ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Distance : การเดินทางที่ยาวไกล

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 : น้ำตา

    • อัปเดตล่าสุด 13 มี.ค. 49


                       "ฟื้นแล้วหรอคะ" เสียงนุ่มของเรนอนเอ่ยทักคนป่วยที่หมดสติไประหว่างการแข่งขัน เปลือกตาบางกระพริบถี่ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นมานั่ง หัวยังคงหมุนติ้วๆ อยู่เล็กน้อย เงยหน้ามองสภาพรอบตัวอย่างงงๆ เออ...ห้องพยาบาลนี่นา

                       "คุณเฟรินหมดสติไปราวๆ 3 ชั่วโมงค่ะ" หญิงสาวข้างตัวเฉลย ดูเหมือนสมองยังมีอาการแฮงค์เล็กน้อย เราอยู่ที่สนามนี่นา....

                       คาโล!!!!

                       "เรนอน!! คาโลล่ะ คาโลเป็นยังไงบ้าง มันอยู่ไหน ฉันจะไปหามัน!!" เฟรินลุกพรวดขึ้นยืน หากถูกผู้มาใหม่คว้าข้อมือเอาไว้ก่อน

                       "นี่ๆ ฟื้นขึ้นมาก็ลุกพรวดพราดแบบนี้เดี๋ยวก็ล้มหรอก แล้วแกจะไปไหน" คิลทักเสียงรำคาญเล็กๆ จนป่านนี้ทำไมยังไม่แก้ไอ้นิสัยใจร้อนนี่อีกนะ แรงสั่นที่ข้อมือบางที่เขากำไว้ ทำให้ต้องเลิกคิ้วสูง

                       "ก็...ก็มันถูกพี่ลูคัส.....ตะ...แต่.....มะ..มันยังไม่ตาย ใช่มั้ยคิล เรนอน.....ใช่มั้ย" หล่อนเงยหน้าถามร้อนใจ จนคนที่ดูอยู่เห็นใจ มันไม่ห่วงตัวเองเลยหรอไง ไม่รู้ตัวหรอไงว่าตอนที่เป็นลมน่ะ หัวมันดิ่งลงมาโหม่งโลกแรงแค่ไหน ถ้าไม่เพราะไอ้โรมันรีบหามร่างมันมาที่ห้องพยาบาลในขณะที่ทุกคนตะลึงกันอยู่ ป่านนี้มันคงตายเพราะเสียเลือดมากเกินไปแล้ว คิลกับเรนอนมองหน้ากันเล็กน้อย

                       "ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ตอนนี้คุณคาโลนอนพักอยู่ที่ห้องค่ะ ปลอดภัยแล้วแค่แขนหัก...."

                       ปัง!!!

                       "อ้าว....ยังพูดไม่ทันจบเลย" เรนอนส่ายหน้าน้อยๆ หากใบหน้านั้นกับยิ้มบางๆ เพราะห่วงถึงได้กังวล เพราะรักถึงได้ห่วงหามากกว่าใคร

                       "เฮ้อ...ไอ้คาโลมันคงเหนื่อยน่าดู ได้ราชินีแบบมันเนี่ย" ตาสีม่วงปรากฏรอยยิ้ม ขณะที่มองไปยังประตูห้องพยาบาลที่เพิ่งปิดลงไปด้วยฝีมือของคนป่วยที่เพิ่งจะหายได้ไม่ดีนัก

                       "ไม่มั้งคะ ฉันว่า...ทั้งสองคนเข้ากันดีออก คนนึงร้อน คนนึงเย็น ต่างฝ่ายต่างรักษาสมดุลของแต่ละฝ่ายไว้ ชักอยากเห็นลูกของสองคนนั่นแล้วสิ" คิลหัวเราะหึๆ เขาเองก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าลูกของคนที่นิสัยต่างกันสุดขั้วแบบนี้จะออกมาเป็นแบบไหน

    ----------------------------------------------------

                       ปัง!!!

                       เสียงประตูกระแทกกำแพงโครมใหญ่นั้นไม่ได้ทำให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงกว้างรู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียว เฟรินมองร่างนั้นที่อยู่ในสภาพที่เธอเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า 'มัมมี่' แขนขวาถูกห่อด้วยเฝือก แขนซ้ายถูกพันด้วยผ้าพันแผลตั้งแต่ต้นแขนไล่ลงมาถึงข้อมือ ลำตัวแม้จะสวมเสื้อผ้าก็บอกได้เลยว่าบาดแผลนั้นสาหัสขนาดไหน น้ำใสๆ หยาดหยดลงกระทบกับผ้าปูที่นอน บุคคลที่เธอเชื่อเสมอว่าจะไม่มีทางแพ้ผู้ใด ตอนนี้...กลับต้องมาอยู่ในสภาพของคนที่เจ็บหนัก

                       "ไอ้บ้า...ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามใจอ่อน เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ถึงไม่ยอมเอาจริง" เสียงหวานเครือแผ่วเบา แม้จะไม่ได้ลงไปช่วยสู้ หาก...แค่เห็นมันในสภาพแบบนี้แล้วก็เจ็บราวกับพบเจอกับเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง มือเรียวค่อยๆ เอื้อมไปสัมผัสใบหน้าที่ซีดขาวไม่ได้สตินั้นแผ่วเบา มันซีดจนน่ากลัว อีกมือหนึ่งเลื่อนไปกุมมือที่วางนิ่งสนิทอยู่ข้างตัวก่อนจะยกมันขึ้นมาแนบที่ใบหน้า ราวกับต้องการให้มันส่งผ่านพลังชีวิตไปให้เขาได้บ้าง

                       "ฉันเคยพูดกับแก ว่าถ้าแกตายฉันจะฆ่าแก เพราะฉะนั้น...ตอนนี้แกห้ามตายนะคาโล ไม่อย่างนั้นฉันจะลงไปลากวิญญาณแกขึ้นมาจากนรกเอง" เสียงเคาะประตูด้านหลังทำให้เฟรินต้องปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะหันไป อาจารย์วิงกี้เลิกคิ้วแปลกใจ นี่เธอกำลังเห็นอดีตตัวแสบประจำโรงเรียนร้องไห้อย่างนั้นหรอเนี่ย เฟรินลุกขึ้นยืนช้าๆ ขณะที่อาจารย์เดินเข้ามาดูอาการใกล้ๆ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแปลกใจ

                       "ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ราวๆ อีก 3-4 ชั่วโมงคาโลก็จะฟื้น เหลือแต่กระดูกที่แขนที่ต้องใช้เวลาสมานตัวซักหน่อย" เธอหันไปพูดกับศิษย์เก่าที่ปรับสีหน้าดีขึ้นบวกกับคำวินิจฉัยอาการเมื่อครู่

                       "ขอบคุณอาจารย์นะฮะ ถ้าไม่ได้อาจารย์ ไอ้คาโลมันคงได้ไปเที่ยวเมืองผี" ว่าแล้วก็หัวเราะลั่นตามแบบฉบับของคนที่ไม่เคยทุกข์ร้อนจนอาจารย์วิงกี้ส่ายหน้าระอา มันคิดจะเศร้าให้นานกว่านี้ไม่ได้หรอไง รู้งี้ไม่น่าบอกเลย หลังจากที่ซักถามอาการของเฟรินที่หมดสติไปสามชั่วโมงอยู่ครู่หนึ่งอาจารย์ก็ออกจากห้องไป เฟรินถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะนั่งลงมองร่างที่นอนอยู่บนเตียง เอื้อมไปกุมมือใหญ่นั้นไว้อีกครั้ง

                       "แกต้องรีบๆ ฟื้นนะคาโล ไม่อย่างนั้นฉันจะหนีกลับเดมอสจริงๆ ด้วย"

                       "ไม่ได้" เสียงท้วงเย็นชาที่เคยได้ยินหลุดออกมาจากริมฝีปากที่ซีดเผือดนั่น เฟรินสะดุ้งเฮือก มันฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ตาสีฟ้าค่อยๆ ลืมขึ้นสบตาหล่อน ตาสีฟ้าคู่เดิมที่เต็มไปด้วยความเย็นชาหากแฝงความอ่อนโยนทุกครั้งที่มองมาทางหล่อน

                       "แกเป็นภรรยาฉัน แกต้องอยู่กับฉันที่คาโนวาล" ไอ้น้ำเสียงแบบเดิมๆ ทำให้คิ้วบางกระตุกเล็กน้อย หนอยย...พอฟื้นมาก็หาเรื่องฟาดปากกันเลยเรอะ

                       "แต่ฉันมีพ่ออยู่ที่เดมอส ไอ้จะกลับไปหาพ่อบ้างก็ไม่เห็นจะแปลก" แววตาเย็นชาวูบไหวไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

                       "นั่นสิ ตั้งแต่เรื่องแต่งงานฉันก็บังคับแกมาตลอด บางที...แกคงเบื่อ........" เฟรินอึ้งไป นี่มันงอนหรอวะ คนอย่างไอ้คาโลที่ทำตัวเป็นภูเขาน้ำแข็งอยู่ชั่วนาตาปีเนี่ยนะ งอน!! คิดแล้วก็อดขำกิ๊กขึ้นมาไม่ได้

                       "ฮะๆๆ นี่แกงอนหรอคาโล ฮ่าๆๆๆ........" เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะขำด้วย เธอจึงค่อยๆ เงียบลง นี่มันเอาจริงหรอเนี่ย

                       "ไว้จะกลับเมื่อไหร่ก็บอกก็แล้วกัน แล้วฉันพาไปส่งถึงเดมอส ราตรีสวัสดิ์" เอ่ยจบก็หลับตาลง ไอ้บ้า! คิดเองเออเองหมด มีที่ใครที่ไหนที่ยอมแต่งงานกับคนที่เขาไม่รักบ้างเล่า!! เฟรินตะโกนด่าอยู่ในใจ เดินไปกระแทกตัวนั่งลงที่ริมหน้าต่าง เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ตาสีน้ำตาลค่อยๆ เหลือบมองสามีทางนิตินัยของเธอเป็นระยะๆ จะว่าไป...เธอเองก็ชอบพูดว่าจะหนีกลับเดมอสอยู่ประจำ จนกลายเป็นคำติดปากไปซะแล้ว อีกอย่าง...เรื่องคราวนี้ก็เหมือนเธอเป็นคนผิดกลายๆ เพราะเธอเป็นคนสั่งให้คาโลเป็นเบี้ย แถมเวลามันไม่สบายยังไปกวนประสาทมันอีก

                       "คาโล" เรียกเสียงแผ่วเกร็งๆ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหลับรึยัง

                       "จะกลับวันไหนล่ะ" เสียงทุ้มเย็นนั่นเอ่ยขัดคนที่อ้าปากกำลังจะพูดชวนให้สติที่มีน้อยอยู่แล้วให้ขาดผึงลง เฟรินก้าวจ้ำมาข้างเตียง ก่อนจะกระโดดขึ้นคร่อมกษัตริย์แห่งคาโนวาลในแบบที่ไม่มีใครกล้าทำ (แต่เธอทำได้--คนเดียวเท่านั้น) มือเรียวทั้งสองกระชากคอเสื้อแรงไม่สนใจบรรดาบาดแผลตามตัว คาโลลืมตาขึ้นช้าๆ ไม่ได้แสดงสีหน้าเจ็บแผลให้เห็น ก่อนจะค่อยๆ เค้นเสียงกัดฟันถาม

                       "ฟังนะ คาโล วาเนบลี คุณสามีสุดที่รัก ลองใช้สมองเย็นๆ เห็นน้ำแข็งในหัวนายคิดเอานะ ว่าไอ้คนอย่างเฟริน เดอเบอร์โร หัวขโมยที่ไม่ชอบให้ใครมาบังคับจะยอมให้นายจับแต่งงานง่ายๆ โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นหรอไง"

                       "ใช่.. ยิ่งถ้าเป้าหมายอยู่ที่สมบัติภายในวังของคาโนวาลด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรที่นายจะละโอกาสดีๆ แบบนี้" โว้ยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!! ไอ้บ้านี่ โดนเถาวัลย์รัดแขนหักแล้วกระเทือนไปถึงเส้นประสาทส่งตรงไปยังสมองหรอไงฟะ!

                       "ไอ้บ้า!!! ไอ้สมบัติบ้าๆ พวกนั้นน่ะ ฉันไปขอพ่อเอวิเดสเอาก็ได้ แต่ที่ฉันยอมแต่งงานกับนายก็เพราะ ฉันรักนาย! ได้ยินมั้ย ไอ้น้ำแข็...." ประโยคสุดท้ายถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่อถูกปิดด้วยริมฝีปากร้อนของอีกฝ่าย ความโกรธ ความน้อยใจ ความรำคาญหายไปอย่างรวดเร็ว หัวสมองขาวโพลนไปหมด นาน...กว่าที่คาโลจะถอนริมฝีปากออกมา

                       "รู้มั้ยฉันรอคำนี้จากเธอมานานแค่ไหน" รอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้หัวใจเธอเต้นแรงระบายขึ้นบนใบหน้านั้น เฟรินหน้าแดงเถือกด้วยความอาย เมื่อกี้เพิ่งจะโมโหตะโกนด่ามันไป แต่ตอนนี้กลับคิดอะไรไม่ออก ลืมหมดแล้วว่าตัวเองจะพูดอะไร

                       "แล้วไอ้ที่อยู่ด้วยกันมานี่ไม่รู้หรอไง" เถียงขวับหลบสายตานั่น รู้ตัวว่าตอนนี้หน้าตัวเองแดงขนาดไหน หากกลับถูกจับให้หันมาสบตาเหมือนเดิม

                       "รู้...แต่อยากได้ยิน" รู้ดีด้วยว่าถ้าถามไปตรงๆ คนตรงหน้าก็คงไม่พูดออกมาง่ายๆ ถึงได้อยากฟังไงล่ะ เพราะมันไม่ได้ถูกเอาออกมาใช้พร่ำเพรื่อ...เป็นคำที่เธอคนนี้ให้ความสำคัญ

                       "รู้มั้ย...ตอนที่ได้ยินเสียงกระดูกแกหัก ฉันแทบอยากจะตัดคอพี่ลูคัส แต่กลับเป็นลมไปซะง่ายๆ" เฟรินพูดช้าๆ ตายังคงจ้องมองดวงหน้าของผู้เป็นที่รัก คาโลยิ้มบางๆ พยักหน้า ตั้งใจฟังสิ่งที่เธอพูด

                       "ฉันคิดว่าแก...จะตาย ตอนนั้นน่ะ มันร้าวไปหมดทั้งตัว รู้ว่าต้องลงไปช่วย แต่...กลับทำอะไร...ไม่.....ได้" แล้วน้ำตาใสๆ ก็ไหลรินลงมาราวกับทำนบแตก ความหวาดกลัวยามนั้น คนที่รู้ดีที่สุดคือเธอคนเดียว กลัวว่าต้องอยู่โดดเดี่ยว กลัวว่าจะต้องเสียคนๆ นี้ไป แค่นั้นก็ห้ามน้ำตาไม่อยู่แล้ว

                       "ช่วงที่สลบไป ฉันฝัน....ฝันว่านายกำลังเดินไป แม้ว่าจะวิ่งตามเท่าไหร่ก็ไม่ทันซักที พอตามจะทัน นายก็หันกลับมา...ด้วยหน้าที่โชกเลือดเต็มไปหมด แล้ว..ตอนที่เห็นสภาพนายครั้งแรก มันเหมือนกับฉันก็เจอเหตุการณ์แบบนาย ฮึก..." เสียงสะอื้นแผ่วเบาค่อยๆ ดังคาโลจูบซับน้ำตาเบาๆ แล้วดึงตัวเฟรินเข้ามากอด

                       "ฉันยังอยู่กับนาย เฟริน ตรงนี้ ตอนนี้ และในอนาคตก็ด้วย จะไม่ทิ้งนายไปไหน" เธอพยักหน้าช้าๆ แต่เอ๊ะ....มันทะแม่งๆ เมื่อกี้เราก็กระโดดขึ้นมาทับมัน แถมยังกระชากคอมันอีก ทำไมเหมือนมันไม่ได้เป็นอะไรเลย

                       "เอ้อ...แผลนาย......" คาโลมองผ้าพันแผลรอบตัวก่อนจะหันมาตอบ

                       "อ๋อ หายแล้วน่ะ ยาของห้องพยาบาลบวกกับเวทย์รักษาของอาจารย์วิงกี้ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ"

                       "...........................................นี่แกหลอกฉันหรอ!!!" ฉากหวานๆ เมื่อครู่ถล่มล้มครืนลงมาทันที เฟรินยันกายขึ้นเตรียมลุกหนี หากแขนใหญ่กลับโอบกระหวัดเข้าที่เอวบางๆ นั้นไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกแรงเล็กน้อย ร่างบางนั้นก็กลับลงมานั่งแหมะในท่าเดิม ไม่ต้องรอให้ปากบางๆ นั่นได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเคย คาโลก็ประกบจูบลงไปทันที

                       "ไม่ได้หลอก แค่อยากฟังนายบอกรัก" ว่าแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ในแบบที่ทำให้หัวใจเต้นแรงหนักกว่าเก่า

                       "ก็บอกไปแล้วก็ปล่อยซะทีสิ" แขนบางๆ เริ่มดันหน้าอกกว้างนั้น คาโลกระชับแขนเข้ามาอีก...ใกล้เสียจนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่ปะทะกับใบหน้า

                       "แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้นายมาอย่างสมบูรณ์กันนะเฟริน" คำถามนั้นทำเอาหน้าที่แดงอยู่แล้วแทบระเบิดออกด้วยความเขิน ไอ้โรคจิต! ปากอ้าจะด่าแต่ก็ถูกปิดลงทันที ความอ่อนโยนรสหวานแผ่เข้าสู่ปลายลิ้นก่อนที่คาโลจะผละออกมายิ้มให้

                       "ฉันรักนายเฟริน.." คำบอกรักที่แม้จะเคยฟังหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเติมเต็มกับมันเลย มีแต่โหยหาและต้องการที่จะฟังอยู่เสมอ เฟรินยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้ม รอยยิ้ม...ที่มีให้คนๆ นี้เพียงคนเดียว ก่อนจะดึงใบหน้าคมนั้นลงมาประทับจูบอย่างเต็มใจ สายลมหนาวเย็นยามค่ำคืนโชยพัดเข้ามาในห้อง หาก...ไม่ทำให้สองร่างที่บรรเลงบทเพลงรักในค่ำคืนนี้ได้หนาวเหน็บอย่างแน่นอน


    ****************************TBC.....
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×