ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Distance : การเดินทางที่ยาวไกล

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 : ความจริง

    • อัปเดตล่าสุด 13 มี.ค. 49


                       ห้องโถงท้องพระโรงขนาดใหญ่ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่อย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก เพราะปกติแล้วคาโนวาลไม่ค่อยได้ต้อนรับใครมากมายนัก อันเป็นผลเนื่องมาจากนโยบายไม่อยากสุงสิงกับใครของผู้เป็นกษัตริย์ (ตามที่ราชินีจอมป่วนป่าวประกาศ) แต่คราวนี้เป็นโอกาสพิเศษที่จะต้อนรับอาคันตุกะจากซาเรส กษัตริย์อาเธอร์ เลโอนาท บริสตั้น เดอะคิง ออฟ ซาเรส ผู้ที่มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่ควบอีกหนึ่งตำแหน่ง

                       เสียงเพลงบรรเลงดังเป็นจังหวะภายในห้องใหญ่ ตรงกลางเต็มไปด้วยคู่เต้นรำที่กำลังสนุกสนาน แขกที่ได้รับเชิญมาในงานนี้ส่วนใหญ่คือข้าราชการระดับกลางและระดับสูง เบื้องหน้าคือบุคคลสามคนที่ถือว่าเป็นเจ้าของงานนี้ หนึ่งคนในชุดกษัตริย์สีดำสนิทชวนให้นึกถึงคิงคาโนวาลองค์ก่อน กำลังหัวเราะด้วยความชอบใจ อีกหนึ่งใบหน้าเรียบเฉยด้วยนิสัยของคิงคาโลองค์ปัจจุบันในชุดสีขาว และสุดท้าย...หญิงสาวในชุดราตรีสีน้ำเงินยาวเปิดไหล่เผยลำคอและลาดไหล่ขาวงดงาม เครื่องประดับชิ้นเดียวของเธอคือสร้อยเงินที่มีจี้เพชรเส้นเล็กอันเป็นของขวัญวันเกิดที่ได้รับมาตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ที่เอดินเบิร์ก ใบหน้าของเธอง้ำงอด้วยความเบื่อหน่าย ตาสีน้ำตาลคู่สวยทอดไปยังฟลอร์ด้านหน้า ในปากเคี้ยวหยุบหยับด้วยอาหารในมือที่สั่งให้ลูกชายไปตักมาให้ ใจจริงก็อยากลุกไปเอง ติดตรงที่ไอ้คนข้างๆ มันบังคับให้นั่งอยู่เนี่ยสิ ไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงอยากตัวติดกันขนาดนี้ เฮ้อ...เมื่อไหร่ไอ้งานบ้าๆ นี่จะจบซักทีนะ ไอ้ชุดบ้านี่ก็รัดจนน่าอึดอัด คุณนาเดียนะคุณนาเดีย บอกว่าหาชุดที่มันใส่ง่ายๆ กว่านี้หน่อย แต่ก็ยังยืนยันให้เธอใส่ชุดนี้อีก เฟรินเหลือบไปมองรุ่นพี่ที่นั่งคุยกับคนข้างๆ อย่างระแวงเล็กน้อย จริงอยู่ที่เธอยังไม่ได้คุยกับเขา แต่...กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าพี่เขาดันรำลึกชาติเรื่องนั้นขึ้นมาคงมีแต่ซวย คิดแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หยิบค็อกเทลชิ้นเล็กเข้าปากต่อ

                       "ยังเจริญอาหารเหมือนเดิมนะ" เสียงทุ้มที่พาให้คนฟังสะดุ้งเฮือก จนสำลักโขลกๆ ก่อนจะรับน้ำมาดื่มแทบไม่ทัน

                       "ก็คนเรามันต้องใช้พลังงานนี่กระหม่อม แถมกินไอ้นี่ไม่รู้จะอิ่มเมื่อไหร่" ตาสีฟ้ามองปรามดุๆ เมื่อเจ้าตัวดีกำลังวิจารณ์การต้อนรับของคาโนวาลในทางที่ไม่ค่อยดีนักในด้านอาหาร อาเธอร์หัวเราะหึๆ ก่อนจะเบนสายตาไปจับจ้องร่างเล็กสองร่างที่ซุ้มเครื่องดื่ม ใบหน้า เค้าโครงยังกะแกะมาจากพิมพ์เดียวกัน จะมีที่ผิดก็ตรงนิสัย ที่ดูจะเรียบร้อยกว่าเล็กน้อย อีกทั้งเรื่องการวางตัวก็ไม่มีที่ติ

                       "กฏที่ว่าให้พ่อสู้กับลูกยกเลิกไปแบบนี้ คนที่จะได้เป็นกษัตริย์ของคาโนวาลคนต่อไป คงไม่พ้นเนอินสินะ" คำเปรยเบาๆ เรียกให้คาโลหันมามองนิ่งๆ ก่อนจะส่ายหน้า ขณะที่เฟรินต้องรีบกลั้นหัวเราะ ให้เนอินเป็นคิง...ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆ

                       "ยังไม่แน่ ถ้าเนอาร์มีคุณสมบัติดีกว่าก็อาจจะได้เป็นคิงแทน" นัยน์ตาสีดำหรี่ลงอย่างใช้ความคิดกับประโยคที่ได้ยิน เนอาร์...เจ้าชายที่ถอดนิสัยมาจากพ่อนั่นน่ะหรอ คิดแล้วรอยยิ้มก็กระตุกขึ้น

                       "ดูท่าทางพระองค์จะให้ความสนใจกับรัชทายาทคนต่อไปเหลือเกิน" อาเธอร์หันกลับมาสบตาสีฟ้านิ่ง ไม่เจอกันนาน รู้สึกจะคมขึ้นมากนะ...กษัตริย์คาโล

                       "ก็ในเมื่อเป็นประเทศที่มาเจริญสัมพันธไมตรีนี่ ยังไงก็รู้ไว้ซักหน่อยก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรอ" ต่างฝ่ายต่างนิ่ง พยายามอ่านความคิดของแต่ละฝ่าย บรรยากาศเริ่มมาคุอย่างเห็นได้ชัด จนคนที่ไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้ต้องสอดปากขึ้นมา

                       "ทำไมพระองค์ไม่ไปงานเลี้ยงรุ่นในฐานะแขกล่ะกระหม่อม พี่โรเวนบอกว่าส่งจดหมายเชิญไปที่ซาเรสด้วยนี่นา" อาเธอร์หัวเราะลั่นกับคำถาม

                       "ฮ่าๆๆ ไม่เอาหรอก ถึงฉันจะชอบไปยุ่งกับพวกป้อมอัศวิน แต่ตอนนี้มันผิดกัน ที่สำคัญไอ้งานแบบนั้นมันไม่เห็นจะน่าไปร่วมเท่าไหร่ ว่าแต่เราเหอะ เมื่อไหร่จะมีเจ้าหญิงให้คาโลซักองค์ล่ะ" เฟรินหน้าแดงวาบ นึกด่าตัวเองที่ไม่น่าเข้าไปสอดปากหาเรื่อง ผิดกับคาโลที่นั่งเฉยไม่รู้สึกรู้สา น้ำแข็งเกาะอีกแล้วไอ้บ้า!...งั้นหลอมหน่อยดีกว่า คิดแล้วก็ยิ้มกว้างก่อนจะโน้มตัวไปเกาะแขนคนที่เธอด่าว่าโดนน้ำแข็งเกาะ

                       "นั่นสิคาโล... ฉันก็อยากได้ลูกสาวเหมือนกัน" คราวนี้คิงแห่งซาเรสต้องเป็นฝ่ายหน้าแดงเอง เมื่อสังเกตว่าคนพูดจงใจเบียดตัวเข้าหาผู้เป็นสามี เฮ้อ...ดูท่านิสัยยังไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เมื่อตอนเย็นที่เธอออกมาต้อนรับนั้น มันทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าคนๆ นี้เหมาะกับตำแหน่งราชินีแค่ไหน คาโลส่งสายตาดุๆ ไปให้ แต่เมื่อเห็นประกายเต้นระริกอยู่ภายในก็ต้องคลี่ยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน แขนใหญ่ตวัดรอบเอวเล็ก คนปากหาเรื่องสะดุ้งเฮือก เมื่อสิ่งที่คิดดูจะไม่เป็นไปตามที่คิด

                       "งั้นตอนนี้เลยก็ได้นะ ฉันเองก็อยากได้ลูกสาวเหมือนกัน" งานนี้ทำให้คนสองคนรู้ซึ้ง ว่า...คาโลเปลี๊ยนไป๋ ไม่รู้จะด้วยเชื้อบ้าของผู้เป็นภรรยาหรือนิสัยลูกชายคนโตสุดที่รักถึงทำให้คนๆ นี้เริ่มมีภูมิต้านทานภูเขาไฟอย่างเธอมากขึ้นทุกที เฟรินผลักอีกฝ่ายออกทันที หน้าขึ้นสีแดงแป๊ดๆ พูดมาได้ไม่อายปาก ไอ้ลามก!! ปากเรียวขมุบขมิบบ่นพึมพำหงุงหงิงตามนิสัย นึกในใจ ต่อไปนี้จะไม่เล่นวิธีนี้อีกแล้ว อุตส่าห์รอดจากตอนเย็นที่มาทันเวลาหวุดหวิดมาแล้วแท้ๆ (ถ้าคาโลมันคิดจะ... แกก็ไม่รอดหรอกเฟรินเอ๊ยย--คนแต่ง)

                       เพล้ง!

                       สิ้นเสียงนั้นไฟทุกดวงก็ดับวูบลง เหตุการณ์คุ้นตาเริ่มดำเนินไป เสียงหวีดร้องของบรรดาหญิงสาวสูงศักดิ์ดังระงมไปทั่ว หากหนึ่งสาวผู้มีศักดิ์เป็นราชินีกลับเงียบกริบและกวาดสายตามองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ ในใจนึกห่วงลูกที่อยู่ห่างออกไป ถึงจะได้รับการสั่งสอนเรื่องการป้องกันตัวดีแค่ไหน แต่บทเรียนก็ยังเป็นแค่บทเรียน เสียงทหารกรูเข้ามาปกป้องด้านหน้าหยุดเงียบลง

                       "คาโล..." น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล หากเกิดเพราะร่างสองร่างที่ห่างออกไป ห่วงเสียยิ่งกว่าตัวเอง... ลาดไหล่เปลือยสัมผัสกับฝ่ามืออุ่นที่ตบหนักๆ เป็นการปลอบโยน ความอบอุ่นวาบขึ้นมาภายในใจแม้จะไร้คำพูด คิ้วเรียวขมวดกันมุ่นในความมืด

                       เสียงแก้วแตก

                       ไฟดับ...

                       ฉัวะ!!!

                       เสียงฟันบางอย่างดังขึ้นมาในความเงียบ ยิ่งสร้างความหวาดกลัว เสียงกรีดร้องยิ่งดังหนักกว่าเก่า ตามมาด้วยเสียงวุ่นวาย เฟรินขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าเมื่อยังเห็นว่าคนข้างๆ ยังไม่ลงมืออะไรทั้งนั้น
     มันรออะไร?

                       ไม่ทันที่จะได้ถามอะไร ไฟทั้งหมดก็สว่างขึ้นมาใหม่ ตาสีน้ำตาลกวาดไปยังที่ที่เธอเป็นห่วงที่สุดทันที ร่างสองร่างนอนยาวเหยียดจมกองเลือดขนาดใหญ่ เหนือร่างนั้นคือ ร่างของชายหนุ่มผมสีดำสั้นกระเซิงเล็กน้อย มือทั้งสองเปื้อนเลือดหากสังเกตให้ดีที่ฝ่ามือจะเห็นเศษเนื้อเยื่อหัวใจที่ถูกควักออกมาสดๆ ตาสีม่วงวาวเบนจากเหยื่อตรงหน้าขึ้นมามองกลุ่มคนที่ยืนอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็ว เยื้องด้านหลังไปคือหญิงสาวผมสีม่วงซอยสั้นที่กำลังสาละวนกับการดูแล

                       "คิล!!!" เฟรินร้องเสียงหลง ไม่คิดว่าเพื่อนที่น่าจะอยู่ที่ซาเรสจะมาอยู่ตรงหน้าเขา คิลฉีกยิ้มกว้างก่อนจะพากันเดินมายืนตรงหน้าให้เห็นชัดๆ

                       "ลากศพออกไป" คาโลสั่งการสั้นๆ พร้อมกับที่ศพทั้งสองถูกลากออกไปตามคำสั่ง แม่บ้านรีบกระวีกระวาดออกมาจัดการคราบเลือดบนพื้น ไม่นานนักพื้นก็กลับมาสะอาดเหมือนเดิม

                       "ต้องขออภัยทุกท่าน แต่ว่างานเลี้ยงได้เลิกลาแล้ว" ร่างสูงเอ่ยจบงานง่ายๆ บรรดาแขกจึงได้แต่ทยอยออกจากท้องพระโรงอย่างงงๆ ตาสีฟ้าหันไปสบกับกษัตริย์แห่งซาเรส

                       "ขออภัยที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องขอเชิญให้พระองค์ได้พักผ่อนเสียที" กล่าวจบทั้งหมดก็เคลื่อนย้ายออกจากห้องเช่นกัน โดยไม่สังเกตเห็นความไม่พอใจที่ทอออกมาจากแววตา

    ------------------------------------------

                       เฟรินจ้องเขม็งไปยังเพื่อนสนิทสลับกับเรนอนที่ยืนยิ้ม หากมือทั้งสองกลับโอบร่างเล็กๆ ทั้งสองไว้ เป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เธอจึงยืนขึ้นสบตาก่อนจะเอ่ย

                       "แกมาได้ยังไง แล้วไอ้สองคนนั่นเป็นใคร" คิลยิ้มกว้างกวนๆ เช่นเคย เหลือบตาไปมองคนที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกลนัก

                       "มาทำงาน"

                       ปึก!!

                       หมอนใบใหญ่กระแทกเข้าที่หน้าเต็มๆ บ่งบอกว่า 'คำตอบใช้ไม่ได้ ตอบใหม่เดี๋ยวนี้!' คิลลูบจมูกตัวเองเบาๆ มือหนักยังกะไม่ใช่ผู้หญิง นี่ถ้าไม่เห็นว่ามันมีลูกแล้วนะ ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่ามันเป็นผู้หญิงจริง เรนอนขำคิกคักกับภาพตรงหน้า ขณะที่เนอินกับเนอาร์ได้แต่นั่งมองงงๆ

                       "ก็ไอ้คาโลมันจ้างฉันให้มาฆ่าคนที่คิดจะฆ่าลูกแกไง แค่นี้ดูไม่ออกหรอไง" เฟรินเบือนหน้าไปมองหน้าคมๆ ที่ยังคงอ่านหนังสือต่อไป มันรู้ว่ามีคนจะทำร้ายลูก...แล้วทำไมมันไม่บอกเธอ!!!!! ความโกรธแล่นขึ้นมาริ้วๆ เฟรินก้าวฉับๆ เข้าไปหาก่อนจะคว้าคอเสื้อสวยๆ อีกฝ่ายขึ้นมา

                       "ทำไมแกไม่บอกว่าแกรู้เรื่อง! คิดว่าฉันต้องคอยมาให้คนอื่นปกป้องตลอดรึยังไง คิดว่าคนอย่างฉันจะปกป้องไม่ได้แม้แต่ลูกของตัวเองอย่างนั้นหรอ คิดว่าคนที่ทำหน้าที่เป็นภรรยาไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้นอย่างนั้นสิ!!" สองศรีพี่น้องมองผู้เป็นแม่อย่างตื่นตระหนก ถึงจะมีทะเลาะกันบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแม่ของตนโกรธมากขนาดนี้ คาโลเงยหน้าขึ้นมามองนิ่งๆ ฝ่ายเรนอนที่เริ่มวิตกว่าเหตุการณ์จะชักไปกันใหญ่จึงรีบเอ่ยปาก

                       "ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ คุณคาโลเขาแค่เป็นห่วงไม่อยากให้คุณเฟรินคิดมากเท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะปิด..."

                       "ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น!!! พวกเธอสองคนออกไปได้แล้ว ฉันมีเรื่องต้องเคลียร์กับมัน" เฟรินตวาดใส่เหลืออด ทุกคนรู้...ใช่ แม้แต่พวกขุนนางระดับสูงที่แม้จะเห็นคนตายต่อหน้าก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ปล่อยให้เธอเป็นห่วงบ้าอยู่คนเดียว! เมื่อเห็นว่ายังไงซะคงพูดกันไม่รู้เรื่อง คิลกับเรนอนจึงออกจากห้องไป ความเงียบโรยตัวช้าๆ มือที่กำคอเสื้อกลายเป็นสีขาวและสั่นจากแรงกำ คาโลมองอย่างอ่อนใจ โมโหอย่างนี้คงไม่ฟังเหตุผลอะไรแน่ๆ

                       "ถ้าฉันบอกแกไปแกจะทำอะไรได้ ให้คิลจัดการน่ะดีที่สุด"

                       "แต่แกก็น่าจะบอกฉันบ้าง ไม่ใช่ว่าให้ฉันกลายเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่คนเดียว ถ้าคิลมันมาไม่ทัน ถ้าพวกทหารรับมือไม่ได้ แกจะให้ฉันนั่งร้องไห้หน้าศพลูกก่อนใช่มั้ยถึงจะยอมบอก!" อารมณ์กรุ่นๆ เมื่อครู่เริ่มประทุอย่างแรง คราวนี้คาโลเหลือบตาขึ้นมองดุๆ ด้วยความไม่พอใจ

                       "แล้วแกคิดว่าฉันจะยอมให้เป็นอย่างที่แกพูดหรอไง" เฟรินสะอึกไปเล็กน้อย แต่ความรั้นยังคงมีอยู่ตามนิสัย ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ บทจะทำตัวเป็นผู้หญิงก็น่ารำคาญซะ มือใหญ่เอื้อมมากุมมือที่ขยุ้มคอเสื้อเขาไว้แล้วออกแรงบีบเบาๆ

                       "ที่ฉันไม่บอกให้แกรู้ ฉันก็มีเหตุผล ถ้าแกรู้ก็ต้องไปบอกให้ลูกระวังตัว เด็กขนาดนั้นคงระแวงทุกสิ่งรอบตัว" เหตุผลง่ายๆ แต่หยุดอารมณ์ร้อนของคนฟังได้ชะงัดนัก มือที่กำอยู่ค่อยๆ คลายออก เฟรินผละออกมานั่งลงที่เตียง ไอ้บ้า...ทำเป็นรู้ทุกอย่าง พึมพำด่าในใจเบาๆ แต่ก็เถียงไม่ออกว่าเธอจะไม่ทำแบบนั้น

                       "ถึงอย่างนั้นแกก็ควรจะบอกฉันบ้าง" ร่างบางๆ เสียงอ่อยลงเห็นได้ชัด คาโลปิดหนังสือลงมองไปยังดวงหน้าขาวๆ ที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์ไว้บางๆ เงียบๆ บางทีเขาอาจจะผิดก็ได้ที่ไม่ได้บอกมัน

                       "ฉันจะได้จัดงานต้อนรับคิลไง มันไม่โผล่หน้ามาเลยตั้งแต่งานวันเกิดของเนอิน เนอาร์เมื่อ 7 ปีก่อน" ตอบแล้วยิ้มแผล่ให้ จนคนฟังต้องรีบถอนคำพูดตัวเองทิ้งทันที ลืมไปว่ามันไม่เคยเครียด คิดแล้วถอนหายใจเฮือก ระหว่างการพูดคุยทั้งสองลืมไปซะสนิทว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ภายในห้องด้วย จนกระทั่งสิ่งมีชีวิตนั้นเอ่ยปาก

                       "เอ่อ...ตกลงคนเมื่อกี้เป็นเพื่อนท่านพ่อกับท่านแม่หรอฮะ" ทั้งพ่อทั้งแม่หันขวับกลับมา ยังอยู่อีกหรอเนี่ย ( -*- ) คาโลพยักหน้าช้าๆ

                       "เป็นเพื่อนตายเลยล่ะ" เฟรินขยิบตาพร้อมกับยิ้มให้

                       "แล้วตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ครับ" เนอาร์เอ่ยขึ้นมาบ้างอย่างต้องการคำอธิบาย แล้วสายตาสามคู่ก็พร้อมใจกันมาจับจ้องอยู่ที่ร่างเดียว คนถูกจ้องต้องถอนหายใจอีกครั้ง

                       ดื้อ...เหมือนกันเลย

                       "มีคนจ้างตระกูลฟีลมัสมาลอบฆ่าราชินีแห่งคาโนวาลและรัชทายาททั้งสองคน คิลมันบอกว่าเป็นงานใหญ่ที่ส่งกันมาหลายต่อจนสืบขึ้นไปยาก แล้วก็ดูเหมือนจะติดต่อผ่านพ่อมันอีกที" สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความตามแบบฉบับของคิงแห่งคาโนวาล เฟรินขมวดคิ้วเข้าหากัน ไอ้คิลบ้า! ไหนบอกว่ากล่อมพ่อมันจนไม่รับงานฆ่าเธอแล้วนี่นา ฝ่ายเด็กน้อยทั้งสองหันมามองหน้ากันเอง พวกเขาเคยฟังท่านพ่อกับท่านแม่เล่าให้ฟังถึงช่วงที่เรียนอยู่ที่เอดินเบิร์กว่าต้องเจออะไรบ้าง คาโลมองหน้าราชินีของตนที่กำลังนั่งนิ่วคิ้วขมวดใช้ความคิด แววตาดุกร้าวอ่อนลงอย่างลืมตัว ยังมีอีกอย่างที่เขายังไม่บอก นั่นคืองานนี้มันได้เริ่มมาตั้งแต่ 10 ปีก่อนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคิลรับงานจากเขาและคอยจัดการอยู่เงียบๆ ก็นึกไม่ออกว่าต้องอยู่กันยังไง ยิ่งมีลูกพ่วงมาอีกสองคน และเหมือนจะเป็นการตัดสินบางอย่าง เขาจึงเอ่ยปากในสิ่งที่ตัวเองกลัวมานาน

                       "ถ้า...ยังไงซะ นายลองพาลูกไปอยู่ที่เดมอสก่อนมั้ย จนกว่าพี่ชายคิลจะจัดการผู้ว่าจ้าง" เฟรินเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตกใจ จนเขาต้องรีบพูดต่อ

                       "เพราะถ้าอยู่กับเอวิเดสยังไงนายกับลูกจะปลอดภัยแน่นอน ถือว่าพาลูกไปเยี่ยมท่านตาด้วย" แน่นอน...ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยเท่าอยู่ภายใต้อำนาจของจ้าวปีศาจเอวิเดส เกรเดเวล แห่งเดมอส หญิงสาวยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

                       "คิดจะทำตัวเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวอีกแล้วหรอไง ลืมไปแล้วรึไงว่าตอนนี้แกเป็นคิง ไม่ใช่เจ้าชาย" คาโลมองปรามดุๆ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เจ้าตัวกลับฉีกยิ้มกว้าง ลุกขึ้นเดินไปหาลูกทั้งสองคนที่ยืนฟังเงียบๆ

                       "ดึกมากแล้ว ไปนอนกันได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้เราต้องมาทานข้าวเช้าพร้อมคิงอาเธอร์นะ อย่าทำให้พ่อกับแม่เสียชื่อ โอเคมั้ย" เนอาร์พยักหน้ารับ ความจริงแล้ว...ถึงท่านแม่ไม่บอก เขาก็คงต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่คนข้างๆ นี่สิ ตาสีน้ำตาลหันไปสบรอยยิ้มกวนๆ จากพี่ชายฝาแฝดอย่างปลงๆ

                       คิดอะไรแผลงๆ อีกแล้วสิเนี่ย

                       "มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อยสิท่านแม่" เฟรินเลิกคิ้วสูง ไม่ใช่งงแต่เป็นการถาม หากปากก็เอ่ยดักไว้

                       "ลองว่ามาก่อน อย่าลืมว่าเรายังติดเรื่องที่โกหกแม่เรื่องแอปเปิ้ลนะ" รอยยิ้มกวนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห้งๆ แต่ปากก็ยังพูดต่อ นิสัยเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน

                       "นั่นมันส่วนของเมื่อวานสิท่านแม่ เรื่องนี้ก็อีกเรื่องนึง ข้อแลกเปลี่ยนก็มีอยู่ว่า...ถ้าพรุ่งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ท่านแม่ต้องพาเราไปเดมอสเยี่ยมท่านตานะฮะ" คำต่อรองที่ทำเอาคนฟังทั้งหมดชะงักกึก เนอาร์มุ่นคิ้วลง เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเดมอสมามาก แต่ถ้าจะพูดไปไอ้คนข้างๆ ก็น่าจะรู้พอๆ กันถ้ามันไม่โดดเรียนตลอด

                       ท่านอาจารย์บอกว่า...เดมอสเป็นดินแดนที่น่ากลัวและแข็งแกร่ง เต็มไปด้วยปีศาจที่ไร้ซึ่งจิตใจ จ้าวเอวิเดสที่เป็นนายเหนือหัวของพวกปีศาจมีฤทธิ์มากและน่าหวาดกลัวที่สุด

                       ท่านพ่อบอกว่า...เดมอสคือดินแดนที่แยกตัวจากเอเดน หรือจะเรียกว่าเอเดนแห่งที่สองก็ได้ หากแต่คนที่นั่นยึดถือเหตุผลของตนต่างจากที่นี่ และจ้าวเอวิเดสที่เป็นพ่อตาก็เก่งกาจสมกับที่เป็นจ้าวปีศาจ

                       หากแต่ท่านแม่กลับบอกว่า...เดมอสคือดินแดนที่มีแต่ความจริงใจ ไร้ซึ่งการกลับกลอก หรือหลอกลวงใดๆ จะมีก็แต่กลลวงบางอย่างที่จะทดสอบจิตใจของตน และจ้าวปีศาจเอวิเดสก็เป็นพ่อที่รักและห่วงลูกมากที่สุด มีความเมตตา มีเหตุผล เป็นที่เคารพนับถือ

                       สรุป........จะเชื่อใครดี

                       "เอาไว้ค่อยว่ากัน ไปนอนกันได้แล้ว" เฟรินตัดบทพร้อมกับดันทั้งสองคนออกจากห้องไป ทันทีที่ประตูห้องปิดลงเธอต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ติดนิสัยใครมากันเนี่ย ตาสีน้ำตาลเบนกลับมามองร่างสูงที่ยืนมองอยู่นิ่งๆ

                       "เป็นเพราะแกทำให้ลูกอยากไปเดมอส" ว่าแล้วก็เดินไปล้มตัวลงนอนกับเตียงกว้างไม่สนใจสายตาคาดโทษของอีกฝ่าย คาโลส่ายหน้าช้าๆ เมื่อเจ้าตัวที่พูดแจ้วๆ เมื่อครู่กลับหลับลงได้อย่างง่ายดาย

                       ...เด็ก...

                       ร่างขาวๆ เดินไปปิดไฟในห้องก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างร่างบางนั้น แขนแกร่งเอื้อมไปโอบเอวคอดนั้นแล้วขยับให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้เบาๆ เสียงกรนเบาบ่งบอกถึงการนิทราที่สงบของอีกฝ่าย ในใจหวนนึกไปถึงครั้งแรกที่รู้ว่าคนตรงหน้าถูกจ้างวานฆ่าอีกครั้ง คาโลเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลที่ปรกหน้าขึ้นไปเบาๆ ถ้าปากไม่พูดมากอย่างที่ผู้หญิงเขาไม่พูดกัน ก็คงจะเป็นผู้หญิงกับเขาจริงๆ แต่ก็นั่นล่ะ...เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมันตรงนี้ แค่...รำคาญ.........นิดหน่อย มันจะรู้รึปล่าวว่าเขาเป็นห่วงมันแค่ไหน แต่ถ้ามันหันมากังวลด้วยอีกคนนั่นคงถึงเวลาที่จะเรียกว่า 'ผิดปกติ'

                       "ไอ้บ้าคาโล" เสียงงึมงำเบาๆ บ่นออกมาจากริมฝีปากบาง ส่วนคนที่ได้ยินถึงกับชะงักกึก นี่มันหลอกด่าหรือละเมอจริง??

                       "ถ้าแกแกล้งหลอกด่าฉัน คืนนี้แกไม่ได้นอนแน่เฟริน" พูดจบก็พลิกตัวเองขึ้นคร่อมทันที หากคนข้างล่างก็ยังคงกรนต่อไป คาโลโน้มตัวลงมาใกล้ๆ จนสัมผัสถึงลมหายใจสม่ำเสมอ

                       "ฉันพูดจริงนะ"
                       ฟี้ๆ....

                       คาโลส่ายหน้าไปมา อดที่จะขำออกมาเบาๆ ไม่ได้ แล้วพลิกตัวกลับลงมานอนข้างๆ ในท่าเดิม ริมฝีปากประทับลงบนหน้าผากมนเบาๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในท่านั้น


    *******************************TBC...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×