ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Distance : การเดินทางที่ยาวไกล

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 10 : การเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 25 ม.ค. 49


                       ระหว่างการเดินทางที่แสนน่าเบื่อ ไร้ซึ่งการพูดคุยผิดวิสัยของพวกปากมากที่ไม่ยอมหยุดอย่างเฟรินและเนอิน ตาสีน้ำตาลดวงเล็กมองไปทางผู้เป็นแม่ที่นั่งคุมเกวียนฉีกยิ้มคุยกับหัวหน้าทหารที่ควบม้าเหยาะๆ อยู่ข้างๆ ก่อนจะเบนสายตาหันไปมองพี่ชายฝาแฝดของตนที่นั่งเหม่อมองไปทางด้านหลังเกวียน สมกับเป็นแม่ลูกกัน เวลาผ่านไปอย่างน่าอึดอัดสำหรับใครบางคน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป แสงอาทิตย์เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงกระทบกับก้อนเมฆที่ลอยต่ำลงมา เสียงนกร้องดังระงมไปทั่วบอกเวลายามเย็นอันใกล้เวลาพักผ่อนของทุกชีวิตบนโลก คณะเดินทางของเฟรินต่างพากันหยุดพักริมทาง

                       "งั้นผมไปล่าสัตว์พลางก็แล้วกัน" เนอินลุกขึ้นแบกผ่าปฐพีขึ้นบ่าก่อนจะเดินเข้าป่าไปพร้อมกับทหารอีก 2-3 คน ทหารที่เหลือก็ก่อกองไฟและสำรวจบริเวณรอบๆ เท่านั้น แม้จะยังอยู่ในดินแดนของคาโนวาลแต่พวกเขาก็ถูกกำชับให้ระวังอย่างที่สุดสำหรับการเดินทางครั้งนี้ เฟรินหยิบเสบียงส่วนตัวขึ้นมายื่นให้เนอาร์ที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างกองไฟอย่างใช้ความคิด มีเพียงเฟรินกับเนอาร์ที่ไม่สามารถทานเนื้อสัตว์ได้ ทำให้ต้องเตรียมเสบียงต่างหากมา สายตายังคงจ้องไปยังดวงหน้าที่กระทบกับแสงไฟจนดูอ่อนโยน มือก็ตักข้าวเข้าปากช้าๆ ไม่นานเท่าไหร่นักเนอินก็โผล่มาพร้อมกับกระต่ายป่าสองตัว ก่อนจะช่วยกันจัดการเปลี่ยนเนื้อสดให้กลายเป็นเนื้อย่างอันโอชะ

                       "พรุ่งนี้เราจะถึงกี่โมงกัน" เฟรินเปรยถามขึ้นมาท่ามกลางเสียงพูดคุยเบาๆ เรียกให้ทั้งหมดต้องเงียบลง

                       "น่าจะไม่เกินเย็นพรุ่งนี้ครับ" เธอพยักหน้าช้าๆ ในใจพะวงไปถึงอีกคนหนึ่ง มันจะตามมาทันมั้ยนะ? หลังจากมื้อเย็นแบบง่ายๆ ได้สิ้นสุดลง พวกทหารก็แยกย้ายกันกระจายไปนอนรอบๆ เหลือเพียงคนสามคนที่ยังคงนั่งอยู่หน้ากองไฟ

                       "ทะเลาะกับท่านพ่ออีกแล้วหรอครับ" เนอาร์เอ่ยขึ้นช้าๆ ผู้เป็นแม่หันมามองเล็กน้อยก่อนจะฉีกยิ้ม ขณะที่เนอินหยุดขัดผ่าปฐพีชั่วคราว

                       "รู้ดีเหลือเกินนะแก" เด็กน้อยหัวเราะเบาๆ อย่างหาฟังได้ยาก

                       "อาการนั่งนิ่งแบบนี้ทีไรก็เดาได้อย่างเดียวนี่นา แถมวันนี้ท่านพ่อไม่มาส่ง ถึงใจอาจจะดีใจที่ไม่มีตัวจ้องจะทดสอบความแข็งแกร่งของกำแพงวังมากแค่ไหนก็ต้องโผล่หัวมาบ้าง แต่นี่ไม่เห็นเลย ทะเลาะกันหนักล่ะสิ" หลังจากการวินิจฉัยอันรอบคอบก็ตบท้ายด้วยคำถามที่ทำให้คนฟังอึ้งเล็กๆ เอ...มันเก่งเหมือนใครกันนะ พ่อ...หรือแม่?? เฟรินเหยียดตัวยาวไล่ความเมื่อยขบที่ต้องนั่งคุมเกวียนมาทั้งวัน ตาสีน้ำตาลมองขึ้นไปบนฟ้าที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยแสงดาวและเดือนเสี้ยวแทน

                       "มั้ง... ไม่รู้สิ บางทีฉันอาจจะงี่เง่าเกินไปมั้ง คงเพราะอยู่ในร่างบ้าๆ นี่มาร่วมสิบปีล่ะมั้ง สมองก็เลยเพี้ยนๆ ตามไปด้วย" คิดแล้วก็เริ่มปลงและรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ตอนนั้นอะไรก็ไม่เข้าหูแล้วนี่นะ แต่ไอ้คาโลมันก็ผิดเหมือนกันที่มาดูถูกเธอ คนอย่างเฟริน เดอเบอโรว์ หนึ่งสิ่งที่ยอมไม่ได้คือการโดนดูถูก

                       "ไม่ต้องไปโทษอะไรเลยท่านแม่ เวลาเลือดขึ้นหน้าทีไรเคยฟังอะไรซะที่ไหน" คราวนี้คำคาดโทษดังมาจากลูกสุดที่รักอีกคนที่นั่งเงียบมานาน เนอาร์พยักหน้าหงึกหงัก นานๆ ที่ถึงจะมีความเห็นตรงกันพลางเอาปลายคทาเขี่ยไฟเล่นอย่างไม่ใส่ใจว่าไอ้ที่ถือน่ะ มันสมบัติของผู้เป็นพ่อ

                       "แล้วจะให้ทำไงได้เล่า! ก็มันทะเลาะไปแล้ว" คำพูดสมเป็นหัวขโมยที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบถูกขุดขึ้นมาใช้ในกรณีที่เถียงคู่กรณีไม่ได้ เฟรินดันตัวเองขึ้นมานั่งเงียบๆ ตาสีน้ำตาลเริ่มกวาดไปทั่ว บางอย่าง...กำลังจ้องมองพวกเธออยู่ แล้วพวกทหารมันทำบ้าอะไร!! ในขณะที่ผู้เป็นแม่เริ่มรู้สึกถึงอันตรายแต่ลูกทั้งสองคนยังคงรับส่งลูกคู่กันต่อไป

                       ฉัวะ!!

                       "อ๊ากกกกกกกกกก" เสียงร้องสุดเสียงดังมาจากในป่า ทำเอาทั้งหมดสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนก ผิดกับหญิงสาวที่ดูจะชินกับเหตุการณ์แบบนี้คว้าผ่าปฐพีมากระชับอยู่ในมือจนไอ้คนที่นั่งขัดมันตั้งแต่เช้าไม่รู้ตัวเลยซักนิด เส้นประสาทเริ่มตึงเครียด เพราะไม่มีทหารคนไหนโผล่เข้ามาหาพวกเธอเลยซักคนเดียว ใครที่สามารถจัดการทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีตั้งหลายคนโดยไม่มีเสียงร้องแม้แต่แอะเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด ิคิ้วบางๆ เริ่มขมวดเข้าหากันหนักกว่าเก่า

                       "เป็นถึงราชินีแห่งคาโนวาลกลับมีทหารกระจอกแบบนี้เป็นผู้คุมกันในเวลาหน้าสิวหน้าขวานแบบนี้เนี่ยนะ" เสียงทุ้มคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานเหลือเกิน น้ำเสียงราบเรียบฟังดูเหมือนคนพูดอยู่เหนือตลอดเวลาแบบนี้ เฟรินลดดาบลงสบถออกมาอย่างหงุดหงิด

                       "บทจะมาก็มาให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรอไง" ตาสีน้ำตาลจ้องฝ่าความมืดเข้าไปในป่า ร่างสูงโปร่งผมสีทองสั้นที่เจ้าตัวไม่คิดจะไว้ยาวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ตาสีเขียวประกายสะท้อนแสงไฟกับรอยยิ้มที่มุมปากนั่น....

                       มันน่าอัดนัก!

                       "ฉันอยากจะรู้นัก แกทำยังไงถึงมาโผล่เอาที่คาโนวาลได้ ทั้งๆ ที่ตัวแกอยู่ทริสทอร์...โร" คนถูกถามยิ้มบางๆ เดินมานั่งลงข้างกองไฟ ไม่สนใจหนึ่งคนที่กำลังหัวเสียเพราะความกดดันเมื่อครู่ กับเด็กน้อยอีกสองคนที่ยืนอึ้งอยู่ข้างๆ เฟรินโยนผ่าปฐพีให้เจ้าของคนปัจจุบันรับไปก่อนจะเทน้ำชาที่เตรียมมายื่นให้เจ้าห้องสมุดเคลื่อนที่ตัวดีที่ทำให้หัวใจเธอเกือบวาย

                       "ก็นายอยากให้ฉันมาอย่างด่วนไม่ใช่หรอไง" โรเลิกคิ้วพลางจิบน้ำชา ไอ้มาดแบบที่ไม่เคยเห็นมานานแล้ว

                       "ก็ใช่ แต่มาทั้งทีดันเสือกโผล่มาอย่างกับผี ดีแค่ไหนไม่หัวใจวายก่อนถึงเดมอส" บ่นอุบอิบตามนิสัยเดิม ตาสีเขียวปรายไปยังเด็กน้อยที่ยังคงยืนอึ้งอยู่

                       "ไม่คิดจะแนะนำให้ฉันรู้จักรัชทายาทแห่งคาโนวาลที่ได้เชื้อมาจากแกหน่อยหรอเฟริน" คนถูกเอ่ยพาดพิงพร้อมใจสะดุ้งเฮือก มองผู้มาใหม่อย่างหวาดระแวง หากเพียงครู่เนอินก็หัวเราะลั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

                       "เพื่อนท่านแม่หรอฮะ ผมชื่อ เนอิน วาเนบลี เป็นพี่ชายของไอ้เจ้าเนี่ย" ว่าแล้วก็ชี้ไปที่คนข้างๆ ที่ยืนเขม่นอยู่ อะไรมันจะตีซี้ได้เก่งขนาดนั้น โรขยับยิ้มอย่างถูกใจ คนนี้คงสืบนิสัยจากแม่มาเต็มๆ เหลือแต่ตาสีฟ้าที่ได้จากพ่อมา อีกคนก็คงรับนิสัยเย็นๆ จากพ่อมาเหลือแต่ตาสีน้ำตาลคู่นั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่ใช่คนร้าย ทั้งสองคนจึงนั่งลงข้างๆ

                       "นั่นล่ะ ส่วนอีกคนชื่อเนอาร์ นี่คือโร เซวาเรส เดอะ เบ็กการ์ ออฟ ทริสทอร์ เพื่อนฉันสมัยเรียนอยู่ที่เอดินเบิร์ก" เนอินตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู

                       "หา!! คนที่ช่วยพาท่านแม่หนีตอนสงครามครั้งนั้นน่ะหรอ ผมนึกว่าจะเป็นคนที่ดูบึกบันหรือแข็งแรงกว่านี้ซะอีก" เฟรินหัวเราะลั่นด้วยความถูกใจ หากเจ้าตัวกลับแค่ยิ้มให้บางๆ อย่างที่ชอบทำ

                       "ว่าแต่แกเหอะ ทำไมมาแล้วพวกทหารไม่เข้ามาบอกเลยวะ" เมื่อพบเพื่อนเก่า อาการชายแท้อกสามศอกก็เริ่มออกลาย โรหัวเราะหึๆ

                       "คงอยากจะบอกอยู่ เสียแต่ว่าไอ้รอยบากตรงคอมันทำให้เลือดไหลไม่หยุด" ทั้งสามคนชะงักไป ไอ้นี่มันอุบเงียบอีกแล้ว...

                       "แล้วคนร้าย??" โรชี้นิ้วผ่านหลังตัวเองไปไม่ใส่ใจ คนที่รู้จักคนอย่างโร เซวาเรสดีย่อมรู้ว่าหมายถึงอะไร หากเด็กน้อยสองคนที่ไม่รู้เรื่องยังคงทำหน้าตระหนก เฟรินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อรู้ว่าคนๆ นี้จะมาร่วมคณะด้วยก็รู้สึกโล่งใจไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยปากไล่ลูกทั้งสองคนให้เข้าไปนอนในเกวียน ข้างนอกจึงเหลือเพียงเพื่อนเก่าสองคนที่นั่งคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี

                       "ที่ให้ฉันไปด้วยเนี่ย คาโลมันรู้มั้ย" ประโยคคำถามที่ถามขึ้นมาใหม่ดูจะเป็นตัวทำลายบรรยากาศดีลงครืน เฟรินส่งเสียงจิ๊กจั๊กเบาๆ คนยิ่งพยายามไม่นึกถึงมัน ไอ้บ้านี่ก็ดันถามมาได้ ที่ฉันต้องไปทะเลาะกับมันก็เพราะแกเนี่ยแหละ!!!

                       "แล้วแกคิดว่ามันจะรู้มั้ยล่ะ" ถามกลับสบกับตาสีเขียวฉลาดนั่นตรงๆ จนคนโดนจ้องต้องเป็นฝ่ายแพ้ยอมถอนสายตาแทน

                       "พวกแกสองคนนี่ชอบหาเรื่องทะเลาะกันทุกทีสิน่า"

                       "แกได้ยิน??" ไหล่กว้างไหวเบาๆ เฟรินส่ายหน้าช้าๆ มีอะไรที่มันไม่รู้บ้างเนี่ย

                       "จะได้ยินหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันอยู่ว่าแกกับคาโลแต่งงานกันมาเป็นปีๆ มีลูกกันก็สองคนแล้ว ยังไม่เลิกนิสัยงี่เง่าระหว่างเจ้าชายกับหัวขโมยอีกหรอไง" ว่าแล้วก็หัวเราะเบาๆ หญิงสาวนั่งเขี่ยกองไฟเล่นทำหูทวนลม แต่ใจก็คิดตามทุกประโยค งี่เง่าหรอ...มันนั่นแหละที่งี่เง่า!

                       "ว่าแต่เขา แกเองเหอะ ไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรอไง ฉันรอการ์ดเชิญจากแกอยู่นะเนี่ย" มือที่ถือแก้วน้ำชาชะงักเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบกลบเกลื่อน

                       "ไว้เจอแล้วฉันจะส่งการ์ดไปให้แกคนแรกเลย" ตาสีเขียวมองดวงหน้าอ่อนพลางยิ้ม ยิ้มอย่างที่เธอรู้ว่า มันกลบเกลื่อน

                       "ถามหน่อยเถอะ...เรื่องนี้แกพอจะมีข่าวอะไรบ้างมั้ย" เฟรินเปลี่ยนบทสนทนาทันที แน่ใจว่ามันต้องรู้แน่ๆ แล้วก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อคนฟังพยักหน้าช้าๆ

                       "ก็นิดหน่อย ข่าววงในเขาบอกว่าตอนนี้โคมิเน่กำลังสร้างกองทัพและรวบรวมคนเป็นจำนวนมาก กษัตริย์โคมิเน่เองก็ดูจะบ้าอำนาจอยู่นิดๆ เหมือนกัน" คำบอกเล่าเรียบๆ เรียกให้เฟรินตาเบิกกว้าง

                       "ประเทศเล็กๆ แบบนั้นจะรวบรวมคนไปรบที่ไหนกัน" โรเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วสูง

                       "แกไม่รู้??" เธอส่ายหน้าช้าๆ ทำหน้าประมาณว่า หนูไม่รู้อ่ะ โรถอนหายใจหนัก อยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้น ไม่เคยพัฒนาเลย

                       "รู้มั้ยว่าตอนนี้ประเทศไหนที่ใหญ่ที่สุดในเอเดน" คำถามสังคมพื้นฐานชวนให้คนถามวอนโดนถีบกระเด็นไปไกลๆ

                       "ก็คาโนวาลไม่ใช่หรอไง ถามอะไรงี่เง่า" ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ไม่ใส่ใจกับอาการปากหมากระทันหันของเพื่อน

                       "ถูก แล้วรู้มั้ยว่าประเทศไหนมีอำนาจมากที่สุด" คราวนี้เฟรินถึงกับอึ้งไป เจมิไนที่พี่โรเวนขึ้นเป็นกษัตริย์ก็ถือว่าเจริญรุ่งเรืองมาก ขณะเดียวกันที่เวนอลเองก็มีการปรับปรุงหลายๆ อย่าง แต่คาโนวาลก็ยังคงรักษาสมดุลเอาไว้เหมือนกัน และไม่ต้องพูดถึงบารามอส มีอาจารย์ชามัลเป็นคิงอยู่สบายหายห่วง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิดก่อนจะส่ายหน้ายอมแพ้

                       "แกเฉลยมาเหอะ รู้ก็รู้ฉันเกลียดสังคม" คงเป็นเพราะเจออาจารย์สอนที่เหมือนสวดให้หลับทุกคาบมาตั้ง 7 ปีนั่นแน่ๆ โรหัวเราะเบาๆ ตาสีเขียวสบอีกฝ่ายอย่างจริงจังจนรู้สึกอึดอัด

                       "แกคิดว่าคนใกล้ตัวแกที่ทำตัวเงียบๆ เฉยๆ จะไร้อำนาจงั้นหรอเฟริน คาโนวาลมีราชินีที่เป็นเจ้าหญิงสองดินแดน ก็เหมือนกับรวมอำนาจทั้งหมดมาอยู่ที่คาโนวาล ถึงแม้ว่าปกติแกจะดูไม่มีความสำคัญเลยก็เถอะ แต่...ลองให้รัชทายาทของคาโนวาล กับราชินีแห่งเดมอสและบารามอสถูกลอบปลงพระชนน์ลงพร้อมกัน คาโนวาล...จะเป็นยังไงถ้ากษัตริย์ถูกทำลาย" คำพูดแลคเชอร์เรียบๆ แต่ความหมายของมันชวนขนลุก เธอไม่คิดว่าตัวเธอจะมีความสำคัญอะไรขนาดที่จะให้สองประเทศมาทำสงครามกับคนอื่นเพื่อปกป้องเธอ และแม้ว่าจะแอบดีใจที่คนตรงหน้ามันพูดเหมือนกษัตริย์น้ำแข็งที่เธอพร่ำด่ามันอยู่ทุกวันดูจะห่วงหาอาทรเธอเป็นพิเศษ แต่ความไม่แน่ใจก็ยังคงมีอยู่ คนที่เห็นหน้าที่สำคัญเหนือสิ่งใดคนนั้น มันจะยอมปล่อยให้ประเทศล่มเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวตายไปอย่างนั้นหรอ

                       จริงอยู่ที่ถ้าหากไอ้ลิงสองตัวนั่นโดนฆ่าตาย ประเทศทั้งสาม...ไม่สิ แค่เดมอสกับคาโนวาลก็จะไม่มีรัชทายาทให้สืบทอด เดมอสไม่ใช่ปัญหาเพราะท่านพ่อคงอยู่อีกเป็นหมื่นๆ ปี แต่คาโนวาล...

                       "งั้นที่โคมิเน่เตรียมรวบรวมกำลังคน แกจะบอกว่าเพราะมันเตรียมจะบุกคาโนวาล??" โรไหวไหล่เล็กน้อยพลางจิบน้ำชา มาดที่ไม่เคยทิ้งตั้งแต่ปีหนึ่งยันจบจนถึงปัจจุบันดูจะกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของมันไปแล้ว

                       "ถ้าอย่างนั้นคนที่จ้างพ่อคิลให้มาลอบฆ่าก็ต้องเป็นกษัตริย์ของโคมิเน่ล่ะสิ" เส้นผมสีน้ำตาลสั้นสั่นไหวไปมาจากแรงสั่นศีรษะ

                       "ปล่าว... อย่างที่พูดไป กษัตริย์ของโคมิเน่ดูจะบ้าอำนาจก็จริง แต่ก็ไม่ใช่คนที่กล้าเสี่ยงกับอะไรที่มันไม่แน่นอน ดูเหมือนจะมีใครบางคนทำตัวเป็นพรายกระซิบบอกเรื่องที่มีคนจ้างวานฆ่าแกกับลูก ก็เลยคิดรวบรวมคนไว้ก่อน ถ้าข่าวที่ได้เป็นจริง คือแกกับลูกตาย คาโนวาลก็จะย่ำแย่ทันที แต่ถ้าข่าวนี้ไม่เป็นความจริง เขาก็จะอ้างได้ว่ารวบรวมคนเพื่อเกณฑ์ทหารป้องกันประเทศแค่นั้น" ความเงียบโรยตัวลงช้าๆ เช่นเดียวกับกระแสความเครียดที่เริ่มลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศตัดกับบรรยากาศเย็นๆ ยามค่ำคืนของป่า

                       "แล้วจะทำไงได้บ้างล่ะเนี่ย นอกจะทำตัวเป็นเป้าล่อชั้นดี" มือบางขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ทำไมไอ้การเป็นเจ้าหญิง ราชินีมันต้องเรื่องมากอย่างนี้ด้วยฟะ!!

                       "มี...นายจะลองดูมั้ยล่ะ" ข้อเสนอบางอย่างที่ทำให้ไอ้คนที่จะทึ้งหัวตัวเองทิ้งต้องหันกลับมาตั้งใจฟัง หากแต่เมื่อฟังแผนการของเจ้าคนชอบวางแผนแล้วต้องกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่

                       "มันจะได้ผลหรอวะ ไอ้ที่แกพูดมาก็ถูกอยู่หรอก แต่ว่า..." ถ้าไอ้ป้อมน้ำแข็งรู้เข้ามีหวังเธอโดนแช่แข็งแน่ๆ โรหัวเราะหึๆ มันหัวเราะบ่อยซะจนคนฟังเริ่มหมั่นไส้ (คนแต่งด้วย เหอะๆๆ)

                       "ไม่ลองก็ไม่รู้ แต่ถ้านายมีวิธีที่ดีกว่านี้ฉันก็ไม่ขัด" เฟรินนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ดูเหมือนตั้งแต่รู้เรื่องสมองน้อยๆ ของเธอจะถูกใช้งานถี่เหลือเกิน โอกาสที่จะเป็นไปตามแผนมีสูง แต่ผลลัพท์ที่ได้...มันจะคุ้มกับบทลงโทษรึปล่าว

                       "แกก็พูดเหมือนกับฉันมีวิธีอื่นอย่างนั้นล่ะ" สุดท้ายก็เปรยอย่างอ่อนใจ ก่อนจะลุกขึ้นบิดตัว

                       "นอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางแต่เช้า เดี๋ยวแกช่วยเฝ้ายามก่อน แล้วพอตี 2 ปลุกฉันมาเฝ้ายามต่อนะ" ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ปีนขึ้นเกวียนไปเงียบๆ ปล่อยให้โรนั่งจมอยู่ในความคิดของตนเงียบๆ ก่อนจะเผลอยิ้มออกมา

    ------------------------------------------

                       "เจ้าหญิง!! โอ..เจ้าหญิงของกระหม่อม" เสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานตะโกนสามหลอดแปดหลอดก่อนที่เจ้าตัวเล็กๆ ป้อมๆ ของคนแคระเขากวางฉายาที่ไอ้น้ำแข็งแห้งตั้งให้จะโผล่มาพร้อมกับโทรโข่งในมือ แม้จะชินกับร่างหญิงนี่ แต่ไม่รู้ทำไมถึงมีปฏิกิริยาทุกครั้งที่มันเรียก เฟรินลงจากเกวียนอย่างหงุดหงิดแล้วก็ต้องตกใจเมื่อภาพตรงหน้าอันเป็นทะเลที่กั้นชายแดนระหว่างคาโนวาลกับเดมอสนั้น เต็มไปด้วยเรือพาหนะที่ผู้คนตะโกนเซ็งแซ่เรียกชื่อของเธอ
                       "ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปีหมื่นๆ ปี" คำอวยพรที่ฟังยังไง๊ก็ไม่เข้าแก๊ปซะทีทำเอาคิ้วเรียวๆ เริ่มขมวดมุ่น ก่อนจะหิ้วปีกโกโดมขึ้นมาแยกเขี้ยวใส่
                       "ฉันจำได้ว่าเขียนบอกท่านพ่อว่าต้องการกลับแบบเงียบๆ แล้วนี่มันอะไรหา!!" นิ้วเล็กๆ อุดหูตัวเองแทบไม่ทัน เมื่อเจ้าหญิงคนสวยตะโกนใส่อย่างไม่ไว้หน้า
                       "ประชาชนชาวเดมอสทุกคนอยากจะยลโฉมเจ้าหญิงกระหม่อม แล้วหม่อมฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดอะไรที่จะให้ผู้คนได้เห็นพระพักตร์เพื่อเป็นบารมีแก่ชาวเดมอส" เฟรินสบถพรืดออกมาอย่างหงุดหงิด โยนร่างเล็กๆ นั่นลงพื้น ("สบถเช่นนั้นไม่งามนะกระหม่อม") โกโดมปัดเนื้อตัวอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าหมายจะเชื้อเชิญให้เจ้าหญิงเสด็จกลับวังด้วยมังกรน้ำแข็งชั้นดีที่ส่งตรงมาจากสโนว์แลนด์ก็ต้องชะงักกึกกับเด็กสองคนที่จ้องมองมาทางตนอยู่แล้ว
                       "ตัวเล็กกว่าที่คิดแฮะ" เนอินก้มลงมองอย่างพินิจ ขณะที่น้องชายของตนพยักหน้าเห็นด้วย ตาสีน้ำตาลทอประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่
                       "ทั้งสองท่านนี้คงเป็นพระโอรสของเจ้าหญิง ถวายบังคมพะยะค่ะ กระหม่อมโกโดม โคมุส" ร่างเล็กของมันโค้งลงจนเกือบติดพื้นแลดูน่าขำมากกว่านอบน้อม
                       "ท่านทั้งสี่คงจะเดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว จากนี้ไปขอให้เสด็จโดยมังกรน้ำแข็งตัวนี้ ไม่เกิน 4 ชั่วโมงเราจะถึงเมืองหลวง ฝ่าบาททรงเป็นห่วงเจ้าหญิงกับพระโอรสมากกระหม่อม" น้ำเสียงสุดท้ายเจือไปด้วยความห่วงใยจนคนฟังรู้สึกได้

    ------------------------------------------

                       "เข้ามาใหม่ แรงยังใช้ไม่ได้!!" เสียงห้าวๆ สั่งลูกชายตนเองให้หันดาบฟาดฟันใส่เขาอีกรอบ เนอินปาดเหงื่อที่คอออก พุ่งฟาดดาบใส่คนตรงหน้าเต็มแรง หากเฟรินก็ยกดาบขึ้นมาบังเอาไว้ เสียงเคร๊งปะทะดาบดังเป็นระยะต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ยามเช้าของวันนี้ ตั้งแต่กลับมาสิ่งที่เฟรินพูดกับผู้เป็นบิดาคำแรกคือ 'ขอแหวนอีกวง' และนั่นก็ทำให้เธอกลับมาเป็นผู้ชายอีกครั้ง อารมณ์ดีถึงขนาดยอมเป็นคู่มือฝึกให้ลูกของตน ห่างออกไปคือการจับคู่ของสองนักเวทย์ที่น่ากลัวไม่แพ้กัน

                       "ไม่ใช่เอาแต่ใส่เวทย์เข้ามากระหม่อม ดูด้วยว่าคู่ต่อสู้มีช่องว่างตรงไหนกระหม่อม" พ่อมดดำแห่งเดมอสสอนช้าๆ ขณะที่ร่ายเวทย์ป้องกันน้ำแข็งที่พุ่งมา เสียงจิ๊จ๊ะขัดใจดังมาจากเจ้าชายตาสีน้ำตาลอย่างขัดใจ มันไม่ได้โม้เรื่องที่เป็นพ่อมดแฮะ ตั้งแต่ซ้อมมาตั้งแต่เช้ายังทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่รอยขีดข่วน ผิดกับเขาที่ตอนนี้เสื้อผ้าขาดวิ่นเล็กน้อย พร้อมกับเลือดสีแดงสดที่ไหลออกจากแผลบางๆ ตามแขนขานั่น ดูจะทำให้โกโดมมีความสุขเหลือเกินกับการได้เป็นพระอาจารย์ให้รัชทายาทแห่งคาโนวาล
                       "ไอซ์เอจ!!" หอกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่คนแคระตัวเล็กเต็มแรง โกโดมส่ายหน้าน้อยๆ กำแพงเวทย์คุ้นตาถูกเสกเพื่อป้องกันอีกครั้ง

                       "บอกแล้วกระหม่อม อย่าเอาแต่ใช้เวทย์...."

                       ฉัวะ!!

                       หอกน้ำแข็งอีกแท่งปาดเอาแขนเล็กๆ ที่ยื่นออกมาร่ายเวทย์เรียกเลือดสีแดงได้ เนอาร์ยิ้มเยาะ โบกคทาพิพากษาไปมา

                       "อย่าเอาแต่ใช้เวทย์ป้องกัน โกโดม" รอยยิ้มกวนๆ ที่นานๆ จะโผล่มาให้เห็นทำให้คนที่ยืนดูลาดเลามานานยิ้มออกมา โกโดมพยักหน้าช้าๆ แล้วยิ้ม

                       "งั้นเราก็มาเอาจริงกันซะที" แล้วเวทย์แห่งเดมอสก็เริ่มสำแดงเดช ขณะที่ทางฝั่งนี้กำลังดุเดือด อีกทางหนึ่งก็เดือดไม่แพ้กัน เฟรินปักดาบลงกับพื้น แก้มัดแล้วรวบผมใหม่อีกรอบอย่างรำคาญ ถึงจะกลับมาเป็นผู้ชาย แต่ไอ้ผมยาวๆ นี่ก็ไม่ได้สั้นลงแม้แต่นิดเดียว จะตัดก็เสียดายเวลาที่อุตส่าห์ไว้มาเป็นปีๆ ตาสีน้ำตาลมองร่างเล็กที่ยืนเอาผ่าปฐพีค้ำตัวหอบจนตัวโยนนิ่ง เสื้อผ้ามีรอยฝุ่น รอยบาด รอยบาก สารพัดรอยที่เสียท่าให้กับเขา บางทีมันคงจะเด็กเกินไปที่ต้องมาเจอการฝึกหนักขนาดนี้

                       "วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า"

                       "ไม่!" เฟรินมองหน้าซีดๆ ของเนอินแล้วถอนหายใจ ไอ้นิสัยดื้อแบบนี้บางทีไม่ควรจะสืบทอดไปมันจะดีกว่าแฮะ ตาสีฟ้าขี้เล่นขณะนี้สงบราบเรียบจนน่าแปลกใจ หากไม่ใช่กับผู้เป็นแม่ที่เลี้ยงดูมากับมือ

                       "ถ้าคิดจะเข้าปะทะก็ต้องเพิ่มแรง แต่ถ้าจะคิดจะเอาชนะ ไม่ใช่แค่แรงหรอกนะเนอิน" สอนช้าๆ หวังจะให้มันซึมเข้าไปในหัวอีกฝ่าย ตาสีฟ้าหลับลงเพื่อรวบรวมสติก่อนจะเบิกโพลางพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ เฟรินคว้าดาบที่ปักขึ้นมาปะทะ

                       เคร๊ง!!

                       แรงกดที่มากกว่าปกติคงมาจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มเข้ามาด้วย เรียวปากกระตุกยิ้ม เริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างนี่หว่า.. หากไม่ทันที่จะได้ตอบโต้ เนอินก็เอี้ยวตัววูบไปทางซ้าย วาดผ่าปฐพีหวังอย่างน้อยต้องเอาคืนได้บ้าง หากเฟรินเองก็เร็วจัดไม่เสียชื่อหัวขโมยที่มีวิชาลับตีนเบาของตระกูลเดอเบอโรว์กระโดดหลบฉาก ส่งปลายดาบของตนจ่อคอหอยอีกฝ่ายพลางพยักหน้าหงึกหงักด้วยรอยยิ้ม

                       "ใช้ได้ๆ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ฉันหิวข้าว!" ว่าพลางก็ลดดาบลงแล้วเดินเข้าวัง เป้าหมายคือห้องครัว เนอินทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง ยกมือปาดเหงื่อลวกๆ แล้วผ้าขนหนูผืนเล็กก็ลอยปะลงมากลางหัว

                       "ไม่รู้จะรีบกินไปถึงไหน" บ่นพึมพำเบาๆ เรียกรอยยิ้มของคนที่โยนผ้ามาให้

                       "เด็กขนาดนายได้แค่นี้ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว" โรเอ่ยชมจากใจ แต่คนโดนชมได้แต่นั่งเช็ดเหงื่อขมวดคิ้วมุ่น ตาสีฟ้าจ้องไปยังสองร่างที่ยังคงสาดเวทย์ใส่กันอย่างสนุกสนานยังกับสาดน้ำวันสงกรานต์ ต้นไม้รอบๆ มีรอยแทงทะลุกับแท่งน้ำแข็งปักคาอยู่

                       "บ้าดีเดือดชะมัด" ตาสีเขียวพราวระยับขำๆ พยักหน้าเห็นด้วย เนอินลุกขึ้นปัดฝุ่นตามกางเกงเดินตามผู้เป็นแม่เข้าไปเพื่อชำระร่างกาย ปล่อยให้โรยืนมองอีกสองคนตรงหน้า รอยยิ้มขบขันระบายขึ้นเล็กน้อย

                       ใครว่ามันเหมือนพ่อก็พอเข้าใจ แต่ถ้ามาเห็นตอนนี้....นิสัยเฟรินชัดๆ

    ------------------------------------------

                       เวลาผ่านไปหลายวัน ระหว่างเตรียมการที่จะวางแผนที่โรเป็นคนเสนอ กิจวัตรประจำแทบจะซ้ำซากจำเจกันทุกวัน ตอนเช้าตื่นมาก็มาซ้อมดาบกับเนอิน ส่วนเนอาร์นั้นจับคู่กับโกโดมที่ตอนนี้ตัวติดกันแจ ตกบ่ายก็ประชุมกันเรื่องแผน กว่าจะจบก็เย็นเกือบค่ำ แม้มันจะเป็นชีวิตที่หัวขโมยอย่างเขาไม่มีทางที่จะทำ แต่ตอนนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

                       "ช่วงนี้ดูลูกเหนื่อยนะ" เฟรินหันมามองผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องนอนแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมายเช่นเดิม

                       "มันต้องทำนี่ฮะ ถึงจะเหนื่อย...มันก็ต้องทำ" ปลายเสียงแผ่วลงไป รู้ทั้งรู้ว่าที่ทำลงไปทั้งหมดไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่ก็ยังทำ ยิ่งคิดก็ยิ่งขำตัวเอง เอวิเดสมองใบหน้ากร้านนั้นด้วยความเอ็นดู ก้าวมาหยุดอยู่ข้างๆ

                       "พรุ่งนี้พักหน่อยดีมั้ย ลองไปเที่ยวเมืองอื่นดูบ้าง" คนฟังส่ายหน้าช้าๆ

                       "อย่าเลยฮะ เรื่องนี้ยิ่งเร็วก็ยิ่งเป็นผลดี"

                       "คงจะรักมากสินะ" เฟรินหันขวับกลับมามองงงๆ ใบหน้าขาวซับสีแดงเรื่อขึ้นเมื่อรู้ว่าผู้เป็นพ่ออ่านใจตนถูก แต่ปากก็พูดไปทางอื่นตามประสาหัวขโมยที่ต้องลื่นไหล

                       "ผมห่วงไอ้ลิงสองตัวนั่นมากกว่า อุตส่าห์เสียเวลาแบกท้อง เสียพลังงานที่ต้องกินหนักกว่าเก่า สุดท้ายต้องเสียแรงเบ่งมันออกมา อย่างน้อยมันต้องอยู่ใช้ให้คุ้ม" ว่าไปโน่น เอวิเดสหัวเราะเบาๆ

                       "พูดเหมือนอลิเซียเลย" เขาชะงักไป มองหน้าอีกฝ่ายอย่างตัดสินใจ

                       "ท่านพ่อรักท่านแม่มากมั้ย" เอวิเดสนิ่งไปนิดก่อนจะตอบแทบจะทันที

                       "รักสิ...รักมากด้วย" น้ำเสียงและใบหน้าที่อ่อนโยนลงทำให้คนที่มองยิ้มออกมา

                       "แม้ว่าท่านแม่จะรั..."

                       "เฟลิโอน่า... อดีตที่ผ่านมาไม่ควรจะเอามาพูดถึงหากมันจะทำให้เราเจ็บปวดหรือไม่สบายใจ สิ่งที่เราควรจะทำคืออยู่กับปัจจุบันแล้วมองไปข้างหน้า พ่อไม่เคยเสียใจที่รักแม่ของลูก เพราะพ่อรักที่นางเป็นนางเอง" เฟรินนิ่งไปอีกครั้ง พยักหน้าช้าๆ

                       "นอนพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปเป็นคู่ซ้อมให้เนอินอีก ถ้าไม่มีปัญหาอะไร มะรืนนี้ก็จะได้กลับคาโนวาล" เฟรินพยักหน้ารับอีกครั้ง วันนี้โรเพิ่งได้รับข่าวจากคาโนวาลว่ากษัตริย์คาโลกำลังมีปัญหาจากสุขภาพที่โหมงานหนักเกินไป เขาล้มตัวลงบนเตียงก่อนจะถอดแหวนออก ใบหน้ากร้านอ่อนลง รอยแผลเป็นที่เคยซ้ำลึกเมื่อหลายปีก่อนก็จางลงจนแทบมองไม่เห็น บางทีคงเป็นเพราะเรื่องที่เธอทะเลาะกันก่อนมา แต่...มันไม่น่าจะงี่เง่าถึงขนาดนั้น ตาสีน้ำตาลเหม่อออกไปนอกหน้าต่างแล้วหลับไปพร้อมกับความกังวลใจ


    *******************************TBC...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×