใบไม้ไหวดังแทรกกลบความเงียบที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง จนกระทั่งเนอาร์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

     

                "จะอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ งั้นหรือ" ตาสีเขียวสบกับตาสีน้ำตาลที่มองมาทางตนพร้อมคำถามที่เธอไม่สามารถตอบได้

     

                สองปีที่เล่นไล่จับกันจะว่าสนุกก็สนุกดีอยู่หรอก ได้เห็นพ่อเจ้าชายตัวดีวิ่งเต้นตามรอยเธอไปทั่วเอเดน ไหนจะสีหน้าหงุดหงิดที่รู้ว่าตัวคลาดกับเธอไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ยิ่งสะใจ แต่เมื่อถึงเวลาการไล่จับนั้นก็หยุดลงชั่วคราว ความเงียบเหงาเข้ามาแทนที่ ระหว่างนั้นเธอก็ยังคงตระเวณไปทั่วเหมือนเดิม ทำงาน พักผ่อน ทำงาน พักผ่อน วนเวียนเป็นวงกลม ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนชีวิตของเธอก็เป็นแบบนี้ แต่ทำไมตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันว่างเปล่า เคยคิดและบอกตัวเองว่าเป็นเพราะไม่มีซีเวียอยู่ แต่เมื่อผ่านไปได้ไม่ถึงสองเดือน ทุกครั้งที่ต้องผ่านเส้นทางที่เคยเดินทางร่วมกับเจ้าชายที่แสนเจ้าชู้แห่งคาโนวาลคนนั้น ภาพอดีตก็ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ แถมลามติดตาติดสมองตลอดเวลา

     

                มันไม่ใช่ความคิดที่ว่า เขากำลังทำอะไรอยู่ อยู่กับใคร หรือกำลังคิดถึงใคร แต่เป็นคำถามที่ว่าปัจจุบันเขายังรู้สึกอย่างไร แม้จะไม่มีเธออยู่คนๆ นั้นก็ยังมีความสุขอยู่หรือเปล่า

     

                ในขณะที่หัวใจตัวเองเริ่มตอบคำถามที่เฝ้าถามตลอดเวลาได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความหวาดกลัวก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเงาตามตัว

     

                ขณะที่เธอมั่นใจว่ารักไอ้เจ้าชายนั่นมากขึ้นเท่าไหร่...เธอก็ยิ่งไม่มั่นใจว่าคนๆ นั้นยังรักเธอเหมือนเดิมหรือเปล่า

     

                สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเธอกำลังหนีงั้นสินะ

     

                เวซิลถอนหายใจหนักเมื่อได้ข้อสรุปที่ก่อนหน้านี้พยายามปฏิเสธมาตลอด แต่ถึงจะยอมรับได้แล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะกลับไปหาเนอิน

     

                "ยังคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่รึไง"

     

                คำถามแทงเข้ากลางใจของคนที่กำลังเหม่อคิดโน่นนี่

     

                เวซิลเม้มริมฝีปากแน่น นี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอเกลียดตระกูลวาเนบลี

     

                ไอ้นิสัยที่เหมือนจะอ่านใจคนได้

     

                "ทำไม จะปลอบใจฉันหรือไง" ถามย้อนกลับด้วยน้ำเสียงเย้า คิ้วเข้มของคนฟังถึงกับขมวดเข้าหากัน ตาสีน้ำตาลคมปลาบจ้องมองกันราวกับจะเชือดเนื้อเถือหนังให้เป็นชิ้นๆ เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกสนุก เวซิลฉีกยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว พลันเชือกที่ไม่รู้มาจากไหนก็ร่วงลงมารัดแขนทั้งสองให้แนบติดกับลำตัว

     

                หมับ!

     

                สัมผัสอุ่นหยาบของมือใหญ่ที่คว้าต้นแขน ดึงสายตาให้หันกลับไปพบกับรอยยิ้มที่ฉีกกว้างไม่แพ้เธอเมื่อครู่ นัยน์ตาสีฟ้าสดใสพราวระยับราวกับมีคนจับดาวไปใส่ไว้ในตา

     

                "นี่นาย!!" เวซิลอ้าปากค้าง ก่อนสลับหันไปมองอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันที่ยืนอยู่ข้างๆ "นี่นายผิดสัญญากับฉันเหรอเนี่ย!!!"

     

                นักฆ่าสาวแผดเสียงลั่นไปทั่วทั้งเนิน จนนกที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้แถวๆ นั้นแตกฮือบินขึ้นฟ้า แล้วเสียงรอบตัวก็เงียบสงบลงอีกครั้ง

     

                เนอาร์รู้มาตั้งแต่แรกว่าหล่อนจะมาเยี่ยมซีเวียที่หลุมศพในวันนี้ของทุกปี และเธอก็บังคับขู่เข็ญว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับเนอินเด็ดขาด

     

                "ฉันจำไม่ได้ว่าเคยรับปาก"

     

                ใช่...เนอาร์ไม่เคยรับปาก ก็แค่...เงียบไว้เฉยๆ

     

                "และฉันก็ไม่ได้บอกเนอินด้วยว่าเธอจะมาวันนี้" ชายหนุ่มเสริมเพื่อแก้ข้อกล่าวหา

     

                "เชื่อมันเถอะ" เนอินว่าขำๆ รู้สึกว่าเคยเห็นเหตุการณ์นี้มาก่อน แต่เห็นเมื่อไหร่นั้นเขาจำไม่ได้และไม่สนใจที่จะจำ ในเมื่อตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรง ร่างของคนที่เขาวิ่งไล่จับมาตลอดสองปีกำลังอยู่ในอ้อมแขนของเขา แรงขัดขืนและความอบอุ่นของร่างนั้นบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ความฝัน

     

                "ฉันตามเนอาร์มันมาเอง" ตาสีฟ้าหันไปมองน้องชายฝาแฝดก่อนเอ่ยอาฆาต "ไว้เคลียร์เรื่องได้เมื่อไหร่ ฉันจะคิดบัญชีกับแก สนุกมากไหมเห็นพี่ชายสุดหล่อคนนี้วิ่งวุ่นไปทั่ว"

     

                "สนุก" ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดด้วยสีหน้าราบเรียบ นั่นยิ่งสร้างความหมั่นไส้ให้กับผู้เป็นพี่ชายยิ่งขึ้น แต่เอาเถอะ ตอนนี้ปล่อยมันไปก่อน เพราะเขายังมีเรื่องต้องจัดการอีก

     

                และเหมือนเนอาร์จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือก ทั้งๆ ที่มาก่อนแต่ดันถูกไล่ซะงั้น ชายหนุ่มคิดพลางหันไปหาป้ายศิลาอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลทอแสงอ่อนลงอย่างที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก

     

                "แล้วปีหน้าจะมาอีก" เนอาร์เอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วหันหลังเดินจากไป โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของเวซิลแม้แต่น้อย

     

                เมื่อแผ่นหลังของผู้ที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายได้หายไปจากสายตา เวซิลก็ตระหนักได้ทันทีว่างานนี้ถ้าตนไม่ช่วยตน แล้วใครเล่าจะมาช่วยเรา เธอจึงส่งเข่าเข้ากระแทกกับท้องของเนอินเต็มแรง ความจุกที่เกิดขึ้นทำให้วงแขนนั้นคลายลง เวซิลฉวยเอาจังหวะนี้กระโดดออกมาในระยะที่สามารถมั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางจับตัวเธอได้ง่ายๆ อีกครั้ง มีดที่ถูกซ่อนไว้ที่ปลายเท้าถูกนำมาใช้ตัดเชือกที่มัดตัวออกอย่างง่ายดาย เมื่อเป็นอิสระ ความคิดต่อมาคือเธอต้องหนี แต่แค่หมุนตัวเตรียมจะพุ่งออกไป แขนก็ถูกคว้าเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะถูกกระชากจนร่างของเธอเซปะทะกับแผ่นอกของเนอิน

     

                "ทำไมถึงได้ดื้อนักนะ จับก็จับได้แล้ว การเล่นก็น่าจะจบลงได้แล้วนี่นา" เจ้าชายองค์โตแห่งคาโนวาลว่ายิ้มๆ ดูเหมือนตอนนี้ไม่ว่าจะมีใครมาตบหัว หรือเอามีดจ่อคอ เขาก็ไม่คิดจะถือโทษอะไร ตรงกันข้ามอาจจะพาไปเลี้ยงข้าวเป็นของแถม

     

                "ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!" เวซิลสั่งเสียงเขียว แต่มีหรือที่เนอินจะยอมทำตาม หญิงสาวกัดฟันกรอด ไม่รู้จะโทษไอ้เจ้าชายน้ำแข็งที่ปล่อยให้หมอนี่ตามมาถึงที่นี่ หรือโทษตัวเธอเองที่เผลอจนตัวเองถูกจับ

     

                "ปล่อยแน่ แต่ไม่ใช่ที่นี่"

     

                "นี่นายจะขังฉันงั้นเหรอ"

     

                "ใช่" คนถูกโต้กลับถึงกับตะลึงกับคำตอบ น้ำเสียงหนักแน่นฟังยังไงก็ไม่เหมือนกับการหยอกเล่น ยิ่งสบตาสีฟ้านั่นด้วยแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าคนพูดเอาจริง

     

                "ถ้าเธอยังคิดจะหนี ต่อให้ต้องล่ามขังไว้ในห้องฉันก็จะทำ" เนอินว่าเสียงใสและรอยยิ้มกว้าง

     

                "นาย!!"

     

                "ฉันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ" คำบริพาทถูกกลืนลงคออย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำถามนั้น ถ้อยคำที่แฝงแววตัดพ้อจริงจังอย่างที่ไม่เคยได้ยิน มือหนายกขึ้นลูบเส้นผมสีทองที่ถูกตัดสั้นลงเสียครึ่ง ก่อนประทับริมฝีปากลงบนปอยผมส่วนหนึ่งอย่างเสียดาย

     

                "หรือฉันคิดผิดว่าเธอรักฉัน" เวซิลอ้าปากค้างให้กับคำพูดเข้าข้างตัวเองอย่างไม่อายฟ้าอายดินของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นความจริงจังในแววตาที่ขัดกับคำพูดนั่นเหลือเกินแล้ว สุดท้ายเธอก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     

                "นายนี่...ไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัยบ้างเลยรึไง" หญิงสาวว่าพลางเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาริมขอบตา ขณะที่คนถูกว่ากลับยิ้มกว้างทำหน้าตายพร้อมไหวไหล่

     

                "จะเปลี่ยนทำไม อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะนิสัยหรือความรู้สึกฉันก็ไม่คิดจะเปลี่ยน"

     

                เวซิลอึ้งไปทันที นั่นคืออีกฝ่ายกำลังบอกเธอว่าเขายังรักเธอเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือเปล่านะ

     

                "สองปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าฉันหรือเธอ เพียงแค่เธอเพิ่งจะยอมรับมัน" เนอินเอ่ยย้ำอีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยนที่เรียกน้ำตาให้เอ่อล้นขึ้นปริ่มตรงขอบตา

     

                "นั่นสินะ" เวซิลพูดเสียงเบา ตาสีเขียวหลุบต่ำลง ปล่อยให้น้ำใสๆ ไหลลงไปตามปรางแก้ม

     

                คนๆ นี้ไม่เคยเปลี่ยน และเธอก็มั่นใจว่าจะไม่มีทางเปลี่ยน

                แต่ถึงอย่างนั้น...

     

                "ฉันก็ยังไม่เชื่อใจนายอยู่ดี" หญิงสาวโพล่งขึ้นเสียงดัง ดึงตัวให้ออกห่างจากร่างสูงทันที

     

                "คนเจ้าชู้อย่างนายจะรักใครได้นานซักเท่าไหร่กันเชียว อย่าคิดว่าแค่นายยอมวิ่งตามฉันไปทั่วเอเดนแล้วจะทำให้ฉันเชื่อใจนายได้นะ"

     

                คนฟังหลุดเสียงหัวเราะออกมา หลังจากที่อึ้งไปเล็กน้อย เขาคิดว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในช่วงลังเล ตัดสินใจไม่ได้เสียอีก แต่เอาเถอะ ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองออกลวกๆ อย่างนี้ก็สมกับเป็นตัวเธอดี

     

                คิดจบแล้วก็พุ่งเข้าไปรวบร่างบางเข้าหาอกตนอีกครั้ง และคราวนี้จะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปอีกแน่ๆ

     

                "ถ้าอย่างนั้นเธอก็มาอยู่ข้างฉันสิ มองฉันจากระยะที่ใกล้ที่สุด เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วฉันเป็นคนยังไง และทำไมเธอถึงรักฉัน" เวซิลอ้าปากค้างอีกรอบ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีความคิดไม่เหมือนคนทั่วไปซักเรื่องนะ

     

                "แต่บอกไว้ก่อนนะ" ตาสีฟ้าใสก้มลงมองใบหน้าที่แดงเรื่อขึ้นจากระยะที่ใกล้ชิดจนได้ยินเสียงหัวใจ ลมหายใจอุ่นจนร้อนรดผิวแก้มที่เย็นเฉียบจากอุณหภูมิโดยรอบ "ฉันไม่อนุญาตให้มองคนอื่นอีก ตาของเธอต้องสะท้อนแต่ภาพฉัน สมองต้องมีแต่เรื่องของฉัน และหัวใจของเธอ...ต้องมีแค่ฉันอยู่เพียงคนเดียว"

     

                เวซิลเม้มริมฝีปากแน่น นึกชังหัวใจตัวเองที่ดันไปรักคนแบบนี้ ทั้งปากร้าย กะล่อน เอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็อ่อนโยน ดูแลเอาใจใส่เธอตลอดเวลา

     

                "ตกลงกลับไปกับฉันนะ" เนอินถามขึ้นอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มกว้างและอบอุ่น คนถูกถามแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้

     

                "ฉันเลือกได้หรือไง"

     

                เจ้าชายแห่งคาโนวาลไม่ตอบ แต่เชยคางมนขึ้นมาประทับลงบนกลีบปากบางด้วยความรัก

     

                ...แทนคำตอบ

     

                ...แทนคำสัญญา

     

                แทนคำสาบาน...ชั่วนิจนิรันดร์

    *******************************************

    Talk >  ในที่สุดมันก็จบซะที ต้องขอโทษที่ทำให้รอนานมากๆ (สองปีแน่ะ) ตอนนี้คงไม่รู้จะพูดอะไร เพราะกำลังตื้นตันใจ T^T

    เอาเป็นว่าใครที่อยากได้เรื่องนี้แบบเป็นรูปเล่ม พยายามกะราคาไม่ให้เกิน 250 บาทค่ะ เมลล์ไปจองที่ won_derful99@yahoo.com จะมีตอนพิเศษสองตอน ถ้ามีคนสั่งเกิน 200 เล่ม จะทำที่คั่นหนังสือด้วยอ่าค่ะ ^^"

    จากนี้ไปเหลือแต่ฟิคเวลากับสายลม อาจจะเอามาลงช้าซักหน่อย เพราะต้องรีไรท์เรื่องนี้ (ขอบอกว่าบางบทมีเปลี่ยน และมีบทเพิ่มด้วย เอิ้กๆๆ) อย่างไรก็ตาม ก็ขอฝากอีกเรื่องที่ยังดองอยู่ด้วยค่ะ m(_ _)m

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×