คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : บทที่ 20 : สูญเสีย..อีกครั้ง
เสียงเฮลั่นดังมาจากที่ไกลๆ ชวนให้ใจที่สมควรจะสงบเงียบหรือเศร้าสร้อยให้ฮึกเหิมอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกที่ห่างหายไปนานเริ่มค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในตัวเฟรินที่เดินวนเป็นหนูติดจั่นอยู่ในกระโจมห่างจากสมรภูมิรบออกมาค่อนข้างไกล และแน่นอน...เพื่อไม่ให้เป็นการเสี่ยงต่อชีวิตราชินีแห่งคาโนวาลที่กำลังอยู่ในช่วงวิกฤติจึงจำเป็นต้องมีผู้คุ้มกัน ซึ่งก็ไม่พ้น นักฆ่าอารมณ์ดีจากซาเรส และขอทานกิตติมศักดิ์จากทริสทอร์ที่ตอนนี้กำลังประชันหมากรุกไม่ใส่ใจคนที่ตัวเองต้องให้ความคุ้มครองแม้แต่นิดเดียว
"รุกฆาต" เสียงดังเบาๆ จากผู้ที่นิยมลับฝีมือกับทายาทเดอะเชสมาสเตอร์พร้อมกับคิงของอีกฝ่ายถูกรุกฆาตตามคำพูด โรยกชาขึ้นดื่ม คิลเองก็ใช่จะฝีมือไม่ดี เพียงแต่...เขาดันไปเจอคนที่ฝีมือดีกว่าแค่นั้นเอง
"อีกกระดาน" รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นกับผู้ถูกท้า
"นี่มันกระดานที่ 7 แล้วนะคิล ไม่เบื่อบ้างหรอไง" ชักเริ่มเข้าใจความรู้สึกเฟรินมันขึ้นมานิดๆ แล้วแฮะ ตาสีเขียวเหลียวไปมองร่างบางที่ยังคงเดินวนไปวนมาตั้งแต่ถูกย้ายตัวมาที่นี่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
"แล้วแกจะเดินอีกนานมั้ย" ตาสีม่วงตวัดมองพลางถามเคือง อารมณ์บูดเนื่องจากแพ้กราวรูดเจ็ดกระดาน เฟรินหันมามองเพื่อนสองคนเล็กน้อยแล้วก้าวจ้ำนั่งผลุบลงตรงกลาง
"ก็คนมันเบื่อนี่หว่า ฉันล่ะไม่เข้าใจเล้ยยย ไอ้พวกทหารที่ส่งเสียงเฮนั่น ทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจจะตายแต่ก็ยังพุ่งเข้าหากันแบบนั้น" คำตอบเรียกเสียงหัวเราะจากคนรู้มากที่นั่งกินขนมสบายใจอยู่ จนคนพูดต้องหันไปมองงงๆ ว่ามันหัวเราะทำไม
"แกอยู่คาโนวาลมาก็ตั้งนาน ยังไม่รู้นิสัยอีกหรอไง" เฟรินส่งเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ ก่อนจะตอบบ้าง
"ไอ้รู้น่ะมันรู้ อย่างที่ฉันบอก มันไม่เข้าใจต่างหากโว้ย รู้ว่าไอ้นิสัยที่ว่า หน้าที่ต้องมาก่อนน่ะ มันเป็นกันทั้งประเทศ ยิ่งโดยเฉพาะไอ้ตัวหลักๆ ในวังน่ะไม่ต้องพูดถึง แต่นี่มันเรื่องความเป็นความตายนะ ไม่ใช่เรื่องหน้าที่ในเวลาปกติ"
"หน้าที่ก็คือหน้าที่ ทหารหนีทัพคืออัปยศ กษัตริย์ทิ้งประเทศคือทรราชย์ ฉันคิดว่าแกน่าจะได้ฟังประโยคนี้จากคาโลจนเบื่อแล้วซะอีก" คิลหัวเราะคิกคักเบาๆ อย่างถูกใจ หากอีกคนที่เป็นผู้ฟังกับหน้าแดงเล็กๆ
"อย่าพูดเหมือนกับฉันตัวติดกับมันตลอดอย่างนั้นได้มั้ย" เสียงบ่นอุบอิบเบาๆ ทำให้คนที่หัวเราะอยู่แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
โครม!!
เสียงกระดานหมากรุกน่าสงสารกระแทกกับตู้อย่างแรงด้วยฝีมือของคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เขินจัด ที่ทำเอาคิลหลบวืดแทบไม่ทัน
"ไอ้บ้า! ซัดมาได้ ถ้าโดนหัวจะว่ายังไง" โวยใส่อย่างเหลืออด แต่คนที่ซัดใส่นั้นกลับฉีกยิ้มได้อย่างน่าหมั่นไส้
"โทษที มันใกล้มือว่ะ" นี่ถ้าอยู่ในป้อมอัศวินคงเกิดสงครามหมอนขึ้นแน่ๆ ผิดกันก็แต่ที่นี่ไม่ใช่ป้อมอัศวิน ไม่ใช่ห้องนอนหัวหน้าชั้นปี และ...ไม่ใช่เอดินเบิร์ก
"แล้วนี่ฉันต้องทนอยู่ในกระโจมแบบนี้จนถึงเมื่อไหร่กันเนี่ย"
"ก็เมื่อสงครามจบลงน่ะสิ" คำตอบที่ทำให้ทุกเสียงเงียบลง ก่อนที่คำเปรยจากเจ้าตัวต้นเรื่องจะเรียกความเครียดให้พุ่งขึ้นอีกครั้ง
"สงครามจบ...หวังว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงด้วยนะ"
----------------------------------------------------
ตาสีน้ำตาลจับจ้องที่ใบหน้าขาวคมที่นั่งขมวดคิ้วอยู่ร่วมชั่วโมงเงียบๆ ไอ้คนที่ถูกมองก็ไม่มีทีท่าจะรู้ตัวซักที เฟรินถอนหายในเฮือกเบาๆ ความตั้งใจที่จะพูดเรื่องที่เธอถูกขังอยู่ในนี่เป็นอาทิตย์แล้วต้องพับเก็บไปทันที เมื่อเห็นสภาพของผู้นำทัพแห่งคาโนวาล จริงอยู่ที่มันไม่ได้ลงอยู่ทัพหน้าเพราะฝีมือดาบไม่เอาอ่าว แต่การคุมทัพใหญ่แบบนี้มันก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นเหมือนกัน เฟรินเท้าคางกับโต๊ะใหญ่ สายตาเหม่ออกไปนอกกระโจมพักผ่านช่องว่างระหว่างม่านเล็กๆ อย่างใจลอย โดยไม่รู้ตัวว่าคนที่เคยถูกมองบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นฝ่ายจ้องแทนซะแล้ว คาโลมองร่างบางที่นั่งเหม่อเงียบๆ ในใจกังวลกับผลของสงคราม หากที่หนักใจกว่านั้นคือเรื่องของเจ้าตัวดีตรงหน้า
ในตอนนี้คนที่ยึดหน้าที่มาก่อนแบบเขาดูจะรู้สึกเห็นผู้หญิงสำคัญกว่า...น่าขำ
หรือบางที...มันคงเป็นมาตั้งแต่เจอมันครั้งแรกก็เป็นได้
"นี่คาโล...เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง" เสียงเรียกสติให้คนที่เผลอเหม่อไปกับเขาได้สติกลับมามองคนถาม
"โรไม่ได้บอกหรอไง" เฟรินหัวเราะเสียงดัง ไอ้นี่บทจะพูดบางครั้งก็คมยิ่งกว่าไอ้ห้องสมุดเคลื่อนที่ซะอีก
"บอก...แต่ฉันอยากฟังจากปากแกที่ไปคุมทัพหน้ามากกว่า" ตาสีฟ้าเหลือบมองอย่างไม่เชื่อคำพูดซักเท่าไหร่นัก แต่ก็ยอมเปิดปากเล่าแต่โดยดี
"ดูเหมือนโคมิเน่จะมีกำลังพลมากกว่าที่คำนวนเอาไว้ คงคิดจะตีคาโนวาลในเร็ววันนี้อยู่แล้ว แต่บังเอิญไปเจอเหตุการณ์นั่นเข้า" ทั้งสองคนเงียบไปเมื่อนึกถึงชนวนสงครามที่ไม่ควรจะขึ้น
"แกคิดว่านั่นเป็นน้องชายไอ้กษัตริย์ชั่วนั่นจริงหรอ" คิ้วเข้มๆ ขมวดเข้าหากัน .ใช่ว่ามันจะสงสัยอยู่คนเดียว เขาเองก็คิดเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว
"ไม่รู้ แต่เท่าที่ดูศพนั่นคือเจ้าชายกริสเจียนจริงๆ" คำตอบที่ขัดแย้งกันเองทำให้เฟรินฉีกยิ้มกว้าง ในเมื่อไอ้คนตรงหน้ามันก็คิดแบบเดียวกับเธอ
"ท่าทางมันจะกระหายสงครามเหลือเกิน" คาโลมองหน้าคนพูดแวบนึง ปากขยับจะพูดบางอย่าง แต่ก็ยั้งไว้เสียก่อน เฟรินเองก็มัวแต่คิดนู่นคิดนี่จึงไม่ทันสังเกต
"นายควรจะกังวลเรื่องตัวเองมากกว่าเฟริน"
----------------------------------------------------
"เฟรินล่ะ" นักฆ่าแห่งซาเรสเอ่ยถามคนที่แหวกผ้าที่ปิดเป็นประตูกระโจมเข้ามาในที่พักของตนกับคนข้างๆ
"หลับไปแล้ว" คาโลนั่งลงยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่เงียบๆ โรเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมามองแล้วถาม
"คิดว่าสงครามนี้จะจบลงแบบไหนคาโล" คนที่กำลังคิดหนักหันมามองนิ่ง ตาสีเขียวเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย
"ชัยชนะจะต้องเป็นของคาโนวาล" โรพยักหน้าเนิบๆ แล้วยิ้ม...ยิ้มในแบบที่คนที่เห็นไม่ชอบซักเท่าไหร่นัก รอยยิ้มที่ดูเหมือนจะรู้ทันความคิดไปหมดทุกอย่าง
"นั่นสินะ คาโนวาลออกจะมีทหารที่มีฝีมืออยู่มากมาย.." โรเงียบเสียงลง ตาสีเขียวเป็นประกายอยากลองดี ขณะที่คาโลนั้นยังคงนั่งเฉย หากอารมณ์นั้นเริ่มกรุ่นขึ้นมาเป็นลำดับ
"สูญเสียไม่กี่ร้อยไม่กี่พันคนคงไม่กระทบกระเทือนถึงคาโนวาลหรอก" ความจริงที่เขาพยายามปฏิเสธถูกขุดขึ้นมาพูด เรียกสีหน้าไม่พอใจซักเท่านักให้ปรากฏ ขณะที่คนพูดนั้นกลับหัวเราะเบาๆ เหมือนเป็นเรื่องสนุก
"สงครามต้องมีการสูญเสียบ้าง ทหารตายในหน้าที่ถือว่าตายอย่างมีเกียรติ" คำพูดเดิมๆ หลุดจากปากเจ้าชายที่ตอนนี้เปลี่ยนกษัตริย์ไปแล้ว คิลหัวเราะคิกคักถูกใจ ขอทานอวดดีพยักหน้ารับ
"ถูก...การตายในสงครามถือว่ามีเกียรติ แม้ว่า...ต้นเหตุสงครามนั้นจะเป็นผู้หญิงก็ตาม" คำซ้ำเติมจี้จึกเข้าไปกลางใจเข้าแผลเดิม ไอเย็นแผ่จากคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าบ่งบอกถึงสภาพอารมณ์ และบางทีมันคงกลายเป็นพายุหิมะถ้าคิลไม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน
"ว่าแต่แกเถอะคาโล มานี่มีเรื่องอะไรรึปล่าว" ไอเย็นๆ ที่ถูกก่อขึ้นค่อยๆ สงบลง ตาสีฟ้าหันมามองหน้าเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อารมณ์ดีตลอดศก ยิ่งถ้าวันไหนมันเห็นเพื่อนของมันปวดหัวมันจะยิ่งอารมณ์ดีหนัก
"มันเป็นยังไงบ้าง" คำถามสั้นๆ เรียกรอยยิ้มกวนๆ จากคนฟัง
"ก็ดีนี่ ทำตัวดี ไม่ออกไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่งอแง ถึงจะมีบ่นบ้างเวลาที่โรมันขอแข่งหมากรุกอีกกระดาน นอกนั้นก็เดินเล่นในกระโจมกับซัดข้าวอีกสองสามจานแค่นั้นเอง" แจงสั้นๆ มือก็สำรวจมีดสั้นคู่ใจที่บางทีอาจจำเป็นต้องใช้ คาโลพยักหน้ารับรู้
"ระวังไว้หน่อยก็ดี" เสริมต่ออีกนิดให้คนฟังฉีกยิ้ม นี่ถ้าไม่รู้จักมันมานานคงต้องเข้าใจว่ามันโคตะระจะเย็นชาเลย ทั้งๆ ที่ภรรยาตัวเองกำลังถูกลอบฆ่าแต่ดันไสหัวไปอยู่ทัพหน้าแล้วฝากภรรยาไว้กับคนอื่นแบบนี้
"นั่นน่าจะเตือนตัวเองไม่ใช่หรอไง" โรพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันนิ่ง ก่อนที่กษัตริย์น้ำแข็งจะโต้กลับ
"นายเองก็เหมือนกัน ความผิดหากปกป้องนายไม่ได้...ก็ไม่ต่างกับตัวเกะกะตัวนึงเท่านั้น" ประกายตาสีเขียววาวโรจน์ด้วยแรงโทสะ หากน้ำแข็งที่ชอบจุดเชื้อเพลิงให้กับเขากลับเดินออกไปเงียบๆ คิลมองโรสลับกับม่านผ้าแล้วส่ายหน้าหน่ายๆ
...มันจะเถียงกันไปเพื่ออะไร...
----------------------------------------------------
คาโลยืนนิ่งอยู่อย่างนี้มานานเป็นชั่วโมงแล้ว เบื้องหน้าคือสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยเลือดและศพของเหล่าทหารกล้าตายทั้งของคาโนวาลและโคมิเน่ หากความสนใจนั้นไม่ได้พุ่งอยู่ที่สนามรบกลับจดจ่ออยู่ที่เต๊นท์คนคุมทัพของอีกฝ่ายมากกว่า นับตั้งแต่เช้านี้ที่เริ่มสงครามกันอีกระลอก...กษัตริย์เนเฟลที่หกไม่ได้ออกมาเลย
...น่าแปลก...
"กราบทูลฝ่าบาท ตอนนี้ทัพหน้าของโคมิเน่เริ่มแตกถอยร่นกลับเข้าฝั่งชายแดนไปเรื่อยแล้วพะยะค่ะ" หัวหน้านายกองตรงดิ่งเข้ามารายงานผล หากคำถามถัดมาของคนที่ไม่ค่อยพูดทำให้เขาต้องงงไป
"กษัตริย์เนเฟลเป็นคนคุมทัพใช่มั้ย"
"อ่ะ..เอ่อ วันนี้คนคุมทัพดูเหมือนจะเป็นแม่ทัพของโคมิเน่พะยะค่ะ" คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันที มันผิดปกติเกินไปแล้ว กษัตริย์เนเฟลที่ถือได้ว่าเป็นนักรบคนหนึ่งจะหดหัวอยู่แต่ในเต๊นท์นั่นไม่น่าจะเป็นไปได้
...หรือจะมีแผนอย่างอื่น...
----------------------------------------------------
"เท่าที่ดูยังไงคาโนวาลก็ชนะอยู่แล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังดื้อดึงจะทำสงครามต่อนะ" คิลเปรยหันมาหาคนที่นั่งวิเคราะห์หมากรุกอยู่ให้ตอบ
"คงแค้นมั้ง น้องชายตายทั้งคน" หากคนฟังกลับขมวดคิ้วมุ่นเดินมานั่งยังตำแหน่งตรงข้าม
"กษัตริย์ที่ยอมสูญเสียไพร่พลไปจำนวนมากเพื่ออำนาจนี่...ยังมีจิตใจที่คิดจะรักน้องด้วยหรอ" โรเงยหน้าขึ้นสบตาสีม่วงที่เคร่งเครียดนั้น หากผ้าม่านที่กันเป็นประตูก็ถูกเปิดออกขัดจังหวะไว้เสียก่อน คาโลกราดสายตาไปรอบๆ แล้วต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน
"เฟรินไปไหน"
"..............."
"..............."
"มันไปไหน" น้ำเสียงเย็นๆ ร้อนรนมากขึ้นหากเจ้าตัวก็เหมือนจะรู้ดีจึงพยายามสะกดเอาไว้ แม้ว่ามันจะตบตาอีกสองคนไม่ได้ก็ตาม แผนของกษัตริย์เนเฟลคืออะไร...ถึงขนาดที่ยอมทิ้งเกียรติของนักรบไม่ลงสมรภูมิ
"เมื่อกี้มันบอกจะไปห้องน้ำ แล้วลากทหารไปคนนึง" คิลเอ่ยเสียงแผ่ว ตาสีฟ้าฉายแววตระหนกอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ร่างสูงเผลอสบถออกมาก่อนจะพุ่งออกจากกระโจมไปพร้อมกับอีกสองคนที่พอจะเดาอะไรได้เลาๆ
----------------------------------------------------
เคร๊ง!!!
เสียงดาบปะทะมีดสั้นดังสนั่นไปทั่ว หากเสียงเฮลั่นจากทัพหน้านั้นกลับดังกว่าจนกลบเสียงปะทะจนหมด ร่างสองร่างที่ต่างผลัดกันรุกรับมาครู่ใหญ่ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยหอบ ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะมีฝีมือมากขนาดนี้ เฟรินปาดเหงื่อที่คอออกลวกๆ ตาสีน้ำตาลจับจ้องอยู่ที่นักฆ่าที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดยื่นมีมาจะปาดคอเธอซะให้ได้ แต่ไอ้ทหารที่มาด้วยกลับกระโจนเข้ามาขวาง ผลก็คือ นอนแผ่คอบากเป็นทางยาวอยู่บนพื้นโน่น
ไม่น่าหนีออกมาเดินเล่นเลยเรา
เฟรินสบถกับตัวเองเบาๆ ขณะที่หัวสมองเริ่มหาทางหนีทีไล่ ไอ้หมอนี่มันเก่ง ไว แถมดักทางได้หมด อย่าว่าแต่จะหนีเลย แทบไม่มีช่องว่างให้โต้กลับด้วยซ้ำ หญิงสาวผ่อนหายใจลงช้าๆ พยายามรวบรวมสติให้มั่นไว้ มันต้องมีสิ
...กฏข้อแรกของขโมย มองให้เห็นถึงโอกาสในทุกสถานการณ์ที่เผชิญ...
นักฆ่าแห่งซาเรสยืนรออย่างสงบ แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าฝีมือของคนตรงหน้านี้น่ากลัวและที่เจ็บใจหนักคือ...ฝีมือที่น่ายกย่องนี้คือผู้หญิง!! หูที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีแว่วเสียงฝีเท้าที่ย่ำมาแต่ไกลให้พับเอาอาการนิ่งนั้นเก็บไป มือซ้ายหยิบมีดสั้นอีกเล่มขึ้นมาถือไว้
"คงจะปล่อยให้ยืดเยื้อกว่านี้ไม่ได้แล้ว ขออภัยนะฝ่าบาท" ขาดคำร่างของนักฆ่าก็หายไปจากการมองเห็นของเฟริน ประสาทโต้ตอบที่เพิ่งถูกรื้อฟื้นขึ้นมาไม่นานสั่งให้กระโดดไปข้างหน้า มีดสั้นจึงปาดไปได้เพียงเส้นผมสีน้ำตาลสลวยนั่นเท่านั้น เฟรินยืนหอบเล็กน้อย ที่มันพูดอย่างนี้แสดงว่ามีคนกำลังมาตรงมาทางนี้ กลีบปากบางกระตุกยิ้มขึ้นอย่างพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร ที่เหลือก็แค่...ถ่วงเวลาให้ไอ้พวกบ้าสามคนนั่นมาถึงก่อนที่คอของเธอจะขาด
"นี่...ใครจ้างแกมาฆ่าฉันกับลูกกันแน่" คนฟังเลิกคิ้วสูงที่จู่ๆ เหยื่อก็ชวนคุยกันง่ายๆ ไม่ได้มีทีท่าร้อนใจเหมือนเมื่อครู่แม้แต่น้อย
"จะรู้ไปทำไมในเมื่อเดี๋ยวก็จะตายแล้ว" เฟรินปักดาบลงกับพื้นขยี้ผมที่ตอนนี้สั้นกุดเบาๆ อย่างรำคาญ ก่อนจะฉีกยิ้ม
"โธ่...คนเราน่ะจะตายมันง่ายซะยิ่งกว่าอะไรดี แต่จู่ๆ จะให้ตายโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่งมาฆ่าเนี่ย มันออกจะใจดำอยู่หน่อยว่างั้นมั้ย" ถามกลับเสียงสูงเรียกเสียงหัวเราะให้กับนักฆ่าลึกลับนั้น
"คนที่ใจดำน่าจะเป็นฝ่าบาทมากกว่ามั้ง ลูกสองคนตายยังไม่เห็นอาการเศร้าโศกที่ฉายออกมาชัดๆ" คำพูดสะดุดอารมณ์ของคนที่กำลังพยายามหาทางออก มือบางๆ เผลอกระชับดาบขึ้นมา เมื่อเห็นอย่างนั้นคนพูดก็เสริมต่อ
"อย่างน้อยก็น่าจะมีอาการคลั่งเหมือนพ่อแม่ทั่วไป แต่นี่เห็นศพที่แหลกเหลวขนาดนั้นยังไม่มีน้ำตาออกมาซักหยดให้ประชาชนเห็น...อย่างนี้ไม่เรียกว่าใจดำก็คงจะเป็นอำมหิตกระมัง"
ฟึ่บ!!
รอยแผลบาดเป็นทางยาวที่แก้มสร้างความตกใจให้กับคนพูดไม่น้อย ตาสีม่วงจ้องคนที่ยังคงยืนนิ่ง เมื่อครู่อีกฝ่ายแค่สะบัดดาบแค่นั้นเอง แต่กลับสร้างบาดแผลได้...วิถีแห่งดาบสินะ
"คนที่ฆ่าไอ้ลิงสองตัวนั่นคือแกสินะ" น้ำเสียงหวานเริ่มกร้าวขึ้นอย่างระงับอารมณ์
"ที่ฉันฆ่าคือเด็กผมเงิน ส่วนอีกคนคู่หูฉันเป็นคนฆ่า" ขาดคำร่างบางที่ขาดสติก็พุ่งปรี่เข้าหา เงื้อดาบเป้าหมายคือคอของคนพูดหากอีกฝ่ายก็กระโดดหลบได้ทัน เฟรินหมุนตัวกลับเผชิญหน้า ตาสีน้ำตาลปรากฏแววโทสะอย่างระงับแทบไม่อยู่ ร่างเอนไปเอนมาด้วยความเหนื่อย การใช้พลังงานในการต่อสู้ในร่างผู้หญิงดูจะสิ้นเปลืองกว่าร่างผู้ชายมากนัก เฟรินกัดฟันกรอด เพราะไอ้บ้าคาโล!!! เพราะมันริบเอาแหวนคืนไป ทำให้เธอต้องมาหอบเป็นหมาอยู่แบบนี้!!!
"เฟริน!!" เสียงเรียกที่ดังเข้ามาทุกขณะทำให้อามณ์ที่พุ่งสูงค่อยๆ ลดระดับลงมา เธอฉีกยิ้มกว้าง
"ไว้แกถูกจับ คราวนี้ต่อให้ไม่อยากบอกว่าใครเป็นคนจ้างก็ต้องยอมบอกล่ะ" หากตาสีม่วงนั้นกลับพราวไปด้วยแววขำขัน
"เสียใจด้วย...ที่มันคงไม่เป็นแบบนั้น" นักฆ่าแห่งซาเรสทะยานเข้าหาเธออย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่แทบจะไม่เหมือนกับที่สู้กันเมื่อครู่ มีดสั้นจ่อเข้าคองามระหงส์ พร้อมกับที่ร่างสามร่างได้วิ่งมาถึงพอดี
"เฟริน!!" สามเสียงตะโกนก้องเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาทันทีพร้อมกับที่ตาสีฟ้าวาวโรจน์ด้วยความโกรธ บรรยากาศเริ่มบิดเบี้ยวด้วยอำนาจของขอทานแห่งทริสทอร์ที่ไม่ต่างอะไรไปจากคนข้างๆ คิลพุ่งตัวเข้าไปหวังจะช่วยหากกลับต้องกระโดดกลับหลังเมื่อปรากฏม่านบางๆ ด้านหน้า
...อาณาเขตของใครคนนึง...
นักฆ่าหัวเราะลั่นแล้วค่อยๆ เงียบลง ตาสีม่วงจับจ้องไปยังร่างสามร่างที่ทำอะไรไม่ได้หลังอาณาเขตนั่น
"อย่าคิดว่าฉันจะมาคนเดียวสิ" คิลกัดฟันกรอดเพราะด้านเวทย์แล้วเขาแทบจะทำอะไรไม่ได้ เหลือบไปมองสองคนที่ตอนนี้น็อตหลุดซึ่งสังเกตได้จากเกล็ดที่โปรยปรายเริ่มพัดฮือเป็นพายุ กับบรรยากาศที่บิดเบี้ยวจนเวียนหัวราวกับจะถูกดูดไปยังที่อื่น ม่านตรงหน้าเริ่มปริแตกจากแรงเวทย์ของคนสองคน คิลตั้งสติอีกครั้ง ทันทีที่กำแพงเวทย์แตกเขาจะเข้าไปช่วยไอ้ตัวยุ่งนั่นซะ ที่สำคัญคือต้องกระทืบมันหนักๆ ด้วย มีที่ไหนบอกไปห้องน้ำกลับมาเถลไถลแถวนี้
"รีบจัดการเร็วๆ เข้า" เสียงกระซิบบอกผ่านมาทางจิตสัมผัสให้นักฆ่ากระชับมีเข้ากับคอ กรีดเป็นรอยบางๆ เรียกเลือดสีแดงสดให้ไหลลงมา พร้อมกับคำสุดท้ายก่อนจะลงมือปาดเส้นเลือดใหญ่ให้ขาดสะบั้น!!!
"ลาก่อนราชินีเฟลิโอน่าแห่งคาโนวาล"
----------------------------------------------------
เฮๆๆๆ
เสียงเฮที่ดังจากทัพหน้าไม่ได้ช่วยเรียกสติคนที่นั่งอยู่แม้แต่นิดเดียว พายุหิมะเริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ จนหยุดลงในที่สุด สถานการณ์ที่สมรภูมิรบเริ่มย่ำแย่เมื่อผู้คุมทัพหายตัวไป โคมิเน่เริ่มรุกหนักเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยคำป่าวประกาศคำเดียวของผู้เป็นกษัตริย์ที่ทำให้ฝั่งคาโนวาลต้องรีบหาตัวคนสำคัญกันจ้าละหวั่น
"ราชินีแห่งคาโนวาลตายแล้ว!! บั่นคอของกษัตริย์คาโลมาสังเวยให้กริสเจียนให้ได้!!!" คนที่สั่งการคนปัจจุบันตอนนี้กลับเป็นนักฆ่าที่ติดสอยห้อยตามมากับทัพ คิลเริ่มตระหนักว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว และมั่นใจยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำกล่าวของกษัตริย์เนเฟลว่าผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคือมันไม่มีผิด โชคยังดีที่สามารถยื้อไว้จนกระทั่งตะวันตกดิน โคมิเน่จึงยกทัพกลับฝั่งของตนที่สร้างกินพื้นที่ของคาโนวาลเข้ามาเรื่อยๆ
สองเท้าเดินดุ่มๆ เข้ามายังกระโจมด้านในสุดที่ไร้ซึ่งเวรยามก่อนจะแหวกผ้าม่านออก ตาสีม่วงสบกับร่างสองร่างที่อยู่บนเตียงอย่างที่ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกออกมาได้ ร่างที่เคยสง่าผ่าเผยในฐานะกษัตริย์แห่งคาโนวาลกลับดูหม่นหมอง ตาสีฟ้าที่เคยมีประกายดุให้น่ากลัวอยู่ตลอดเวลาแปรเปลี่ยนเป็นแก้วกระจกทึบ สองแขนแกร่งโอบกอดร่างหนึ่งไว้แนบอก ผมสีน้ำตาลยาวสยายที่ถูกหั่นให้สั้นลงทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วง เปลือกตาปิดสนิทราวกับกำลังอยู่ในห้วงนิทราอันสงบ หากกลีบปากที่เคยเป็นสีชมพูอิ่มนั้นกลับซีดขาวไร้ซึ่งสีเลือด เสื้อผ้าที่สวมใส่เปรอะไปด้วยเลือดจากบาดแผลที่ลำคอหญิงสาวที่ตอนนี้แห้งกรังจนน่ากลัว แต่ถึงอย่างนั้น...คาโลก็ยังไม่ยอมปล่อยร่างนั้นให้ออกห่างจากตัว
คิลก้าวเท้าเข้ามาช้าๆ หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ทันทีที่มีดสั้นนั้นปาดลงไปบนคอเฟริน กำแพงเวทย์ก็แตกกระจายพร้อมกับเจ้าของเวทย์ที่ซ่อนตัวอยู่ถึงกับกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ เขาเองก็พุ่งเข้าล็อกคอนักฆ่าจากประเทศเดียวกันไว้นิ่ง แม้อยากจะลงมือสังหารให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่ก็ทำไม่ได้ คาโลกับโรรี่เข้ามาตรวจร่างของเฟรินแล้วก็ต้องนิ่งไป โรนั้นลุกขึ้นเดินออกไปเงียบๆ ส่วนคาโลก็อยู่ในสภาพนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่หัวใจอย่างที่ไม่ควรจะเป็นใจชีวิตของนักฆ่าอย่างเขา หากเสียงผ้าม่านถูกแหวกออกเรียกสติให้หันหลังกลับ
"ฝ่าบาท..." เสียงทุ้มแหบพร่าอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เจ้าชายโรนันก้าวเข้ามาช้าๆ พยายามเรียกสติของคนที่นั่งอยู่หากก็ไม่เป็นผล แม้ไม่ต้องเล่าก็บอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น โรนันยันตัวเองขึ้นอย่างโสลเสลเต็มที
"จับตัวคนฆ่าได้รึปล่าวท่านคิล" คนถูกถามพยักหน้าช้าๆ รอยเหี้ยมเกรียมปรากฏบนตาสีดำขลับนั้นอย่างน่ากลัว
"ดี...ฉันจะเป็นคนฆ่ามันเองทันทีที่มันยอมเปิดปากบอกว่าใครเป็นคนบงการ"
"ถ้าเรื่องคนบงการคิดว่าฉันรู้" คำพูดดักคอทำให้โรนันหันมาสบตาเป็นเชิงถาม
"กษัตริย์เนเฟลที่หกแห่งโคมิเน่ ทันทีที่เฟรินตาย มันก็โผล่หัวออกมาป่าวประกาศราวกับอยู่ในเหตุการณ์ ท่าทางจะมีเหลืออยู่สองสามคนที่ยังจับไม่ได้"
"ไอ้เนเฟล...บ้าอำนาจถึงขนาดจ้างนักฆ่ามาลอบปลงพระชนน์แบบนี้" เสียงกัดฟันกรอดด้วยโทสะเล็ดลอดออกมาตามไรฟัน ก่อนจะพรวดไปสั่งการก้องไปทั้งที่พัก
"ส่งสาส์นไปที่เมืองหลวง! เรียกทัพใหญ่ทั้งสามให้มาเสริมที่นี่ภายใน 5 วัน!! เราจะบดขยี้โคมิเน่!!!" เสียงเฮลั่นรับคำสั่งพร้อมกับเสียงโวยวายของอาการตื่นตัวของพวกทหารดังลอดเข้ามาให้ได้ยิน ครู่หนึ่งโรนันจึงแหวกผ้าเข้ามาหาคิลที่ยืนนิ่งอีกครั้ง
"แล้วจะทำยังไงกับศพของราชินีดี ฝ่าบาทคงไม่ยอมปล่อยง่ายๆ" คิลเหลือบมองคนที่ยังไม่ได้สติแวบนึง
"ไว้ฉันจัดการเอง ท่านจัดการเรื่องศึกไปเถอะ เอ้อ...อยากให้ช่วยจัดม้าเร็วซักสองตัว ฉันจะพาสองคนนี้กลับเข้าไปก่อน" โรนันพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงคนหนึ่งคนที่จมอยู่กับความสูญเสียและอีกคนหนึ่งที่รู้สึกสูญเสียไม่แพ้กัน
หนึ่งคือคนที่เป็นเพื่อนรัก
อีกหนึ่งคือคนที่รักที่สุด สำคัญที่สุด และหวงแหนที่สุดคนสุดท้ายในโลกนี้
****************************TBC.....
ความคิดเห็น