ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Believed

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 9 : น้ำกับน้ำมัน

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 49


                กิ๊ง


               
    เสียงแก้วทรงสูงกระทบเข้าด้วยกันดังขึ้นความเงียบของห้อง ภายในห้องรับรองหรูหราของเจ้าของบ้าน ร่างสองร่างที่กำลังนั่งดื่มอย่างมีความสุขที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้


               
    "อีกไม่นานทุกอย่างก็คงเรียบร้อย" เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วดื่มด่ำไปกับชัยชนะอีกไม่ไกลข้างหน้า มิวซ์ขยับยิ้มเย็น "แน่นอน เราเตรียมการกับเรื่องนี้ไว้นานมากแล้วนี่นา"


               
    "แต่ไม่นึกว่าจู่ๆ โชคจะเข้าข้างเราส่งแพะมาให้เร็วขนาดนี้" ตาสีเขียวมองน้ำสีอำพันในมือพลางคลึงแก้วเล่น มิวซ์ยังคงยิ้มต่อไป ดูเหมือนตอนนี้การห้ามไม่ให้ตัวเองยิ้มจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่เขาจะทำได้ไปเสียแล้ว ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์วางแผน แถมยังมีตัวหมากโง่ๆ มาให้เดินอีก อย่างนี้แล้วหนทางของเขาที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งกษัตริย์ก็ดูจะสดใสทีเดียว


               
    "แต่บอกตรงๆ นะว่า ไอ้เด็กหนุ่มนั่นฉันคุ้นหน้ามันยังไงชอบกล" ทาจัสขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามนึกให้ออกว่าไอ้หน้าตายเย็นชานั่นเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน "คิดมากเกินไปรึปล่าว อาจจะแค่ไปเหมือนกับนักโทษคนไหนเข้าก็ได้" ถ้าเป็นอย่างที่ว่าก็คงจะดี หากไม่ติดที่ว่าไอ้ที่เขาคุ้นหน้ามันนั้น เหมือนเคยเห็นในงานสังสรรค์ที่ไหนมาก่อนมากกว่าในคุกเก่าๆ ที่เขารับผิดชอบอยู่ อำมาตย์ใหญ่สะบัดหน้าไปมาไล่ความคิดออกไป


               
    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทำไมต้องทนให้มิวซ์กดขี่ด้วย


               
    "แล้วหลังจากนี้จะทำไงต่อ" เมื่อสมองกลับมาแจ่มใสเหมือนเดิม ความสนใจก็ถูกดึงเข้าไปหาเรื่องสำคัญต่อ


               
    "ก็รอให้แพะโดนประหารในข้อหาก่อกบฏ จากนั้นก็ขอเข้าเฝ้าคิงในฐานะที่เป็นคนจับกุม ถ้าจำไม่ผิดการปูนบำเหน็จของซูลูนั้น ผู้ที่ได้รับการปูนบำเหน็จจะต้องเข้าไปรับของสิ่งนั้นจากมือของคิง แล้วก็ถือโอกาสนี้ลอบปลงพระชนม์ซะโดยไม่ต้องกังวลกับองครักษ์เพราะเป็นคนของนายหมดแล้วใช่ไหม...มิวซ์ ..." ทั้งเจ้าของชื่อและทาจัสหันขวับไปมองต้นเสียงที่สามแล้วผุดลุกขึ้นมาแทบจะทันที ประตูที่เคยปิดสนิทและมั่นใจว่าล็อกแน่นหนาเพื่อป้องกันไม่ใครเข้ามาง่ายๆ ตอนนี้เปิดกว้างออกพร้อมกับร่างสองร่างที่น่าจะอยู่ในคุกอย่างที่พวกเขารู้


               
    "...พวกแก..." รอยยิ้มเย็นกระตุกขึ้นมาให้คนที่เห็นสะดุ้งเฮือก ขนบนแขนพร้อมใจกันลุกซู่ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไอเย็นที่ลอยคลุ้งไปทั่วห้อง


               
    "นี่มันเรื่องอะไรกัน" ซีเวียเอ่ยเสียงแผ่ว แพะ? กบฏ? ประหาร? ตาสีแดงมองสลับร่างข้างๆ กับอีกสองคนที่ยืนอยู่ไกลออกไป


               
    "ฉลาดที่คิดแผนแบบนี้ แต่โง่...ที่เลือกฉันเป็นแพะ" เสียงทุ้มราบเรียบคงระดับอย่างที่เจ้าตัวชอบพูดในตอนนี้ยิ่งทำให้ความกลัวแล่นจับใจมากขึ้น


               
    "แกหลุดออกมาจากคุกได้ยังไง!!" ทาจัสแผดเสียงลั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ใจหนึ่งก็หวาดกลัว หากอีกใจหนึ่งก็แสนจะหงุดหงิดที่แผนเริ่มไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น แล้วไหนเรื่องที่ออกมาจากปากของฝ่ายตรงข้ามอีก เนอาร์ขยับตัวเดินเข้ามาในห้องช้าๆ


               
    "นั่นไม่สำคัญเท่าที่ว่าพวกนายเป็นกบฏแล้วคิดจะโยนความผิดให้พวกฉันหรอกนะ" มิวซ์ขยับตัวอย่างอึดอัด เป็นครั้งแรกที่เขาเจอรังสีกดดันมากขนาดนี้ ต่อให้เป็นแม่ทัพใหญ่ก็ยังไม่มากเท่า ตาสีน้ำตาลคมนั่นเหมือนกับมันกำลังบีบคอเขาอยู่ก็ไม่ปาน และแม้อากาศจะเย็นแค่ไหน แต่เขากลับยืนเหงื่อแตกพลั่กๆ


               
    "แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง" มิวซ์กัดฟันทนความหวาดกลัวนั้นพึมพำถามออกมา ก่อนรีบหลบตาเมื่อตาสีน้ำตาลคมนั้นตวัดมามองเขา


               
    "พวกนายจะต้องไปรับผิดต่อหน้าคิง" ทาจัสแค่นยิ้มออกมาพร้อมกับชักดาบออกจากฝักในท่าเตรียมพร้อม ขณะที่มิวซ์เองก็เรียกคทาประจำตัวมาอยู่ในมือ


               
    ยังไงซะ หมอนี่ก็แค่คนพเนจรที่พอจะมีฝีมือ


               
    มิวซ์พูดกับตัวเองพลางกระชับคทาในมือ


               
    และไม่มีทางที่จะเอาชนะผู้ใช้เวทย์ได้


               
    เนอาร์ส่ายหน้าไปมากับความหัวรั้นของทั้งสองคน ซีเวียต่างกระโดดหลบไปอีกทางเมื่อทาจัสพุ่งเข้ามาหา ขณะที่เนอาร์นั้นยังคงยืนนิ่งเผชิญหน้ากับคนที่อาจจะเรียกได้ว่ามีบุญคุณกับเขา จนกระทั่งถึงตอนที่ส่งเขาไปตายนั่นล่ะ


               
    เสียงมีดกับดาบค่อยๆ ดังห่างออกไปด้านนอก เหลือแต่ความเงียบที่กล้ำกลายเข้ามาช้าๆ ตาสีเขียวที่เคยยโสเป็นปกติตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งหวาดกลัว ตัดสินใจ และคาดคะเน


               
    "ทำไมนายถึงทำแบบนี้" เนอาร์ถามขึ้นทำลายความเงียบลง คนถูกถามนิ่งไปอึดใจก่อนจะตอบ "ไม่เกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างแก"


               
    "มันคงไม่เกี่ยวอะไรถ้าฉันกับซีเวียไม่ใช่คนรับเคราะห์" ร่างสูงนั้นยืนนิ่งไม่คิดจะเรียกอาวุธอะไรมาทั้งนั้น "ถ้าไมร่ารู้เข้าจะเสียใจขนาดไหน"


               
    ฉัวะ!!


               
    ขาดคำใบหน้าขาวของเขาก็ปรากฏรอยแผลจากของมีคม หากตาสีน้ำตาลคมนั้นก็ยังไม่ละไปจากคนตรงหน้า ไม่มีแม้ความตระหนกหรือความหวาดกลัว


               
    "อย่างแกจะมาเข้าใจอะไร ก็แค่คนพเนจรไร้เกียรติ มีชีวิตอยู่ได้เพราะความสมเพชจากคนอื่น" เนอาร์ยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไป


               
    "ประเทศนี้มันกำลังจะล่มจม คิงที่ไม่คิดจะทำอะไรนอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ ทั้งๆ ที่ประเทศนี้ก็ไม่ได้ขาดแคลนนักรบนัก อาจจะไม่เท่าบารามอสหรือคาโนวาลแต่ไม่คิดจะขยายอำนาจ แถมยังตีหน้าโง่ให้บารามอสเริ่มเข้ามากลืนกินซูลู" คราวนี้คิ้วเข้มเลิกสูงด้วยความแปลกใจ


               
    บารามอสขยายอำนาจมาซูลู?


               
    เมื่อเห็นสีหน้าดังกล่าวมิวซ์ก็หัวเราะออกมาปนสมเพช


               
    "ถึงคนอื่นจะไม่รู้ แต่ฉันรู้...ฉันรู้สึกได้จากการกระทำที่เรียกว่าความหวังดีจอมปลอมของบารามอส" คราวนี้เขาเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง ไม่กี่ปีที่ผ่านมาบารามอสได้จัดส่งทูตเจริญสัมพันธไมตรีกับซูลูและให้ความช่วยเหลือต่างๆ ทั้งการรับสินค้าจากซูลู การรองรับคนที่อพยพเข้าบารามอสอย่างผิดกฏหมาย ประชาชนทั่วไปต่างสรรเสริญให้กับบารามอส จริงๆ แล้วนโยบายนี้อยู่ในความตั้งใจของคิงชามัลมาตั้งแต่ครั้งเพิ่งขึ้นเป็นคิงได้ไม่กี่ปี เพียงแต่เพิ่งจะได้เริ่มลงมือทำไม่นาน


               
    "เพราะอย่างนั้นฉันถึงต้องเปลี่ยนมันไงล่ะ แต่การจะเปลี่ยนประเทศนี้ได้ก็ต้องได้อำนาจมาไว้ในมือ" มิวซ์เริ่มพร่ำเพ้อ ตาสีเขียวเริ่มมองซ้ายมองขวาไปมา


               
    "ด้วยการเป็นคิงซะเอง" เนอาร์เติมประโยคให้ครบแล้วนิ่ง คนฟังได้ยินแล้วหัวเราะลั่น "คนอย่างแกจะมาเข้าใจอะไร คนที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่เคยมองความเป็นไป"


               
    ฉัวะ!!


               
    แขนซ้ายปรากฏบาดแผลยาวเช่นที่ใบหน้าโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย แต่นั่นก็ทำให้เนอาร์รู้แล้วว่าอีกฝ่ายใช้อะไรเป็นอาวุธ


               
    เวทย์ลมที่คมกริบ


               
    "เพราะงั้นก็เชิญตายไปพร้อมกับความภูมิใจที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการฉันก็แล้วกัน" ขาดคำลมหมุนแรงก็ม้วนตัวระหว่างทั้งสองคน ไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ที่เริ่มดูดทุกอย่างเข้าไปและคายออกมาด้วยเศษซากที่เหลืออยู่


               
    "คิดบ้างรึปล่าวว่า ถ้าทำสงครามไปใครจะเสียใจที่สุด" เนอาร์เปรยถามไม่ใส่ใจกับบาดแผลที่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


               
    "การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องมีผู้ที่จะต้องสูญเสีย"


               
    "แล้วถ้าเป็นไมร่าล่ะ" สิ้นคำพูดขากางเกงด้านขวาก็ขาดวิ่นพร้อมกับเลือดสีแดงหยดย้อยลงมา ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ที่จะห้าม แบบนี้เรียกบ้าเต็มขั้น ชายหนุ่มตัดสินใจเรียกคทาประจำตัว(พี่ชาย)มาไว้ในมือ ก่อนที่ท้องฟ้าที่สดใสในค่ำคืนนี้จะปรากฏหมู่เมฆครึ้มลอยวน กลิ่นน้ำแข็งโชยแตะจมูกให้รู้สึกหนาวเย็นโดยไม่ทันได้สัมผัส มิวซ์มุ่นคิ้วลง ดูท่าทางว่าเขาจะประเมินไอ้หล่อไร้ความรู้สึกนี่ต่ำไปหน่อยซะแล้วสิ

    ------------------------------------------

               
    ห่างออกมา ณ บ้านหลังเล็กที่ห่างไกลผู้คน ไมร่ารู้สึกตัวขึ้นมาในห้อง เมื่อเดินลงมาชั้นล่างก็พบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ภายในบ้านเลย


               
    คงจะไปหาอำมาตย์ทาจัส


               
    คิดสรุปเองในใจ มือเรียวจัดแจงรินน้ำชาอ่อนๆ ให้ตัวเอง รู้สึกปวดหัวนิดๆ อาจจะเป็นเพราะการนอนในช่วงหัวค่ำก็เป็นได้ ช่วงนี้พี่ของเธอดูเหมือนจะยุ่งมากเป็นพิเศษ นอกจากจะกลับเย็นแล้ว บางครั้งก็อาจจะดึกเสียจนเธอเผลอหลับไป เสียงนาฬิกาดังเป็นจังหวะราวกับกำลังพยายามสะกดจิตให้นึกถึงใครบางคน


               
    ไม่...เธอรู้ดีว่านั่นไม่ใช่การสะกดจิต


               
    คนผู้เดียวที่รบกวนจิตใจเธอมาหลายวันนับตั้งแต่เจอหน้ากัน และยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อเธอต้องกลายเป็นหนี้บุญคุณเขา ถึงแม้อีกฝ่ายจะพร่ำบอกว่านั่นเป็นการตอบแทนที่ให้พวกเขาพักอยู่ส่วนหนึ่งของที่ดินของมิวซ์ก็ตาม ตาสีน้ำตาลคม ท่าทีที่ไว้ตัวอย่างคนสูงศักดิ์ตลอดเวลา กับอาการพูดน้อยนั่นสั่นคลอนจิตใจเธอตั้งแต่พบครั้งแรกที่ท่าเรือ ไมร่าถอนหายใจหนักเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของเนอาร์กับพี่ชายเธอ


               
    เหมือนน้ำกับน้ำมัน


               
    ถ้าหากเธอทำหน้าที่เป็นไม้กวน...จะมีโอกาสที่น้ำกับน้ำมันรวมกันได้หรือไม่


               
    หญิงสาวส่ายหน้าไปมา นั่นอาจจะยากและไม่สำคัญพอถ้าเนอาร์ไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกับเธอ ตาสีเขียวหม่นลงเมื่อนึกถึงเวลาที่สายตานั่นมองสาวผมแดงคนนั้น แม้จะเย็นชาแต่อย่างน้อย...ก็ไม่มากเท่ากับมองคนทั่วไป


               
    รวมถึงเธอด้วยเช่นกัน


               
    คิ้วเรียวขมวดกันมุ่น เรื่องเมื่อห้าวันก่อนแล่นเข้าสมอง จู่ๆ มิวซ์ก็เรียกตัวเธอไปที่ปราสาทของอำมาตย์ทาจัส ถึงจะไม่รู้ว่ามีความจำเป็นอะไรแต่เธอก็ยอมไปแต่โดยดี เธอจำได้แค่ว่า นั่งทานน้ำชากันสามคนแล้วก็ตื่นมาอีกทีก็พบว่าตนเองกลับมานอนอยู่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว พอเอ่ยถามผู้เป็นพี่ก็ตอบว่าคิดว่าเธอเพลียกับการทำงานบ้านหนักทำให้เผลอหลับไป ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้เพราะวันนั้นเธอต้องทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ที่ทำเป็นประจำทุกต้นเดือน และมิวซ์ก็เป็นคนพาเธอมาส่งที่บ้านเอง ที่สำคัญที่สุด ทั้งเนอาร์และซีเวียต่างก็หายตัวกันไปทั้งคู่หลังวันที่พวกเธอถูกลอบทำร้าย


               
    ไมร่าหมุนแก้วในมืออย่างใช้ความคิด ตาสีเขียวเหลือบขึ้นมองนาฬิกาที่ยังคงเดินอย่างสม่ำเสมอ


               
    บางทีคืนนี้มิวซ์อาจจะค้างที่บ้านอำมาตย์เหมือนเคย


               
    หล่อนลุกขึ้นยืนเก็บแก้วและกาน้ำชาไปล้าง เตรียมเข้านอนจริงๆ เพราะดูเหมือนว่าไอ้ที่เธองีบไปตอนเย็นนั้นจะไม่ช่วยให้รู้สึกหายง่วงแม้แต่น้อย


               
    ก๊อกๆๆ


               
    เสียงเคาะประตูเรียกให้คนที่ล้างแก้วอยู่ขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะเช็ดมือให้แห้ง


               
    ใครมาเคาะประตูดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้นะ


               
    หรืออาจจะเป็นสองคนนั้น


               
    ข้อสรุปที่รวบรัดทำให้เธอตัดสินใจเปิดประตู รอยยิ้มกว้างที่เตรียมไว้ให้คนที่หายตัวไปหลายวันต้องหุบฉับลงเมื่อร่างที่อยู่หน้าประตูนั้นหาใช่คนที่เธออยากพบไม่


               
    "ไมร่า...สินะ" ตาสีเขียวมองร่างสูงใหญ่บึกบึนในชุดทหารระดับสูงอย่างหวาดระแวง ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่จู่ๆ จะมีแขกยามวิกาลเป็นทหารระดับแม่ทัพมาเยือนถึงบ้านแบบนี้ เธอมองยศที่ประดับอยู่บนไหล่นั่นเลยไปยังทหารราวสิบคนที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วไล่กลับมายังใบหน้าที่ออกจะเคร่งเครียดเสียหน่อยในเวลาแบบนี้


               
    "มีธุระด่วนอะไรหรอคะ แม่ทัพไบอัส" แม่ทัพใหญ่ขยับมือซ้ายที่กุมด้ามดาบเล็กน้อย ไม่ใช่การขู่แต่เรียกว่าความกังวลน่าจะถูกต้องมากกว่า


               
    "รบกวนช่วยไปกับพวกเราหน่อยจะได้ไหม" น้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกถูกข่มขู่เริ่มทำให้ไมร่ารู้สึกกลัว แม้ปกติเธอจะเคยได้พูดคุยกับคนๆ นี้มาบ้างเล็กน้อยในฐานะคนรู้จักของพี่ชายตั้งแต่งานเลี้ยงเมื่อหลายเดือนก่อนและติดต่อกันเป็นบางครั้งเวลาที่มิวซ์วานให้เธอส่งรายงานไปยังเมืองหลวง สิ่งที่เธอรู้สึกได้คือเกี่ยวกับนิสัยเขาคือความอ่อนโยนและให้เกียรติผู้หญิงอย่างที่สุภาพบุรุษพึงมี แต่ตอนนี้...เธออาจจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่


               
    ไมร่าสูดหายใจลึกๆ เพื่อระงับความหวาดกลัวต่อนัยน์ตาสีดำนั่น


               
    "ถ้าหากมีเหตุผลที่ดีพอนะคะ" ไบอัสนิ่งไปครู่ใหญ่ราวกับคิดหนักเกี่ยวกับการสรรหาเหตุผลที่ต้องบอกเธอ ก่อนจะตัดสินใจตอบ


               
    "เราจำเป็นต้องควบคุมตัวบุคคลที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการก่อการกบฏเมื่อหลายวันก่อนที่ผ่านมา" ไมร่าเบิกกว้างด้วยความตกใจ


               
    "กบฏ?! นี่มันเรื่องอะไรกันคะ!! มีใครเป็นกบ..." ตาสีเขียวหรี่ลงเล็กน้อยแล้วเบิกกว้างกว่าเดิม


               
    หรือว่า...สองคนนั่น!!!


               
    ไบอัสยิ่งมีสีหน้าอึดอัดใจ ไมร่าสูดหายใจลึกอีกครั้งก่อนยิ้ม


               
    "ถ้าเช่นนั้นก็ขอตัวซักครู่ ดิฉันต้มน้ำเอาไว้ ขอตัวสักครู่นะคะ" เธอปิดประตูแผ่วเบาเป็นการปฏิเสธไม่ให้เขาล่วงล้ำเข้าบ้านไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม


               
    "ไว้ใจได้หรอครับที่ปล่อยให้อยู่คนเดียว" นายทหารคนสนิทเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ไบอัสส่ายหน้าช้า "หล่อนไม่ใช่คนที่จะทรยศประเทศตัวเองหรอก มิวซ์เองก็เช่นกัน" ตาสีดำสลดลง หากเป็นในสถานการณ์อื่น ประโยคนี้ก็พอจะฟังได้ แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าที่มิวซ์ทำไปก็เพราะความกังวลเกินเหตุ และความรักบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองจนระแวงไปหมด


               
    ตาสีดำตวัดมองไปอีกด้านหนึ่งอันเป็นป่าทึบด้วยหูที่สดับเสียงแสกสากบางอย่าง


               
    หรือว่าหล่อน...


               
    ปัง!


               
    ประตูไม้ถูกพังลงทันที ทหารทั้งหมดต่างกรูกันเข้าไปค้นหาจำเลยที่เพิ่งจะขอตัวเข้ามาจัดการกับกาน้ำแต่ก็ไร้วี่แวว


               
    "ประตูหลังเปิดอ้าอยู่ครับ" เสียงโวยวายดังขึ้น ไบอัสกัดฟันเผลอสบถออกมา ในสถานการณ์อย่างนี้การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีกับตัวไมร่าเลย เธอน่าจะรู้ดีเข้า แต่ทำไมยัง...


               
    "แบ่งคนครึ่งหนึ่งล่วงหน้าไปยังบ้านพักของอำมาตย์ทาจัส ส่วนอีกครึ่งหนึ่งตามฉันมา" เขาสั่งการอย่างรวดเร็วทันที


    ------------------------------------------


               
    แฮ่กๆๆ


               
    เสียงหอบหายใจดังถนัดชัดราวกับมีคนมาหายใจอยู่ข้างหูของเธอ ทั้งปากและจมูกต่างรีบสูบอากาศเข้าปอด แม้ว่าตอนนี้เธอแทบจะหายใจไม่ทันแล้วก็ตาม ขาสองข้างเริ่มล้าแรง มือที่ปัดกิ่งไม้ใบหญ้าเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกบาดเช่นเดียวกับใบหน้าที่แม้ว่าจะปัดยังไงกิ่งและใบก็ยังคงปาดเนื้อหล่อนได้อยู่ดี ป่าแถบนี้ไม่มีส่วนไหนที่เธอไม่รู้จัก เพราะอาศัยอยู่มาตั้งแต่เล็กๆ ทั้งเก็บของป่าประทังชีวิตหรือหลงอยู่เป็นอาทิตย์ก็เคยประสบมาแล้วทั้งนั้น ความคิดสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เธอไม่เชื่อว่าเนอาร์กับซีเวียจะเป็นกบฏ สองคนนั่นเป็นแค่นักพเนจร..เธอเชื่อเช่นนั้น


               
    แล้วถ้าอย่างนั้นกบฏคือใครกันเล่า?


               
    ตาสีเขียวที่พยายามมองฝ่าความมืดเบิกกว้างพร้อมหยุดวิ่ง ในเมื่อคนใกล้ตัวเธอมีอยู่แค่ไม่กี่คน ถ้าไม่ใช่สองคนนั่น อีกคนที่เหลือก็คือ...


               
    ไม่มีทาง!!!


               
    ไมร่ากัดริมฝีปากแน่นก่อนออกวิ่งอีกครั้ง ทางเดียวที่จะรู้ว่าอะไรคือความจริง


               
    ก็คือการที่ตนได้เห็นกับตา ได้ยินกับหูของตัวเอง!


               
    ไม่นานนักหลังคาอันใหญ่โตของบ้านพักอำมาตย์...ก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาของไมร่า


               
    "นี่มัน...." เบื้องหน้าคือเหล่ายามที่นอนเรียงรายสลบไม่ได้สติ หากไม่มีใครตายแม้แต่คนเดียว นั่นหมายความว่ามีใครบางคนไม่ต้องการให้รู้ถึงการบุกรุก หากไม่ว่าจะเป็นใครไมร่าก็ตัดสินใจบุกเข้าไปในตัวบ้านทันที เสียงตูมตามดังมาจากชั้นสองและเสียงเหล็กกระทบกันจากทางฝั่งตะวันตก หญิงสาวละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง


               
    เสียงพูดคุยคุ้นหูบางอย่างทำให้เธอเร่งฝีเท้าขึ้น เสียงหัวใจเต้นแรงหากตอนนี้ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยอ่อนจากการวิ่งติดต่อกันเป็นระยะทางไกล แต่เป็นการเงี่ยหูฟังประโยคสนทนาด้วยใจจดจ่ออย่างที่สุด ยิ่งก้าวเข้าไปใกล้ต้นเสียงเท่าไหร่ เสียงหัวใจก็ดูจะดังชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น


               
    "คนไร้การศึกษาอย่างแกจะไปรู้ทันไอ้พวกขุนนางเจ้าเล่ห์ได้ยังไง" เสียงตวาดก้องไปทั่วทั้งชั้นสองกระตุกหัวใจของคนที่แอบลอบเข้ามา


               
    ...พี่มิวซ์...


               
    กำลังสู้กับใครบางคน...ใครบางคนที่เธอไม่อยากเดา เพราะกลัวความจริงที่โหดร้าย


               
    ภายในห้องนั่งเล่นใหญ่ที่เคยหรูหรา ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเศษซากปรักหักพังที่ไร้ผู้คนอาศัยนับสิบปี ผ้าม่านราคาแพงลิบกลายเป็นเศษผ้าที่ไม่มีแม้คนจะชายตามอง เฟอร์นิเจอร์หรูกลายเป็นเศษไม้ เศษวัสดุดั้งเดิมก่อนที่จะถูกแปรรูป ร่างสูงโปร่งที่เอาแต่ตั้งรับ นานๆ ครั้งจะบุกบ้างพอเป็นพิธียังคงนิ่งเงียบปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไปเรื่อยๆ


               
    "เพราะไม่คิดจะขวนขวาย ถึงต้องอยู่เป็นนักพเนจร เร่ร่อนไปเรื่อยๆ เหมือนพวกขอทาน" ประโยคดังกล่าวไปสะกิดโดนต่อมความรู้สึกด้านชาของเนอาร์เล็กน้อย เพราะมันทำให้เขานึกไปถึงน้าชายที่ทำตัวไม่สมฐานะขอทานแต่ถึงอย่างนั้นเขาคนนั้นก็ไม่ได้ทำให้อาชีพขอทานดูไร้ค่าเหมือนที่อีกฝ่ายพูด ชายหนุ่มถอนหายใจหนักก่อนจะหลบชิ้นส่วนของเก้าอี้ใหญ่ที่พุ่งมาทางตนแล้วหายตัวไปอยู่ด้านหลังของมิวซ์ มือใหญ่คว้าเอาแขนที่ถือคทาแล้วบิดอย่างรุนแรงสร้างความเจ็บปวดจนไม่อาจจะถือคทาต่อได้ เนอาร์หมุนมือเพียงเบาๆ ร่างนั้นก็ตกอยู่ในความควบคุมของเขาทันที คทาสีน้ำตาลแดงหายไปถูกแทนที่ด้วยดาบคู่กายที่จ่อเข้ากับคอหอยของมิวซ์แทน


               
    "กะ...แก" คนถูกคุมตัวกัดฟันกรอด ทั้งตกใจ ทั้งหวาดกลัว รวมไปถึงขายหน้าตนเองที่เผลอจนกลายเป็นรองให้กับนักพเนจรไร้ชื่อ


               
    "ถึงอย่างนั้นนายก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินโทษคนอื่นอยู่ดีมิวซ์" คมดาบกระชับเข้าที่คออย่างน่าหวาดเสียว มิวซ์ขยับยิ้มเย็นไม่สนใจคำพูดดังกล่าว "จะหยุดฉันก็มีแต่ต้องฆ่าฉันเท่านั้น" ตาสีน้ำตาลสบตาสีเขียวคมนั้นนิ่ง


               
    ความอ่อนโยนไม่จำเป็นต่อกษัตริย์


               
    คำพูดแวบนึงดังขึ้นภายในหัว


               
    ...คำกล่าวของคิงชามัล...


               
    สิ่งที่เขามีแต่คนเป็นพี่ไม่มี


               
    เขาไม่เคยฆ่าคน...ไม่เคยคิดจะฆ่า และไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเจอทางเลือกแบบนี้


               
    หากไม่ฆ่า...มิวซ์ก็จะฆ่าเขาและทำให้ซูลูต้องตกอยู่ภายใต้การสูญเสียจากสงครามงี่เง่าที่เรียกว่า "กอบกู้เอกราช"


               
    แต่หากเขาฆ่าเพื่อจบเรื่องราว...เขาก็กลายเป็นฆาตกร


               
    ...ฆาตกรที่ไม่อาจจะมีหน้าไปเจอคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้...


               
    ความสับสนทอขึ้นแก่นัยน์สีน้ำตาลให้วูบไหว


               
    มิวซ์ใช้จังหวะนี้สลัดให้ตนเป็นอิสระแล้วบิดแขนเนอาร์ในท่าเดิมที่เขาถูกกระทำ จนถึงตอนนี้เนอาร์ก็ได้รู้ว่าปลายคทาของมิวซ์มีมีดขนาดเล็กซ่อนเอาไว้ด้วย สถานการณ์กลับตาลปัตรแต่ใบหน้าสลักก็ยังคงไม่แสดงความหวาดกลัวออกมา


               
    "อย่านะ พี่!!!" เสียงตะโกนเรียกให้คนที่ยืนคุมเกมสะดุ้งแต่ก็ไม่หยุดมือ มิวซ์สร้างกลุ่มลมอันคมกริบขึ้นรอบคทาอย่างรวดเร็วแล้วแทงลงหวังให้ทะลุหัวใจ หากเนอาร์ก็ไวพอที่จะกระโดดถอยไปด้านหลัง แต่แขนเสื้อด้านซ้ายฉีกขาดเป็นรอยเรียบ บางสิ่งบางอย่างลอยสูงขึ้นแล้วทิ้งตัวทอดกับพื้นเบื้องหน้ามิวซ์ที่ยืนขึ้นช้าๆ


               
    "นี่มันเรื่องอะไรกันคะ! ทำไมพี่กับเนอาร์ต้องมาสู้กันแบบนี้ด้วย" เนอาร์ถอนหายใจหนัก เขายอมรับว่าไมร่าเป็นคนฉลาด แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ใช้ความฉลาดให้เป็นประโยชน์ หรือถ้าพูดให้ถูกก็คงจะประมาณว่า สับสนเสียจนคิดอะไรไม่ออก ตาสีเขียวสงบนิ่งอย่างใช้ความคิด


               
    "เนอาร์แหกคุกออกมา" คำอธิบายเรียบสร้างความตกใจให้กับคนฟัง ไมร่ามองไปยังร่างสูงที่ยืนนิ่ง หากสายตาของเขานั้นไม่ได้อยู่ที่เธอ แต่เป็นบางอย่างที่เพิ่งหล่นลงพื้นจากการโจมตีเมื่อครู่


               
    ...เนอาร์แหกคุก...


               
    นั่นก็หมายความว่ากบฏที่แม่ทัพพูดถึงก็คือสองคนนี่งั้นหรอ


               
    "เรื่องจริงรึปล่าวคะ" คำถามที่ถามขึ้น โดยที่ตัวเองก็ไม่อยากจะรู้คำตอบ หากเนอาร์ปรายสายตาเย็นชามองหล่อนเพียงครู่แล้วพยักหน้าช้า ทำนบน้ำตาเริ่มพังทลาย


               
    คนที่เธอไว้ใจ


               
    คนที่ช่วยชีวิตเธอ


               
    คนที่เธอรัก....


               
    "เรื่องนี้ค่อยว่ากัน ถอยไปก่อนไมร่า" มิวซ์ที่เริ่มกังวลว่าการปรากฏตัวของไมร่าจะทำให้เขาจัดการลำบากมากขึ้น หากเนอาร์ใช้ไมร่าเป็นโล่ จากการโจมตีครั้งสุดท้ายก็รู้ว่าหมอนั่นมันไม่ได้เอาจริงมาตั้งแต่ต้น มิวซ์มองอย่างระแวดระวัง หากคนที่ถูกมองกลับไม่สนใจสถานการณ์ตอนนี้แม้แต่น้อย ตาสีเขียวมองไล่ลงไปบนพื้นเพื่อหาว่าอีกฝ่ายกำลังมองอะไรอยู่


               
    เชือกข้อมือที่ทั้งเก่าและใกล้จะขาดเต็มที


               
    นั่นคือสิ่งที่มีค่ามากพอที่จะละเลยการต่อสู้นี้ไปงั้นหรอ


               
    มิวซ์แสยะยิ้มออกมาพร้อมกับก้มลงเก็เชือกขึ้นมาส่องกับแสงจันทร์ วูบนั้นเหมือนมีลมเย็นมาปะทะร่างที่เต็มไปด้วยแผล แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรเท่าสิ่งที่อยู่ในมือ


               
    "ของสำคัญของแกหรอไง" เนอาร์ไม่ตอบหากสบตากับความดูถูกดูแคลนนั้นเต็มที่ มือที่กำด้ามดาบเกร็งจนกลายเป็นสีขาว ยิ่งเห็นอย่างนั้นมิวซ์ก็ยิ่งได้ใจ จับเชือกข้อมือมาหมุนควงเล่นแม้ว่ามันอาจจะขาดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้


               
    "เอาคืนมา" เนอาร์เอ่ยเสียงเย็นจนคนฟังทั้งสองคนรู้สึกว่าเลือดในตัวกำลังจับตัวแข็ง


               
    นี่คือนักพเนจรที่ไร้การศึกษา และยอมให้เขาโขกสับอยู่ร่วมอาทิตย์งั้นหรอเนี่ย


               
    แม้จะเริ่มหวั่นใจหากมิวซ์ก็ยังคงยิ้มยวน เพราะรู้ว่ากระแสได้ไหลมาทางตน


               
    "แล้วถ้าฉันไม่คืน แกจะทำอะไรได้" ไมร่ามองพี่ชายของตนอย่างไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องไปยั่วให้เนอาร์โมโห แล้วทำไมเมื่อครู่ถึงรู้สึกเหมือนพี่จะฆ่าเนอาร์ มีแต่เรื่องที่เธอไม่เข้าใจเต็มไปหมด แต่สิ่งที่แน่ใจสำหรับเธอคือ สิ่งที่เธอคิดก่อนที่จะรับรู้เรื่องราว ณ ตอนนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไปแล้ว


    *********************************TBC.....

    Talk> ไม่มีอะไรจะพูด.................ชิ่งไปแต่งต่อละค่า >///<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×