ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 : กลั่นแกล้ง
"ไร้ประโยชน์" เสียงทุ้มดังดักทางเบื้องหน้าให้ขาที่ก้าวมาหยุดกึกลง เนอาร์มองหน้าผู้ที่มาขวางตนอย่างนึกไว้แล้ว ทั้งๆ ที่เขามาถึงท่าเรือ และเพียงอีกไม่กี่ก้าวก็จะเรือลำใหญ่ที่กำลังเปิดหวูดเรือส่งสัญญาณ ตาสีน้ำตาลเรียบมองคทาสีดำในมืออีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง นึกเจ็บใจกับพลังของตัวเองที่มีน้อยจนไม่สามารถยื้อคทาพิพากษาให้อยู่กับตนได้
"ทั้งๆ ที่รู้อย่างนั้นแต่ก็ยังทำ" คาโลเปรยต่อให้บรรยากาศรอบๆ ยิ่งตรึงเครียดเข้าไปอีก
"แล้วถ้าเป็นท่านพ่อจะทำยังไงครับ" เนอาร์ย้อนหน้าตาย ดูเหมือนนิสัยยอกย้อนนี่จะติดกันมาหมดทั้งสามคน คาโลคิดอย่างปลงตก
"แต่ก็ไม่ควรจะหนีมาแบบนี้" ผู้เป็นลูกพยักหน้ารับความผิด "หากจะท่านพ่อให้กลับไปขอขมาต่อคิงชามัลผมก็คงไม่ขัดขืน แต่ต้องหลังจากที่คิงชามัลเปลี่ยนใจเรื่องการจับพวกผมคลุมถุงชนด้วยคติโบราณนั่น" คาโลถอนหายใจเฮือก ถ้ามันไม่สร้างปัญหาซ้ำซ้อนก็คงจะทำให้เรื่องคลี่คลายไปได้ง่ายกว่านี้ รังสีความกดดันเริ่มแผ่พุ่งออกมาให้มือที่กำอยู่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตาสีฟ้าคมที่เย็นชาบัดนี้ต้องเรียกว่าไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ราวกับกระจกแก้วใสบวกกับรังสีที่แผ่ออกมาทำให้ขาของเข้าไม่กล้าที่จะขยับ เนอาร์ขยับมือตัวเองช้าๆ ยังไงซะก็คงหลีกเลี่ยงที่จะต้องปะทะฝีมือกับผู้เป็นพ่อไม่พ้นแน่ๆ คทาสีน้ำตาลอ่อนแก้ขัดของเนอินถูกเรียกเข้ามาในมือ ก่อนที่อาณาเขตของเจ้าชายน้ำแข็งรุ่นสองจะเริ่มกางอาณาเขต คาโลที่ยืนเงียบไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านถึงพลังของลูกชายตัวองที่พัฒนาขึ้นมากนับตั้งแต่ถูกส่งตัวไปเรียนที่เอดินเบิร์ก เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาตามพลังเวทย์ที่เริ่มปลดปล่อยออกมา
"เข้าใจถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังทำรึปล่าว เนอาร์" น้ำเสียงเข้มเรียบส่งผ่านให้สะดุ้งเฮือก บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่ดูจะลดน้อยถอยลงไป เนอาร์รู้สึกกระดากตัวเองเมื่อนึกถึงความผิดที่ได้ก่อไว้ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ การฉีกหน้าคิงแห่งบารามอสแถมพ่วงตำแหน่งไฮคิงเข้าไปอีก ถึงจะมีศักดิ์เป็นเหลนก็ตามแต่ก็คงจะพ้นข้อหาได้ยาก
"แน่ใจแล้วรึว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง" คำถามย้ำอีกครั้งไม่ได้ทำให้ความมั่นใจของเนอาร์ลดน้อยลง เนอาร์เงยหน้าสบตาสีฟ้าคมนั่นพร้อมกับเริ่มก้าวเดิน ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เป็นพ่อของตนโดยไม่ละสายตาแต่อย่างใด
"พวกผมรู้ถึงสิ่งที่พวกผมต้องแบกรับ...ท่านพ่อ" คาโลนิ่งไปก่อนจะขยับยิ้มขึ้นมาอย่างหาได้ยากจนคนที่กำลังเครียดถึงกับหลุดอาการตกใจออกมาด้วยการผงะไปด้านหลังเล็กน้อย
"งั้นก็แสดงให้ดูหน่อย...ว่าจะทำได้อย่างที่ปากว่าแค่ไหน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงเรียบตีหน้าขรึมพร้อมกับเบี่ยงตัวเปิดทางให้กับเขา เนอาร์ก้าวเดินอย่างหวาดระแวง แต่ก็แอบโล่งใจเพราะถ้าหากต้องสู้กับท่านพ่อ คนที่แพ้ก็คงไม่พ้นเขา หลังจากที่หาเรือพบเขาก็จัดการพาตัวเองขึ้นเรือได้อย่างสวัสดิภาพ หากวางใจได้ไม่กี่นาที คิ้วเข้มก็ต้องขมวดเข้าหากันอีกรอบ
เนอินไปไหน?
-------------------------------------------
"ไม่ต้องมามองฉันด้วยความสมเพชเลย" จอมยุ่งอันดับหนึ่งแยกเขี้ยวใส่เมื่อสบสายตาเย็นชาที่แสนจะคุ้นเคยขณะกลั้นใจกระดกยาแก้ปวดท้องเฉพาะกิจของลุงหมอเข้าปากตัวเองช้าๆ คาโลไม่โต้ตอบอะไรได้แต่เดินเอาถ้วยยาไปเก็บเงียบๆ หลังจากปล่อยให้เนอาร์ขึ้นเรือแต่โดยดีเขาก็เดินหายัยตัวยุ่งอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวก็คือตอนที่พวกทหารวิ่งเข้ามาบอกว่ายัยตัวดีของเขากลับโรงแรมเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะ ตาสีฟ้ามองกำมะหยี่สีดำที่เพิ่งปกคลุมท้องฟ้าได้ไม่นานเท่านัก
"ว่าแต่คิดอะไรของแกที่ปล่อยเนอาร์มันไปได้ง่ายๆ" เฟรินเปิดฉากบทสนทนา และเห็นทีหัวข้อนั้นจะไม่พ้นเรื่องของลูกแฝดตัวแสบของหล่อนไปอีกหลายวัน...หรือบางทีอาจจะหลายอาทิตย์ คาโลละสายตามามองใบหน้าหวานที่นั่งกอดหมอนอยู่บนเตียงแล้วเดินไปนั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้ริมหน้าต่างราวกับไม่สนใจคำถามของภรรยาผู้แสนดีที่กำลังไม่สบายแต่อย่างใด
งานนี้เรียกว่า....ปลาหมอตายเพราะปาก ก็คงไม่ผิดนัก
"เฮ้! ฉันถามแกอยู่นะคาโล"
ปึก!
หมอนหนุนใบใหญ่ถูกปาใส่ใบหน้าสลักที่ทำทีเป็นอ่านหนังสือเข้าไปเต็มๆ แบบที่ไม่ต้องเล็งให้เสียเวลา คราวนี้สายตาคมตวัดมองที่มาด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อยที่ถูกรบกวนการอ่านหนังสือ
"ไม่ใช่สาเหตุเดียวกับนายก็แล้วกัน" เฟรินสะอึกแต่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ "ไว้ใจให้มากจะช้ำใจเอง" คำเปรยเรียกตาสีฟ้าให้มามองดุ เมื่อภรรยาผู้แสนดีเริ่มทำตัวเป็นหมอดูอนาคต คาโลตัดสินปิดหนังสือลงเพราะแน่ใจว่ายัยตัวยุ่งของเขาคงไม่ปล่อยให้ได้อ่านหนังสือสบายๆ เป็นแน่
"หรือจะให้ออกตามหา" คนฟังหน้าเบ้ไปทันทีเมื่อเขาเริ่มพูดจริงจังขึ้นมาบ้าง มือบางโบกไปมาพร้อมกับดึงหมอนอีกใบขึ้นมากอด
"เรื่องมากน่า ฉันรู้ว่าคาโนวาลมันสิทธิ์พิเศษเยอะ แต่ยิ่งสิทธิ์มากเรื่องก็มากตาม และที่สำคัญ..." เฟรินเงียบเสียงไปพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอันเป็นสัญญาณว่า นิสัยอยากแกล้งคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกของตนที่ปกติตนจะเป็นคนถูกแกล้งเสมอได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาเสียแล้ว คาโลส่ายหน้าช้า ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าลูกชายสองคนที่หนีขึ้นเรือไปทั้งอย่างนั้นดี
-------------------------------------------------------
"มิวซ์เรียก" เสียงหวานกระชากห้วนลดความน่าฟังจากน้ำเสียงลงไปกว่าครึ่งไม่ได้ทำให้คนที่เอนกายนอนอยู่กุลีกุจอลุกขึ้นมาแต่อย่างใด เนอาร์ขยับตัวยืนขึ้น ปัดเศษฟางที่ติดตามผ้าป่านหยาบสีขาวขมุกขมอมออกลวกๆ กองฟางแห้งที่กองสุมกันแทนที่เตียงหรูหรา เบื้องบนคือหลังคาที่เปิดโล่งรับแสงแดดอย่างโรแมนติก แต่หากวันไหนฝนตกขึ้นมาคงจะสบายใจไม่ออกแน่ๆ ข้าวของเครื่องใช้ถูกวางระเกะระกะจากการที่ไม่มีคนดูแล แต่มันก็เพียงพอสำหรับที่จะเป็นที่พักชั่วคราวยามนี้ของเขา
หมดเวลานึกถึงอดีตและหันหน้าสู่ความเป็นจริงเสียที
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เสียทีว่าบรรยากาศรอบข้างมันชวนให้นั่งนึกถึงอดีตหรือนึกถึงความฝันขึ้นมา เสียงนกร้อง แมลง หรือแม้แต่เสียงแสกสากของกระต่ายป่าที่ตกใจกับกลิ่นอายของมนุษย์ฟังแล้วสบายใจยิ่งกว่าเสียงสรรเสริญที่พร่ำกรอกหูยามอยู่ในราชวังอันใหญ่โต ถนนดินที่เกิดจากการถางหญ้าชั่วคราวเพียงแค่ให้เกวียนต่างๆ สัญจรไปมาอย่างสะดวกดูน่าเดินกว่าพื้นหินอ่อนปูพรมราคาแพงแต่เต็มไปด้วยหนามและหอกที่คอยดักทำร้าย ถ้าเป็นที่อื่นคงจะน่าแปลกใจว่าจะมีคนบ้าที่ไหนมาสร้างโรงนาไว้ในป่าแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่เขาจะต้องเก็บเอามาคิด เพียงชั่วครู่สองขาที่ก้าวอย่างสม่ำเสมอก็พาร่างของเนอาร์โผล่พ้นออกมาจากชายป่า ภาพของชายร่างเล็กนัยน์ตาสีเขียววาววับกำลังจับจ้องมาทางเขาก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา ริมฝีปากของผู้รอคอยเหยียดยิ้ม เมื่อเนอาร์เดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้เห็นว่าคนๆ นี้สูงเพียงแค่ไหล่ของเขาเท่านั้น
"นึกว่าจะโดนเสือคาบไปซะก่อนจะใช้หนี้ฉันหมด" เนอาร์ไม่ตอบอะไร ตาสีน้ำตาลมองเลยร่างนั้นไปด้านหลัง กองไม้กองใหญ่ถูกวางระเกะระกะเป็นกองพะเนินเกือบสูงเท่ากับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างๆ งานนี้ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้
"ช่วยตัดฟืนทั้งหมดนี่แล้วเอาเก็บให้เรียบร้อยภายในวันนี้ด้วยนะ" แม้จะพูดว่า "ช่วย" แต่ทั้งคำพูดและน้ำเสียงไม่ได้ฟังเหมือนกับที่พูดแม้แต่นิดเดียว
"แค่นี้ใช่มั้ย" เนอาร์ถามกลับ ตาสีเขียวลุกวาววาบด้วยความไม่พอใจ ใช่! เขาไม่พอใจมาก! ไอ้ท่าทีหยิ่งยะโสตั้งแต่เห็นมันครั้งแรก ใบหน้าเรียบเฉยที่เดาไม่เคยออกว่ามันกำลังคิดอะไร และ...ไอ้คำพูดน้อยคำที่น่าหงุดหงิดนั่นอีก!!! มิวซ์พยายามระงับความไม่พอใจของตัวเองไว้เต็มที่ ยังไงซะ ถ้ามีไอ้หมอนี่อยู่เขาเองก็ลำบากเรื่องต่างๆ น้อยลง
"ใช่ แค่นี้ล่ะ ทำให้เสร็จภายในวันนี้ ห้ามขอให้ใครมาช่วยเด็ดขาด พรุ่งนี้ฉันจะลุกขึ้นมาดูตั้งแต่เช้า" คำข่มขู่ไม่ได้ทำให้เนอาร์รู้สึกหวั่นไหว ตรงกันข้าม...ออกจะขบขันซะด้วยซ้ำกับไอ้ทีท่าวางโตไม่เข้ากับตัวนั่น
เทียบกับการลงโทษของท่านพ่อแล้ว...แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก
มือใหญ่คว้าเอาด้ามขวานที่ปักคาอยู่บนตอไม้ขึ้นมา อีกมือหนึ่งก็หยิบเอาท่อนไม้มาสับให้เป็นท่อนเล็กๆ เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปใช้ มิวซ์มองเนอาร์แล้วเหยียดยิ้มอีกครั้งด้วยความสะใจก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับผิวปากไปด้วย
ถ้ามันทำไม่เสร็จ เขาก็มีข้ออ้างที่จะลงโทษ
แต่ถึงถ้ามันทำเสร็จ เขาก็จะมีฟืนเพียงพอตลอดฤดูหนาวครั้งหน้า
เสียงผ่าฟืนยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ จนท้องฟ้าเริ่มแปรเป็นสีม่วง และมืดในที่สุด กองไม้ที่เคยระเกะระกะตอนนี้กว่าครึ่งถูกผ่าและจัดเรียบร้อยเป็นระเบียบอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เนอาร์ยกแขนซ้ายขึ้นมาปาดเหงื่อออก เสื้อผ้าเปียกชุ่มด้วยเหงื่อที่ขับออกมาเพื่อระบายความร้อนอีกทั้งเสียดสีกับผิวจนรู้สึกแสบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เนอาร์ปักขวานลงที่เดินแล้วทรุดนั่งพักเล็กน้อย สายลมเย็นพัดมาราวกับต้องการให้กำลังใจเจ้าชายตกยากจนเขาเผลอขยับยิ้ม เสียงแมลงเริ่มขับขานตั้งแต่ช่วงโพล้เพล้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เงียบลง หากเสียงหัวเราะเฮฮาจากภายในบ้านก็ลอยเข้ามาให้ได้ยินเหมือนเยาะเย้ยในชะตากรรมของคนฟัง
อยู่ดีไม่ว่าดีก็ต้องกลายมาเป็นขี้ข้าคนอื่นเขา
ทันทีที่ขึ้นเรือมาเนอาร์ก็พบว่าเขาขึ้นเรือผิดลำ เพราะไอ้ธงสามเหลี่ยมนั่นล่ะ เขาเพิ่งมารู้ทีหลังว่าประเทศที่มีเขตน่านน้ำเดียวกันจะใช้ธงแบบเดียวกัน สีเดียวกัน เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดเวลาออกจับปลา เพราะเหตุบ้าๆ นั่นจึงทำให้เขาต้องมาติดเกาะ!! และเกาะที่ว่านี่ก็คือเกาะซูลู ประเทศที่เล็กที่สุดในเอเดน มีเศรษฐกิจหลักอยู่ที่เกษตรกรรมและปศุสัตว์ ระบบการปกครองใช้ระบบราชาธิราชก็คือ กษัตริย์คือประมุข โดยปกติจะไม่สุงสิงกับประเทศอื่นๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เปิดต้อนรับคนแปลกหน้าซักเท่าไหร่นัก จึงไม่มีโรงแรมหรือการบริการในเชิงท่องเที่ยว นับเป็นโชคดีอย่างนึงของเขาคือ ทันทีที่ลงจากเรือความซวยอันติดตัวมาตั้งแต่ออกจากบารามอสทำให้เขาต้องมารับผิดชอบอีกชีวิตหนึ่งโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าจะทำไปทำไม และนั่น....กลับทำให้เขามีที่พักและอาหาร หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่ต้องถูกไล่ให้ต้องว่ายน้ำกลับบารามอสนั่นเอง
หลังจากที่จัดการเก็บฟืนที่ผ่าทั้งหมดเข้าโรงเก็บฟืน เนอาร์ก็พบว่าบรรยากาศรอบตัวตอนนี้เงียบสงบ มีเพียงเสียงแมลงบางชนิดที่ยังคงขับขานเสียงเพลงของมันต่อไป เขายกแขนขึ้นปาดเหงื่ออีกครั้งแล้วเดินกลับไปทางโรงงานร้าง เพราะมั่นใจแล้วว่า...คืนนี้เขาต้องหาของป่ากินเอา เนอาร์เดินลึกตัดเข้าไปในป่าอยู่ครู่ใหญ่ ธารน้ำสะอาดไม่ลึกจนเกินไปก็ปรากฏตรงหน้า เนอาร์วางคบไฟที่ทำขึ้นง่ายๆ ข้างลำธารก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าออกเพื่อชำระเหงื่อไคลที่ต้องทนมาตลอดทั้งช่วงบ่าย
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกเมื่อหย่อนตัวเองลงในน้ำ ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อค่อยๆ คลายตัวลง ตาสีน้ำตาลเงยขึ้นมองท้องฟ้าสีกำมะหยี่ที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว จันทร์เสี้ยวที่รอวันเต็มดวงพยายามที่จะเปล่งแสงแข่งกับดาวนับล้านแต่ดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก เหนือสิ่งอื่นใดที่เขาเป็นห่วงตอนนี้คือพี่ชายฝาแฝดของเขาตอนนี้คงไปอยู่ที่สกอร์ปิโอแล้วคงเที่ยวสบายใจอยู่แน่ๆ และถ้ามันรู้ว่าเขาต้องมาติดเกาะทำงานหนักเหมือนพวกทาสด้วยแล้วคงไม่พ้นต้องฟังเสียงหัวเราะที่น่าหงุดหงิดนั่น มือขวาเผลอเอื้อมไปแตะสร้อยข้อมือเก่าที่ยังคงสภาพเก่าแบบเดิมไว้ได้อย่างมั่นคงโดยไม่ขาด ตาสีน้ำตาลสลดลงเพียงครู่ก็กลับมาเรียบสนิทเช่นเดิม
"ถ้าคิดจะทำให้ฉันเดินตัวเปล่ากลับไปล่ะก็คงไม่ต้องหวัง" เสียงสวบสาบที่ดังแผ่วเบาที่สุดชะงักลงก่อนจะดังกว่าเดิมขึ้นเล็กน้อย เพราะเจ้าตัวที่ทำให้เกิดเสียงรู้ดีว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรต่อไป ร่างสูงระหงส์ยืนค้ำหัวเนอาร์เงียบๆ ต่างฝ่ายต่างเงียบแต่ไม่น่าอึดอัดเท่าวันแรกๆ
"เจ้าชายจากคาโนวาลนี่ไร้สมองหรือใจฝ่อกันแน่นะ ถึงได้ยอมเชื่อคำขู่แบบนั้น" ประโยคบทสนทนาแรกเปิดด้วยการเหน็บแนมชุดใหญ่ เนอาร์ถอนหายใจแผ่วเบา ถึงจะไม่เท่าครั้งแรกที่เจอ แต่ไอ้ความเป็นอริก็ใช่ว่าจะหายไป
"ถ้าศักดิ์นั่นทำให้เงาบนหัวหายไป ฉันขอเลือกทิ้งศักดิ์เพื่อที่ชีวิตยังคงอยู่จะดีกว่า" คิ้วบางเลิกสูงขึ้นด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากของเจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาล
"เห็นแก่ตัวดี" เนอาร์หัวเราะหึๆ ไม่ตอบโต้อะไร ไอ้ที่ว่าคงได้ติดมาจากท่านแม่กับพี่ชายที่กรอกหูอยู่ทุกวัน ไม่นึกว่าจะมีวันที่ทำให้เขาต้องคิดตามไอ้ประโยคนั่น
"มายืนค้ำหัวแบบนี้อยากเห็นอะไรๆ ของฉันนักหรอไง" ตาสีน้ำตาลตวัดมามองคนที่ยืนอยู่ ซีเวียรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อยกับคำพูดจาบจ้วงนั่น ถึงแม้จะรู้ดีว่าความมืดที่ปกคลุมภายใต้คบไฟอันเล็กไม่สามารถทำให้หล่อนเห็น "อะไรๆ" อย่างที่อีกฝ่ายพูดก็ตาม
"ถ้าไม่มีธุระฉันก็ไม่อยากมานักหรอก" หล่อนล้วงเอาห่อกระดาษสองห่อจากกระเป๋าเสื้อวางลงบนโขดหินใกล้ๆ "ยากับขนมปัง" คิ้วกระตุกสูงอย่างสงสัยในเจตนาจนทำให้ซีเวียต้องยอมเอ่ยปากอีกครั้ง
"เดี๋ยวติดเชื้อตายแล้วฉันจะซวย" จบคำหล่อนก็ก้าวเท้าออกจากที่ตรงนั้นทันที เนอาร์นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมไปหยิบห่อทั้งสองออกมา ห่อแรกที่ใหญ่กว่าเมื่อแกะออกมาก็พบว่าเป็นขนมปังก้อนกับเนื้อตากแห้งเล็กน้อย หลังจากที่แน่ใจว่าไม่ได้ใส่ยากล่อมประสาทหรือยาพิษใดๆ เขาก็จัดการของตรงหน้าเข้าสู่กระเพาะจนหมด เนอาร์หยิบห่อกระดาษห่อเล็กอีกห่อขึ้นมาแกะ ผงยาละเอียดกลิ่นฉุนที่เขารู้จักดีลอยปะทะจมูก เนอาร์เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงส่วนของความเป็นผู้หญิงของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การแสดงความเป็นห่วงในฐานะคนรู้จักเป็นครั้งแรก เนอาร์ตัดสินใจขึ้นจากน้ำแล้วจัดการแต่งตัวในชุดใหม่ที่ดูดีกว่าเดิมนิดหน่อย มือหยิบเอาคบไฟมาปักเข้ากับร่องหินใกล้ๆ ผงยาในห่อค่อยๆ ละเลงลงบนมือใหญ่ที่ตอนนี้ปรากฏรอยแดงและแผลแตกเล็กๆ ทั่วฝ่ามือ ไอ้การผ่าฟืนจำนวนขนาดนั้นดูเหมือนจะหนักหนาเอาการอยู่เหมือนกัน เนอาร์คิดพลางขณะทายาให้ทั่วทั้งสองมือ แม้ตอนแรกจะมีอาการแสบเล็กน้อย แต่ความเย็นจากธารน้ำที่เพิ่งลงไปอาบประกอบกับอากาศที่เริ่มเย็นจัด อาการแสบนั้นจึงเปลี่ยนเป็นอาการชาทั้งสองมือแทน เนอาร์จัดการเก็บยาที่เหลือพับใส่กระเป๋า ตาสีน้ำตาลเงยหน้ามองตำแหน่งดาวและพระจันทร์อีกครั้งก่อนจะตัดสินใจกลับไปพักผ่อนยังโรงนาร้างอันเป็นที่พักของตน
------------------------------------------------------
"พี่ก็ไม่น่าไปทำกับเขาแบบนั้น" เสียงหวานใสตามแบบกุลสตรีดังลอดมาจากในครัวบ่งบอกถึงความไม่พอใจเล็กน้อยกับเรื่องที่กำลังสนทนากันอยู่ มิวซ์ทำท่าหงุดหงิดเมื่อน้องสาวของตนมีทีท่าเข้าข้างไอ้หล่อไร้ความรู้สึกนั่น ชามซุปถูกกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนกระเฉาะออกมานอกชามเล็กน้อย อารมณ์อยากกินข้าวเช้าสบายๆ มีความสุขต้องอันตรธานหายไปตั้งแต่ที่เขาออกมานอกบ้านหวังจะเห็นกองไม้ระเกะระกะเช่นเดิมกับเมื่อวาน แต่ต้องเงียบไปเมื่อมันกลับสะอาดเรียบร้อยเป็นเครื่องหมายว่าไอ้หมอนั่นมันทำงานเสร็จเรียบร้อยดี แล้วนี่เขาต้องมาฟังน้องสาวตัวเองต่อว่าอีกหรอเนี่ย
บางทีเขาอาจคิดผิดที่รับผิดชอบหมอนั่นระหว่างที่รอเรือออกจาท่าในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดไป
"มาอาศัยคนอื่นเขากินก็ต้องทำงานต่างค่าแรง มันผิดตรงไหน" มิวซ์เถียงกลับ หยิบขนมปังก้อนขึ้นมากัดคำใหญ่ "ปกติน่ะไม่ผิด แต่ที่พี่ไปให้เขาตัดไม้ทั้งหมดที่ควรจะเสร็จราวๆ สามวันให้เสร็จภายในวันเดียวเขาเรียกกลั่นแกล้ง" หญิงสาวร่างเล็กพอๆ กับพี่ชายเดินเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่ผูกไว้กับเอวเดินถอนหายใจออกมาจากครัว เรียกว่าแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากพี่ชาย ทั้งเส้นผมสีน้ำตาล ตาสีเขียวนั่นจะผิดกันก็แต่ ความยาวของเส้นผม โครงหน้าที่อ่อนหวาน กับแววตาที่อ่อนโยนนั่นเท่านั้น ไมร่าถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ข้างประตูครัวแล้วทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวตรงข้ามกับพี่ชายของตน
"ถึงเขาจะมาอาศัยเราอยู่ แต่ไอ้ที่พี่ใช้โน่นใช้นี่มันใกล้เคียงกับคำว่าทาสแล้ว รู้ตัวรึปล่าว" มิวซ์ไหวไหล่ไม่ใส่ใจกับเสียงถอนหายใจของน้องสาว "ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ก็ไม่ใช่ผู้ชายแล้ว ดูร่างมันสิ บางยังกับผู้หญิง แล้วก็พี่ห้ามเลยนะ ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันมากมายนัก ยัยผู้หญิงนั่นก็อีกคน" คิ้วบางขมวดมุ่นรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
"เมื่อไหร่พี่จะเปิดใจยอมรับคนอื่นบ้าง สองคนนั่นเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร พี่แกล้งเขาเท่าไหร่ก็ไม่เคยบ่น เคยด่า ยอมทำทุกอย่างเงียบๆ"
"เพราะมันไม่กล้าน่ะสิ" รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าขอมิวซ์ ตาสีเขียวเป็นประกายของความดูถูกดูแคลน "ไอ้พวกสำอางค์แบบนี้น่ะดูก็รู้ว่าเป็นพวกคุณหนูที่ไม่เคยจับต้องงานอะไร แล้วนี่คงหนีออกมาจากบ้าน หึ.. พวกนั้นต้องขอบคุณพี่ด้วยซ้ำที่ให้เรียนรู้รสชาติชีวิตที่แท้จริงน่ะ" ไมร่าสั่นศีรษะไปมาอย่างระอา
"แต่คุณหนูคนนั้นก็ผ่าฟืนทั้งหมดเสร็จภายในวันเดียว" คำดักคอทำให้มิวซ์สะอึกไป ตาสีเขียวทอความไม่พอใจออกมาชัดเจน ไมร่าถอนใจอีกครั้งก่อนจะเอ่ย "วันนี้ฉันจะให้เนอาร์ไปตลาดช่วยถือของซักหน่อยนะคะ" คนฟังที่กำลังเตรียมออกไปทำงานหันขวับมามองตาขวาง
"ทำไมต้องไปกับหมอนั่น ใช้..ยัยผู้หญิงนั่นก็ได้นี่นา พี่ไม่อนุญาต" หญิงสาวกุมหัวด้วยอาการปวดหัวขึ้นมาตะหงิดๆ กับอาการหวงน้องสาวไม่เข้าเรื่องของคนตรงหน้า
"ของที่ซื้อมีเนื้อ ผัก เกลือ ผงเครื่องเทศ ฯลฯ พี่คิดว่าผู้หญิงสองคนจะแบกกลับมาที่บ้านไหวหรอคะ" มิวซ์ออกอาการลุกลี้ลุกลน รู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง ของทั้งหมดมันเกินกว่าจะให้ผู้หญิงสองคนแบกกลับ แต่เขาก็ไม่อยากให้ไมร่าไปกับไอ้หล่อไร้ความรู้สึกนั่น ตัวไมร่าเองก็รู้ดีว่าพี่ชายตนกังวลเรื่องอะไรอยู่จึงลุกขึ้นไปจับมือพี่ชายขึ้นมาแล้วมองหน้า
"ฉันรู้ว่าพี่ห่วงอะไร แต่เขาก็แค่คนจร อีกอาทิตย์เดียวเขาก็จะออกจากที่นี่ไปแล้ว ที่เรารับพวกเขามาพักไม่ใช่เพื่อให้เขามาเป็นทาสเรานะคะ" มิวซ์พ่นลมหายใจออกมายอมแพ้ ทุกสิ่งในโลกเขาอาจจะไม่มีทางยอม แต่ก็มีเพียงน้องสาวคนเดียวของเขาที่ต้องลงให้
"เอาเถอะๆ พี่ยอมแพ้ก็ได้ แต่ต้องรีบไปรีบกลับนะ ถ้าเย็นนี้พี่กลับมาแล้วไม่พบตัวทั้งสองคนล่ะก็ พี่จะไปแจ้งให้พวกทหารจับมันโยนลงทะเลเป็นอาหารปลา"
******************************TBC ก๊าบบบบบบบบบ
Talk > หายไปเกือบเดือน.....ไม่มีคำแก้ตัวแฮะ = =" ยุ่งมากๆ งานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มีแต่งาน วันก่อนก็ไปทำฉาก สีเต็มตัว เหอๆๆ ตอนนี้คิดว่าคงยาว (คิดว่านะ) ต้องขออภัยที่หายไปนานมากค่ะ ^^" เรื่องตอนนี้ยังคงเรื่อยๆ อยู่ แต่จะสนุกต่อไปรึปล่าว...แล้วแต่คนอ่านละงานนี้ คงมาพล่ามไม่มากล่ะค่ะ ขอบคุณที่ตามอ่านกัน ไปก่อนน่อ เจอกันตอนที่ 6 ค่ะ ^^
"ทั้งๆ ที่รู้อย่างนั้นแต่ก็ยังทำ" คาโลเปรยต่อให้บรรยากาศรอบๆ ยิ่งตรึงเครียดเข้าไปอีก
"แล้วถ้าเป็นท่านพ่อจะทำยังไงครับ" เนอาร์ย้อนหน้าตาย ดูเหมือนนิสัยยอกย้อนนี่จะติดกันมาหมดทั้งสามคน คาโลคิดอย่างปลงตก
"แต่ก็ไม่ควรจะหนีมาแบบนี้" ผู้เป็นลูกพยักหน้ารับความผิด "หากจะท่านพ่อให้กลับไปขอขมาต่อคิงชามัลผมก็คงไม่ขัดขืน แต่ต้องหลังจากที่คิงชามัลเปลี่ยนใจเรื่องการจับพวกผมคลุมถุงชนด้วยคติโบราณนั่น" คาโลถอนหายใจเฮือก ถ้ามันไม่สร้างปัญหาซ้ำซ้อนก็คงจะทำให้เรื่องคลี่คลายไปได้ง่ายกว่านี้ รังสีความกดดันเริ่มแผ่พุ่งออกมาให้มือที่กำอยู่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตาสีฟ้าคมที่เย็นชาบัดนี้ต้องเรียกว่าไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ราวกับกระจกแก้วใสบวกกับรังสีที่แผ่ออกมาทำให้ขาของเข้าไม่กล้าที่จะขยับ เนอาร์ขยับมือตัวเองช้าๆ ยังไงซะก็คงหลีกเลี่ยงที่จะต้องปะทะฝีมือกับผู้เป็นพ่อไม่พ้นแน่ๆ คทาสีน้ำตาลอ่อนแก้ขัดของเนอินถูกเรียกเข้ามาในมือ ก่อนที่อาณาเขตของเจ้าชายน้ำแข็งรุ่นสองจะเริ่มกางอาณาเขต คาโลที่ยืนเงียบไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านถึงพลังของลูกชายตัวองที่พัฒนาขึ้นมากนับตั้งแต่ถูกส่งตัวไปเรียนที่เอดินเบิร์ก เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาตามพลังเวทย์ที่เริ่มปลดปล่อยออกมา
"เข้าใจถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังทำรึปล่าว เนอาร์" น้ำเสียงเข้มเรียบส่งผ่านให้สะดุ้งเฮือก บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่ดูจะลดน้อยถอยลงไป เนอาร์รู้สึกกระดากตัวเองเมื่อนึกถึงความผิดที่ได้ก่อไว้ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ การฉีกหน้าคิงแห่งบารามอสแถมพ่วงตำแหน่งไฮคิงเข้าไปอีก ถึงจะมีศักดิ์เป็นเหลนก็ตามแต่ก็คงจะพ้นข้อหาได้ยาก
"แน่ใจแล้วรึว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง" คำถามย้ำอีกครั้งไม่ได้ทำให้ความมั่นใจของเนอาร์ลดน้อยลง เนอาร์เงยหน้าสบตาสีฟ้าคมนั่นพร้อมกับเริ่มก้าวเดิน ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เป็นพ่อของตนโดยไม่ละสายตาแต่อย่างใด
"พวกผมรู้ถึงสิ่งที่พวกผมต้องแบกรับ...ท่านพ่อ" คาโลนิ่งไปก่อนจะขยับยิ้มขึ้นมาอย่างหาได้ยากจนคนที่กำลังเครียดถึงกับหลุดอาการตกใจออกมาด้วยการผงะไปด้านหลังเล็กน้อย
"งั้นก็แสดงให้ดูหน่อย...ว่าจะทำได้อย่างที่ปากว่าแค่ไหน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงเรียบตีหน้าขรึมพร้อมกับเบี่ยงตัวเปิดทางให้กับเขา เนอาร์ก้าวเดินอย่างหวาดระแวง แต่ก็แอบโล่งใจเพราะถ้าหากต้องสู้กับท่านพ่อ คนที่แพ้ก็คงไม่พ้นเขา หลังจากที่หาเรือพบเขาก็จัดการพาตัวเองขึ้นเรือได้อย่างสวัสดิภาพ หากวางใจได้ไม่กี่นาที คิ้วเข้มก็ต้องขมวดเข้าหากันอีกรอบ
เนอินไปไหน?
-------------------------------------------
"ไม่ต้องมามองฉันด้วยความสมเพชเลย" จอมยุ่งอันดับหนึ่งแยกเขี้ยวใส่เมื่อสบสายตาเย็นชาที่แสนจะคุ้นเคยขณะกลั้นใจกระดกยาแก้ปวดท้องเฉพาะกิจของลุงหมอเข้าปากตัวเองช้าๆ คาโลไม่โต้ตอบอะไรได้แต่เดินเอาถ้วยยาไปเก็บเงียบๆ หลังจากปล่อยให้เนอาร์ขึ้นเรือแต่โดยดีเขาก็เดินหายัยตัวยุ่งอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวก็คือตอนที่พวกทหารวิ่งเข้ามาบอกว่ายัยตัวดีของเขากลับโรงแรมเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะ ตาสีฟ้ามองกำมะหยี่สีดำที่เพิ่งปกคลุมท้องฟ้าได้ไม่นานเท่านัก
"ว่าแต่คิดอะไรของแกที่ปล่อยเนอาร์มันไปได้ง่ายๆ" เฟรินเปิดฉากบทสนทนา และเห็นทีหัวข้อนั้นจะไม่พ้นเรื่องของลูกแฝดตัวแสบของหล่อนไปอีกหลายวัน...หรือบางทีอาจจะหลายอาทิตย์ คาโลละสายตามามองใบหน้าหวานที่นั่งกอดหมอนอยู่บนเตียงแล้วเดินไปนั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้ริมหน้าต่างราวกับไม่สนใจคำถามของภรรยาผู้แสนดีที่กำลังไม่สบายแต่อย่างใด
งานนี้เรียกว่า....ปลาหมอตายเพราะปาก ก็คงไม่ผิดนัก
"เฮ้! ฉันถามแกอยู่นะคาโล"
ปึก!
หมอนหนุนใบใหญ่ถูกปาใส่ใบหน้าสลักที่ทำทีเป็นอ่านหนังสือเข้าไปเต็มๆ แบบที่ไม่ต้องเล็งให้เสียเวลา คราวนี้สายตาคมตวัดมองที่มาด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อยที่ถูกรบกวนการอ่านหนังสือ
"ไม่ใช่สาเหตุเดียวกับนายก็แล้วกัน" เฟรินสะอึกแต่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ "ไว้ใจให้มากจะช้ำใจเอง" คำเปรยเรียกตาสีฟ้าให้มามองดุ เมื่อภรรยาผู้แสนดีเริ่มทำตัวเป็นหมอดูอนาคต คาโลตัดสินปิดหนังสือลงเพราะแน่ใจว่ายัยตัวยุ่งของเขาคงไม่ปล่อยให้ได้อ่านหนังสือสบายๆ เป็นแน่
"หรือจะให้ออกตามหา" คนฟังหน้าเบ้ไปทันทีเมื่อเขาเริ่มพูดจริงจังขึ้นมาบ้าง มือบางโบกไปมาพร้อมกับดึงหมอนอีกใบขึ้นมากอด
"เรื่องมากน่า ฉันรู้ว่าคาโนวาลมันสิทธิ์พิเศษเยอะ แต่ยิ่งสิทธิ์มากเรื่องก็มากตาม และที่สำคัญ..." เฟรินเงียบเสียงไปพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอันเป็นสัญญาณว่า นิสัยอยากแกล้งคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกของตนที่ปกติตนจะเป็นคนถูกแกล้งเสมอได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาเสียแล้ว คาโลส่ายหน้าช้า ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าลูกชายสองคนที่หนีขึ้นเรือไปทั้งอย่างนั้นดี
-------------------------------------------------------
"มิวซ์เรียก" เสียงหวานกระชากห้วนลดความน่าฟังจากน้ำเสียงลงไปกว่าครึ่งไม่ได้ทำให้คนที่เอนกายนอนอยู่กุลีกุจอลุกขึ้นมาแต่อย่างใด เนอาร์ขยับตัวยืนขึ้น ปัดเศษฟางที่ติดตามผ้าป่านหยาบสีขาวขมุกขมอมออกลวกๆ กองฟางแห้งที่กองสุมกันแทนที่เตียงหรูหรา เบื้องบนคือหลังคาที่เปิดโล่งรับแสงแดดอย่างโรแมนติก แต่หากวันไหนฝนตกขึ้นมาคงจะสบายใจไม่ออกแน่ๆ ข้าวของเครื่องใช้ถูกวางระเกะระกะจากการที่ไม่มีคนดูแล แต่มันก็เพียงพอสำหรับที่จะเป็นที่พักชั่วคราวยามนี้ของเขา
หมดเวลานึกถึงอดีตและหันหน้าสู่ความเป็นจริงเสียที
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เสียทีว่าบรรยากาศรอบข้างมันชวนให้นั่งนึกถึงอดีตหรือนึกถึงความฝันขึ้นมา เสียงนกร้อง แมลง หรือแม้แต่เสียงแสกสากของกระต่ายป่าที่ตกใจกับกลิ่นอายของมนุษย์ฟังแล้วสบายใจยิ่งกว่าเสียงสรรเสริญที่พร่ำกรอกหูยามอยู่ในราชวังอันใหญ่โต ถนนดินที่เกิดจากการถางหญ้าชั่วคราวเพียงแค่ให้เกวียนต่างๆ สัญจรไปมาอย่างสะดวกดูน่าเดินกว่าพื้นหินอ่อนปูพรมราคาแพงแต่เต็มไปด้วยหนามและหอกที่คอยดักทำร้าย ถ้าเป็นที่อื่นคงจะน่าแปลกใจว่าจะมีคนบ้าที่ไหนมาสร้างโรงนาไว้ในป่าแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่เขาจะต้องเก็บเอามาคิด เพียงชั่วครู่สองขาที่ก้าวอย่างสม่ำเสมอก็พาร่างของเนอาร์โผล่พ้นออกมาจากชายป่า ภาพของชายร่างเล็กนัยน์ตาสีเขียววาววับกำลังจับจ้องมาทางเขาก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา ริมฝีปากของผู้รอคอยเหยียดยิ้ม เมื่อเนอาร์เดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้เห็นว่าคนๆ นี้สูงเพียงแค่ไหล่ของเขาเท่านั้น
"นึกว่าจะโดนเสือคาบไปซะก่อนจะใช้หนี้ฉันหมด" เนอาร์ไม่ตอบอะไร ตาสีน้ำตาลมองเลยร่างนั้นไปด้านหลัง กองไม้กองใหญ่ถูกวางระเกะระกะเป็นกองพะเนินเกือบสูงเท่ากับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างๆ งานนี้ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้
"ช่วยตัดฟืนทั้งหมดนี่แล้วเอาเก็บให้เรียบร้อยภายในวันนี้ด้วยนะ" แม้จะพูดว่า "ช่วย" แต่ทั้งคำพูดและน้ำเสียงไม่ได้ฟังเหมือนกับที่พูดแม้แต่นิดเดียว
"แค่นี้ใช่มั้ย" เนอาร์ถามกลับ ตาสีเขียวลุกวาววาบด้วยความไม่พอใจ ใช่! เขาไม่พอใจมาก! ไอ้ท่าทีหยิ่งยะโสตั้งแต่เห็นมันครั้งแรก ใบหน้าเรียบเฉยที่เดาไม่เคยออกว่ามันกำลังคิดอะไร และ...ไอ้คำพูดน้อยคำที่น่าหงุดหงิดนั่นอีก!!! มิวซ์พยายามระงับความไม่พอใจของตัวเองไว้เต็มที่ ยังไงซะ ถ้ามีไอ้หมอนี่อยู่เขาเองก็ลำบากเรื่องต่างๆ น้อยลง
"ใช่ แค่นี้ล่ะ ทำให้เสร็จภายในวันนี้ ห้ามขอให้ใครมาช่วยเด็ดขาด พรุ่งนี้ฉันจะลุกขึ้นมาดูตั้งแต่เช้า" คำข่มขู่ไม่ได้ทำให้เนอาร์รู้สึกหวั่นไหว ตรงกันข้าม...ออกจะขบขันซะด้วยซ้ำกับไอ้ทีท่าวางโตไม่เข้ากับตัวนั่น
เทียบกับการลงโทษของท่านพ่อแล้ว...แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก
มือใหญ่คว้าเอาด้ามขวานที่ปักคาอยู่บนตอไม้ขึ้นมา อีกมือหนึ่งก็หยิบเอาท่อนไม้มาสับให้เป็นท่อนเล็กๆ เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปใช้ มิวซ์มองเนอาร์แล้วเหยียดยิ้มอีกครั้งด้วยความสะใจก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับผิวปากไปด้วย
ถ้ามันทำไม่เสร็จ เขาก็มีข้ออ้างที่จะลงโทษ
แต่ถึงถ้ามันทำเสร็จ เขาก็จะมีฟืนเพียงพอตลอดฤดูหนาวครั้งหน้า
เสียงผ่าฟืนยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ จนท้องฟ้าเริ่มแปรเป็นสีม่วง และมืดในที่สุด กองไม้ที่เคยระเกะระกะตอนนี้กว่าครึ่งถูกผ่าและจัดเรียบร้อยเป็นระเบียบอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เนอาร์ยกแขนซ้ายขึ้นมาปาดเหงื่อออก เสื้อผ้าเปียกชุ่มด้วยเหงื่อที่ขับออกมาเพื่อระบายความร้อนอีกทั้งเสียดสีกับผิวจนรู้สึกแสบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เนอาร์ปักขวานลงที่เดินแล้วทรุดนั่งพักเล็กน้อย สายลมเย็นพัดมาราวกับต้องการให้กำลังใจเจ้าชายตกยากจนเขาเผลอขยับยิ้ม เสียงแมลงเริ่มขับขานตั้งแต่ช่วงโพล้เพล้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เงียบลง หากเสียงหัวเราะเฮฮาจากภายในบ้านก็ลอยเข้ามาให้ได้ยินเหมือนเยาะเย้ยในชะตากรรมของคนฟัง
อยู่ดีไม่ว่าดีก็ต้องกลายมาเป็นขี้ข้าคนอื่นเขา
ทันทีที่ขึ้นเรือมาเนอาร์ก็พบว่าเขาขึ้นเรือผิดลำ เพราะไอ้ธงสามเหลี่ยมนั่นล่ะ เขาเพิ่งมารู้ทีหลังว่าประเทศที่มีเขตน่านน้ำเดียวกันจะใช้ธงแบบเดียวกัน สีเดียวกัน เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดเวลาออกจับปลา เพราะเหตุบ้าๆ นั่นจึงทำให้เขาต้องมาติดเกาะ!! และเกาะที่ว่านี่ก็คือเกาะซูลู ประเทศที่เล็กที่สุดในเอเดน มีเศรษฐกิจหลักอยู่ที่เกษตรกรรมและปศุสัตว์ ระบบการปกครองใช้ระบบราชาธิราชก็คือ กษัตริย์คือประมุข โดยปกติจะไม่สุงสิงกับประเทศอื่นๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เปิดต้อนรับคนแปลกหน้าซักเท่าไหร่นัก จึงไม่มีโรงแรมหรือการบริการในเชิงท่องเที่ยว นับเป็นโชคดีอย่างนึงของเขาคือ ทันทีที่ลงจากเรือความซวยอันติดตัวมาตั้งแต่ออกจากบารามอสทำให้เขาต้องมารับผิดชอบอีกชีวิตหนึ่งโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าจะทำไปทำไม และนั่น....กลับทำให้เขามีที่พักและอาหาร หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่ต้องถูกไล่ให้ต้องว่ายน้ำกลับบารามอสนั่นเอง
หลังจากที่จัดการเก็บฟืนที่ผ่าทั้งหมดเข้าโรงเก็บฟืน เนอาร์ก็พบว่าบรรยากาศรอบตัวตอนนี้เงียบสงบ มีเพียงเสียงแมลงบางชนิดที่ยังคงขับขานเสียงเพลงของมันต่อไป เขายกแขนขึ้นปาดเหงื่ออีกครั้งแล้วเดินกลับไปทางโรงงานร้าง เพราะมั่นใจแล้วว่า...คืนนี้เขาต้องหาของป่ากินเอา เนอาร์เดินลึกตัดเข้าไปในป่าอยู่ครู่ใหญ่ ธารน้ำสะอาดไม่ลึกจนเกินไปก็ปรากฏตรงหน้า เนอาร์วางคบไฟที่ทำขึ้นง่ายๆ ข้างลำธารก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าออกเพื่อชำระเหงื่อไคลที่ต้องทนมาตลอดทั้งช่วงบ่าย
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกเมื่อหย่อนตัวเองลงในน้ำ ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อค่อยๆ คลายตัวลง ตาสีน้ำตาลเงยขึ้นมองท้องฟ้าสีกำมะหยี่ที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว จันทร์เสี้ยวที่รอวันเต็มดวงพยายามที่จะเปล่งแสงแข่งกับดาวนับล้านแต่ดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก เหนือสิ่งอื่นใดที่เขาเป็นห่วงตอนนี้คือพี่ชายฝาแฝดของเขาตอนนี้คงไปอยู่ที่สกอร์ปิโอแล้วคงเที่ยวสบายใจอยู่แน่ๆ และถ้ามันรู้ว่าเขาต้องมาติดเกาะทำงานหนักเหมือนพวกทาสด้วยแล้วคงไม่พ้นต้องฟังเสียงหัวเราะที่น่าหงุดหงิดนั่น มือขวาเผลอเอื้อมไปแตะสร้อยข้อมือเก่าที่ยังคงสภาพเก่าแบบเดิมไว้ได้อย่างมั่นคงโดยไม่ขาด ตาสีน้ำตาลสลดลงเพียงครู่ก็กลับมาเรียบสนิทเช่นเดิม
"ถ้าคิดจะทำให้ฉันเดินตัวเปล่ากลับไปล่ะก็คงไม่ต้องหวัง" เสียงสวบสาบที่ดังแผ่วเบาที่สุดชะงักลงก่อนจะดังกว่าเดิมขึ้นเล็กน้อย เพราะเจ้าตัวที่ทำให้เกิดเสียงรู้ดีว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรต่อไป ร่างสูงระหงส์ยืนค้ำหัวเนอาร์เงียบๆ ต่างฝ่ายต่างเงียบแต่ไม่น่าอึดอัดเท่าวันแรกๆ
"เจ้าชายจากคาโนวาลนี่ไร้สมองหรือใจฝ่อกันแน่นะ ถึงได้ยอมเชื่อคำขู่แบบนั้น" ประโยคบทสนทนาแรกเปิดด้วยการเหน็บแนมชุดใหญ่ เนอาร์ถอนหายใจแผ่วเบา ถึงจะไม่เท่าครั้งแรกที่เจอ แต่ไอ้ความเป็นอริก็ใช่ว่าจะหายไป
"ถ้าศักดิ์นั่นทำให้เงาบนหัวหายไป ฉันขอเลือกทิ้งศักดิ์เพื่อที่ชีวิตยังคงอยู่จะดีกว่า" คิ้วบางเลิกสูงขึ้นด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากของเจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาล
"เห็นแก่ตัวดี" เนอาร์หัวเราะหึๆ ไม่ตอบโต้อะไร ไอ้ที่ว่าคงได้ติดมาจากท่านแม่กับพี่ชายที่กรอกหูอยู่ทุกวัน ไม่นึกว่าจะมีวันที่ทำให้เขาต้องคิดตามไอ้ประโยคนั่น
"มายืนค้ำหัวแบบนี้อยากเห็นอะไรๆ ของฉันนักหรอไง" ตาสีน้ำตาลตวัดมามองคนที่ยืนอยู่ ซีเวียรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อยกับคำพูดจาบจ้วงนั่น ถึงแม้จะรู้ดีว่าความมืดที่ปกคลุมภายใต้คบไฟอันเล็กไม่สามารถทำให้หล่อนเห็น "อะไรๆ" อย่างที่อีกฝ่ายพูดก็ตาม
"ถ้าไม่มีธุระฉันก็ไม่อยากมานักหรอก" หล่อนล้วงเอาห่อกระดาษสองห่อจากกระเป๋าเสื้อวางลงบนโขดหินใกล้ๆ "ยากับขนมปัง" คิ้วกระตุกสูงอย่างสงสัยในเจตนาจนทำให้ซีเวียต้องยอมเอ่ยปากอีกครั้ง
"เดี๋ยวติดเชื้อตายแล้วฉันจะซวย" จบคำหล่อนก็ก้าวเท้าออกจากที่ตรงนั้นทันที เนอาร์นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมไปหยิบห่อทั้งสองออกมา ห่อแรกที่ใหญ่กว่าเมื่อแกะออกมาก็พบว่าเป็นขนมปังก้อนกับเนื้อตากแห้งเล็กน้อย หลังจากที่แน่ใจว่าไม่ได้ใส่ยากล่อมประสาทหรือยาพิษใดๆ เขาก็จัดการของตรงหน้าเข้าสู่กระเพาะจนหมด เนอาร์หยิบห่อกระดาษห่อเล็กอีกห่อขึ้นมาแกะ ผงยาละเอียดกลิ่นฉุนที่เขารู้จักดีลอยปะทะจมูก เนอาร์เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงส่วนของความเป็นผู้หญิงของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การแสดงความเป็นห่วงในฐานะคนรู้จักเป็นครั้งแรก เนอาร์ตัดสินใจขึ้นจากน้ำแล้วจัดการแต่งตัวในชุดใหม่ที่ดูดีกว่าเดิมนิดหน่อย มือหยิบเอาคบไฟมาปักเข้ากับร่องหินใกล้ๆ ผงยาในห่อค่อยๆ ละเลงลงบนมือใหญ่ที่ตอนนี้ปรากฏรอยแดงและแผลแตกเล็กๆ ทั่วฝ่ามือ ไอ้การผ่าฟืนจำนวนขนาดนั้นดูเหมือนจะหนักหนาเอาการอยู่เหมือนกัน เนอาร์คิดพลางขณะทายาให้ทั่วทั้งสองมือ แม้ตอนแรกจะมีอาการแสบเล็กน้อย แต่ความเย็นจากธารน้ำที่เพิ่งลงไปอาบประกอบกับอากาศที่เริ่มเย็นจัด อาการแสบนั้นจึงเปลี่ยนเป็นอาการชาทั้งสองมือแทน เนอาร์จัดการเก็บยาที่เหลือพับใส่กระเป๋า ตาสีน้ำตาลเงยหน้ามองตำแหน่งดาวและพระจันทร์อีกครั้งก่อนจะตัดสินใจกลับไปพักผ่อนยังโรงนาร้างอันเป็นที่พักของตน
------------------------------------------------------
"พี่ก็ไม่น่าไปทำกับเขาแบบนั้น" เสียงหวานใสตามแบบกุลสตรีดังลอดมาจากในครัวบ่งบอกถึงความไม่พอใจเล็กน้อยกับเรื่องที่กำลังสนทนากันอยู่ มิวซ์ทำท่าหงุดหงิดเมื่อน้องสาวของตนมีทีท่าเข้าข้างไอ้หล่อไร้ความรู้สึกนั่น ชามซุปถูกกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนกระเฉาะออกมานอกชามเล็กน้อย อารมณ์อยากกินข้าวเช้าสบายๆ มีความสุขต้องอันตรธานหายไปตั้งแต่ที่เขาออกมานอกบ้านหวังจะเห็นกองไม้ระเกะระกะเช่นเดิมกับเมื่อวาน แต่ต้องเงียบไปเมื่อมันกลับสะอาดเรียบร้อยเป็นเครื่องหมายว่าไอ้หมอนั่นมันทำงานเสร็จเรียบร้อยดี แล้วนี่เขาต้องมาฟังน้องสาวตัวเองต่อว่าอีกหรอเนี่ย
บางทีเขาอาจคิดผิดที่รับผิดชอบหมอนั่นระหว่างที่รอเรือออกจาท่าในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดไป
"มาอาศัยคนอื่นเขากินก็ต้องทำงานต่างค่าแรง มันผิดตรงไหน" มิวซ์เถียงกลับ หยิบขนมปังก้อนขึ้นมากัดคำใหญ่ "ปกติน่ะไม่ผิด แต่ที่พี่ไปให้เขาตัดไม้ทั้งหมดที่ควรจะเสร็จราวๆ สามวันให้เสร็จภายในวันเดียวเขาเรียกกลั่นแกล้ง" หญิงสาวร่างเล็กพอๆ กับพี่ชายเดินเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่ผูกไว้กับเอวเดินถอนหายใจออกมาจากครัว เรียกว่าแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากพี่ชาย ทั้งเส้นผมสีน้ำตาล ตาสีเขียวนั่นจะผิดกันก็แต่ ความยาวของเส้นผม โครงหน้าที่อ่อนหวาน กับแววตาที่อ่อนโยนนั่นเท่านั้น ไมร่าถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ข้างประตูครัวแล้วทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวตรงข้ามกับพี่ชายของตน
"ถึงเขาจะมาอาศัยเราอยู่ แต่ไอ้ที่พี่ใช้โน่นใช้นี่มันใกล้เคียงกับคำว่าทาสแล้ว รู้ตัวรึปล่าว" มิวซ์ไหวไหล่ไม่ใส่ใจกับเสียงถอนหายใจของน้องสาว "ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้ก็ไม่ใช่ผู้ชายแล้ว ดูร่างมันสิ บางยังกับผู้หญิง แล้วก็พี่ห้ามเลยนะ ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันมากมายนัก ยัยผู้หญิงนั่นก็อีกคน" คิ้วบางขมวดมุ่นรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
"เมื่อไหร่พี่จะเปิดใจยอมรับคนอื่นบ้าง สองคนนั่นเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร พี่แกล้งเขาเท่าไหร่ก็ไม่เคยบ่น เคยด่า ยอมทำทุกอย่างเงียบๆ"
"เพราะมันไม่กล้าน่ะสิ" รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าขอมิวซ์ ตาสีเขียวเป็นประกายของความดูถูกดูแคลน "ไอ้พวกสำอางค์แบบนี้น่ะดูก็รู้ว่าเป็นพวกคุณหนูที่ไม่เคยจับต้องงานอะไร แล้วนี่คงหนีออกมาจากบ้าน หึ.. พวกนั้นต้องขอบคุณพี่ด้วยซ้ำที่ให้เรียนรู้รสชาติชีวิตที่แท้จริงน่ะ" ไมร่าสั่นศีรษะไปมาอย่างระอา
"แต่คุณหนูคนนั้นก็ผ่าฟืนทั้งหมดเสร็จภายในวันเดียว" คำดักคอทำให้มิวซ์สะอึกไป ตาสีเขียวทอความไม่พอใจออกมาชัดเจน ไมร่าถอนใจอีกครั้งก่อนจะเอ่ย "วันนี้ฉันจะให้เนอาร์ไปตลาดช่วยถือของซักหน่อยนะคะ" คนฟังที่กำลังเตรียมออกไปทำงานหันขวับมามองตาขวาง
"ทำไมต้องไปกับหมอนั่น ใช้..ยัยผู้หญิงนั่นก็ได้นี่นา พี่ไม่อนุญาต" หญิงสาวกุมหัวด้วยอาการปวดหัวขึ้นมาตะหงิดๆ กับอาการหวงน้องสาวไม่เข้าเรื่องของคนตรงหน้า
"ของที่ซื้อมีเนื้อ ผัก เกลือ ผงเครื่องเทศ ฯลฯ พี่คิดว่าผู้หญิงสองคนจะแบกกลับมาที่บ้านไหวหรอคะ" มิวซ์ออกอาการลุกลี้ลุกลน รู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง ของทั้งหมดมันเกินกว่าจะให้ผู้หญิงสองคนแบกกลับ แต่เขาก็ไม่อยากให้ไมร่าไปกับไอ้หล่อไร้ความรู้สึกนั่น ตัวไมร่าเองก็รู้ดีว่าพี่ชายตนกังวลเรื่องอะไรอยู่จึงลุกขึ้นไปจับมือพี่ชายขึ้นมาแล้วมองหน้า
"ฉันรู้ว่าพี่ห่วงอะไร แต่เขาก็แค่คนจร อีกอาทิตย์เดียวเขาก็จะออกจากที่นี่ไปแล้ว ที่เรารับพวกเขามาพักไม่ใช่เพื่อให้เขามาเป็นทาสเรานะคะ" มิวซ์พ่นลมหายใจออกมายอมแพ้ ทุกสิ่งในโลกเขาอาจจะไม่มีทางยอม แต่ก็มีเพียงน้องสาวคนเดียวของเขาที่ต้องลงให้
"เอาเถอะๆ พี่ยอมแพ้ก็ได้ แต่ต้องรีบไปรีบกลับนะ ถ้าเย็นนี้พี่กลับมาแล้วไม่พบตัวทั้งสองคนล่ะก็ พี่จะไปแจ้งให้พวกทหารจับมันโยนลงทะเลเป็นอาหารปลา"
******************************TBC ก๊าบบบบบบบบบ
Talk > หายไปเกือบเดือน.....ไม่มีคำแก้ตัวแฮะ = =" ยุ่งมากๆ งานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มีแต่งาน วันก่อนก็ไปทำฉาก สีเต็มตัว เหอๆๆ ตอนนี้คิดว่าคงยาว (คิดว่านะ) ต้องขออภัยที่หายไปนานมากค่ะ ^^" เรื่องตอนนี้ยังคงเรื่อยๆ อยู่ แต่จะสนุกต่อไปรึปล่าว...แล้วแต่คนอ่านละงานนี้ คงมาพล่ามไม่มากล่ะค่ะ ขอบคุณที่ตามอ่านกัน ไปก่อนน่อ เจอกันตอนที่ 6 ค่ะ ^^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น