ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Distance : การเดินทางที่ยาวไกล

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 12 : ความหลัง(2) - "แล้วขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ทำไม"

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.พ. 49


                       "อาการเป็นยังไงบ้าง" โรเอ่ยถามคนที่เดินออกมาจากห้องพยาบาลท่ามกลางความเป็นห่วงของเพื่อนที่ยืนออกันอยู่นอกห้อง คิลส่ายหน้าน้อยๆ หนักใจ

                       "ยังเหมือนเดิม ไม่ยอมกินอะไรเลย บอกแต่อยากอยู่คนเดียว" นับแต่วันที่พวกเขายุให้มันไปง้อ ยัยตัวแสบประจำป้อมตอนนี้เปลี่ยนสถานภาพเป็นยัยอึมครึมแทน คิลที่ไปเจอคนแรกแทบช็อค เมคอัพเลือนหายไปหมด เหลือแต่หน้าซีดๆ ขาดน้ำเพราะร้องไห้หนัก ตาสีน้ำตาลที่เคยมีแววขี้เล่นอารมณ์ดีก็กลายเป็นเพียงแววตาที่ไม่มีสิ่งใดสะท้อนออกมา เขาจึงพามันมาที่ห้องพยาบาลแทน

                       "งั้นไปรวมกันที่ห้องนั่งเล่นก่อน มายืนกันตรงนี้ขวางทางเข้าออกเขา" มาทิลด้าเรียกสติแล้วเดินนำออกไป ทันทีที่ถึงห้องนั่งเล่น ความเครียดก็เริ่มระอุขึ้น เรนอนจัดการล็อคห้องเพื่อไม่ให้ใครบางคน(ที่ไม่ควร)เข้ามาแล้วเดินมานั่งฟังประชุม โดยไม่ลืมที่จะลงเวทย์ซ้ำอีกที ส่งผลให้รุ่นน้องทั้งหมด 6 ปี ระเห็จออกไปหาที่อื่นนั่งพักผ่อนแทน

                       "ไม่คิดว่าคาโลมันจะใจแข็ง" ครี๊ดเริ่มเรื่องเบาๆ ถามกลางบรรยากาศขมุกขมัวไม่สมกับที่เคยได้ชื่อว่า 'พวกทโมนป้อมอัศวิน'

                       "ที่น่าตกใจกว่านั้นคือคุณเฟรินนะครับ ไม่รู้ว่าคุณคาโลไปพูดอะไรเข้าถึงได้ช็อคไปขนาดนั้น" ซีบิลเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง ก็ไอ้คนที่ยิ้มแย้ม หัวเราะตลอดเวลาไม่เคยเครียดกลับต้องมานั่งซึม ข้าวปลาสามมื้อที่ไม่เคยขาดไม่ว่าจะมีเรื่องคอขาดบาดตายแค่ไหนกลับไม่แตะแม้แต่นิดเดียว ก่อนหน้านั้นเคยบังคับให้กินแต่ก็อ้วกออกมาหมด

                       "นั่นสิ คาโลมันพูดว่าอะไร" แล้วการโต้วาทีด้วยหัวข้อ 'คาโลพูดอะไรกับเฟริน' ก็เริ่มขึ้น ขณะที่ทั้งหมดกำลังโต้เถียง มีเพียงสองหนุ่มที่หันหน้าเข้าหากันปรึกษาเงียบๆ

                       "แล้วคาโลอยู่ไหนคิล" โรทักเรียบๆ ไม่ได้นั่งจิบน้ำชาอย่างเคย รอยยิ้มที่เคยระบายดูจะยิ้มไม่ออกขึ้นมาซะเฉยๆ

                       "อย่าพูดถึงมันนะ!" ตาสีม่วงประกายวาบน่ากลัวอย่างที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก จนคนฟังต้องเลิกคิ้วสูง เรื่องที่โกระก็พอจะเข้าใจแต่...มันมากเกินไป

                       "แกไปหามันมาแล้วหรอ" คิลเหลือบมองคนถามเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

                       "แล้วไม่คิดจะอธิบายให้พวกเพื่อนๆ ที่กำลังอยากรู้ฟังบ้างหรอ" ว่าพลางก็ผายมือไปข้างหลังที่มาออกันเต็มไปหมด

                       "ใช่คิล ไอ้คาโลมันพูดว่ายังไง รีบเล่ามาด่วนเลย"


                       ย้อนกลับไปอีกครั้ง เมื่ออาทิตย์ก่อน หลังจากที่คิลจัดการพาเฟรินไปพักผ่อนที่ห้องพยาบาลเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินจ้ำกลับมาที่ห้องเพื่อหาตัวเพื่อนซี้ที่เป็นหัวข้อปัญหาใหญ่ตอนนี้ ประตูห้องเปิดผางออกพร้อมกับร่างสูงที่ยืนอยู่กลางห้องหันมามองเงียบๆ

                       "แกไปพูดอะไรกับเฟริน" คำถามเรียบๆ ก็ได้รับคำตอบเรียบๆ จากเจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาลเช่นกัน

                       "ไม่ได้พูดอะไร" คอเสื้อคนสูงกว่าถูกกระชากอย่างแรง ตาสีม่วงสบตาสีฟ้าอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยโทสะ ไม่ได้พูดบ้าอะไรล่ะ!!!

                       "ตอบมาคาโล แกไปพูดอะไรกับเฟริน" มือที่ขยุ้มปกเสื้ออยู่ถูกแกะด้วยมือใหญ่ของคนที่สูงกว่า สีหน้าเย็นชาอย่างที่เคยเห็นเมื่อสมัยที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ

                       "ฉันจะพูดอะไรมันก็เรื่องของฉัน เรื่องนี้มันเรื่องของฉันกับเฟริน ไม่ใช่นาย...คิล ฟีลมัส" สรรพนามเต็มยศที่ไม่ได้ยินมานานยิ่งทำให้ความโกรธแล่นริ้วๆ ขึ้นมาใหม่

                       "มันคงไม่ใช่เรื่องของฉัน...คาโล ถ้าไม่เพราะฉันเป็นเพื่อนของมัน ถ้าแกคิดว่าที่แกทำมันถูกก็เชิญทำต่อไป เรื่องของแกฉันไม่ยุ่ง แต่ถ้าเรื่องของเฟรินที่เป็นเพื่อนฉัน ไม่ยุ่งก็คงไม่ได้ ที่อยากบอกก็แค่นี้" แล้วคนพูดก็เดินปึงปังออกไป พร้อมกับเสียงก๊องแก๊งของชุดอัศวินที่ประดับไว้ตามทางดังมาเป็นแบ็คกราวน์ คาโลถอนหายใจเบาๆ สัมผัสเปียกชื้นที่พื้นยังคงแจ่มชัดบนนิ้วยาว


                       "สรุปคือมันไม่ได้พูดอะไร" ครี๊ดบ่นจิ๊จ๊ะผิดหวังเหมือนกับบรรดาเอดินเบิร์กมุง

                       "อย่างนี้ก็แย่นะคะ เพราะเราไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง" เรนอนเอ่ยอย่างเซ็งจัด อารมณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

                       "จะว่าไม่รู้ก็ไม่ถูก เพราะเมื่อสามวันก่อน ฉันเพิ่งไปคุยกับคาโลมา" กลุ่มที่เตรียมสลายโต๋ไปคุยต่างหากตอนนี้เฮโลกันเข้ามามุงเช่นเดิมจากคำพูดของโร เซวาเรส

                       "แล้วแกเพิ่งจะมาพูด เอ้า! รีบๆ เล่ามา" ครี๊ดบ่นดังๆ


                       ย้อนกลับไปอีกครั้งและอีกครั้ง เมื่อสามวันก่อน เป็นปกติที่ห้องสมุดเคลื่อนที่จำเป็นต้องหาข้อมูลภายในห้องสมุดใหญ่ของโรงเรียนเพื่อไม่ให้เสียชื่อ (จริงๆ แล้วแค่โรชอบอ่านหนังสือแค่นั้น) ระหว่างที่ตาสีเขียวกำลังกวาดหาหนังสือเล่มใหม่ที่แปะประกาศไว้ด้านหน้า ก็เหลือเห็นร่างสูงหัวเงินคุ้นตาไม่ห่างออกไปนัก โต๊ะรอบๆ รัศมี 5 เมตรเต็มเอี๊ยดแบบมีเก้าอี้เสริมจนล้นด้วยฝีมือของหญิงสาวจากปราการปราชญ์ ปราสาทขุนนางและแผ่นดินประชาชน มิน่าล่ะ...บรรณารักษ์ถึงได้หน้าบูดนักวันนี้

                       "ขอคุยอะไรหน่อยได้มั้ย" คาโลเงยหน้าสบตาสีเขียวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย

                       "ที่นี่ห้องสมุดมีไว้อ่านหนังสือ ไม่ใช่มาคุย" โรยิ้มพยักหน้ารับช้าๆ ไม่ใส่ใจกับคำพูดแดกดัน

                       "มันคงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เพราะหาตัวนายยาก และตอนนี้ฉันเองก็เห็นว่าห้องสมุด...น่าจะกลายเป็นฮาเล็มซะมากกว่า" คำเปรยเบาๆ เรียกให้คนฟังต้องเงยหน้าขึ้นมามองอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ แล้วก้มลงอ่านหนังสือต่ออย่างรู้ว่าเขาจะพูดอะไร

                       "นายไปพูดอะไรกับเฟริน" เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังมาให้ได้ยินแต่คำตอบก็ยังคงเป็นความเงียบ

                       "ฉันเองก็ไม่อยากจะยุ่งนัก ถ้าไม่เพราะไอ้ตัวแสบของนายตอนนี้นิ่งเป็นตุ๊กตาตาโตอยู่ในห้องพยาบาล ข้าวปลาก็ไม่แตะ เดือดร้อนให้คิลมันต้องส่งใบลาให้" ตาสีเขียวจ้องเขม็งอย่างจับผิดซ่อนภายใต้ประกายขำขันที่ทอออกมา แวบเดียวมือที่กำลังพลิกกระดาษชะงักไปแล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่มันก็ไม่พ้นสายตาของโรไปได้  คาโลเงยหน้าขึ้นตอบชัดๆ

                       "อย่างเฟรินเป็นได้แค่เกลือ และคนอย่างฉันก็สามารถหาเพชรมาประดับแทนก้อนเกลือได้" คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้นอย่างแปลกใจ แล้วหลุดขำออกมาเล็กน้อย

                       "ก็จริงนะ...แต่พอจะบอกได้รึยังว่า เผื่อว่าฉันจะเอาไปแก้ไขอะไรให้มันดีขึ้นมาบ้าง ครี๊ดมันบ่นอยู่ว่าปีเรามันเงียบเหงายังไงชอบกล"

                       ปึง!

                       มือใหญ่ปิดหนังสืออย่างแรงจนบรรดาสาวๆ ที่นั่งเหม่อจ้องหน้าขาวสะดุ้งเฮือก ก้มหน้างุดอ่านหนังสือกลับหัวบ้าง อ่านหน้าปกบ้างอย่างน่าขำ ยกเว้นแต่ในกรณีแบบนี้ ขอทานที่ริอาจคาดคั้นเจ้าชายยังคงจ้องนิ่ง คาโลยืนถือหนังสือทิ้งเพียงแต่ประโยคคำตอบเอาไว้

                       "คาโนวาลมีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่เหมาะสมกว่ามาเป็นราชินีได้"


                       ทันทีที่เล่าจบความเงียบก็เข้ามาปกคลุมห้องนั่งเล่นช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ แทนที่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย หนึ่งคืออึ้งไม่คิดว่าคาโลจะพูดแบบนั้น สองคือโกรธแทนเฟริน สามคือ...ขำ ( -*- )

                       "อย่างนี้ไม่น่าจะให้อภัย ต้องจับตัวไปขอโทษเฟริน" แองจี้กำไม้เท้าประจำตัวไว้แน่น ไม่รู้เป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิงด้วยกันหรือไม่ถึงทำให้โกรธได้มากขนาดนี้ และ...เรนอนกับมาทิลด้าก็เป็นไปด้วย ขณะที่คิลเริ่มขำกิ๊กกั๊กขึ้นมา

                       "โธ่เอ้ย แค่นี้เอง ฉันก็คิดว่ามันจะพูดว่าให้ไอ้เฟรินไปตายแล้วกลับชาติมาเกิดก่อนแล้วค่อยไปสมัครเป็นราชินีคาโนวาล" คำพูดชวนโดนถีบแต่กลับเรียกเสียงหัวเราะให้บรรยากาศคลายลงบ้าง โรยิ้มบางๆ พยักหน้าเห็นด้วย

                       "แต่ยังไงผมก็ว่าไม่ควรจะพูดไปแบบนั้น แค่บอกให้คุณเฟรินทำตัวสมเป็นผู้หญิงดีๆ ก็ได้นี่นา" ซีบิลท้วงขึ้นมาบ้าง วางตัวเป็นกลางเช่นเดียวกันกับกัสและอีกหลายๆ คน

                       "แล้วถ้าบอกมันไปอย่างนั้น มันจะทำมั้ยล่ะ" ครี๊ดย้อนเข้าให้ทำเอาอึ้ง เออ...จะว่าไปคาโลก็พูดมันมาตลอด 4 ปีหลังนี่หว่า แล้วก็พากันถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

                       "แล้วจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย คาโลที่ไม่คิดจะให้อภัยกับเฟรินที่เอาแต่นิ่งแบบนั้น" มาทิลด้าเปรยเบาๆ แล้ววันต่อมาเมื่ออาจารย์ชามัลกลับมาก็มีคำสั่งเรียกตัวเฟรินเข้าพบด่วนที่ห้องพักครู ลำบากให้คิลต้องขอช่วยโรไปบอกคนที่ยังคงนั่งบื้ออยู่ในห้องพยาบาลเป็นวันที่ 8

                       ก๊อกๆๆ

                       "เข้ามาสิ" เสียงคุ้นหูอนุญาตดังออกมาจากห้องให้เฟรินที่จัดการตัวเองใหม่เรียบร้อยแล้วเปิดประตูเข้าไป ห้องพักขนาดเล็กที่มีโต๊ะทำงานอยู่ตรงกลาง ด้านหลังคือชั้นหนังสือที่สมชื่อเพราะมันถูกอัดแน่นด้วยบรรดาตำราต่างๆ รอบๆ ห้องก้เต็มไปด้วยแผนที่ แผนผัง สารพัดอย่างที่เกี่ยวกับสังคม ประวัติศาสตร์และประชากรศาสตร์ หลังโต๊ะทำงานนั้นคือร่างสูงผอมของผู้ที่เรียกเธอมาพบ มือใหญ่ผายลงที่เก้าอี้ตรงหน้า

                       "นั่งก่อนสิเฟลิโอน่า ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย" เฟรินพยักหน้ารับนั่งแต่โดยดี ชามัลมองหน้าซีดๆ นั้นนิ่งอย่างพินิจ ก่อนจะเริ่มเรื่องทันที

                       "คาโลเขียนจดหมายมาหาฉันว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับเขา เป็นเรื่องจริงหรอ"

                       คาโลเขียน...อย่างนั้นหรอ

                       สมองคิดตามช้าๆ ก่อนจะพยักหน้าเนิบๆ ตาคมจ้องนิ่ง อาการผิดปกติอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นจากคนๆ นี้ทำให้เขาแปลกใจ

                       "ที่ฉันจะถามจริงๆ คือ... เธอแน่ใจมั้ยสำหรับเรื่องนี้" อาการพยักหน้าเนิบๆ แสดงออกมาอีกครั้ง ตาสีน้ำตาลยังคงเหม่อลอย ชามัลถอนหายใจเฮือก

                       "ไม่คิดว่าเราจะยอมง่ายขนาดนี้เฟลิโอน่า อุตส่าห์ฝ่าฟันช่วงที่หนักที่สุดมาได้แล้วแต่กลับมายอมแพ้เพราะประโยคเดียว" เฟรินเบือนสายตามาสบช้าๆ คิ้วเรียวเริ่มขมวดมุ่น

                       "อาจารย์หมายความว่ายังไงฮะ" คนถูกถามหัวเราะหึๆ

                       "ก็อย่างที่พูด เธอทำให้คิงบาโรยอมรับได้แล้ว แต่ก็มาถอนตัวเอาเพราะประโยคเดียวของคาโล ไม่รู้จะว่าเป็นเพราะบาโรใจอ่อนเกินไปหรือคาโลใจแข็ง หรือว่า...เธอยอมถอดใจกันแน่" คราวนี้ตาสีน้ำตาลเริ่มมีประกายโกรธขึ้นมาบ้าง

                       "ทำไมผมต้องไปถอดใจกับเรื่องแค่นี้ด้วย" ถามน้ำเสียงห้วนๆ อาการเก่าๆ เริ่มกลับมาเมื่อเข้าตัวลุกขึ้นยืน

                       "หรือไม่จริง ฉันถามโรมาแล้ว นอนห้องพยาบาลตั้งอาทิตย์นึงแบบนี้ไม่เรียกถอดใจจะเรียกว่าอะไร" หน้าซีดๆ เริ่มมีเลือดฝาดด้วยความโกรธ

                       "ผมก็แค่...ไปนอนเล่น ก็ที่ห้องพยาบาลมันเงียบแถมไม่ต้องไปทะเลาะกับคิลมันด้วย หมดเรื่องแล้วใช่มั้ยฮะ" เฟรินตอบห้วนๆ ลืมสนิทว่าคนตรงหน้าน่ะอาจารย์แถมควบตำแหน่งคิงบารามอสกับท่านอาอีกตำแหน่งนึง

                       "หมดแล้ว ตกลงว่า ให้ยกเลิก...."

                       "ไม่ต้องฮะ ผมจะแสดงให้ดูว่าผมเองก็สามารถเทียบเท่าคิงได้" อาการโกรธน่ามืดตามัวของอีกฝ่ายเรียกให้ชามัลยิ้มพยักหน้าช้าๆ ก่อนที่เสียงประตูจะปิดลงอย่างแรงด้วยแรงโทสะ


                       "เป็นยังไงบ้างเฟริน" โรถามคนที่เดินปึงปังมาทางเขาพลางยิ้ม อาการอย่างนี้ท่าทางจะไปได้ด้วยดี

                       "แกไปบอกอะไรอาจารย์ชามัล" เฟรินถามเครียด คิ้วเรียวๆ ขมวดกันมุ่นเป็นเลขแปด คนถูกถามหัวเราะเบาๆ

                       "ก็บอกไปตามความจริง" หน้าแดงๆ ยิ่งแดงหนัก เพราะโกรธจัด ไอ้บ้าโร!!!! แกไปพูดอย่างนั้นกับอาจารย์ชามัลได้ยังไง! เพราะมันทำให้เขาต้อง....

                       "เฮ้ย!" โรอุทานตกใจเมื่อร่างบางๆ ที่ยืนโกรธหน้าดำหน้าแดงเกิดอาการวูบหายทิ้งตัวลงกับพื้น ดีที่เขารับไว้ได้ทัน ตาสีเขียวจ้องร่างในอ้อมกอดอย่างหน่ายใจ ก็ไม่ได้กินอะไรมาตั้งเป็นอาทิตย์นอกจากน้ำ สมควรที่จะเป็นลมอยู่หรอก แต่แล้วปากก็ต้องขยับยิ้มเมื่อสัมผัสถึงรอยอำมหิตที่แผ่ออกมา

                       "อยากเป็นฝ่ายอุ้มแทนขนาดนั้นเลยหรอคาโล" เปรยเบาๆ เมื่อร่างสูงเดินย่ำเท้าผ่านเงียบๆ โรส่ายหน้าช้าๆ นี่ก็ปากแข็งแถมขี้งอนเหมือนกัน

    ----------------------------------------------------

                       "แล้วตกลงคราวนี้แกจะทำยังไง" คิลเอ่ยถามเพื่อนของตนที่นั่งซัดข้าวจานที่ 5 ที่ป้าร้านอาหารเพิ่มให้อย่างดีใจ เพราะตั้งแต่เธอป่วยไป ยอดการขายก็ตกลงอย่างฮวบฮาบอย่างหน่ายใจ พอฟื้นตัวเข้าหน่อยก็กินชดเชยเลยนะแก เฟรินตักคำสุดท้ายเข้าปากพร้อมกับกระดกน้ำปิดพิธี

                       "ก็ต้องทำให้ไอ้คาโลมันรู้ว่าฉันน่ะมีค่า ไม่ใช่ให้มันเป็นคนโยนทิ้ง" หมายมั่นปั้นมือสุดฤทธิ์เรียกเสียงถอนหายใจของคนข้างๆ หายดีก็เริ่มบ้าเหมือนเดิม ( -*- )

                       "แล้วแกจะทำยังไง อย่าบอกว่าแกจะไปอ่อยรุ่นน้อง แค่เห็นแกกินเมื่อกี้ก็หายหัวกันไปหมดแล้วไม่เห็นหรอไง" ความจริงที่ไม่ตายดูจะไม่ส่งผลต่อเฟรินแม้แต่นิดเดียว เจ้าตัวดีฉีกยิ้มกว้าง

                       "ทำไมต้องไปง้อรุ่นน้อง รุ่นเดียวกันก็มีถมไป" คิลนิ่งไปก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ

                       "แกอย่าบอกว่า...โร เซวาเรส" เฟรินไม่ตอบได้แต่ยิ้มกว้างกับแผนการณ์ในหัว ยิ่งได้รู้เรื่องราวแจ่มๆ จากปากห้องสมุดเคลื่อนที่นั่นด้วยแล้วยิ่งมั่นใจ ว่าแล้วก็ลากคิลไปหาตัวเหยื่อ(?)ทันที ตามตัวอยู่ไม่นานก็พบว่ามันกำลังจิบน้ำชาสบายใจอยู่ที่ลานตะวัน ท่ามกลางหมู่สาวๆ จากหออื่น ตั้งแต่ขึ้นปี 5 มาดูมันจะมีเสน่ห์แรงเหลือเกิน อ้อ...ต้องนับซีบิลกับกัสเข้าไปด้วย ตาสีเขียวมองสองร่างที่กำลังฝ่าวงเข้ามาพลางยิ้ม

                       "ยังเสน่ห์แรงอยู่นะแก" สาวๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมามองผู้มาใหม่ก่อนจะแยกย้ายกันออกไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจจากขอทานแห่งทริสทอร์ ตาสีเขียวสบตาสีน้ำตาลที่มีประกายสดใสเช่นเดิมแล้วยิ้ม

                       "อาการดีขึ้นแล้วนี่นา" เฟรินโบกมือไปแล้วก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เริ่มเล่าแผนทั้งหมดให้ฟัง

                       "เนี่ย แบบนี้แหละ โอเคมั้ย" คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเงียบๆ

                       "ทำไมถึงต้องเป็นฉันล่ะ" ยัยตัวแสบตกเข่าฉาดอย่างขัดใจ ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ

                       "ก็เพราะเรื่องที่แกเล่าให้ฉันฟังช่วงที่ฉันเป็นลมนั่นไงเล่า แสดงว่าไอ้คาโลมันต้องใจอ่อนอยู่ดี" ว่าแล้วก็หัวเราะลั่น ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนผิดกับเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเป็นปลิดทิ้ง คิลส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างน้อยมันก็เหมาะกับไอ้นิสัยแบบนี้มากกว่าล่ะนะ โรนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจรับทำตามแผน

                       "งั้นเริ่มพรุ่งนี้เลยนะ" เฟรินฉีกยิ้มกว้าง ในหัวเริ่มจินตนาการไปไกล

    ----------------------------------------------------

                       "คาโล...ขอคุยด้วยหน่อย" เสียงเรียกทำให้ร่างสูงต้องหันไปมอง ก่อนจะลุกเดินตามไอ้คนที่ขอคุยที่เดินออกไปก่อนแล้ว ทั้งสองเดินมาหยุดตรงจุดที่เงียบที่สุด ไร้ซึ่งผู้คนผ่านไปมา ทันทีที่เลี้ยวตรงหัวมุมร่างของคิลก็หายวับไป เบื้องหน้าคือคนที่กำลังฉีกยิ้มอย่างรอคอย ตาสีฟ้าเผลอกระตุกวูบดีใจแล้วกลืนหายเข้าไป คาโลหันหลังกลับเตรียมเดินหนีแต่ถูกมือบางๆ คว้าแขนเอาไว้ก่อน

                       "ฉันให้คิลไปตามนายมาเองคาโล" เฟรินรับแต่โดยดี คนถูกรั้งพยายามแกะมือที่เกาะกุมอยู่ออกจากแขนของตน แต่มือนั้นกลับเหนียวแน่นหนึบราวกับตุ๊กแก

                       "เราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้วเฟลิโอน่า" เส้นอารมณ์เริ่มถูกฝานบางเรื่อยๆ แต่เธอก็ยังคงพยายามควบคุมมันได้อย่างดีเยี่ยม ออกแรงกระชากให้อีกฝ่ายหันกลับมามองหน้าเธอตรงๆ

                       "ฟังฉันพูดหน่อยสิ ยังไงซะอีกสามวันเราก็ต้องจบแยกย้ายกันไปแล้ว แค่ตอนนี้...ถ้าหลังจากนี้แกยังคิดเหมือนเดิมฉันก็จะไม่ตื้อแกอีก" ได้ผล...เมื่อคนที่กำลังจะเดินหนียอมสงบลง ตาสีฟ้ามองใบหน้าหวานที่ห่างหายสายตาไปนานเรียบๆ วันนี้เธอมาในชุดธรรมดา ทุกอย่างธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อน เฟรินยิ้มกว้างอย่างดีใจ ไม่ใช่การเสแสร้ง มันคือความจริงใจที่สื่อออกมาจริงๆ

                       "วันก่อน...ฉันพูดไม่ดีกับแกเรื่องนั้นต้องขอโทษด้วย" คาโลยืนฟังเงียบๆ ปล่อยให้คนที่อยากอธิบายชี้แจงไปเรื่อยๆ

                       "แกก็น่าจะรู้นิสัยฉันนะคาโล ว่าไอ้ปากเบามันเป็นหนึ่งในสามวิชาประจำตระกูล อยู่ด้วยกันมา 7 ปีนี่ยังรับไม่ได้อีกหรอ" เฟรินเอ่ยแล้วเดินไปรอบๆ ในหัวกำลังสรรหาคำพูด

                       "ถ้าเธอมีเรื่องจะพูดแค่นี้ ฉันไปล่ะ"

                       "ถ้าฉันจะบอกว่าที่ฉันเคยพูดไว้นั้น ฉันโกหกล่ะคาโล" หมุนตัวเตรียมเดินออกไป หากขาที่กำลังจะก้าวออกเดินชะงักกึก เฟรินรีบต่อไม่ทิ้งให้เสียเวลามากไปกว่านี้ หนึ่งอาทิตย์...มันนานเกินไปแล้ว

                       "ถ้าฉันจะบอกว่า จริงๆ แล้วฉันดีใจแค่ไหนที่พ่อแกยอมรับฉัน แล้วพ่อฉันก็ยอมรับแก แกจะว่ายังไง" คาโลนิ่งไปเล็กน้อย แต่ยังไม่หันกลับไปมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มสวย

                       "นั่นก็เรื่องของท่านพ่อกับจ้าวเอวิเดส ไม่ใช่เรื่องของฉัน" คำตัดบทง่ายๆ ชวนโมโหไม่ได้ทำให้ใจที่กำลังรอลุ้นแผนตัวเองร้อนขึ้นมา เธอโตขึ้นมาอีกเยอะ...หลังจากที่คุยกับอาจารย์ชามัล

                       "แม้ว่าถ้าฉันต้องไปแต่งงานกับโรแทนเนี่ยนะ" เฟรินถามช้าๆ ให้มันค่อยๆ ซึมเข้าหัวไอ้คนขี้งอน ความเงียบโรยตัวลงช้าๆ

                       "ท่านพ่อเอวิเดสเพิ่งจะส่งจดหมายมาวันนี้ ว่าหากแกไม่อยากแต่งงานกับฉัน ท่านพ่อจะให้แต่งกับโรแทน..." เสริมอีกนิดแล้วรอดูปฏิกิริยา แต่ไม่ทันที่จะได้เห็นอะไร บุคคลที่ถูกพาดพิงก็เดินเข้ามาโอบเอวบางๆ ชวนให้อากาศเย็นขึ้นมาผิดปกติ

                       "อ้าวเฟริน มาอยู่ที่นี่เอง มาทิลด้าตามตัวอยู่แน่ะ เรื่องย้ายของน่ะ" คิ้วเข้มๆ ของคนฟังอีกคนขมวดเข้าหากัน ย้ายของ?? หลังจากที่เฟรินฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติเธอก็นอนอยู่ที่ห้องของสามสาวชาลีเดวิลอย่างที่กลัวเอาไว้ยาวเป็นเดือน แต่ดีตรงที่เพราะเธอเพิ่งฟื้นจากอาการช็อค ทั้งสามคนจึงไม่ได้คาดคั้นอะไรมากนัก แต่ไม่ต้องพูดถึงนรกที่เธอต้องเจอระหว่างนั้น ยิ่งช่วงสอบที่เจอการติวโหดนรกจากเรนอนคนสวยเข้าไปอีก แทบหมดแรง แต่ที่สำคัญคืออีกสามวันทุกคนในป้อมอัศวินปี 7 จะแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง หญิงสาวพยักหน้ายิ้มให้ แกะมือที่เกาะเอวตนออกช้าๆ

                       "อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ แกเอาไปคิดดูนะคาโล ยังไงเราก็ต้องเจอกันอีกสามวัน" เฟรินหันกลับมายิ้มแล้ววิ่งออกไป ปล่อยให้ชายหนุ่มสองคนยืนเผชิญหน้ากันเงียบๆ

                       "ถ้ายังไงจะส่งการ์ดไปให้นะ" โรเปรยขึ้นพลางยิ้ม หากคนฟังนั้นกลับขมวดคิ้วเข้าหากัน อารมณ์เดือดเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง

                       "ใครบอกว่าเขาจะแต่งกับนาย" เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น ตาสีเขียวฉลาดสบกับตาสีฟ้าอย่างไม่กลัวตาย

                       "ก็ถูก แต่อย่าลืมว่านายไม่มีสิทธิ์จะมาพูดอย่างนี้นะเจ้าชายคาโล เพราะนายเป็นคนปล่อยเธอไปเอง" คาโลยืนนิ่งเป็นรูปปั้น มันพูดถูก โรมองคนตรงหน้ายิ้มๆ แล้วพูดต่อ

                       "ฉันน่ะ... การได้อยู่ข้างเฟรินคือความสบายใจอย่างหนึ่งในชีวิตนี้..." ในฐานะนายเหนือหัว ต่อเองเสร็จสรรพในใจ

                       "นายจะบอกว่านายรักมัน??" หาเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่แน่ใจ ตาสีฟ้าเริ่มฉายแววระแวงออกมาให้เห็นได้ชัด ความจริงบทที่เฟรินให้มามีแค่ที่พูดไปเมื่อกี้ แต่...ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจ โรถอนหายใจเล็กน้อย

                       "นายเคยบอกว่าคนอย่างเฟรินเป็นได้แค่เกลือ แต่คนที่ยอมทิ้งเกลือเพื่อไปหาเพชรที่มีดีแค่ส่องประกายแต่ใช้ทำอะไรไม่ได้ กับคนที่ยอมทิ้งเพชรเพื่อคว้าเกลือที่มีค่าต่อมนุษย์ คำตอบ......ก็ออกมาแล้ว" พูดทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะตบบ่าหนักๆ แล้วเดินจากไป ทิ้งให้คาโลยืนจมอยู่ในความคิดเพียงคนเดียว

    ----------------------------------------------------

                       "เป็นยังไงบ้าง ได้ผลมั้ย" เจ้าตัวแสบรีบยิงคำถามเมื่อเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสั้นเดินเข้ามา โรไหวไหล่เล็กน้อย

                       "ไม่รู้สิ ฉันก็แค่พูดตามบทที่นายบอก ที่เหลือก็แค่รอเวลา" หน้าหวานๆ งอง้ำลง วานให้ช่วยหน่อยก็ดูท่าจะไปไม่รอดซะแล้ว แล้วถ้า...มันยังยืนกรานคำตอบเดิมล่ะ คิ้วบางเริ่มมุ่นเข้าหากัน แต่เมื่อสบสายตาของเพื่อนอีกสองคนที่มองมาทางตนแล้วก็ต้องรีบฉีกยิ้มกว้าง

                       "ช่างมันเถอะเนอะ ถ้ามันยัง...งอนงี่เง่าอยู่อย่างนั้นก็ถือว่าฉันมันซวยเอง ฮ่าๆๆๆ" เฟรินหัวเราะลั่น แต่คนที่มองนั้น...ไม่ได้รู้สึกขำตามไปด้วยแม้แต่น้อย ผ่านไปวันแรกไร้ซึ่งร่างสูงๆ ที่เธอพยายามชะเง้อคอมองจนเกือบจะนับญาติกับยีราฟได้เร็ววันนี้

                       "พรุ่งนี้ยังมีอีกวัน" เฟรินฉีกยิ้มให้กับเพื่อนรัก แล้วหันไปเอ็นเตอร์เทรนเพื่อนฝูงในกลุ่มต่อ

                       ...วันต่อมา........................ร่วงมาจนเย็น

                       "พรุ่งนี้เราก็จะจบกันแล้วเนอะ แล้วแต่ละคนมีแผนกันรึยัง" เจ้าพ่อหัวข้อเปรยขึ้นเบาๆ ในระหว่างที่ทั้งหมดกำลังนั่งเล่นอยู่ภายในห้อง เรียกให้ความสนใจทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่จุดเดียว

                       "ว่าแต่คนอื่น แล้วแกล่ะมีรึยัง" เจ้าชายอาชูร่าที่เงียบๆ (จริงๆ แล้วหาบทไม่ได้ -*- ) เอ่ยทักพลางยิ้ม

                       "ก็คงกลับบ้านก่อนมั้ง แล้วค่อยว่ากัน ชีวิตนี้มีตัวเลือกเยอะ" ทั้งวงพากันหัวเราะครืน และแล้วการวางแผนอนาคตก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความสนุกสนานแต่มันไม่ได้เข้าหัวไอ้คนที่นั่งจ้องประตูมาตั้งแต่เมื่อเย็นเลย

                       "ฉันคงกลับบ้านรับงานต่อจากพ่อล่ะมั้ง" คิลเอ่ยพลางยิ้มบางๆ สายตาเผลอไปสบกับตาสีดำของเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลที่จ้องมองมาทางตนแล้วต้องรีบหันหนี ยกนิ้วขึ้นมาเกาแก้มเบาๆ ด้วยความอายไม่ผิดกับคนที่ถูกสบตาด้วย

                       "แล้วเฟรินล่ะ" นิกส์หันไปถามสาวเจ้าที่ยังคงนั่งมองประตูเรียกให้สติคืนมา หันมามองเลิ่กลั่กก่อนจะฉีกยิ้มอย่างที่ชอบทำแล้วตอบ

                       "ฉันคงกลับเดมอสน่ะ คิดถึงท่านพ่อเอวิเดส"

                       "แล้วเรื่องของแกกับคาโลล่ะ" ครี๊ดโพล่งถามขึ้นทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะขาดห้วงไปทันที เฟรินเกาหัวเบาๆ แล้วยิ้ม

                       "ช่างมันเหอะ ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ" ว่าแล้วก็ลุกไปทันที โดยมีสายตาเป็นห่วงนับสิบคู่ตามหลังไป

                       โป๊ก!! (โป๊กๆๆๆ --- กรุณาคิดว่าเป็นเสียงเอฟเฟกต์แบบโดนหลายๆ ที)

                       บรรดามะเหงกขนาดเล็กใหญ่ต่างพร้อมใจกันประเคนลงบนหัวคนปากพล่อยประจำป้อมอีกคนอย่างหมั่นไส้

                       "โอ๊ย!! มาเขกอะไรเล่าก็แค่อยากรู้" ครี๊ดกุมหัวตัวเองป้อยๆ แต่ละคนมือเบาซะที่ไหนล่ะ

                       "ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรถามค่ะ" เรนอนมองดุๆ ขณะที่แองเจลีน่าพยักหน้าเห็นด้วย

                       "แล้วมันจะเป็นยังไงล่ะเนี่ย" ซีบิลพึมพำเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง แล้วประตูห้องนั่งเล่นก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ก้าวเข้ามา

                       "...มองอะไร" คาโลถามหงุดหงิดเมื่อเห็นสายตาคำถามส่งมาทางตน คิลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายถามข้อข้องใจ

                       "แกไปไหนมาน่ะคาโล" ตาสีฟ้ามองเพื่อนที่อารมณ์ดีตลอดเล็กน้อย

                       "ประชุม" สั้นๆ ได้ใจความ นี่สิ...คาโลตัวจริง!

                       "น่าสงสารเฟรินมันเนอะ ป่านนี้น้อยใจหนีไปอยู่หลุมไหนแล้วก็ไม่รู้" เสียงงึมงำๆ เห็นด้วยดังขึ้นรอบๆ ยิ่งทำให้คิ้วเข้มนั้นขมวดหนักเข้าไปใหญ่ ขอทานที่นั่งเงียบมานานลุกขึ้นมากระซิบเฉลยปุจฉาที่ทำให้เขาต้องเดินออกจากห้องไปทันที

                       "คงคิดว่านายทิ้งมันไปชัวร์"

    ----------------------------------------------------

                       หลังป้อมอัศวินอันเป็นที่โล่งเล็กน้อย ที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่คือต้นไม้ใหญ่อายุร่วมสิบปีที่ยืนท้าลมท้าฝนมานาน บนกิ่งไม้ปรากฏร่างบางๆ ของคนที่แอบหลบฉากมานั่งเงียบๆ คนเดียว สองแขนรองเรือนผมสีน้ำตาลถูกมัดรวบไว้ลวกๆ เอามากองไว้ด้านหน้า ตาสีน้ำตาลเหม่อขึ้นไปบนฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวด้วยเพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด อย่าถามว่าเธอขึ้นมาบนต้นไม้ได้ยังไง สายตาขอขโมยย่อมชินกับแสงเพียงน้อยนิดเช่นนี้อยู่แล้ว สมองเล็กๆ ของหล่อนกำลังคิดวนเวียนถึงอดีตที่กำลังจะเลือนหายไปตามกาลเวลา

                       'คาโล วาเนบลี เดอะ ปริ๊นส์ ออฟ คาโนวาล'

                       'ขโมยก็คือขโมย ย่อมกลายเป็นพระราชาไปไม่ได้'

                       คำประนามจากคนที่เธอไม่รู้เลยว่าจะมีส่วนเติมเต็มในชีวิตหัวขโมยอย่างเธอได้มากมายขนาดนี้ ความทรงจำยังคงแจ่มชัด ท่าทางอวดดี ถือศักดิ์เป็นใหญ่แบบนั้น จะลืมกันได้ยังไง ริมฝีปากกระตุกยิ้มขึ้น นั่นสิ...อวดดี ถือศักดิ์ในแบบที่ตรงข้ามกับเธอแบบคนละฟากโลกแบบนั้น....แต่ก็ยังมาเจอกัน

                       'ฉันจะไม่เอาเรื่องไปแจ้งกับเลโมธี แต่นายจะต้องอยู่ต่อ'

                       'เก็บรักษาความบริสุทธิ์ของนายไว้ให้เจ้าลาบาดอร์ เดอะเกรทที่สี่ของฉันก็พอ'

                       คิดถึงตรงนี้แล้วอดขำไม่ได้ ไอ้บ้า!...คิดจะเอาฉันไปเป็นเมียหมา ออกจะสวยขนาดนี้แท้ๆ.....ใช่ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้แกรักฉันเลย...คาโล

                       'ถ้าอยากตายนักเอาดาบผ่าปฐพีแทงตัวเองทีเดียวพอ อย่าลากคนอื่นไปตายด้วย'

                       แต่พอทำอย่างนั้นขึ้นมาจริงๆ มันก็ดันรีดวิญญาณออกมาลากวิญญาณเธอกลับ หึๆๆ เสียงหัวเราะเบาๆ คงจะทำให้คนที่ได้ฟังหัวเราะตาม หากไม่เพราะมันเจือด้วยความเศร้าสร้อย

                       'ไม่ต้องห่วงไป คาโนวาลไม่เคยปล่อยให้ใครหนีหนี้พ้น'

                       'แล้วถ้าเป็นคู่หมั้นจะให้สู้แทนได้ไหม'

                       ตอนนั้นเพราะจำเป็นมันเลยพูด แต่ตอนนี้...คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโกหกอีกแล้ว รอยยิ้มยังคงระบายอยู่บนใบหน้าหวาน มือบางๆ เอื้อมไปเด็ดใบไม้มาหมุนเล่นแตะมันเข้ากับริมฝีปากของตนเบาๆ

                       'นายจะนอนในเกวียน หรือจะลงไปนอนข้างล่าง'

                       เสียงหัวเราะกึกๆ กลั้นกั๊กเอาไว้เต็มที่เมื่อคิดถึงใบหน้ายามนั้นของเจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาลที่เธอลากเข้ามาเอี่ยวโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แถมวิเวียนก็เชื่อจริงๆ ซะด้วยสิ

                       'ฉันจะทำให้นายเป็นหนี้ฉันจนมีแต่ฉันที่จะเอาชีวิตนายได้'

                       'งั้นถ้าฉันคิดจะจับนายเหมือนที่แองเจลีน่าจะจับนาย นายก็จะใช้วิธีเดียวกันนั่นจัดการกับฉันด้วยงั้นสิ'

                       หึๆๆ ไอ้บ้าเอ้ย!...พูดซะเลี่ยนเชียวตอนนั้นน่ะ แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงหัวใจตอนนั้นเต้นแรงมากแค่ไหน ยิ่งพาลนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นถัดไปอีก ดวงหน้าขาวๆ ค่อยแดงเรื่อๆ เฟรินสะบัดหน้าไปมาเพื่อเอาความคิดนั้นออกไป

                       'มีแต่ฉันเท่านั้นที่จะเป็นคนฆ่านายได้ เฟริน เดอเบอโรว์'

                       .................................................

                       ......................................................................

                       ...............................................................................................

                       ..............................................................................................................................

                       'รักมากที่สุด'

                       ...........................................................................................................................................................

                       'ถือว่าล้างหนี้ที่ฉันไปคลุมถุงชนนายตอนอยู่ที่เมืองยักษ์'

                       หยาดน้ำใสไหลผ่านแก้มร่วงเผาะอย่างห้ามไม่อยู่ 7 ปี... เวลา 7 ปีที่ยาวนานแต่ไม่ทำให้มันรู้เลยว่าเธอรู้สึกยังไงกับมัน เพียงเพราะอาการปากหมาของเขากำเริบแค่นั้นเอง มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาออกลวกๆ บางทีถ้าเขาไม่เจอกับมัน ถ้าพ่อมาดัสไม่คิดไอ้แผนบ้าๆ นั่น ป่านนี้เธอก็คงยังใช้ชีวิตหัวขโมยอย่างสบายใจที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง และรู้จักคาโลเพียงเพราะข่าวที่มันขึ้นครองราชย์พร้อมกับราชินีแห่งคาโนวาล

                       แปล๊บ!

                       "..เฟริน" เสียงเรียกทัก ทำเอาคนที่นั่งปาดน้ำตาสะดุ้งเฮือก และเพราะอาการสะดุ้งโอเว่อร์นั่นเอง รู้ทั้งรู้ว่าไอ้กิ่งที่ตัวเองเอกเขนกอยู่น่ะมันใหญ่แค่พอนอนเล่น แต่ไม่พอที่จะนอนกลิ้ง ร่างบางๆ ของเธอก็หล่นซวบลงมาทันที

                       เอาอีกแล้ว!!!

                       คิดแล้วหลับตาปี๋ ยอมรับชะตากรรมตกจากที่สูงที่เริ่มเคยชิน และสิ่งที่ได้สัมผัสต่อมาคือ เบาะนิ่มๆ ที่ชื่อว่า คาโล วาเน-บลี ตาสีน้ำตาลค่อยๆ กระพริบลืมขึ้นมองใบหน้าขาวที่เย็นชาตรงหน้า

                       "ไปทำอะไรบนต้นไม้" ตาสีฟ้าส่งสายตาดุมาให้อย่างที่เคยทำ ไม่ใช่สายตาที่เย็นชามาตลอดสามสี่เดือนนี่ ไม่ใช่ท่าทีที่ห่างเหินเหมือนอยู่กันคนละฟาก ความจริงที่เห็นแทบจะทำให้เธอลุกขึ้นตะโกนออกมาแล้วเต้นเป็นจังหวะแทงโก้ซะจริงๆ

                       "แล้วแกมาทำอะไรที่นี่ ถ้าแกไม่ทักฉันก็ไม่ตกหรอกโว้ย" อาการกวนประสาทเช่นเดิมเริ่มหวนกลับมาอย่างลืมไปเลยว่าเมื่อกี้กำลังอยู่ในบทเศร้าแท้ๆ

                       "หรือนายไม่อยากได้คำตอบที่ถามไว้เมื่อวันก่อน" คราวนี้คนฟังถึงกับชะงัก เพราะอาการดีใจเมื่อครู่ทำให้เธอลืมไปเสียสนิท แต่เห็นอย่างนี้คำตอบมันก็แบไต๋ออกมาให้ดูกันเห็นๆ อยู่แล้วนี่ และเมื่อสติเริ่มกลับมา ยัยตัวแสบก็เริ่มสำนึกตัวเองได้ว่าอยู่ในท่าไหน ร่างบางเริ่มดิ้นขลุกขลักส่งผลให้คนตัวโตกว่าต้องกระชับอ้อมแขนเข้าหาตัวเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดดิ้น เมื่อเห็นว่าไม่มีทางที่จะหลุดไปได้แน่ๆ เจ้าหล่อนก็เริ่มสงบลง

                       "ขอโทษที่เพิ่งมาบอกเอาตอนนี้" คำขอโทษฟังอบอุ่นแล่นวาบเข้าหัวใจทำเอาเธอยิ้มกว้างพยักหน้าว่าง่ายๆ แต่...

                       "ไว้แกปล่อยฉันก่อนไม่ได้หรอคาโล อยู่ท่านี้แกคงเมื่อย ตัวฉันคงหนักน่าดู" เฉออกไปนอกเรื่อง พยายามหาทางหนีสุดฤทธิ์ แต่สิ่งที่เป็นคำตอบกลับเป็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ที่ยากจะเห็นได้ง่ายๆ ของเจ้าชายน้ำแข็ง ใบหน้าที่พาให้ใจแทบกระโดดออกมาเต้นเป็นจังหวะร็อคแอนด์โรล์ด้านนอก ใกล้ขนาดนี้มันต้องได้ยินแน่ๆ เลย คิดแล้วหน้าขาวก็ซับสีขึ้นมาทันที ดีแค่ไหนที่มันมองไม่ค่อยเห็นเพราะมืด

                       "อยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว จะได้ยินชัดๆ" แล้วอ้อมแขนแกร่งก็โอบร่างคนตรงหน้าเข้ากับตัว กอดด้วยความรู้สึกทั้งหมด จะรู้มั้ยนะ.... ความมืดโรยตัวลงช้าๆ เฟรินที่รอให้อีกฝ่ายพูดเริ่มหงุดหงิด ทำไมมันเงียบอยู่ได้วะ อยากพูดอะไรก็พูดมาเลยเด้~ แต่ดูเหมือนเธอจะลืมอะไรไปบางอย่าง และบางอย่างที่ว่าคือ คนๆ นี้ง้อผู้หญิงไม่เป็น! แต่ไม่นานนักสมองอันปราดเปรื่อง(โดยไม่ใช่เรื่อง) ก็นึกออก ร่างเล็กสั่นกึกๆ อย่างพยายามกลั้นหัวเราะ คาโลดึงอีกฝ่ายออกมามองแล้วหน้าแดงนิดๆ เมื่อเห็นว่าตอนนี้เธอกำลังขำแค่ไหน

                       "ฮ่าๆๆ แกนี่ง้อผู้หญิงไม่เป็นจริงๆ ด้วยคาโล" ว่าแล้วก็หัวเราะก๊ากใหญ่ ประกายตาที่อ่อนโยนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นแววตาดุอย่างที่ทำเป็นนิสัย

                       "ขำมากนักหรอไง" ถามห้วนๆ แต่หน้ายังคงแดงระเรื่อด้วยความอายเพราะไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้กับใครมาก่อน เฟรินพยักหน้าหงึกหงักๆ ยกมือปาดน้ำตาออกเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามอง

                       "เอ้า...อย่างอนสิ แกมาง้อฉันไม่ใช่หรอไง มีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา ไม่งั้นฉันชิ่งหนีไปแต่งกับโรจริงๆ ด้วย" คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่าไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวดีเอ่ยพาดพิงไปหาอีกคนหนึ่ง

                       "อย่าลืมว่านายเป็นหนี้ฉันอยู่เฟริน" คิ้วบางๆ เลิกสูงแล้วหัวเราะคิกคัก เอ่ยเตือนสติ

                       "แต่แกบอกล้างหนี้ไปแล้ว หรือจะบอกว่าเจ้าชายพูดแล้วสามารถคืนคำเช่นสามัญชน" หากริมฝีปากเจ้าชายกลับกระตุกยิ้ม

                       "แต่หนี้ที่ทั้งชีวิตที่มีแต่ฉันที่จะเอาชีวิตนายได้ยังไม่ได้ล้างเฟริน" แค่นั้นแหละ ไอ้เสียงหัวเราะคิกคักนั่นก็หุบฉับทันที คาโลยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนจะเสริม

                       "อย่าลืมนะว่า ที่ฉันบอกล้างไปน่ะมันหนี้ที่ฉันจับนายคลุมถุงชนที่เมืองยักษ์เท่านั้น" เฟรินสบถอุบอิบเพราะเสียท่าให้กับเจ้าชายมาดมากตรงหน้า ไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์ขึ้น! ไม่น่าไว้ใจ... แขนเรียวๆ เริ่มผลักไสอกแกร่งให้ออกห่างเมื่อรู้ว่ามันกำลังใกล้เข้ามากขึ้นอย่างรู้ทัน

                       "อย่ามาแต๊ะอั๋งกันง่ายๆ นะโว้ยยย ฉันไม่ให้แกเอาเปรียบกันง่ายๆ"

                       "เฟริน" เสียงเรียกที่ทำให้กลีบปากบางๆ นั้นหุบลงก่อนที่จะรับสัมผัสอ่อนนุ่มจากคนที่ชอบเอาเปรียบกันง่ายๆ จูบที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน เมื่อได้สัมผัสอีกครั้งจึงเนิ่นนานกว่าปกติ จนกระทั่งคนชอบเอาเปรียบยอมละริมฝีปากออกมาพรมจูบไปทั่วใบหน้าหวานนั้นแทน ตอนที่รู้ว่ามันช็อคถึงขนาดไม่กินข้าว ก็แทบจะถลันไปหา แต่เจอเกราะเวทย์คุ้มกันของใครบางคนที่เสือกทำตัวเป็นคนดีไม่ให้เขาเข้าไป พอเห็นอีกครั้งในอ้อมกอดของเจ้าขอทานตัวแสบก็ยิ่งโมโหแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

                       "แต่งงานกับฉันนะเฟริน" คำขอแต่งงานที่เรียบง่าย ไร้ซึ่งอำนาจและชนชั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง มีเพียงหัวใจสองดวงที่ต้องการ เฟรินยิ้มบางก่อนจะพยักหน้ารับ

                       "อือ"

                       ปัง!!!

                       กระดาษสีรุ้งนับสิบพุ่งโปรยปรายออกมาจากพุ่มไม้หนาที่อยู่ชิดกับกำแพง แล้วร่างของเพื่อนร่วมป้อมตัวแสบก็ค่อยๆ โผล่มาทีละคนสองคน ในมือแต่ละคนก็มีกรวยในแบบที่ชอบใช้กันในงานปาร์ตี้

                       "ฮ่าๆๆ แกรับปากแล้วนะเฟริน แถมพยานยังเยอะขนาดนี้ด้วย ดิ้นไม่หลุดแน่แก" ครี๊ดหัวเราะลั่นตบบ่าคนที่นั่งอึ้งค้างอยู่ ก่อนจะหันไปจัดการเตรียมงานฉลองตามคำสั่งมาทิลด้าต่อ โต๊ะตัวใหญ่ถูกยกออกมาวางพร้อมกับอาหารฝีมือเจ้าหญิงเรนอนแห่งคาโนวาล และ...ทั้งเหล้าทั้งเบียร์ถูกยกมาวางกันในแบบที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน (เพราะมีหัวหน้าป้อมอยู่ 1 คน ผู้คุมกฏ 3 คน และสิบสองเสนาอีก 3 คน) ขณะที่ซีบิลเริ่มกางเขตเวทมนต์เพื่อกรองเสียงเอะอะข้างล่าง

                       "พวกแก...มาอยู่นี่ได้ไง" กว่าจะตั้งสติได้ก็ถูกลากมายืนกลางวงเรียบร้อยแล้ว เฟรินขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนที่หน้าจะเริ่มแดงเมื่อได้ยินคำตอบ

                       "ก็ตั้งแต่ไอ้คาโลมันมาถึงนั่นล่ะ ฮ่าๆๆ ยินดีด้วยๆ" ซอร์โรหัวเราะยกเบียร์ขึ้นชูสูงพร้อมๆ กับทุกคน

                       "เอ้า! ฉลองวันแต่งล่วงหน้าให้ไอ้เฟรินกับคาโลมันหน่อย คัมไป!"

                       "คัมไป!" เฟรินที่ค่อยๆ ตั้งตัวติดหัวเราะขึ้นมาบ้าง ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นซัดโฮกรวดเดียวหมดแก้วเรียกเสียงฮือฮา แต่ไม่ทันที่จะได้กระดกแก้วที่สองก็ถูกคว้าไว้ด้วยฝีมือของว่าที่สามีในอนาคตของเธอ

                       "ฮื่อ...ไหนๆ พรุ่งนี้พวกเราจะแยกย้ายกันไปแล้ว ปล่อยซักวันจะเป็นอะไรไป" เสียงค้านที่น่าคิดทำให้คาโลต้องพยักหน้ารับและเข้าร่วมวงแต่โดยดี

                       "แล้วจะแต่งกันวันไหนล่ะ" เจคถามขึ้นมากลางวงสนทนา ทั้งหมดครางงึมงำเห็นด้วย

                       "เฮ้ย.. ไม่คิดจะคุยกันเรื่องอื่นแล้วหรอไง" เฟรินโบ๊ยไปเรื่องอื่นทันที หน้าหวานๆ ที่เคยขาวตอนนี้แดงนิดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเขินหรือฤทธิ์แอลกอฮอร์ในมือกันแน่

                       "จริงสิ..แกยังไม่บอกเลยนะโรว่าจบแล้วแกจะไปทำอะไร" ครี้ดหันไปถามขอทานที่นั่งอยู่ข้างๆ และยืนยันที่จะจิบน้ำชาแทนน้ำเมายิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ

                       "ก็คงไปเป็นขอทานเหมือนเดิม เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ระวังไว้ก็แล้วกัน วันดีคืนดีอาจจะไปขอทานบ้านนายครี๊ด" คำพูดติดตลกที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนักจากขอทานกิตติมศักดิ์คนนี้เรียกเสียงฮาครืน

                       "เออ ขอให้แกไปเหอะ ไว้จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี ฮ่าๆๆ" ทั้งหมดปล่อยเวลาไปกับการพูดคุยเสียเป็นส่วนใหญ่จนกระทั่ง...

                       "เฮ้...ขึ้นวันใหม่แล้วนะ" เจคทักขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาเรือนใหญ่ตีบอกเวลา สมาชิกปี 7 ป้อมอัศวินต่างเข้ามายืนล้อมวงกันเงียบๆ

                       "ขอบคุณนะครับสำหรับ 7 ปีที่ผ่านมา" ซีบิลเป็นฝ่ายเริ่มก่อนพลางยิ้ม

                       "มีเรื่องมากมายแต่ก็ถือเป็นความทรงจำที่ดี" เดทเอ่ยต่อบ้าง บางคนหัวเราะคิกคัก แน่นอน...ว่าต้องรวมเจ้าตัวแสบที่ทำให้มันมีเรื่องมากมาย

                       "จากนี้ไป ทุกคนจะจบจากโรงเรียนแห่งนี้ออกไปข้างนอก ถึงจะไม่ได้เจอกันแต่ก็อยากให้จดจำเวลาที่อยู่ที่นี่เอาไว้" มาทิลด้าสำทับอีกคน ก่อนที่ครี๊ดจะพูดออกมาดังๆ

                       "ยินดีด้วยที่ทุกคนเรียนจบ!!"

                       "คัมไป!!" เสียงเฮลั่นดังรับพร้อมกับแก้วสารพัดจะถูกชูขึ้น ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยมิตรภาพของป้อมอัศวินปี 7 เสียงหัวเราะครื้นเครงสลับกับการพูดคุยยังคงดังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาเริ่มล่วงเลยไปจนดึก เสียงที่เคยดังเริ่มหายไปทีละเสียงสองเสียง เฟรินกวาดสายตามองไปรอบๆ นอกจากเธอแล้วก็มีเหลือไม่กี่คนที่ยังคงครองสติไว้ได้ ซึ่งก็มี มาทิลด้า ซิลเวอร์...คนนี้แม่งานจึงเมาไม่ได้เพราะต้องอยู่เก็บกวาด แองเจลีน่า โรมานอฟ...คนนี้ไม่ชอบกินเหล้า เรนอน ธีน็อท...ส่วนนี่ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเธอคอแข็งมากกกก โร เซวาเรส...รายนี้ไม่ต้องพูดถึงเหล้าไม่แตะ เบียร์ไม่กระดก ซัดแต่น้ำชากับอาหาร กัส โทนีย่า...หมอนี่จิบเรื่อยๆ เท่าที่ดูเพิ่งจะกินไปได้ไม่กี่แก้ว สุดท้ายคือ คาโล วาเนบลี...ที่ยังคงรักษามาดน้ำแข็งไว้ได้อย่างเยี่ยมยอด

                       "แล้วจะเอายังไงกับพวกนี้ล่ะเนี่ย" แองเจลีน่าบ่นเบาๆ ส่ายหน้าระอากับอาการเพื่อนร่วมป้อมที่พากันนอนระเนระนาดไม่เว้นแม้แต่ซีบิล (ทำไมต้องยกคนนี้มา --- เพราะเขาเรียบร้อยเกินไปน่ะสิ) กัสมองนิดนึงแล้วเสนอ

                       "ปล่อยไว้อย่างนี้คงไม่ดี เอาไว้ฉัน โร กับคาโลค่อยๆ ลากมันขึ้นหอก็ได้" คนฟังอ้าปากค้างแย้งทันที

                       "แต่ห้องพวกเรามันอยู่ชั้นบนสุดนะกัส ถึงจะให้ลากไปก็เถอะ มันก็ยังหนักหนาอยู่ดี" กัสหัวเราะหึๆ ก่อนจะพูดคุยตกลงพึมพำกับโรและคาโลเพียงชั่วครู่แล้วพยักหน้าให้กัน ขอทานตัวดีก็แยกตัวเข้าป้อมไปก่อน ฝ่ายเจ้าชายแห่งคาโนวาลเรียกคทาพิพากษามาไว้ในมือ ก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์โดยไม่ลืมปิดบังไอมนต์ของตนด้วย ไม่นานเท่าไหร่นักรอกแบบชักกับตะกร้าน้ำแข็งทนทานก็ปรากฏขึ้น กัสเรียกเอาเชือกมาผูกทั้งสี่ด้านแล้วรวบม้วนให้เป็นเส้นเดียว ข้างบนนั้นมีโรรอรับปลายเชือกที่อีกฝ่ายยิงธนูขึ้นไปให้คล้องไว้กับรอกน้ำแข็งแล้วปล่อยให้ปลายเชือกอีกด้านตกลงไป แองเจลีน่ามองอย่างทึ่งๆ ก่อนจะได้สติเพราะคำสั่งจากคนที่ไม่ค่อยได้สั่งนัก

                       "เอาไอ้ครี๊ดกับเจคมาก่อน ก่อนที่มันจะได้สติโวยวาย" แล้วเธอก็รีบกุลีกุจอไปฉุดลากกระชากกับเฟรินสองคนส่งให้ตัวขี้เมาสองคนไปหมดสภาพต่อในตะกร้าน้ำแข็ง แล้วกัสกับคาโลก็ช่วยกันดึงขึ้นไป สุดท้ายคือโรที่รอรับอยู่แล้ว จัดการใช้เวทย์เรียกให้สองคนนั่นลอยเข้าห้องไปอย่างง่ายดาย

                       "อ้าว แกก็ใช้เวทย์นั้นได้นี่หว่าไอ้โร" เฟรินตะโกนใส่ หากคนฟังกลับฉีกยิ้ม

                       "ได้แค่ระยะใกล้ๆ แค่นั้นแหละ" ว่าแล้วการลำเลียงของเถื่อน เอ้ย! พลพรรคชาวป้อมอัศวินที่เมากันหัวราน้ำก็เริ่มต้นขึ้น มาทิลด้ากับเรนอนก็แยกไปเก็บขวด กวาดเศษอาหารชั่วครู่ก็เรียบร้อย จึงมาช่วยแองเจลีน่ากับเฟรินฉุดเพื่อนร่วมป้อมกันต่อ ไม่นาน...สถานที่จัดงานปาร์ตี้เมื่อครู่ก็โล่งเช่นเดิม กัสจัดการแกะเชือกที่มัดตะกร้าที่เริ่มละลายไปบ้างแล้วเก็บเข้าที่เดิม แล้วยกโต๊ะกลับไปเก็บไว้ที่เดิมกับคาโล

                       "เอาล่ะ เสร็จแล้ว พักผ่อนกันได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ" มาทิลด้าสั่งเป็นคำสุดท้าย ทุกคนต่างแยกย้ายไป เหลือเพียงแต่ร่างบางของจอมป่วนประจำป้อมอัศวินที่ดูจะควบตำแหน่งตัวป่วนประจำเอดินเบิร์กเข้าไปด้วยที่ยังคงยืนสูดอากาศเย็นสดชื่อนั้นอยู่คนเดียวเงียบๆ

                       "ยังไม่นอนอีกหรอไง" เสียงทักดังขึ้นนุ่มด้านหลัง เฟรินยิ้มบางๆ ส่ายหน้าแต่ก็ยังไม่หันกลับไปมอง

                       "พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าไปเข้าพิธีจบการศึกษานะ" เสียงนุ่มๆ นั้นเปลี่ยนเป็นเสียงดุๆ เย็นวาบชวนเสียสันหลังแทน แต่เจ้าตัวดีก็ยังคงยืนนิ่งก่อนหันมายิ้มแฉ่งให้ ในแบบที่คนดูบอกได้ว่า ยัยตัวแสบกลับมาอีกแล้ว

                       "แกจะรีบนอนไปหาอะไรวะ พรุ่งนี้เราก็จะออกไปจากที่นี่แล้วแท้ๆ" หัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ตาสีน้ำตาลเงยขึ้นมองป้อมที่ถึงแม้จะเก่า โทรม เกือบจะพังแค่ไหนแต่ก็เป็นหลักให้พักพิงได้เสมอ รอยยิ้มบางค่อยๆ ระบายขึ้นช้าๆ

                       "7 ปีนี่เร็วเนอะคาโล" อีกฝ่ายยังคงเงียบเป็นคำตอบ แต่ตาสีฟ้านั้นจับจ้องอยู่ที่คนพูด สายลมอ่อนๆ พัดโชยมาให้รู้สึกสบายใจ เส้นผมสีน้ำตาลปลิวไปตามแรงลมเพราะไอ้เชือกที่มัดมันหายไปตอนไหนก็ไม่รู้

                       "มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายอย่างที่เดทมันว่าจริงๆ นั่นแหละ" พูดได้น่าตาเฉยไม่ได้สำนึกเลย ว่าเรื่องส่วนใหญ่ที่มันเป็นเรื่องขึ้นมาได้ก็เพราะเธอแท้ๆ คาโลนิ่งไปเล็กน้อย

                       "นายควรจะไปนอนได้แล้วเฟริน"

                       "บ๊ะ!....แกนี่ชอบทำให้เสียอยู่เลย บรรยากาศกำลังดีอยู่แท้ๆ" ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ

                       "ไหนๆ ก็จะจากกันแล้ว ให้ฉันมองป้อมนี้นานๆ หน่อยไม่ได้หรอไง" ตาสีน้ำตาลจ้องหน้าคนเย็นชาขยันสร้างน้ำแข็งที่เขาหลอมมันมากับมือ

                       "ถ้าพรุ่งนี้นายตื่นสาย อย่ามาวิธีปลุกของฉันนะ" คำขู่ที่ได้ผลชะงัด เมื่อเจ้าคนตื่นสายที่ต้องให้เป็นธุระให้เพื่อนปลุกสะดุ้งเฮือก หน้าหวานงอง้ำลงกับคุณชายไร้หัวใจที่เธอยกให้อีกหนึ่งตำแหน่ง คาโลถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยอมเปิดปากอธิบาย

                       "จริงอยู่ที่พรุ่งนี้เราต้องเรียนจบ แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบเฟริน... วันไหนที่เราอยากเจอไอ้พวกบ้านั่นก็ไปหา วันไหนที่เราคิดถึงป้อมก็กลับมา ชีวิตคนเราไม่ใช่อยู่กับอดีตแต่อยู่กับปัจจุบันและอนาคต" คนฟังอึ้งกับคำแลคเชอร์เรียบๆ แล้วต้องระเบิดหัวเราะออกมาให้คนพูดอายแทน มือเล็กปาดน้ำตาที่เล็ดออกมาเบาๆ พยักหน้าหงึกหงัก

                       "ไม่นึกว่าคนทำน้ำแข็งประจำป้อมอย่างแกจะพูดอะไรซึ้งๆ แบบนี้เป็นด้วย ฮ่าๆๆ" คาโลขมวดคิ้วเข้าหากันเริ่มหงุดหงิดกับอาการหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง ตัดสินใจหมุนตัวเดินกลับ

                       "เฮ้! รอด้วยสิ คาโล" เฟรินตะโกนเรียกด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มก่อนจะวิ่งตามไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ

                       ...ขอบคุณมากนะครับสำหรับ 7 ปีที่ผ่านมา...

                       ...มีเรื่องมากมายแต่ก็ถือเป็นความทรงจำที่ดี...

                       ...จากนี้ไป ทุกคนจะจบจากโรงเรียนแห่งนี้ออกไปข้างนอก ถึงจะไม่ได้เจอกันแต่ก็อยากให้จดจำเวลาที่อยู่ที่นี่เอาไว้...

                       ...ยินดีด้วยที่เรียนจบ...แล้วพบกันใหม่...


    ****************************TBC.....

    Talk > ทำไมตอนนี้มันยาวจังเลย = ="

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×