ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Distance : การเดินทางที่ยาวไกล

    ลำดับตอนที่ #20 : บทที่ 19 : ตัวต้นเรื่อง

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 49


                       ความเคร่งเครียดบรรยากาศมาคุแผ่กระจายไปทั่วห้องประชุมข่าวร้ายที่ส่งตรงมายังวังหลวงตั้งแต่เช้าตรู่ทำให้คาโลต้องเรียกประชุมข้าราชการระดับสูงทั้งหมดยกเว้นแต่แม่ทัพใหญ่ที่ประจำอยู่ตามชายแดน รวมไปถึงราชินีตัวป่วนที่ต้องระเห็จสะดุ้งขึ้นจากเตียงเพื่อเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เหตุผลน่ะหรอ...

                       "สรุปคือไม่มีใครรู้ว่าศพของเนอินกับเนอาร์ไปอยู่กลางเมืองได้ยังไง" น้ำเสียงเย็นชากว่าปกติของกษัตริย์แห่งคาโนวาลที่นั่งอยู่หัวโต๊ะชวนขนลุกจากความหวาดกลัว แค่ตอนที่ต้องจักการแจ้งข่าวตอนเช้ามืดของวันนี้เหล่าอำมาตย์ยังแทบจะต้องเล่นยันยียันเย่าเพื่อหาตัวตายตัวแทนเป็นคนไปเคาะประตูห้อง ขณะที่หญิงสาวที่ยอมตื่นแต่เช้ามาเข้าประชุมกับนั่งคุยจุกจิกเบาๆ อยู่กับขอทานกิตติมศักดิ์ที่ได้สิทธิ์เข้ามานั่งประชุมด้วย คุยอย่างเดียวไม่พอมีเสียงหัวเราะลอยกระแทกหน้าคนที่นั่งเครียดอยู่โครมๆ เป็นของแถม

                       "เฟริน! เรากำลังประชุมกันอยู่" เสียงปรามให้เสียงพูดนอกเรื่องที่ประชุมหยุดลง เฟรินหันมามองคนพูดเล็กน้อย

                       "ก็เห็นอยู่ เรียกมารวมกันแบบนี้คงไม่ใช่ประชุมเตรียมจัดแคมป์ฉลองทั่วคาโนวาลหรอก" ตาสีฟ้ามองดุยิ่งขึ้นไปอีก แต่เหมือนคนมองจะลืมไปแล้วว่า ไอ้สายตาแบบนี้อาจจะมีผลกับคนอื่น หาก...ไม่ใช่กับเธอคนนี้ ตาสีน้ำตาลเป็นประกายระคนขันสบกับตาดุนั้นนิ่งอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อยังเห็นว่าประกายดุนั้นยังไม่ยอมหายไปง่ายๆ จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ รอยยิ้มจางหายไปจนเหลือเพียงสีหน้าเรียบเฉย

                       "หรือแกอยากให้ฉันนั่งร้องไห้ฟูมฟายงี่เง่า ทุบโต๊ะปึงๆ ตะโกนลั่นห้อง 'ใครฆ่าลูกฉันๆ' จากนั้นก็วิ่งออกไปนอกห้องกอดศพลูกที่เหลือแต่ซาก เสียสติเหมือนคนบ้าอย่างนั้นหรอคาโล" คนฟังชะงักไป ประกายความเด็ดเดี่ยวทอออกมาจากดวงตากลมโตนั้นแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักจากคนที่ไม่ชอบเรื่องเครียด คาโลนิ่งเงียบไปก่อนจะหันกลับมาประชุมต่อ เรียกรอยยิ้มแห่งชัยชนะจากเฟรินพลางหันไปยักคิ้วให้โรที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ

                       "ปัญหาคือประชาชนรู้แล้วเรื่องที่รัชทายาทถูกปลงพระชนน์เราคงปิดต่อไปไม่ได้" เสียงพึมพำดังขึ้นเบาๆ รอบห้อง เฟรินกับโรหยุดคุยกันแล้วหันมาเข้าร่วมประชุมกันอย่างจริงจัง (หรือบางทีอาจจะเป็นแค่โรคนเดียว)

                       "ถ้าเช่นนั้นเราก็ควรประกาศออกไปอย่างเป็นทางการนะกระหม่อม" ข้าราชการคนหนึ่งผู้มีผมสีดำสนิทเสนอขึ้นมา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อรัชทายาทที่อนาคตจะเป็นกษัตริย์ถูกฆ่าตายแบบนี้ ประชาชนคงวุ่นวายกันอย่างแน่นอน

                       "แต่ว่าประเทศอื่นๆ จะจ้องหาโอกาสเข้ามาแทรกแทรงเราได้นะ" ชายชราผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแย้งเสียงเครียด

                       "ถึงยังไงซะตอนนี้เขาก็คงรู้กันหมดแล้วนี่ จะปิดไปก็แค่นั้น" ชายคนเดิมเสริมเหตุผลให้กับความเห็นตัวเอง เสียงพึมพำเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนเส้นสมองของคนไม่ชอบความวุ่นวายเริ่มเต้นตุบๆ อย่างรำคาญใจ ส่งมือใหญ่กระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง

                       ปึง!!!

                       ....................................................

                       "ให้ประกาศออกไปว่าพรุ่งนี้จะมีงานศพของเจ้าชายเนอินและเจ้าชายเนอาร์ สั่งให้ทั้งคาโนวาลงดงานสังสรรค์หนึ่งเดือนเป็นการไว้ทุกข์" คำสั่งผ่านปากกษัตริย์ออกมาให้คนมีหน้าที่ต้องทำรับไป หลังจากนั้นที่ประชุมก็คุยเรื่องการจัดเตรียมงานอีกเล็กน้อยจึงปิดประชุม ทิ้งเหลือไว้กับคนสามคนที่ยังคงนั่งเงียบอยู่

                       "เลิกแล้วหรอ" เสียงของบุคคลที่สี่ดังขึ้นพร้อมกับร่างของนักฆ่าที่ไม่ควรจะอยู่ในวังแห่งนี้เปิดประตูเข้ามา สายตาสามคู่เบนไปจ้องผู้มาใหม่เงียบๆ เฟรินพยักหน้าให้พร้อมกับยิ้มกว้าง

                       "ไปไหนของแกมาวะ พอจะไปตามตัวโรมันก็ว่าแกกับเรนอนไปหาเคนอลที่บารามอสตั้งแต่สามวันก่อน แล้วนี่เรนอนไม่กลับมาด้วยหรอ" คนถูกถามพยักหน้ายอมรับ เพราะเหตุที่งานครั้งนี้ติดพันเป็นเวลานานและเสี่ยงพอดูทั้งเขากับเรนอนจึงตกลงใจฝากลูกชายเพียงคนเดียวไว้กับบารามอส โดยมีหัวของราชินีแห่งคาโนวาลเป็นประกันเอาไว้ (ตรงนี้เฟรินกระซิบมาว่าคิลมันคิดไปเอง) และพวกเขาก็คอยไปดูเดือนละ 3-4 ครั้งแล้วแต่ความสะดวก คิลเดินมานั่งลงตรงข้ามกับเฟรินและโร เหลือบมองสีหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนรักที่มีศักดิ์เป็นถึงกษัตริย์

                       "เกิดอะไรขึ้นช่วงที่ฉันไม่อยู่งั้นหรอไง" โรจึงเป็นคนอธิบายสั้นๆ ให้อีกฝ่ายฟัง ตาสีม่วงวาววับเล็กน้อยเหมือนจะคิดอะไรได้แต่แล้วก็เงียบสงบไป

                       "มีข่าวมาใหม่ระหว่างที่ไปบารามอส ตอนนี้กษัตริย์โคมิเน่ยกทัพประชิดคาโนวาลเรียบร้อยแล้ว ฉันล่ะถึงสงสัยนักว่าแกมัวทำอะไรอยู่คาโล" คำบอกเล่าที่ทำให้คนฟังช็อคไปตามๆ กัน

                       "แกจะบ้าหรอไง!! ไม่มีข่าวมาจากชายแดนแม้แต่นิดเดียว" เฟรินร้องลั่นไม่เชื่อหูเท่าไหร่นัก หากใบหน้ายิ้มแย้มของมันกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจทำให้เธอต้องหุบปากลง

                       "บ้าไม่บ้าไม่รู้ รู้แต่ว่าสองตานี้เห็นมาจะๆ ตอนแรกก็แค่สงสัยว่าทัพอะไรอยู่ตรงชายแดน ก็เลยเข้าไปสืบเล็กน้อย ไม่นึกว่าจะ...บิงโก!" ทำตาโตเล็กน้อยชวนโดนถีบติดกำแพง คาโลถึงกับเครียดหนักกว่าเก่า ทัพทางใต้แม่ทัพใหญ่คือการ์เดน...หรือว่าจะก่อกบฏจริงๆ

    ----------------------------------------------------

                       วันต่อมาพิธีศพถูกจัดขึ้นเรียบง่ายและเงียบสงบ บ้านเมืองตลาดต่างพากันปิดร้านปิดบ้านจนเงียบเหงากันไปทั้งเมือง และภายหลังงานศพนั้นเองคาโลก็มีคำสั่งรวบรวมทหารเพื่อพร้อมรบที่ชายแดน โดยในครั้งนี้เขา เฟริน(ที่ดื้อจะตามไป) โร(ติดสอยห้อยตามเป็นปกติ) และคิล(ชอบสนุกเป็นชีวิตจิตใจ) ก็ร่วมเดินทางไปรบด้วย

                       "ดูท่าทางโคมิเน่จะเอาจริง" คิลเปรยเบาๆ ขณะอยู่ในกระโจมพักหลังใหญ่พร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่นั่งหารือเงียบๆ และอีกคนที่นั่งกินอาหารมื้อที่ห้าของวันหลังจากเกิดอาการกินไม่ลงอยู่นาน

                       "ก็น่าจะเอาจริงอยู่หรอก เล่นมีคนไปหย่อนระเบิดลูกโตไว้ให้แบบนั้น" โรเปรยตอบบ้าง ฝ่ายคนที่ถูกพาดพิงถึงกับสะอึกสำลักข้าว มือฉวยแก้วน้ำมาดื่มแทบไม่ทัน

                       "ฉันไปทำอะไรไว้ แกอย่ามาหาเรื่องดีกว่าโร" ขอทานแห่งทริสทอร์ยิ้มน้อยๆ ขณะที่อีกสองคนขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะไม่รู้เรื่องราวอะไร และคนที่เครียดหนักที่สุดคงไม่พ้นร่างสูงผมสีเงินยวง ตาสีฟ้าที่นั่งปั้นหน้านิ่งมาตั้งแต่ออกจากวัง หรือพูดให้ถูกมันก็ปั้นหน้านิ่งมาตั้งแต่เกิด(ยกเว้นแต่เฟรินกับเพื่อนๆ)

                       "นายไปทำอะไรไว้ที่โคมิเน่...เฟริน" คาโลเอ่ยถามให้เจ้าหล่อนตีหน้าเซ่อ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ตาสีฟ้าดุนั้นจึงตวัดหันไปมองเจ้าตัวต้นเรื่องที่เปรยออกมานั่นล่ะ

                       "ถามเฟรินดีกว่า ว่าฝากอะไรไว้กับกษัตริย์โคมิเน่บ้าง" โยนกันไปโยนกันมาจนคิ้วเข้มๆ ของคนถามเริ่มกระตุก เฟรินยิ้มแห้งๆ วางช้อนส้อมลงส่งสายตาน่าสงสารให้ปิ๊งๆ

                       "ก็...ตอนที่กำลังหาทางกลับคาโนวาล ไอ้กษัตริย์บ้านั่นมันก็โผล่มาจะจับตัวฉันกับโร อารมณ์หิวบวกกับกลัวโดนจับก็เลย..กระโดดดรอปคิกใส่หน้าแค่นั้นเอ๊งงง" ประโยคหลังขึ้นเสียงสูงแล้วหัวเราะลั่น ก่อนจะค่อยๆ เจื่อนลงจนเงียบไปในที่สุด หากรอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะที่หลุดออกมาเบาๆ ของกษัตริย์น้ำแข็งทำให้เธอต้องอึ้งไป หันไปสบตาสีเขียวที่งงเป็นไก่ตาแตกไม่แพ้กัน

                       มันหัวเราะอะไร??

                       "ขำไรแกวะ" ปากไวเท่าความคิดตามปกตินิสัย คาโลกลั้นขำกึ้กอย่างยากเย็น

                       "ปล่าว...แค่คิดถึงหน้ากษัตริย์เนเฟลโดนนายถีบหน้า" แล้วก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง อะไรมันจะอารมณ์ดีขนาดน๊านนนน คิลคิดพลางหัวเราะหึๆ มองหน้าสวยของเพื่อนซี้ที่ร่วมหัวเราะไปกับสามีของมันแล้วโล่งใจขึ้นมาเล็กๆ อย่างน้อยก็สภาพดีขึ้นกว่าเมื่อหลายวันก่อน

                       "แล้วนายไม่สงสัยบ้างหรอ ว่าทำไมโคมิเน่ถึงยกทัพมาประชิดชายแดนโดยไม่มีข่าวส่งถึงเมืองหลวง แถม...ประจวบเหมาะกับเรื่องของเนอินกับเนอาร์อีก" โรถามช้าๆ สบตาสีฟ้าที่กลับมาเย็นชาตามเดิมนั้นพลางยิ้มน้อยๆ

                       "ถ้าจะบอกว่ามีหนอนอยู่ล่ะก็ ฉันรู้นานแล้ว"

                       "แล้วแกก็ยังไม่คิดที่จะเอาเกลือมาโรยอย่างนั้นหรอไง" คิลถามขึ้นมาบ้าง แปลกใจกับความใจเย็นของอีกฝ่าย หากคนถูกถามกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบ

                       "โรยสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หรอก" โรหัวเราะหึๆ ก็พอจะเข้าใจอยู่ ขืนทำอย่างนั้นก็แหวกหญ้าให้งูตื่นน่ะสิ

                       "แล้วแกจะทำยังไง ปล่อยให้สงครามเกิดแล้วก็มีคนมาชุบมือเปิบคว้าตำแหน่งกษัตริย์ไปง่ายๆ งั้นสิ" เฟรินสอดปากขึ้นแทบจะทันที คาโลส่งสายตาปรามไปให้แต่แล้วต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อตาสีน้ำตาลนั้นไม่ได้มีประกายอย่างที่เขาต้องการ

                       ...แล้วก็ยอมมันทุกที...

                       คำนึกคิดที่ผุดขึ้นมาพร้อมกันของเพื่อนสองคนที่นั่งมองพร้อมกับอมยิ้มที่กษัตริย์น้ำแข็งที่เลื่องชื่อลือชาว่าเย็นจัดและชอบสร้างอาณาจักรน้ำแข็งกลับต้องถูกหลอมง่ายๆ ด้วยภูเขาไฟลูกเดียว หรือเป็นเพราะปริมาณความร้อนของภูเขาไฟลูกนั้นมันมากเกินกว่าน้ำแข็งจะทนได้กันแน่นะ

                       "อย่าดูถูกฉันมากนักเฟลิโอน่า" คนถูกเรียกชื่อสะดุ้งเฮือก ไอ้คนมาดมากตรงหน้ามันเริ่มเข้าสู่โหมดหงุดหงิดขึ้นมาซะแล้ว แต่ปากที่มีความเป็นเลิศในด้านความไวที่ถูกฝึกหัดจนได้ยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสามวิชาลับกลับไม่ยอมหยุดง่ายๆ

                       "ให้มันแน่เถอะ" คาโลมองหญิงสาวตัวดีที่ขยันจะหาเรื่องมาให้ปวดหัวนิ่ง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้เธอต้องอึ้งไปนิดๆ

                       "คนที่ต้องระวังคือนายต่างหาก"

                       "ใช่ อย่างที่คาโลพูดนั่นล่ะ แกน่ะที่ต้องระวังตัว เพราะตอนนี้เราอยู่ในค่ายทหาร ไม่มีเวลามาตามดูแลแกต้อยๆ หรอกนะ ทุกคนก็มีหน้าที่กันทั้งนั้น" คิลพยักหน้าเสริมขึ้นมา

                       "อย่าดูถูกคนอย่างเฟริน เดอเบอร์โรว์เหมือนกัน คาโล วาเนบลี" บลัฟกลับให้พร้อมยักคิ้วส่งเป็นของแถม หากคนฟังกลับตอบสั้นๆ ที่ทำให้คนอย่างเฟริน เดอเบอร์โรว์นั้นต้องหน้าขึ้นสีทันที

                       "ไม่ใช่เดอเบอร์โรว์..เฟริน แต่เป็นวาเนบลีต่างหาก"

    ----------------------------------------------------

                       "ดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ด้วยดี" เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นเรียกสติของคนที่กำลังนั่งอยู่หน้าแผนที่ให้เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าแขกเป็นใคร

                       "เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ทุกอย่าง" รอยยิ้มแสยะจากแขกผู้นี้ทำเอากษัตริย์เนเฟลรู้สึกเย็นสันหลังวาบ ก็รู้อยู่ว่าคนๆ นี้เป็นตัวอันตราย ถึงขนาดขายประเทศเพียงเพื่อความสะใจส่วนตัว

                       "มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็อาจจะมีข้อผิดพลาดบ้าง อย่างเช่น...โอกาสที่จะจับราชินีแห่งคาโนวาล" คำเปรยเนิบๆ ส่งให้คนฟังสะดุ้ง ทั้งความหวาดกลัว อับอาย และเกิดโทสะในเวลาเดียวกัน หากสมองนั้นกลับแล่นไปมาคิดหาข้อแก้ตัว หากเสียงหัวเราะจากคนตรงหน้าทำให้ต้องหยุดความคิดทั้งหมด

                       แม้ไม่อยากจะเป็นเบี้ยให้ แต่เพราะรู้ว่าคนๆ นี้น่ากลัว...จึงจำต้องยอม

                       "เรื่องนั้นมันอยู่เหนือการคาดเดา ไม่คิดว่าจะรอดจากนักฆ่าแห่งซาเรสมาได้ แต่ก็ช่างเถอะ...ปล่อยให้มีลมหายไปอีกซักหน่อยก็แล้วกัน ตัวควีนน่ะ...บางทีใช้แค่เบี้ยก็พอแล้ว" ตาสีดำขลับจ้องมองคนที่กำลังหัวเราะให้กับความคิดของตัวเองคนเดียวอย่างตระหนักว่า บางที..เขาอาจจะร่วมมือผิดคนก็เป็นได้

                       "เมื่อเย็นนี้กษัตริย์คาโลได้ส่งสาส์นเจรจาหย่าศึกมาด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการเสียเลือดเนื้อ ดูจะขัดกับฉายาเย็นชาที่เคยได้ยินมาเหลือเกิน" เสียงหัวเราะหยุดนิ่ง แววตากร้าวขึ้นอย่างน่ากลัว

                       "น้ำนิ่งมักไหลลึก ใต้น้ำแข็งคือไฟที่แท้จริง สำหรับคาโล..น้ำแข็งคือปราการที่ปกป้องอารมณ์ตัวเอง ไฟจะโหมก็ต่อเมื่อมีเชื้อ" กษัตริย์เนเฟลรับฟังเงียบๆ ก่อนจะต่อขึ้นมา

                       "เชื้อที่ว่าคงเป็นหญิงปากดีนั่นสินะ" หรือบางทีเขาคงลืมเติมคำว่า 'เท้าหนัก' เข้าไปด้วยก็เป็นได้

                       "ก็แค่เกิดเป็นเจ้าหญิงแห่งเดมอสที่มีเชื้ออีกครึ่งเป็นบารามอส แต่กิริยาไร้การอบรมเหมือนพวกไพร่ที่ไร้การศึกษา" สายตาและน้ำเสียงหยามเหยียดอย่างไม่ปิดบัง

                       "เศษดินเศษหินยังไงก็ต้องเป็นได้แค่นั้น...ไม่มีทางได้เป็นเม็ดทองหรอก"

    ----------------------------------------------------

                       คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นเวลาหลายชั่วโมงหลังจากทหารที่นำสาส์นไปแจ้งแก่กษัตริย์เนเฟลได้กลับมาพร้อมกับการปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าคิดจะรุกรานคาโนวาล พร้อมทั้งให้เหตุผลที่ว่า การที่โคมิเน่จัดทัพมาที่ชายแดนเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น

                       "แล้วแกจะเอายังไงล่ะทีนี้" คิลถามขึ้น เข้าใจถึงความหนักใจนั้น สงคราม...ไม่เคยสร้างอะไรให้กับคนที่เข้าร่วมนอกจากความสูญเสีย คาโลนิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด

                       "ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าโคมิเน่ไม่เปิดศึกก่อน เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอะไรเขา" คนที่ตอบคือคนที่กำลังตั้งสมาธิกับหมากกระดานตรงหน้าที่เริ่มเสียเปรียบให้กับหญิงสาวตัวแสบที่นั่งฉีกยิ้มสะใจอยู่ตรงข้าม

                       "แต่ฉันสังหรณ์ใจมากกว่านั้น" เจ้าของเรือนผมสีเงินเปรยขึ้น น้ำเสียงเบาหวิวราวกระซิบ ตาสีฟ้าเหม่อลึกเข้าไปอยู่ในภวังค์ เรียกให้ทั้งสามคนหันมามอง

                       คนอย่างมันที่ไม่เคยเชื่ออะไรนอกจากตัวเองเนี่ยนะ?!

                       "คิดมากไปมั้งคาโล" นักฆ่าเพื่อนรักตบบ่าเบาๆ อย่างให้กำลังใจ แต่ไอ้ตัวดีที่เป็นตัวต้นเรื่องกลับสอดปากขึ้นมาอย่างไม่น่าให้อภัย

                       "ปล่อยมันไปเหอะคิล สงสัยเพราะแก่แล้ว คนแก่น่ะชอบคิดมาก" คาโลดึงสติกลับมาแล้วตวัดสายตาหันไปมองคนพูดดุๆ หากเฟรินกลับไม่สนใจยังคงขยับหมากเดินพลางฮัมเพลงหงุงหงิงกวนประสาทคนฟังไปด้วย

                       มันไม่รู้หรอไงว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะใคร!

                       "นี่ๆ ได้แต่อยู่ในกระโจมแบบนี้ไม่เบื่อหรอไง" เฟรินพูดขึ้นขณะที่มือกวาดเอาหมากบนกระดานที่จบลงด้วยชัยชนะของเธอเก็บเข้าที่

                       "นี่มันค่ายทหารนะเฟริน แกจะให้มีตลาดสดหรอไง" คิลถามกลับแล้วหัวเราะขำๆ จนคนโดนสวนต้องแยกเขี้ยวใส่

                       "ฉันหมายถึงฉันจะออกไปเดินเล่นเฟ้ย!" แล้วก็ลุกเดินออกไปไม่ฟังคำห้ามทัดทานจากเพื่อนอีกสามคน โรกับคิลมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วเบนไปมองร่างสูงที่นั่งบื้ออยู่

                       "แล้วแกไม่คิดจะตามไปหน่อยหรอคาโล" ตาสีฟ้าหันกลับมาสบก่อนจะตอบสั้นๆ

                       "ไม่ว่าง"

                       "นั่นสินะ นายต้องคุมทัพนี่นา แค่ผู้หญิงคนเดียวเดินไปเดินมาแถวๆ ชายแดนที่ใกล้จะมีสงครามคงไม่เป็นไรหรอก" โรเปรยขึ้นเบาๆ แล้วยกแก้วชาขึ้นจิบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ไร้ร่างสูงที่ตัวเองเหน็บแนมซะแล้ว

    ----------------------------------------------------

                       "เฟริน" เสียงเรียกทักครั้งที่เท่าไหร่ที่เจ้าตัวไม่คิดจะนับไม่ได้ช่วยให้ร่างบางๆ ที่ก้าวเท้าฉับๆๆ อยู่ข้างหน้าหยุดลงเลย เส้นอารมณ์บางๆ เริ่มบางหนัก คาโลก้าวยาวและสาวเท้าให้เร็วขึ้นก่อนจะคว้าแขนเรียวเอาไว้

                       "จะรีบไปไหน" เฟรินหันกลับมาเลิกคิ้วสูง

                       "ก็เดินเล่น" คำตอบที่ทำให้คนฟังต้องกุมขมับ

                       "เดินเล่นของนายคือเดินจ้ำเอาๆ ไปทางเขตชายแดนโคมิเน่งั้นหรอไง" คราวนี้คนที่เบลอหนักถึงได้สติ หันกลับไปมองทางข้างหน้าที่ปรากฏธงของโคมิเน่ปลิวไสวอยู่ไม่ไกลนัก

                       "เอ่อ...แหะๆ คงผิดทาง คนเราก็ต้องผิดกันบ้างสิ ใครจะไปดีพร้อมเหมือนแกกัน" คนผิดที่ไม่ยอมสำนึกเริ่มต่อปากต่อคำอีกครั้ง คาโลถอนหายใจหนัก บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดของโร ไม่แน่...เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นฝีมือของกษัตริย์โคมิเน่ก็เป็นได้

                       ถ้าเป็นอย่างนั้น...ก็พอจะเข้าใจหัวอกมันอยู่

                       "กลับกันได้แล้ว" มือใหญ่ขยับจะลากเจ้าตัวยุ่งกลับ หากสายตากลับเหลือบไปเห็นชุดทหารแปลกตากำลังเล็ดลอดเข้ามา ไม่ทันที่จะได้เพ่งดีนัก ร่างนั้นก็พุ่งเข้ามาทันทีด้วยความรวดเร็ว เป้าหมายคือ...หญิงสาวข้างกายเขา

                       "หลบ!!" ตะโกนลั่นแล้วดึงร่างบางนั้นเข้ามากอด พุ่งตัวหลบหวุดหวิด หากแขนบางนั้นกลับปรากฏบาดแผลบางๆ ให้เห็นรอยเลือดไหลออกมา หอกน้ำแข็งจำนวนมากถูกสร้างขึ้นด้วยความรวดเร็ว ผู้บุกรุกที่พลาดท่าเมื่อครู่ลุกขึ้นมาใหม่หมายจะซ้ำ หากขาทั้งสองข้างกลับถูกตรึงด้วยน้ำแข็งแน่นหนา และทันทีที่เริ่มได้สตินั้นเอง

                       ฉึก!!!

                       หอกน้ำแข็งทั้งหมดก็พุ่งสู่ร่างที่ถูกจองจำไว้ ส่งให้ของเหลวสีแดงสดไหลเป็นทางอาบน้ำแข็งสีใสอย่างน่ากลัว เฟรินที่ได้แต่มองอย่างตกตะลึงถึงกับเกือบจะช็อค ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นคนตาย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาพตรงหน้ามันน่ากลัวขนาดไหน

                       "กริสเจียน!!" เสียงทุ้มตะโกนดังลั่นจากฝั่งของโคมิเน่ พร้อมกับร่างของผู้คุมทัพใหญ่ที่ปราดเข้ามาที่ศพนั้นด้วยน้ำตาไหลอาบหน้า คนสองคนที่ยืนอยู่ถึงกับอึ้ง และที่อึ้งหนักกว่าคือร่างสูงผู้ที่เป็นคนปลดชีวิตร่างนั้น

                       เจ้าชายกริสเจียน..พระอนุชาของกษัตริย์เนเฟลที่หก!!!

                       "กษัตริย์คาโล! เหตุใดถึงต้องสังหารน้องชายของเราด้วย" สุรเสียงเจ็บแค้นดังเค้นออกมาอย่างระงักอารมณ์โทสะ

                       "เพราะเจ้าชายหมายจะฆ่าราชินีของเราฝ่าบาท" คาโลตอบเสียงหนัก ทั้งที่ในใจก็รู้ดีว่ามันคงไม่มีประโยชน์

                       "อย่ามาปรักปรำ!! น้องชายกระหม่อมเป็นคนรักสันติ ไม่คิดมักใหญ่ใฝ่สูง อีกทั้งไม่มีความเจ็บแค้นกับราชินีของฝ่าบาท แล้วทำไมถึงจะต้องคิดฆ่าด้วย!!" มือใหญ่กำแน่นด้วยความโกรธ เฟรินเองเริ่มรู้ดีว่า คราวนี้...คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว

                       "ในเมื่อฝ่าบาทกระทำเช่นนี้ สัมพันธภาพระหว่างโคมิเน่กับคาโนวาลก็เห็นจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป!!!" คำประกาศกร้าวจากริมฝีพระโอษฐ์ของกษัตริย์เนเฟลราวกับเป็นคำพิพากษาสั่งเปรี้ยงลงมากลางกระหม่อมของคนที่ไม่ปรารถนาสงคราม

                       สงคราม...ที่เกิดจากความเข้าใจผิด

                       สงคราม...ที่จะแย่งความสงบสุขไปจากประชาชน


    ****************************TBC.....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×