ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Distance : การเดินทางที่ยาวไกล

    ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 16 : หนี

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 49


                       เสียงสวบดังถี่ๆ จากแรงวิ่งของคนสองคน เหงื่อกาฬไหลโชกเสื้อที่เพิ่งจะแห้งได้ไม่ครบวันดีจนเปียกมะล่อกมะแล่กอีกรอบ ริมฝีปากบางกัดแน่นอย่างพยายามระงับอาการหอบจากระยะทางที่วิ่งมาร่วมหลายกิโลฯ ขาที่ก้าวต่อเนื่องกันมาเกิดสะดุดล้มลงทำให้ร่างบางๆ กลิ่งหลุนๆ ไปกับพื้น

                       "ไหวมั้ยเฟริน" ตาสีเขียวมองคนที่ยันตัวเองยืนขึ้นหอบจนตัวโยนขณะที่ช่วยพยุงขึ้นมา เฟรินพยักหน้าเร็วๆ ปาดเหงื่อที่ไหลเหนอะหนะตามคอออกลวกๆ ตาโตคู่สวยกราดมองรอบๆ อย่างหวาดระแวง

                       "รีบไปเหอะ เดี๋ยวไอ้พวกบ้านั่นจะตามทัน" มือบางคว้าเอาข้อมือเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันออกวิ่งอีกรอบ เฟรินมองป่ารอบๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่โพรงขนาดกลางที่ด้านหน้าปกคลุมด้วยต้นหญ้าสูงและต้นไม้ใหญ่จนแทบจะมองไม่สังเกตหาไม่มองใกล้ๆ แต่ตาของขโมยย่อมดีกว่าตาของขอทานอยู่แล้ว ขาที่ก้าวไปข้างหน้าชะงักเบรกหักเลี้ยวเข้าหาโพรงนั้นทันที

                       "เข้าไป" ว่าพลางก็จับยัดขอทานเข้ารูแล้วตามด้วยตัวเอง ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบรอเวลา.. มันเป็นการพนันกับชีวิตของพวกเขาทั้งสอง! ครู่หนึ่งเสียงย่ำเท้านับสิบรวมถึงเสียบกีบม้ากระทบก็ดังเข้ามาให้ได้ยิน

                       "ตามไป อย่าให้หลุดรอดไปได้!" เฟรินกัดฟันแน่น ขณะที่โรนั้นได้แต่งนั่งหายใจเบาๆ ใจจดจ่ออยู่กับเสียงที่ค่อยๆ ห่างออกไปช้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เอนตัวพิงเข้ากับผนังโพรงเงียบๆ ไม่ผิดอะไรกับเฟรินที่ถึงกับนอนแผ่หงายด้วยความเหนื่อย แม้จะดูไม่สมเป็นหญิง แต่เวลาแบบนี้ใครจะมานั่งเฝ้ากันล่ะ

                       "ซวยฉิบ!! จมูกไวยังกะหมา" คนฟังหัวเราะเบาๆ กับอารมณ์ขันเหลือเฟือของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

                       ใครกันที่เป็นคนบอกตำแหน่งของพวกเขาให้กับกษัตริย์โคมิเน่??

                       เรื่องมันสืบมาตั้งแต่เช้าวันนี้ ที่ต่างฝ่ายต่างตื่นขึ้นมา คงไม่น่าแปลกใจสำหรับโร แต่สำหรับไอ้คนสันหลังยาวตื่นสายตลอดศกอย่างเฟรินที่ลุกขึ้นจัดแจงตัวเองตั้งแต่ฟ้าสางนี่สิแปลก แต่แล้วหลังจากตื่นได้ไม่ได้นาน เขาก็พบว่าอาการตื่นเช้าของเฟรินนี่แหละคือตัวบอกถึงลางสังหรณ์ของวันนี้ เมื่อทหารกลุ่มหนึ่งตรงดิ่งส่งเสียงเอะอะเข้าเตรียมจะจับพวกเขาทั้งสอง ไม่ทันที่จะได้เจรจาหรือพูดคุยยัยตัวแสบก็กระโดดประเคนเท้าให้กับคนที่นั่งอยู่บนม้าที่ใกล้ที่สุดแล้วลากเขาออกวิ่งทันที ระหว่างที่วิ่งหนีเสียงตะโกนรายงานที่ลอยมาเข้าหูเป็นระยะก็พอจะทำให้รู้ว่าคนบงการเป็นใครกัน ปัญหาอยู่ที่...พวกมันรู้ได้ยังไง

                       "ไอ้พวกเวรนั่นไปหมดแล้ว" เฟรินกระซิบเบาๆ ขณะที่หูก็คอยเงี่ยฟังอย่างมีสมาธิ โรพยักหน้าช้าๆ เริ่มปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ อาการเหนื่อยหอบเริ่มทุเลาลงบ้างเล็กน้อย หญิงสาวจับคอเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่หน้าลวกๆ แล้วลุกขึ้นมานั่งพิงผนังแบบเดียวกับคนข้างๆ

                       "นี่ถ้าผ่าปฐพีอยู่ในมือนะ พ่อจะฟาดให้เรียบ" ว่าพลางก็กัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ หากเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ลอยมาทำให้เธอฉุนหนักกว่าเก่า

                       "ขำบ้าอะไรฟะ" ตาสีเขียวเป็นประกายเล็กน้อย ถ้าผ่าปฐพีอยู่ที่เฟริน แล้วเด็กน้อยผมสีน้ำตาลคนนั้นจะใช้อะไรล่ะ

                       "ผ่าปฐพีน่ะ แค่แกเรียกคำเดียวมันก็มาอยู่ตรงหน้าแกแล้วเฟริน" คนถูกรู้ทันส่งเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ ขัดใจ เสมองไปทางอื่นเงียบๆ

                       "ฉันล่ะเกลียดแกอย่างก็ตรงที่รู้ทันไปซะหมดนี่ล่ะโร" สารภาพหน้าตาย มือเริ่มกุมท้องที่เริ่มส่งเสียงออกมาเล็กน้อยบ่งบอกว่าจนถึงตรงนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเธอเลย เมื่อก่อนสมัยที่เป็นขโมยหนักกว่านี้ก็ทนได้ แต่สงสัยเพราะอยู่แต่ในวังอุดอู้ กินดีอยู่ดีเกินไป ร่างกายมันชักล้าๆ ทำอะไรได้ไม่ค่อยได้อย่างที่คิด

                       "แล้วอย่างนี้เราก็ออกนอกเส้นทางเข้าโคมิเน่แล้วสิ" โรส่ายหน้า

                       "ปล่าว...จะว่าไปเส้นทางมันเฉเข้าโคมิเน่ก็จริง แต่ก็ยังคงอยู่แถบชายแดน ถ้าทหารคาโนวาลเป็นฝ่ายเจอเราก่อนก็โชคดีไป" เฟรินขมวดคิ้วเข้าหากัน บางที...เธอควรจะกลับไปเป็นขโมย เพราะไอ้การที่ต้องมารับหน้าที่บ้าบอคอแตกอะไรมันทำให้คิ้วเธอแทบจะผูกโบว์ถาวรอยู่แล้ว ที่โรมันพูดก็น่าคิด แต่ปกติทหารบ้าที่ไหนจะเข้ามาในป่าลึกขนาดนี้ เสียงหวานๆ สบถพรืดอย่างหงุดหงิด ใจนึงก็ห่วงไอ้เด็กสองคนที่เผลอแยกจากกัน ใจนึงก็ห่วงไอ้คนมาดมากที่นอนอืดอยู่ในวัง ที่สำคัญ...ห่วงตัวเองว่าจะรอดไปจากสถานการณ์อย่างนี้ได้รึปล่าว เรียวปากกระตุกยิ้มเล็กน้อย

                       "จะว่าไปไอ้เหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วนี่นะ เพียงแต่ตอนนี้แกไม่ได้บาดเจ็บแค่นั้นเอง" ตาสีน้ำตาลหันไปมองล้อๆ ขณะที่ตาสีเขียวของคู่กรณีกลับมีเพียงประกายยิ้มเรียบๆ เท่านั้น

                       "แต่ถ้าเจอไอ้เชือกนรกนั่นก็จอดเหมือนกันล่ะว้า" ต่อท้ายเรียกให้รอยยิ้มนั่นหุบฉับ โรส่ายหน้าไปมา มันคิดจะเครียดกับเขาหน่อยไม่ได้เลยหรอไง คนพูดฉีกยิ้มกว้าง อย่างน้อยก็ขอเอาคืนหน่อยเหอะ

                       "เราออกไปกันดีกว่า พวกนั้นคงไม่ย้อนกลับมาแล้วล่ะ" เฟรินชันเข่าเตรียมลุกออกไป หากข้อมือของตนกลับถูกคว้าเอาไว้ก่อน หมุนตัวกลับมามองอย่างสงสัย โรส่งสัญญาณให้เงียบลง

                       .....................................................

                       ทุกสรรพเสียงเงียบกริบ มีเพียงเสียงนกกับใบไม้และใบหญ้าเสียดสีกันไปมา หากแต่ว่าถ้าไม่หูเขาฝาดก็คือหูโคตรจะดี เมื่อเธอได้ยินเสียงแว่วบางอย่างที่เบา...เบาจนแทบไม่สังเกตถ้าโรไม่บอกให้เงียบ ตาสีน้ำตาลตวัดกลับมาสบคนที่มองมาอยู่แล้ว โรพยักหน้าช้าๆ แล้วทั้งสองคนก็ค่อยๆ พากันออกจากที่ซ่อนอย่างเงียบกริบ ทั้งสองออกมายืนนิ่งสองตาสอดส่ายหาสิ่งผิดปกติ หูก็พยายามสดับเสียงทุกชนิดไม่ให้รอดแม้แต่จุดที่น่าสงสัยซักจุด

                       "เห็นมั้ยว่าแกน่ะคิดมากไปเอง" เฟรินโพล่งขึ้นฉีกยิ้มกว้าง ตบป้าบๆ เข้าที่หลังของอีกฝ่าย

                       "อย่างน้อยก็ปลอดภัยไว้ก่อน"

                       ฟึ่บ!

                       "เฮ้ย!!" ตาข่ายขนาดยักษ์ถูกทิ้งลงมาจากต้นไม้ใหญ่บนหัว รวบให้ทั้งสองคนได้แต่ดิ้นขลุกขลักด้วยความตกใจ เฟรินเรียกดาบมาไว้ในมือพยายามจะบั่นเชือกตาข่ายให้ขาด ขณะที่โรนั้นถึงกับอ่อนแรง

                       "ไม่มีทางหรอก นั่นเป็นเชือกที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ นอกจากจะไว้กันพวกคนจากทริสทอร์แล้วยังเหนียวขนาดที่ต่อให้ดาบคำแค่ไหนก็ตัดไม่ขาดด้วย" เสียงทุ้มห้าวที่เธอเพิ่งจะวางใจว่าคงจะไม่ได้ยินอีกดังเข้ามาให้เจ็บใจ รู้งี้น่าจะเชื่อมัน อยู่ในโพรงดีเงียบๆ ดีกว่า ชายหนุ่มวัยกลางคนที่สังเกตได้จากผมสีน้ำตาลแซมด้วยสีดอกเลา ถ้ามองชัดๆ จะเห็นว่าเริ่มมีสีขาวแซมแล้ว ใบหน้าขรึมหากแววตาสีดำนั้นกลับเต็มไปด้วยรอยแห่งความปีติใจแบบที่ซ่อนไม่อยู่ โครงร่างสูงโปร่งเช่นชายทั่วไป หากม้าที่ใช้เป็นพาหนะนั้นเป็นม้าสีน้ำตาลอย่างที่เฟรินบอกได้ว่าเป็นสุดยอดเกรด A เครื่องประดับเว่อร์แสดงถึงฐานะอันสูงส่งของผู้เป็นเจ้าของ

                       "แล้วทำไมคนอย่างพระองค์ถึงต้องมาจับพวกเราด้วยล่ะกระหม่อม กษัตริย์เนเฟลที่หกแห่งโคมิเน่" เฟรินเลิกคิ้วถามตีหน้าเซ่อ คนฟังถึงกับหัวเราะออกมา

                       "กระหม่อมไม่คิดว่าฝ่าบาทจะไม่รู้เหตุผลที่ต้องจับฝ่าบาทกับพระสหายไว้หรอกนะกระหม่อม" ตาสีดำขวับตวัดมองใบหน้างามที่ตอนนี้ง้ำลงเล็กน้อย ตาสีน้ำตาลตวัดมองคนข้างๆ อย่างเป็นห่วง กษัตริย์เนเฟลเหลือบมองคนที่หมดแรงอยู่ใต้ตาข่ายเชือกมนต์ แววตาแข็งกร้าวในแบบที่ไม่ค่อยได้ฉายขึ้นมาบ่อยนัก

                       ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้อีก!

                       "เห็นทีจะต้องขอทูลเชิญท่านทั้งสองไปพักอยู่ที่ปราสาทของกระหม่อมเป็นการชั่วคราว"

    ----------------------------------------------------

                       "นี่น่ะหรอที่เชิญให้มาพัก" เสียงบ่นงึมงำเป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่ที่โดนจับตัวมาไว้ในที่แห่งนี้ เฟรินนอนเงยหน้ามองเพดานหินที่อับทึบ ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ กับเตียงผุๆ ผ้าขาดๆ และซี่กรงหนาๆ นี่หรอที่ทำกับราชินีของประเทศข้างเคียง!! คิดแล้วก็เผลอสบถออกมาอีก ก่อนจะยันตัวเองขึ้นเดินไปนั่งลงตรงหน้าซี่กรงเหล็กที่กั้นอิสระภาพของเธอเอาไว้

                       "แกเป็นยังไงบ้างโร" เอ่ยถามเพื่อนรักที่ถูกขังอยู่ห้องข้างๆ

                       "นายลองมาโดนมัดแล้วจับยัดห้องขังบ้างดูมั้ยเฟริน" โรพูดกลั้วหัวเราะ แต่คนฟังน่ะรู้ดี ว่ามันกำลังโกรธ! ถึงจะไม่ใช่กับเธอก็ตาม แต่แทบจะไม่เคยเห็นคนๆ นี้โกรธมาก่อน

                       "ฉันถามด้วยความเป็นห่วง วะ!!..แกนี่ชอบทำให้เสียเส้น" ปากเสียเข้าไปเรื่อยๆ แต่น่าแปลกที่ทำให้ใจสงบลงอย่างประหลาด ตาสีเขียวมองผนังห้องคุกหินราวกับสามารถมองทะลุเห็นร่างบางๆ นั่งบ่นหัวเสีย กับตาสีน้ำตาลที่เป็นประกายระริกด้วยความที่ไม่เคยเครียดอะไรเป็นกับเขาแล้วต้องหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ โรกวาดสายตาไปทั่วห้องขังช้าๆ ตอนที่โดนพามาถูกปิดตาเอาไว้ แต่จากที่ดูแล้วน่าจะเป็นคุกภายในตัวปราสาท มือที่ถูกมัดขยับเบาๆ เพื่อให้อยู่ในท่าที่ถนัดขึ้น หากแรงเสียดสีของเชือกกลับบาดเข้าที่ข้อมือจนเลือดไหลซิบ เล่นมัดซะแน่นแถมนานหลายชั่วโมงแบบนี้..ไม่แปลกนัก ขณะที่คนหนึ่งกำลังจมอยู่กับความคิดอีกคนหนึ่งก็จมอยู่กับวิธีหาทางออก เธอไม่มีเวลามานั่งเล่นอยู่ในคุกนี่ให้ไอ้กษัตริย์บ้าอำนาจได้ใจง่ายๆ ตาสีน้ำตาลหม่นลงวูบหนึ่งเมื่อนึกถึงร่างสูงที่มักจะคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ

                       แต่ตอนนี้มันไม่อยู่ และมันก็กำลังไม่สบาย

                       เฟรินบอกตัวเองช้าๆ ตาสีน้ำตาลจับจ้องอยู่ที่ทหารยามที่นั่งเท้าคางหลับในอยู่ไม่ห่างนัก แล้วเรียวปากต้องกระตุกยิ้ม

                       "โร ฉันมีแผน" ส่งเสียงกระซิบกระซาบกันเบาๆ ก่อนจะเริ่มอธิบายแผนที่เพิ่งคิดได้สดๆ

                       .................................

                       "โอเคมั้ย" ตบท้ายด้วยการถามความคิดเห็น แต่ไม่ทันที่โรจะได้ตอบ เสียงรายงานจากด้านนอกก็หยุดคำพูดทุกอย่างไว้

                       "กษัตริย์เนเฟลที่หกเสด็จ!" สิ้นคำไม่นานนัก ร่างคุ้นตาที่เปลี่ยนเครื่องทรงจนอลังการกว่าเดิมก็ก้าวเข้ามาอยู่ในสายตาของคนทั้งสอง ร่างสูงนั่งลงยังเก้าอี้ที่ดีที่สุดที่สามารถหาได้ในคุกใต้ดินแห่งนี้ ตาสีดำขลับสบมองคนที่นั่งอยู่ภายในคุกพลางยิ้ม

                       "เป็นอย่างไรบ้างกระหม่อม" เฟรินทำตาโตแล้วรีบตอบ

                       "สบายดีกระหม่อม ที่นี่สบายกว่าห้องของไอ้คาโล ห้องหนังสือ ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องน้ำ คอกม้า รวมไปถึงคุกที่คาโนวาลเสียอีก" ตบท้ายด้วยการฉีกยิ้มจริงใจที่ไม่ต้องมองก็รู้ว่ามันประชด โรหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เช่นเดียวกับกษัตริย์เนเฟล ได้ยินกิตติศัพท์มานานไม่ค่อยน่าเชื่อ แต่พอมาเจอตัวจริงมันยิ่งเสียกว่าคำลือ

                       "ต้องขออภัยที่ให้ฝ่าบาทมาประทับที่นี่ แต่ตอนนี้ฝ่าบาทเป็นนักโทษของโคมิเน่" คิ้วบางเลิกสูงขึ้น

                       "ฝ่าบาทพอจะบอกคนโง่ๆ คนนี้หน่อยได้มั้ยกระหม่อมว่าพวกเรากลายเป็นนักโทษด้วยข้อหาอะไร" รอยยิ้มเย็นๆ กระตุกขึ้นเล็กน้อย

                       "ลักลอบเข้าประเทศโดยมุ่งปองร้ายคนในราชวงศ์
    พยายามทำร้ายกษัตริย์...ฝ่าบาท" คนฟังทั้งสองนิ่งไปเล็กน้อย แล้วเฟรินก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นคุก สร้างความแปลกใจให้กับกษัตริย์เนเฟล หญิงสาวพยายามกลั้นหัวเราะกึกอย่างยากลำบาก

                       "โธ่..เรื่องที่กระหม่อมไปถีบเข้าหน้าพระองค์น่ะหรอ" ใบหน้าขรึมนั้นกระด้างขึ้นมาทันตา บรรดาทหารยามที่ยืนทำหน้าที่กันอย่างแข็งขันต้องพยายามตีหน้าตายด้วยความที่กลัวว่าคนที่จะไปอยู่ในห้องขังจะกลายเป็นตนแทนหากหลุดหัวเราะออกมา ส่วนโรนั้นก็หัวเราะออกมาราวกับซ้ำเติมตอกย้ำเข้าไปอีก มือบางๆ ป้ายน้ำตาที่เล็ดออกมาลวกๆ

                       "ต้องขออภัยกระหม่อม ตอนนั้นมันหน้ามืด ข้าวก็ตกถึงท้องไม่เท่าไหร่ แถมจู่ๆ ก็มีคนบุกเข้ามาทำหน้าเหมือนกับจะทำร้ายกันอย่างนั้น เห็นอะไรขวางก็ผ่ายกขาซัดกระเด็นหมดนั่นแหละกระหม่อม" คำแก้ตัวที่ฟังขึ้น(ในความคิดของบางคน) แต่สำหรับเจ้าทุกข์ที่นั่งวางมาดอยู่ถึงกับหน้าชา กับคำพูดที่ออกแนวว่า 'แกเป็นคนผิดเองที่พรวดพราดเข้ามาตอนที่ฉันกำลังหิว' โจทย์ที่กำลังจะกลายสภาพเป็นจำเลยต้องรีบปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะส่งยิ้มเครียดๆ ไปให้คนพูด

                       "ถึงอย่างนั้นก็เถอะกระหม่อม กระหม่อมต้องขอร้องให้ฝ่าบาทประทับอยู่ที่นี่ไปพลางๆ ก่อน จนกว่าอะไรมันจะคลี่คลายไป เพราะช่วงนี้ที่โคมิเน่กำลังมีปัญหา" น้ำเสียงเครียดขาดช่วงไปเล็กน้อยก่อนจะเสริมต่อ

                       "ไว้เสร็จเรื่องเมื่อไหร่ กระหม่อมจะรีบสะสางเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อความสบายใจทั้งต่อโคมิเน่เองและคาโนวาล" เอ่ยจบกษัตริย์เนเฟลก็ขอตัวออกจากคุกไป รอบๆ ตัวจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เฟรินเองก็เดินเข้าไปล้มตัวลงนอนสงบปากสงบคำหากใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้างด้วยความสะใจที่เอาคืนแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ขณะที่โรเองก็ได้แต่นั่งเงียบต่อ รอเพียงเวลาและสัญญาณจากคนที่ถูกขังอยู่ถัดไปเท่านั้น เวลาผ่านไป เฟรินลุกขึ้นมานั่งแล้วเคลื่อนตัวเองไปนั่งติดกับฝาเพื่อสื่อสาร ตากวาดมองทหารยามที่เริ่มไม่ระแวดระวังกัน

                       โร"

                       "หือ"

                       "แกว่าใครเป็นคนบอกข่าวเรื่องฉันกับแกให้กับไอ้กษัตริย์นั่น" คนฟังเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงถอนหายใจออกมา

                       "หรือแกคิดไม่เป็นเฟริน" คำย้อนที่เรียกเอารอยยิ้มกว้างระบายขึ้นบนใบหน้าขาว สมองกำลังแล่นฉิวอย่งที่ไม่เคยเป็น

                       "งั้นก็เริ่มกันดีกว่า เตรียมตัวไว้นะโร" ว่าแล้วเธอก็เดินกลับไปนอนบนเตียงอีกครั้ง เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง เสียงโอดโอยก็ดังขึ้น

                       "โอ้ยยยย ปวดหัว!!!" มือบางกุมขมับ สีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด จนพวกที่เฝ้ายามต้องเปิดประตูห้องขังเข้ามาดู

                       "เป็นอะไรไป" ทหารร่างสูงถามโดยที่ไม่กล้าแตะต้องตัวเธอ เฟรินยังคงยกมือกุมขมับ เริ่มดิ้นไปมาด้วยความทรมาน

                       "โร.. โร!! ช่วยที!!!" ตะโกนเรียกเพื่อนซี้ที่อยู่ข้างห้องขังดังลั่น จนคนที่นั่งหลับสะดุ้งเฮือกขึ้นถลามาที่หน้าซี่กรง

                       "เฟริน...อาการกำเริบหรอ" ไร้ซึ่งคำตอบมีเพียงเสียงโอดโอยของความเจ็บปวด ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกของคนที่มองดู

                       "รีบไปกราบทูลฝ่าบาทเร็วเข้า!!" ยามคนหนึ่งตะโกนลั่นหากโรกลับสวนขึ้นทันที

                       "ไม่ต้องหรอก! แค่โรคประจำตัวธรรมดา เมื่อวานมันไม่ได้กินอะไรแถมมีเรื่องหนักๆ สมองก็เลยรับไม่ไหว ยาปกติแก้ไม่ได้หรอก" ตาสีเขียวมองสบกับผู้คุมนิ่ง ขณะที่เฟรินยังคงแผดเสียงลั่นหนักกว่าเดิม

                       "แล้วจะให้ทำยังไง" เมื่อทนไม่ไหวก็โพล่งขึ้นมา คนฟังยิ้มให้บางๆ

                       "ให้ฉันไปดูมันหน่อย อาการแต่ละครั้งมันไม่เหมือนกัน แต่ฉันรักษาได้" ข้อเสนอที่ไม่ควรจะแลกเปลี่ยนด้วยอย่างที่สุดทำให้ยามต้องคิดหนัก ถ้าปล่อยอย่างนี้ต่อไปก็ต้องแย่แน่ๆ เพราะดูสาวเจ้าจะปวดหนัก แต่ถ้าปล่อยให้อีกคนออกมาอยู่ใกล้ๆ แล้วเกิดเล่นตุกติกล่ะ สติที่กำลังคิดถูกเรียกกลับมาแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงกรี๊ดลั่นของเฟริน ร่างบางๆ กระตุกเล็กน้อย

                       "เร็วเข้าสิ!! ถ้ามันช็อคไปอาการจะหนักกว่านี้นะ!!!" โรตะโกนแข่งกับเวลาจนผู้คุมต้องยุติการคิดทั้งหมดกุลีกุจอเปิดประตูห้องขังออกมา โรค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างยากลำบากเพราะเชือกมนต์ได้ดูดพลังเอาไปแทบหมด ทันทีที่เดินเข้ามานั่งอยู่ข้างๆ ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นแล้วหันไปสั่งแกมขอร้อง

                       "ช่วยแก้เชือกนี่หน่อยสิ การรักษาต้องใช้เวทย์แถมมือถูกมัดไพล่แบบนี้ฉันรักษาไม่ถนัด"

                       "โร!! ปวดด!!!" เฟรินกรีดเสียงหายใจหอบฮั่ก หน้าขาวๆ แดงเรื่อ ผมสีน้ำตาลสะบัดยุ่งไปหมด ยามที่ใกล้ที่สุดรีบตรงรี่เข้ามาแกะเชือกให้

                       "ช่วยกันจับหน่อย เดี๋ยวมันดิ้น" แล้วยามสองคนก็พากันจับไหล่จับเท้ากดลงกับเตียง โรบิดข้อมือเล็กน้อยแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะเฟริน แสงขาวๆ ค่อยๆ ทอออกมา เฟรินดิ้นพราดๆ แล้วค่อยๆ อ่อนลงพร้อมกับสีหน้าเจ็บปวดค่อยๆ คลายลง ยามทั้งสามคนยืนปาดเหงื่อเอ่ยปากเตรียมขอบใจหากเสียงทั้งหมดกลับขาดหายไป พร้อมกับที่ลมหายใจของตนที่กำลังจะขาดไปด้วยเช่นกัน ตาสีเขียวเป็นประกายกล้าพร้อมกับรอยยิ้มเหี้ยม ความแค้นที่ตนต้องมาถูกมัดจับขังอยู่ในคุกโสโครกแบบนี้เริ่มประทุขึ้น สีหน้าหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าทั้งสาม ตาเริ่มเหลือกไปมาเพราะขาดอากาศ แม้จะพยายามอ้าปากสูดหายใจเข้าเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล

                       "ไปได้แล้วโร" เสียงเรียกเนือยๆ ของร่างที่นอนอยู่บนเตียงเรียกสติที่กำลังหฤหรรษ์ไปกับภาพตรงหน้าให้กลับคืนมา ตาสีน้ำตาลยักคิ้วให้คนที่จ้องมองตนแล้วผุดลุกขึ้นมานั่งมองร่างสามร่างที่หมดสติไปเรียบร้อยแล้วพลางถอนหายใจ

                       "แกไม่น่าทำถึงขนาดนี้" โรหัวเราะหึๆ เบาๆ ไม่ใส่ใจ ลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา บาดแผลจากรอยเชือกที่ข้อมือมันเด่นชัดจนน่ากลัว เฟรินจัดการมัดยามทั้งสามคนเข้าด้วยกันพร้อมกับลอกคราบตัวเองแล้วหยิบกุญแจห้องขังติดมือออกมาด้วย สุดท้ายคือล็อกให้เสร็จสรรพ

                       "แกเองก็แสดงซะเว่อร์" เฟรินฉีกยิ้มกว้าง

                       "แกเองก็ใช่ย่อย เล่นจี้เวทย์ใส่หายง่วงเลย ผ่าสิ!!" ยกศอกกระทุ้งเข้าที่สีข้างทำเอาโรจุกไปเล็กน้อย

                       "ไปกันดีกว่า เดี๋ยวเกิดไอ้หมอนั่นย้อนกลับมาจะซวย"

    ----------------------------------------------------

                       ก๊อกๆๆ

                       "เชิญ" ประตูใหญ่ห้องทรงหนังสือของกษัตริย์ค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับร่างของชายหนุ่มคนหนั่งก้าวเข้ามา รอยสีหน้าวิตกกังวลฉายขึ้นบนใบหน้า คาโลเงยขึ้นสบตาสีดำก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อย

                       "มีอะไรหรอ โรนัน" เอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องคนสนิทที่หายหน้าไปปฏิบัติหน้าที่ที่ชายแดนคาโนวาลนานหลายเดือน ต้องขอบใจเฟรินที่ยกเลิกข้อบังคับการเนรเทศผู้แพ้ในศึกชิงตำแหน่งคิง ถึงทำให้เขามีผู้ช่วยฝีมือดีค่อยอยู่ข้างๆ

                       "ท่านอำมาตย์บอกว่าฝ่าบาททรงงานหนักจนไม่พักผ่อน จะทรงประชวรได้นะกระหม่อม" น้ำเสียงเป็นห่วงทอชัดให้ได้ยิน คาโลพยักหน้าก่อนจะตีสีหน้านิ่ง

                       "หน้าที่ก็คือหน้าที่"

                       "แล้วฝ่าบาทไม่คิดจะให้ราชินีเฟลิโอน่ากลับมาคาโนวาลหรือกระหม่อม" มือที่กำลังลากปากกาชะงักลง ตาสีฟ้าดุเงยขึ้นสบ โรนันโค้งตัวลงเล็กน้อย

                       "พระอาญามิพ้นเกล้ากระหม่อม เพียงแต่หากราชินีอยู่ข้างกายฝ่าบาทอาจจะทำให้พระองค์มีชีวิตชีวาขึ้น" คาโลนิ่งเงียบไป ทำไมถึงจะไม่อยากให้มันกลับมา แต่เพราะตนเป็นคนเอ่ยปากบอกให้ไป จึงทักท้วงให้กลับมาไม่ได้ ที่สำคัญมันเป็นเรื่องของความปลอดภัย

                       "ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญ ฉันอยากพักผ่อน" คำพูดตัดบทสนทนาทำให้คนฟังอึกอักไป ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยคำถามที่คนอย่างคาโลไม่ต้องการฟังมากที่สุด

                       "เรื่องของรัชทายาททั้งสอง...กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทอย่าเพิ่งหนักพระทัย" กษัตริย์แห่งคาโนวาลตวัดตาสีฟ้ามองปรามเข้มให้คนถูกมองสะดุ้ง ไอเย็นๆ เริ่มคละคลุ้งไปทั่วห้อง

                       "ฉันรู้ดี ถ้าเรื่องแค่นี้ยังรักษาตัวไม่ได้ก็ถือว่าไม่มีคุณสมบัติจะเป็นกษัตริย์"

                       "ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมทูลลา" โรนันโค้งทำความเคารพอีกครั้งก่อนจะรีบแล่นออกจากห้องทรงงานอย่างรวดเร็ว

    ----------------------------------------------------

                       "ว่าอะไรนะ!!!" มาดกษัตริย์ที่เคยรักษาหายไปหมดเกลี้ยงเมื่อทหารคนหนึ่งเข้ามารายงานความเป็นไปในคุกใต้ดิน กษัตริย์เนเฟลรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุแล้วต้องตะลึงไป เมื่อเห็นสภาพผู้คุมห้องขังทั้งสามคนพร้อมใจกันโดนมัดถูกขังไว้ในห้องที่อดีตเคยมีหญิงสาวอวดดีที่มีฐานันดรเป็นถึงราชินี

                       "รีบตามสองคนนั่นให้เร็วที่สุด พวกมันไม่น่าจะหนีไปได้ไกล!!!" แผดเสียงสั่งดังลั่นคุก หน้าเข้มๆ กระตุกอย่างแค้นเคือง ได้ยินมาว่าราชินีแห่งคาโนวาลเคยเป็นหัวขโมยมาก่อน แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง

                       แล้วตอนนี้เขาก็โดนหัวขโมยเล่นเข้าให้แล้วมั้ยล่ะ!!
     
    ----------------------------------------------------

                       เรามาพักเรื่องของสองคนนั่นไว้ซักพักดีกว่า หันกลับมาดูเนอินที่แบกผ่าปฐพีไว้บนบ่ากำลังวิ่งฝ่าป่าเพื่อที่จะกลับไปช่วยเนอาร์ตามแผนที่วางไว้ในหัว สองขาวิ่งทั่กๆ มาร่วมชั่วโมงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อยิ่งคิดถึงคนเป็นน้องร่วมสายเลือดแล้ว ยิ่งกลับรู้สึกว่าสองขาที่วิ่งอยู่มันได้ชักช้าเหลือเกิน พักใหญ่ต่อมาขาทั้งสองก็หยุดลงนะที่ราบด้านหน้า ที่ๆ เขาหลบหนีออกจากการต่อสู้อย่างหมาขี้แพ้ ตาสีฟ้าปราดมองสภาพรอบๆ เกวียนยังคงอยู่ที่เดิม ร่องรอยการต่อสู้ยังไม่เลือนหาย สองขาก้าวเข้าไปหากำแพงดินที่กักขังร่างน้องชายเขาช้าๆ กำแพงด้านหนึ่งหายไป ปรากฏสีแดงคล้ำดวงใหญ่เปื้อนเป็นบริเวณกว้างบอกถึงความเป็นไปหลังจากที่เขาหันหลังวิ่ง ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าตอนนั้นเขายังยืนยันที่จะอยู่

                       ถ้าตอนนั้นเขายังยืนยันที่จะอยู่ข้างมัน!!

                       เล็บจิกเข้าฝ่ามือลึกจนของเหลวสีแดงสดไหลตามร่องมือหยดลงตำแหน่งรอยเปื้อนสีคล้ำนั้น ราวกับเป็นการชดใช้ส่วนหนึ่ง มือเล็กยกขึ้นปากน้ำตาออกลวกๆ น้ำตา...คือสิ่งต้องห้ามสำหรับกษัตริย์และชายอกสามศอก กรณีเดียวที่สามารถหลั่งน้ำตาได้คือสูญเสียสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือคำพูดของผู้เป็นพ่อได้สอนไว้ แม้ว่าตอนนั้นท่านแม่จะเถียงคอเป็นเอ็นแต่เขาก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น หากไม่ใช่ว่าเนอาร์ไม่สำคัญ แต่เพราะยังมีสิ่งสำคัญที่เขาต้องปกป้องเหลืออยู่ ใจนึกถึงผู้เป็นแม่ ตาสีฟ้ากวาดหาร่องรอยช้าๆ ก่อนจะเริ่มออกวิ่งไปทิศทางตรงข้ามกับขามา

                       อย่างน้อยต้องหาท่านแม่กับท่านน้าโรให้พบก่อน...


    ****************************TBC.....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×