ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Distance : การเดินทางที่ยาวไกล

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : รุ่นพี่รุ่นน้องและงานเลี้ยงรุ่น

    • อัปเดตล่าสุด 20 ม.ค. 49


                       "คาโล...คาโล" น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเรียกหาผู้เป็นเจ้าของชื่ออย่างหงุดหงิด ดวงหน้าขาวงองุ้มขัดใจก่อนจะเดินออกจากห้องทรงงานที่สามีหล่อนชอบมาสิงประจำ มันไปไหนของมันฟะ

                       "เอ้อ...นาเดีย เห็นคาโลบ้างมั้ย" หันไปถามข้ารับใช้ส่วนตัวที่เดินสวนกันมาพอดี หญิงวัยกลางคนยิ้มให้ก่อนจะตอบด้วยความนอบน้อม

                       "เห็นฝ่าบาทประทับอยู่ในสวนค่ะ ทรงอ่านหนังสืออยู่ เมื่อครู่หม่อมฉันเพิ่งยกน้ำชาไปให้" เฟริน หรือ เฟลิโอน่าพยักหน้าช้าๆ แปลกแฮะ...ไอ้คาโลนี่นะจะเข้าไปในสวน แต่ถ้าไปเพื่ออ่านหนังสือก็พอน่าเชื่อหน่อย

                       "ขอบใจมากนะ" ยิ้มให้แล้วเดินฉับๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้นาเดียยิ้มกับความไม่ถือตัวของราชินีแห่งคาโนวาล ผู้ที่มาเปลี่ยนแปลงปราสาทที่เงียบเหงาแห่งนี้ (ให้วุ่นวาย) และกล้าเปลี่ยนกฎที่ดำเนินสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ความจริงแล้วช่วงที่ฝ่าบาททรงอ่านหนังสือ มักไม่ชอบให้ใครไปกวนใจ แต่...ก็ต้องยกไว้คนนึง คิดพลางยิ้มขันๆ แล้วเดินหันกลับไปสนใจงานของตนต่อ

    ----------------------------------------------------

                       สองขาค่อยๆ ย่ำผ่านทางเดินที่ขนาบด้วยดอกไม้หลากสี และต้นไม้ใหญ่ ด้วยร่มเงาไม้ทำให้อากาศเย็นสบายแม้จะเป็นเวลาบ่ายแล้วก็ตาม นัยน์ตาสีน้ำตาลสอดส่ายหาคนที่ต้องการเจอแล้วก็หยุดลงที่ชายหนุ่มผมสีเงินทอสว่างรับแสงอาทิตย์ด้านซ้ายมือ เฟรินเดินฉับๆๆ เข้าหาทันที

                       "มาอยู่นี่เอง หาตั้งนาน" นัยน์ตาสีฟ้าตวัดขึ้นมองผู้มาเยือนก่อนจะตวัดกลับไปยังหนังสือ ไอ้อาการแบบนี้มันจะเลิกไม่ได้หรอไงฟะ อยู่กันมาตั้งนานแต่นิสัยมันยังไงก็อยู่ยังงั้น เฟรินถอนหายใจเฮือกก่อนจะเดินไปนั่งคนละฝั่งโต๊ะเล็กๆ ที่วางอยู่ มือคว้าคุกกี้ขึ้นมาเคี้ยวตุ้ยๆ ซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดกลางวางแหมะอยู่บนนั้นด้วย และมันคงจะไม่ทำให้เธอสนใจ ถ้าไม่เพราะชื่อคนส่งที่อยู่มุมซ้ายบน

                       'โรเวน ฮาเวิร์ด เดอะ คิง ออฟ เจมิไน'

                       มือขาวหยิบซองนั้นขึ้นมาโบกเล็กน้อยตามองไปที่คาโลหวังถึงคำตอบ หากอีกฝ่ายกลับยังอ่านหนังสือต่อไปไม่มีทีท่าจะตอบ

                       "พี่โรเวนส่งจดหมายมาทำไมหรอ" ในเมื่อใช้สายตาไม่ได้ ก็ถามตรงๆ ก็ได้ฟะ

                       "อ่านดูสิ หรือว่ามัวแต่เล่นจนอ่านหนังสือไม่ออกแล้ว" คำตอบน่าชื่นใจจากพระสวามีแทบอยากทำให้หล่อนอยากพลิกโต๊ะให้รู้แล้วรู้แรดไป เฟรินดึงกระดาษจดหมายออกมาอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะไล่สายตาไปตามตัวอักษร


                เรียน คาโล วาเนบลี เดอะ คิง ออฟ คาโนวาล, เฟลิโอน่า วาเนบลี เดอะ ควีน ออฟ บารามอส แอนด์ เดมอส

                       เนื่องด้วยในปลายเดือนนี้ ทางเอดินเบิร์กได้มีการจัดงานเลี้ยงรุ่นของป้อมอัศวิน ณ ปราสาทเอดินเบิร์ก โดยมีข้าพเจ้า โรเวน ฮาเวิร์ด เดอะ คิง ออฟ เจมิไนเป็นคนรับผิดชอบ จึงขอเรียนเชิญท่านทั้งสองมาในงานนี้ด้วย หากติดภารกิจใดที่ไม่สามารถมาร่วมได้ กรุณาส่งหนังสือแจ้งกลับมาล่วงหน้า เพื่อการเตรียมการให้พร้อม

                 ขอแสดงความนับถือ

                 'โรเวน ฮาเวิร์ด เดอะ คิง ออฟ เจมิไน'

                       "คาโล..ไปนะๆๆๆ" ทันทีที่อ่านจบ เจ้าตัวดีก็ออกปากจะไปทันที แน่ล่ะ งานสนุกแบบนี้ไม่ไปได้ยังไง ตั้งแต่มาคาโนวาลเนี่ยก็อยู่แต่ในวัง ออกไปไหนก็ไม่ได้

                       "ไม่..ปลายเดือนนี้มีตรวจราชการประจำเดือนที่ต้องทำทุกเดือน" คำปฏิเสธไร้เยื่อใยจากกษัตริย์น้ำแข็งทำให้คนฟังหงุดหงิด นี่ง้อแล้วนะโว้ยย ได้ๆ.. คิดแล้วลุกขึ้นอ้อมไปด้านหลังแล้วเอื้อมมือมาโอบกอดร่างสูงข้างหน้าอย่างถือดี ใบหน้าขาวๆ นั้นก้มลงมาอยู่ด้านขวาพลางทำหน้า(ที่ตัวเองคิดว่า)น่ารักที่สุด

                       "น๊าา คาโล...งานตรวจราชการก็เลื่อนขึ้นมาก่อนก็ได้นี่นานะ งานนี้พวกคิลมันต้องไปแน่ๆ ฉันอยากเจอเพื่อน หรือนายไม่อยากเจอ หือ?" ประโยคสุดท้ายขึ้นเสียงสูงเป็นคำถาม คาโลเหลือบมองดวงหน้าข้างๆ ที่ชิดซะจนได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ ฉันรู้ ว่าแกจะต้องเล่นไม้นี้ เฟริน ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่หัวใจก็กลับเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

                       "งานก็คืองานเฟริน เอามาปะปนไม่ได้ ยิ่งเป็นกษัตริย์ ความรับผิดชอบต้องมาอันดับหนึ่ง" เหตุผลตามสไตล์เจ้าตัว แทบอยากทำให้เฟรินจับหัวเงินๆ นี่โขกกับโต๊ะด้านข้างเต็มที แต่ไม่ได้ๆ...เดี๋ยวโดนแช่แข็งซะก่อน หึๆ อยู่ที่นี่ไม่ได้หลอมน้ำแข็งซะนาน ต้องขูดสนิมออกซะหน่อยดีกว่า เฟรินผละออกเดินอ้อมไปด้านหน้าแทน เอื้อมมือมาจับมือใหญ่ที่ถือหนังสือเบาๆ คาโลเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะตัดสินใจปิดหนังสือลง เตรียมรับเตาไฟที่กำลังจะยื่นมาให้ เฟรินช้อนตาขึ้นมองสบตาสีฟ้าเศร้าๆ

                       "ฉันรู้ว่าสำหรับคาโนวาลแล้วคือชีวิตของนาย หน้าที่ต้องมาอันดับหนึ่ง แต่ว่าคาโล...นายคิดดูนะว่าคิลมันจะคิดยังไงถ้าไม่เห็นายกับฉันอยู่ในงาน มันคงน้อยใจแล้วก็เข้าใจว่าลืมมันไปแล้วก็ได้ ที่สำคัญ...พวกพี่ๆ เขาคงอยากเจอพวกเรามากๆ ถึงสละเวลามาจัดงานแบบนี้ อย่าลืมสิ ว่าพี่โรเวนก็เป็นคิงเหมือนกัน" ข้ออ้างยาวยืดถูกเอื้อนเอ่ยออกมาช้าๆ ชัดๆ คาโลพยักหน้าช้าๆ

                       "ถ้านายอยากไป..." เฟรินยิ้มกว้าง โธ่เอ้ย!! แค่นี้ก็เรียบร้อย

                       "นายก็ไปเองก็แล้วกัน"

                       โครม!

                       "ไอ้บ้า!! เชิญจมอยู่กับงานไปจนตายเลยนะ ฉันจะได้ไปหาคนอื่นที่..." เสียงตวาดแว๊ดกลืนหายไปในลำคอ พร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย จะด้วยความโกรธหรืออะไรก็ไม่ทราบ เฟรินฉวยเอาจดหมายแล้วเดินกระทืบเท้าออกจากสวนไป

                       เฮ้อ...เอาแต่ใจจริงๆ

                       คาโลลุกขึ้นปัดกางเกง แล้วนั่งลงเตรียมอ่านหนังสือต่อ

                       "ออกมาเถอะ" คำสั่งสั้นๆ ทำเอาคนที่เผลอเข้ามาไม่ถูกจังหวะสะดุ้ง ค่อยๆ เดินออกมาจากที่ซ่อนด้วยความกลัว

                       "พระอาญามิพ้นเกล้าฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง..." นาเดียก้มศีรษะลง ในมือมีถาดขนมที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ชายหนุ่มเหลือบมองก็เข้าใจ พยักหน้า

                       "ไม่เป็นไร แต่เฟรินมันเดินหายไปแล้ว เอาไปเก็บเถอะ" หากหญิงสาวกลับยืนเก้ๆ กังๆ อยู่อย่างนั้น จนทำให้กษัตริย์แห่งคาโนวาลเงยหน้าขึ้นมองเป็นเชิงถาม

                       "เอ้อ...อย่าหาว่าหม่อมฉันเลยนะเพคะ แต่ว่า...เรื่องงานเลี้ยงรุ่น......"

                       ปึง!

                       เสียงปิดหนังสือกระแทกกับโต๊ะทำให้เธอสะดุ้งเฮือก ก้มหน้าลง ไม่น่าพูดไปเลย แต่...

                       "พูดไปสิ" สั่งเรียบๆ หล่อนเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรชั่วครู่อย่างชั่งใจก่อนจะเอ่ย

                       "คือ..ตั้งแต่คุณเฟรินเข้าวังมา ก็ถูกให้เรียนเรื่องการใช้ชีวิตในวังมาตลอด ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นหรือพักผ่อนที่ไหนเลย ประกอบกับนิสัยสบายๆ ขี้เล่นของคุณเฟรินแล้ว หม่อมฉันคิดว่าน่าจะพาเธอไปพักผ่อนบ้างนะเจ้าคะ คุณเฟรินคงเป็นห่วงฝ่าบาทว่าจะทรงงานหนักเกินไป" สรรพนามที่เรียกราชินีแห่งคาโนวาลที่แปลกแยกไปจากราชินีอื่นๆ แบบนี้เพราะเจ้าตัวโวยวายเอาแต่ใจว่า ไม่ให้ใครในวังเรียกเธอว่าราชินีเด็ดขาด แม้จะทักท้วงแค่ไหนก็ไม่ยอมจนต้องยอมแพ้ แต่มีข้อแม้ตรงที่ทุกคนต้องเรียกเธอว่า เฟลิโอน่า คาโลขมวดคิ้วเข้าหากัน อย่างมันเนี่ยนะจะห่วงว่าเขาทำงานหนักไป มีแต่อยากจะซนน่ะสิ แต่ว่าเหตุผลที่คนตรงหน้าก็ฟังขึ้นอยู่ การที่มันอดทนฝ่าฟันบทเรียนหฤโหดของพวกนางกำนัล+ผีพี่สาวในคทามาได้ก็ถือว่าเก่ง แต่จะให้มันลืมนิสัยดั้งเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้ คาโลถอนหายใจหนัก

                       "ฉันจะลองคิดดู" นาเดียก้มหน้าถอนสายบัวแล้วผละไป

    ----------------------------------------------------

                       ค่ำวันนั้น บนโต๊ะเสวยอันโออ่ากลับไร้ร่างหญิงสาวที่ปกติต้องมาก่อนล่วงหน้า 10 นาทีเพื่อถามหาเมนูในแต่ละวัน สร้างความแปลกให้กับเจ้าของเรือนผมสีเงินที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นอย่างมาก

                       "เฟรินไปไหน" หันไปถามข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง

                       "ทูลฝ่าบาท คุณเฟลิโอน่าบอกว่าไม่ค่อยหิว ตอนนี้พักผ่อนอยู่ที่ห้อง มีคุณนาเดียคอยรับใช้อยู่เพคะ" คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน ตอนบ่ายก็เห็นยังดีๆ อยู่นี่นา ดีซะจนผลักเขาตกจากเก้าอี้ได้ คาโลลุกขึ้น เป้าหมายคือห้องของราชินี


                       ก๊อกๆๆๆ

                       เสียงเคาะประตูทำให้สองสาวที่นั่งคุยกันเงียบลง หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงพยักหน้าให้บ่าวลุกไปเปิด โดยส่งสายตาที่รู้กันเอง

                       "เฟรินเป็นอะไรไป" นาเดียยิ้มเก้อๆ ไม่ได้เปิดประตูจนสุด เพียงแค่แง้มๆ ไว้เท่านั้น ทำให้เขาไม่สามารถเห็นได้ว่าอีกฝ่ายทำอะไรอยู่

                       "ไม่เป็นอะไรเพคะ แค่บอกว่าง่วงก็เลยหลับไป เดี๋ยวหม่อมฉันดูแลให้เองเพคะ" ตาสีฟ้าจ้องมองอย่างจับผิดจนเธอต้องหลบสายตา ทำทีเป็นน้อมตัวลง พยายามปั้นสีหน้าให้ยิ้มแย้มเข้าไว้ คาโลยืนมองไปพักใหญ่ รู้ดีว่าเวลาที่เฟรินมันเพิ่งนอน ต่อให้เอาช้างมาฉุด เสือเข้าห้อง สิงโตมาคาบมันก็ไม่ตื่นง่ายๆ

                       "งั้นก็ฝากด้วยก็แล้วกัน" นาเดียค้อมตัวลง แล้วค่อยๆ ปิดประตู เมื่อเสียงย่ำเท้าค่อยๆ ห่างไปจึงถอนหายใจโล่งอกเสียงดั่ง ก่อนจะปรี่เข้าไปหาตัวการณ์ที่นั่งยิ่มแผล่อยู่บนเตียง

                       "เท็จทูลกษัตริย์แบบนี้ หม่อมฉันจะโดนประหารเก้าชั่วโคตรมั้ยเนี่ย" เฟรินหัวเราะเบาๆ กับนาเดียแล้วถือว่าหล่อนเป็นคนเดียวที่สามารถคุยอย่างเปิดอกได้อย่างสบายใจ ถ้าไม่มีเธอ บางทีหล่อนอาจจะทนกับการฝึกบ้าๆ นั่นไม่ไหวก็เป็นได้

                       "ไม่หรอก บอกแล้วไงว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมรับผิดชอบเอง" นาเดียค้อนขวับเข้าให้ ก่อนจะกลายเป็นความอ่อนใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงหัวเราะชอบใจ

                       "เรื่องแค่นี้คุณเฟรินไม่น่าจะงอนฝ่าบาทเลยนะคะ" เสียงหัวเราะชะงักกึก ใบหน้าขาวๆ นั้นแดงขึ้นมานิดๆ เมื่อถูกจี้ใจดำ

                       "ใครว่าผมงอน ไม่มี๊!! ก็แค่อยากแกล้งไอ้คาโลมันก็แค่นั้น คิดดูสิคุณนาเดีย...ตั้งแต่ผมมาอยู่นี่นะ ไม่เคยเห็นวันไหนที่มันจะไม่ไปห้องทำงาน ในหัวมันมีแต่งานๆๆๆ แล้วนี่พวกรุ่นพี่เขาอยากจะเจอ ดันกระแดะบอกจะทำงานอีก ให้ผมใช้ชีวิตแบบมันนะ โอ๊ยยย เสียดายจะตายชัก" บ่นพรืดๆ ยาวเป็นหางว่าวกลบเกลื่อนความอายที่ฉายออกมา

                       "ถึงอย่างนั้นก็น่าจะพูดกับฝ่าบาทดีๆ หม่อมฉันว่ายังไงท่านก็ต้องทรงพาคุณเฟรินไปอยู่ดี" คราวนี้มีเพียงเสียงหัวเราะหึๆ จากคนฟัง

                       "ไม่หรอกคุณนาเดีย...บางทีนะฮะ ผมก็มานั่งคิดว่าผมมาอยู่นี่ทำไม" ปลายเสียงแผ่วเบาลงจนน่าสงสาร นาเดียยิ้มแล้วส่ายหน้า ถึงจะทำตัวแก่นแกกมะเหรก ทำตัวเป็นผู้ชายยังไง คนๆ นี้ก็ยังคงเป็นผู้หญิงอยู่ดี เธอเลื่อนตัวขึ้นมานั่งบนเตียงเอื้อมไปจับมือทั้งสองไว้เบาๆ

                       "ฝ่าบาทน่ะ ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กให้มีความรับผิดชอบต่อคาโนวาล เพราะท่านต้องขึ้นเป็นกษัตริย์... สมัยก่อน ก่อนที่พระองค์จะเข้าเรียนที่เอดินเบิร์ก คนที่เห็นรอยยิ้มของพระองค์มีเพียงแค่นกที่สร้างรังอยู่ในสวนเท่านั้น ฝ่าบาททรงไม่ยิ้มให้ใคร ไม่ยอมรับใคร และไม่เชื่อใจใคร แทบจะไม่มีใครเดาใจได้  แต่เมื่อกลับจากเอดินเบิร์กก็ทรงเปลี่ยนไปมาก แม้จะยิ้มยากอยู่เหมือนเดิม แต่ก็ทรงแสดงออกมาขึ้น ยิ่งคุณเฟรินย้ายเข้ามาด้วยแล้ว หม่อมฉันรู้สึกว่าฝ่าบาทค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อยๆ" เฟรินมองหน้าคนพูดนิ่ง นึกไปถึงวันแรกที่ได้เจอคาโล อวดดี จองหอง และเย็นชา

                       "เพราะฉะนั้นอย่าพูดแบบนั้นอีกนะคะ คุณเฟรินเองก็มาอยู่ที่นี่เพื่อฝ่าบาทไม่ใช่หรอไงคะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ทิ้งเดมอสทิ้งจ้าวเอวิเดสมาคาโนวาลหรอก อย่าปิดหม่อมฉันเลย" เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนแย้มยิ้มขึ้นช้าๆ ก่อนจะสวมกอดคนพูดที่สะดุ้งเล็กน้อย

                       "ขอบคุณนะฮะ คุณนาเดียดีกับผมมาก เหมือนแม่อีกคนของผมเลยก็ว่าได้" นาเดียยิ้มลูบเส้นผมหนานั้นเบาๆ

                       จ๊อกกกก โคร่กกกกก

                       เสียงประจานดังสะเทือนออกมาให้ได้ยิน จนเจ้าตัวหน้าแดงซ่านด้วยความอาย

                       "งั้นเดี๋ยวหม่อมฉันไปจัดสำรับมาให้ที่ห้องนะคะ รอซักครู่ค่ะ" เฟรินพยักหน้าเร็วๆ แหม...ไอ้อดอาหารประท้วงนี่มันไม่เข้าแก๊ปเท่าไหร่นี่นะ สายตาทอดออกไปนอกหน้าต่างที่บัดนี้มีแต่เพียงความมืดโรยตัวลงปกคลุมจนหมด ป่านนี้พ่อเอวิเดส กับพ่อดามัสจะเป็นยังไงบ้างนะ หล่อนมาอยู่คาโนวาลได้ 3 เดือนแล้ว นับตั้งแต่พิธีอภิเษกสมรสอันอลังการงานสร้างฉบับคาโนวาลนั่น ไอ้คาโลมันก็เอาแต่ทำงาน ทำงาน แล้วก็ทำงาน ส่วนเธอก็ได้แต่เบื่อ เซ็ง ปวดหู และรำคาญกับกฎระเบียบที่ต้องเคร่งครัด แม่ก็เลยว๊ากไปให้ สุดท้ายไอ้กฎบ้าๆ บางข้อก็ถูกยกเลิกไป เฮ้อ..คิดถึงเพื่อนๆ จัง ป่านนี้ไอ้คิลมันคงมีความสุขกับเรนอนแหงๆ เฟรินคิดไปเรื่อยเปื่อยจนไม่ได้ยินเสียงของอาคันตุกะที่เปิดประตูเข้ามาอย่างเงียบสนิท (ประตูหยอดน้ำมันทุกวัน) ใบหน้าขาวๆ ยามต้องแสงจันทร์กับรอยยิ้มบางๆ ที่เจ้าตัวเผลอยิ้มออกมาทำให้คนมองจ้องไม่วางตา แม้ไร้เครื่องประทินโฉมเพราะหล่อนปฏิเสธก็ไม่ทำให้ความงามนั้นตกไป กลับกลายเป็นความงามที่ใสสะอาด ขายาวๆ ก้าวเข้าไปหาช้าๆ

                       "มาเร็วดีจังคุณนาเดีย" เฟรินหันขวับกลับไปก่อนจะนิ่งอึ้ง เมื่อเห็นว่าคนที่เพิ่งเข้ามาไม่ใช่คนที่หล่อนกำลังรอ

                       "ไหนว่าหลับไปแล้วไง" น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถามช้าๆ หากคนฟังกลับสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง แล้วล้มตัวลงนอน ทั้งๆ ที่แอบดีใจว่ามันมาง้อจนได้ คาโลส่ายหน้าระอาก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียง เฟรินหันหน้าหนีทำทีจะนอนต่อ

                       "โกหกกษัตริย์แบบนี้ต้องประหารอย่างเดียว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง" คราวนี้ได้ผล เจ้าตัวดีลุกพรวดขึ้นมาจ้องหน้าเขม็ง

                       "ไม่เกี่ยวกับคุณนาเดีย ฉันบอกให้เขาบอกนายอย่างนั้นเอง"

                       "ทำไม"

                       "เบื่อนายมั้ง... อยากออกไปหาเจ้าชายอาเธอร์จัง เขาคงทำให้ฉันมีความสุขได้มากกว่านายแน่ๆ" ตอบประชดโดยไม่คิด คาโลคิ้วกระตุกหน่อยๆ เมื่อได้ยินชื่อเจ้าชาย ไม่สิ..คิงของซาเรส

                       "แต่นายเป็นราชินีของคาโนวาล" น้ำเสียงเข้มขึ้น แสดงความไม่พอใจ หากคนฟังกลับหันมาจ้องนิ่งๆ เฮอะ..ราชินีของคาโนวาล ถ้าไอ้การเป็นราชินีแล้วทำให้เธอต้องมานั่งคิดทุกวันว่าทำทุกอย่างไปเพื่ออะไรล่ะก็ อย่างนี้ขอกลับไปเป็นหัวขโมยเหมือนเดิมดีกว่า

                       "แล้วไงเล่า มีสามี สามีก็ไม่สนใจ เอาแต่ทำงาน ไอ้คนเป็นภรรยาก็ได้แต่นั่งแกร่วอยู่แต่ในวัง วันดีคืนดีก็เอามาปัดฝุ่นควงออกไปให้ประชาชนรับรู้ว่าคิงแห่งคาโนวาลมีราชินีแล้วแค่นั้น" คำพูดประชดประชันทำให้คาโลกระตุกยิ้มขึ้นนิดๆ เป็นยิ้มที่ทำให้หล่อนหน้าเสียไปเล็กน้อย

                       "เพิ่งจะรู้ว่านายยอมรับฉันเป็นสามีแล้ว ปกติยังทำตัวเหมือนผู้ชายเหมือนเดิม" ใบหน้าขาวนวลขึ้นสีเรื่อ ดันหลุดปากออกไปซะนี่ มือใหญ่ตวัดโอบรอบเอวคอดอย่างถือสิทธิ์ ดึงให้อีกฝ่ายชิดเข้ามาใกล้ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่

                       "ฉันเองก็อยากอยู่กับนาย..." คำพูดแฝงความนัยลึกๆ แทบทำให้คนฟังหัวระเบิดด้วยความอาย มีใครบอกหล่อนได้ไหมเนี่ย ว่าไอ้คาโลมันไปเอาคำพูดนี้มาจากไหน! ตาสีน้ำตาลจ้องสบกับตาสีฟ้านิ่ง อยากจะหลบแต่กลับยิ่งเหมือนถูกดูดเข้าไปให้ใกล้กว่าเดิม กว่าจะรู้ตัวริมฝีปากร้อนก็ถูกประกบลง ความนุ่มนวล ความอ่อนโยนถูกส่งผ่านมาให้เธอรู้สึก

                       "คุณเฟรินคะ หม่อมฉันยกสำรับมาหะ...." ก้างขวางคอชิ้นพอดีคำ เปิดประตูเข้ามา ทำให้ไอ้คนที่เริ่มทำตัวเป็นผู้หญิงผละออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้านั้นแดงซ่าน ทำไมต้องยอมให้มันจูบด้วยฟะ อีกฝ่ายที่เป็นจำเลยที่โดนบริพาทย์อยู่ในใจกลับนิ่งเฉย

                       "เอ้อ...หม่อมฉันมาผิดจังหวะสินะเพคะ" นาเดียถามอ้อมแอ้ม

                       "ปล่าว! อะ..เอ้อ....ไม่มีอะไรหรอกคุณนาเดีย แค่....แค่....." เห็นท่าทีกระอักกระอ่วนของร่างบางในอ้อมกอดที่อายจนลืมว่าตัวเองอยู่ในท่าไหนแล้วก็ต้องอดยิ้มออกมาไม่ได้ ยิ่งเห็นยิ่งอยากแกล้ง (ไปติดนิสัยใครมา)

                       "ใช่ ไม่มีอะไรหรอกนาเดีย...แค่ฉันคิดถึงเฟรินก็แค่นั้น ช่วงนี้งานเยอะจนไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย จริงมั้ย?" ประโยคสุดท้ายหันไปถามร่างข้างๆ ไม่พอโน้มตัวจุมพิศที่ขมับเบาๆ แสดงความหวานซึ้งออกหน้าออกตา

                       เปรี้ยง!!!

                       หมัดฮุกขวาที่มักจะใช้ได้ผลก็ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อมันส่งกษัตริย์แห่งคาโนวาลลงไปนั่งกุมท้องจุกจนพูดไม่ออก เฟรินกระโดดลงจากเตียงลงไปคว้าถาดอาหารที่จัดมาแบบง่ายๆ ไปนั่งเขมือบที่โต๊ะแก้เขิน สาวใช้กิตติมศักดิ์เห็นบทโหดแล้วขำกิ๊กออกมาก่อนจะรีบเงียบเมื่อสายตาคมๆ ตวัดมามองให้ชวนหวาดกลัว ก็แหม..ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นอาการเขินโอเว่อร์ของราชินีคนนี้นี่นา

                       "เฟริน" คาโลมองไปยังร่างสาวน้อยบอบบาง แต่วิธีการกินขัดหูขัดตาเหลือเกิน สายตาดุๆ ส่งให้เป็นเชิงปราม แต่แน่ล่ะ...มีหรอที่เฟรินจะสนใจมากไปกว่าการจัดการทำกระเพาะให้เต็ม ตาสีน้ำตาลใสแป๋วจ้องตรงมาซื่อๆ เป็นเชิงถาม 'มีอะไรก็พูดมา ฉันฟังอยู่แต่ไม่หยุดกินนะ' ร่างสูงถอนหายใจลุกขึ้นยืน

                       "แค่จะมาบอกว่า ปลายเดือนนี้เราจะไปงานเลี้ยงรุ่นกัน"

                       "หา!! นายยอมพาฉันไปแล้วหรอ" ถามโพล่งทันทีที่เคี้ยวของในปากหมด คาโลพยักหน้าเนิบๆ

                       "เย้!! ขอบใจนะคาโล" หญิงสาวตะโกนลั่นห้องไม่เหลือคราบราชินีผู้สูงศักดิ์แม้แต่น้อย (ธรรมดาก็แทบไม่เห็น) สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับคนที่มองอยู่ เฮ้อ...คิดถูกแล้วหรอเนี่ย หรือไปครั้งนี้จะกลายเป็นการเอาชื่อเสียงคาโนวาลไปป่นกันแน่

    ----------------------------------------------------

                       เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังระงมบริเวณด้านหน้าปราสาทเอดินเบิร์ก เพื่อต้อนรับบรรดากษัตริย์บางพระองค์ที่เสด็จมาร่วมงานเลี้ยงรุ่นในปีนี้ ร้านรวงต่างคึกคักรอเวลา เสียงโหวกเหวกโวยวายตามธรรมดาทั่วไปของสถานที่ที่มีคนเยอะๆ หากคนที่ยิ้มออกมากที่สุดเห็นจะเป็นบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ต่างขนสินค้ามาขายดีกันเทน้ำเทท่า เมื่อเวลาล่วงเลยไปเล็กน้อย ขบวนเสด็จขบวนแรกก็มาถึง เสียงแตรเป่าดังต้อนรับพร้อมกับธงของอณาจักรเจมิไนโบกไสวบนกำแพงปราสาท เสียงโห่ร้องลั่นรับมหาอุปราชแห่งเจมิไนที่ทรงม้ามาพร้อมกับเหล่าทหารอีก 2-3 คน เมื่อขบวนของเจมิไนเคลื่อนหายเข้าไปในตัวปราสาท เสียงโห่ร้องจึงเบาลงไป

                       "มาก่อนเสมอเลยนะ โรเวน" เสียงใสๆ อารมณ์ดีที่ไม่ได้ยินมานานเอ่ยทัก ผู้ถูกทักยิ้มให้พลางลงจากม้า

                       "แต่ยังไงก็มาหลังพวกนายอยู่ดี ลูคัส" อดีตซาตานแห่งป้อมอัศวินยิ้มกว้าง ผิดกับคนข้างๆ ที่ดูหงุดหงิดไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนแม้แต่นิดเดียว จะมีก็แต่ผมที่ยาวขึ้น กับแววตาที่อ่อนลงเล็กน้อย

                       "พวกฉันมันคนเดินทาง ไปไหนมาไหนย่อมรวดเร็วไม่มีอะไรให้ติดค้าง จริงมั้ยลอรี่.."

                       ฟิ้ว!!

                       มีดสั้นสังหารอย่างที่เคยเห็นบ่อยๆ ปาเฉียดหน้าคนพูดไปปักกับกำแพงปราสาท ปาดหน้าเด็กปี 2 ที่ทำหน้าที่ยืนเป็นคนดูแลความเรียบร้อยที่ตอนนี้ยืนช็อกไปนิดเดียว

                       "พอเถอะ...อยู่ด้วยกันตั้งนาน ยังไม่เลิกทะเลาะกันอีกหรอไง" โรเวนถามยิ้มๆ ไม่ติดใจกับสิ่งที่ตนพูดเท่าไหร่นัก

                       "ใครว่าฉันสมัครใจล่ะ ถ้าไม่เพราะมันมาลากฉันทันทีที่เรียนจบ" ลอเรนส์บ่นเคืองๆ สุดท้ายก็ต้องมาตัวติดกับมันต่อ เจ้าชายแห่งเจมิไนส่ายหน้าช้าๆ

                       "เอาล่ะ เข้าไปกันก่อนเถอะ มีเรื่องต้องให้ทำกันอีกเยอะ" ขณะเดียวกันแตรสนามก็ถูกเป่าขึ้น ธงของอเมซอนถูกยกขึ้นต้อนรับเจ้าหญิงแห่งอเมซอนที่ทรงม้าสีขาวสะอาดมาเยี่ยงชายชาตรี ผมสีดำขลับยาวเป็นมันปล่อยสยาย นัยน์ตาสีเขียวฉายความเด็ดเดี่ยวไม่แพ้ใคร หากรอยยิ้มบนใบหน้ากลับทำให้ความตึงของใบหน้านั้นอ่อนลงอย่างเหลือเชื่อ สายตาของเจ้าหญิงแห่งอเมซอนเหลือบไปเห็นคนคู่หนึ่งที่โบกมือไหวๆ อยู่ข้างทางก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะชักม้าให้เข้าไปใกล้แล้วลงมาสวมกอด

                       "เรนอน!! คิดถึงเธอจังเลย เป็นยังไงบ้าง" เพื่อนรักสองคนสวมกอดเข้าหากัน ชายหนุ่มผมดำ นัยน์ตาสีม่วงยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ปล่อยให้พวกเธอแสดงความคิดถึง

                       "สบายดี ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน" มาทิลด้าผละออกมามองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของคนตรงหน้า ผมสีม่วงถูกตัดสั้นดูกระฉับกระเฉง คำพูดคำจาเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ดูเป็นกันเองดี ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองคนข้างๆ

                       "พาเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลไปตกระกำลำบากรึปล่าวคิล" นักฆ่าแห่งซาเรสหัวเราะหึๆ

                       "ไม่มีทาง มีแต่ฉันสิที่จะลำบาก ต้องคอยพะวงว่าเมื่อไหร่เรนอนจะเบื่อแล้วหนีกลับคาโนวาลแทน" คนฟังหัวเราะชอบใจ เรนอนถองเข้าท้องคนพูดเบาๆ อย่างหมั่นไส้

                       "เออ...มีใครมาบ้างรึยัง"

                       "พี่โรเวนเพิ่งมาถึงเมื่อกี้ แต่ฉันเห็นพี่ลูคัสกับพี่ลอเรนส์เข้าไปก่อนน่ะ ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยกันมา ถ้านับพวกขุนนางชั้นสูง ตอนนี้ก็เหลือแต่ไอ้เฟรินกับคาโลมันสองคนแค่นั้นแหละ" คิลเฉลยให้ฟังเรียบๆ มาทิลด้าพยักหน้าก่อนจะชวนกันเข้าไปในปราสาท

                       ตะวันคล้อยบ่าย เสียงจอแจจ๊อกแจ๊กเมื่อยามสายๆ เริ่มเบาลง หากบรรดาผู้คนก็ยังคงฝังตัวเองไว้กับข้างทางเพื่อรอรับขบวนสุดท้ายที่กำลังเดินทางมาเลทกว่ากำหนดการราวๆ 2 ชั่วโมง และเมื่อแตรสัญญาณดังขึ้น ขบวนทหารของคาโนวาล และบารามอสก็ปรากฏแก่สายตาของประชาชน ตรงกลางคือกษัตริย์แห่งคาโนวาลที่เย็นชาและสงบ หากมีแววของความหงุดหงิดแผ่ออกมาจางๆ ผิดกับหญิงสาวข้างๆ ที่ยิ้มร่าเมื่อเห็นร้านขายแอปเปิ้ลข้างทาง

                       "นี่ๆ คาโล แอปเปิ้ลพวกนั้นน่ากินดีจัง" สะกิดเรียกคนข้างๆ ไม่สนใจสายตาประชาชีที่มองมาอย่างงงๆ นี่หรอ...ราชินีแห่งบารามอสและเดมอสที่ครองใจกษัตริย์แห่งคาโนวาลจนไม่มีสนมหรือมเหสีคนอื่นอีก คาโลปรามสายตาดุๆ แต่ไม่ได้ทำให้ดูสงบขึ้นเลยแม้แต่น้อย หนักข้อเข้าไปใหญ่เมื่อแม่สาวตัวดีกระโดดลงจากหลังม้าวิ่งตรงไปที่ร้านที่หมายตาเอาไว้ สร้างความแตกตื่นให้กับองครักษ์ที่คุ้มกันอยู่รอบๆ ไม่ผิดกับแม่ค้าที่ยืนเกร็งเป็นรูปปั้น

                       "ป้าๆ แอปเปิ้ลพวกนี้ขายยังไง" เฟรินถามเสียงแจ้วๆ พลางเลือกลูกสวยๆ ใส่ตะกร้าอย่างช่ำชอง

                       "อะ...เอ้อ.....ลูกละ 5 คราวน์เพคะ" แม่ค้าตอบตะกุกตะกัก โอยยย...ราชินีแห่งคาโนวาลลงมาถามราคาแอปเปิ้ลด้วยตัวเอง เธอบ่นร่ำๆ จะร้องไห้ให้ได้ ยิ่งเห็นสายตาดุเย็นเยือกเข้าหัวใจของกษัตริย์ที่นั่งอยู่บนหลังม้า ก็ยิ่งหวาดกลัวทั้งๆ ที่ตนไม่ได้ทำผิด

                       "ถูกดีจัง จะว่าไปช่วงนี้ก็หน้าแอปเปิ้ลนี่นา..." หล่อนคลำตามตัวแล้วนึกได้ว่าไม่ได้พกเงินมา ก็ไอ้ตั้งแต่เข้าวังไป มีเวลาจับจ่ายใช้สอยเงินเหมือนคนปกติเขาที่ไหนล่ะ อยากได้อะไรก็มีคนหามาให้ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ

                       "ง่า...ขอโทษนะจ๊ะป้า ฉันไม่ได้พกเงินมา งั้น...เอาไอ้นี่ไปแทนเงินได้มั้ยจ๊ะ" ไอ้นี่ที่เธอยื่นให้คือ กำไลทองแกะสลักฝั่งพลอยชั้นดีจากเวนอล จ่ายแทนเงิน...40 คราวน์ (8 ลูก) แม่ค้ามองอึ้งไปแล้วต้องหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มีที่ไหนล่ะ ราชินีที่เดินลงมาซื้อแอปเปิ้ลเพราะอยากกิน แถมยังกลัวว่ากำไลทองแท้ๆ กับพลอยชั้นดีจะไม่พอจ่ายค่าแอปเปิ้ล เช่นเดียวกับชาวบ้านรอบๆ ที่ฮาครืนกันยกใหญ่ และบรรดาองครักษ์ที่กลั้นหัวเราะไว้ คงมีอยู่คนเดียวที่ได้แต่ส่ายหน้าทำใจ

                       "เอาไปเถอะเพคะ หม่อมฉันถวายให้ฝ่าบาทฟรีๆ" คำตอบที่ได้ยิน ทำเอาเฟรินยิ้มกว้าง พร้อมกับกล่าวขอบอกขอบใจแม่ค้าใหญ่ ก่อนที่คาโลจะเรียกเสียงเข้มให้เธอขึ้นม้าแล้วพากันเข้าปราสาทไป ท่ามกลางความชื่นชมของชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์พร้อมกับที่ข่าวราชินีแห่งคาโนวาลเป็นคนติดดิน ไม่ถือยศถาบรรดาศักดิ์ก็ประโคมไปทั่ว

                       "ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจมั้ย" ร่างสูงเอ็ดเสียงเข้ม แต่คนฟังยิ้มแผล่ หยิบแอปเปิ้ลที่ได้ฟรีมากัดเคี้ยวกร้วมๆ

                       "ทำไมล่ะ ไม่เห็นหรอว่ากลายเป็นดีไป หึๆๆ" เสียงหัวเราะตบท้ายยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน ไอ้แบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ

                       "ไม่เจอกันนาน กลายเป็นคนชอบสร้างภาพตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย" น้ำเสียงกวนบาทาอย่างนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลซอยสั้นระต้นคอ นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายดูเฉลียวฉลาดมีรอยขบขันทอออกมา...ท่านขอทานกิตติมศักดิ์ โร เซวาเรซ เดอะ เบ็กการ์ ออฟ ทริสทอร์ 

                       "เขาเรียกว่าวิธีมัดใจคนเฟ้ย แกก็น่าจะเรียนแล้วนี่นา หรือว่าโดดเรียนฮึ...โร" เฟรินทักพร้อมกับยิ้มกวนๆ คนถูกทักส่ายหน้าช้าๆ

                       "ให้ตายเหอะ เข้าวังไปอยู่คาโนวาลตั้งนาน แต่นิสัยยังเหมือนเดิม แกสอนมันยังไงกันแน่เนี่ยคาโล" คิ้วหนากระตุกเล็กน้อย ก็พร่ำบอกมันแล้ว มันดันไม่ทำนี่หว่า

                       "อุตส่าห์มาเจอกันทั้งที พวกนายยังทะเลาะกันอีกหรอเนี่ย" เสียงแจ๋วๆ ที่ไม่ได้ยินมานาน ทำเอาไอ้คนที่เคี้ยวแอปเปิ้ลสะดุ้งเฮือก หันกลับไปมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาพร้อมกับคทาคู่ใจที่เดาะเล่นอยู่ในมือแล้วยิ่งหวาด แม่มดแห่งวิชช์กระตุกยิ้ม นัยน์ตาสีฟ้ามองคนที่เธอชอบตีหัวอย่างชื่นชม เธอสวยขึ้นมาก เฟลิโอน่า

                       "แองจี้...สบายดีหรอ" เฟรินทักเสียงแผ่ว สายตาจับจ้องอยู่ที่คทาในมืออีกฝ่ายอย่างระแวดระวังว่ามันจะมาลงบนหัวเธอหรือไม่

                       "สบายดี แล้วพวกนายล่ะคาโล โร" หันไปทักคนอื่นบ้าง คาโลพยักหน้าเงียบๆ คนนี้ก็พูดน้อยเหมือนเดิม

                       "สบายดีเหมือนกัน เข้าไปเหอะ สงสัยพวกเราจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มาถึง" โรตัดบท แล้วเดินนำออกไป

    ----------------------------------------------------

                       เฟรินทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน หากใบหน้ากลับเปื้อนยิ้มด้วยความสุข นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้ยิ้มกว้างขนาดนี้ ไม่ได้พูดคุยมากขนาดนี้ เสียงประตูปิดลงแผ่วเบาแต่ก็ดังพอให้เธอลุกขึ้นมาดู ใบหน้าขาวๆ ที่เคยเห็นจนชินตาตอนนี้กลับมีสีแดงเรื่อๆ แน่ล่ะ ก็มันเล่นซัดเต็มที่ซะขนาดนั้น นี่คงเมาแน่ๆ คาโลประคองตัวเองมาถึงเตียงก่อนจะนอนแผ่อย่างหมดแรง

                       "ว่าแต่คนอื่นให้เงียบๆ ทีตัวเองเหล้าเข้าปากแล้วผิดจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนะแก" หล่อนเหน็บเบาๆ แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะลุกไปอาบน้ำให้หายเหนียวตัว พอออกมาก็พบว่าอีกฝ่ายผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว แถมมีบ่นละเมองึมงำๆ เบาๆ อีกต่างหาก

                       "ถ้ามีคนมาเห็นแกตอนนี้ จะมีคนบอกอีกรึปล่าวนะ ว่าแกน่ากลัว" ว่าพลางก็หัวเราะคิกคักเบาๆ (กลัวเจ้าตัวได้ยินแล้วจะตื่นมาเล่นงาน) พร้อมกับสำรวจห้อง ความจริงเธออยากจะพักอยู่ที่ป้อมอัศวินมากกว่า แต่โรเวนไม่อนุญาต ไม่รู้จะกลัวไปทำไม ไอ้ไม่สมฐานะเนี่ย ก็แค่ที่นอน ที่ไหนนอนได้ นอนแล้วสบายใจ เขาก็นอนได้หมด

                       "เฟ...ริน" เสียงเรียกชื่อตน ทำให้หล่อนต้องหันไปมอง แล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะไว้อีก เมื่อมาดเจ้าชายน้ำแข็งที่เคยเห็นมันหายหดไปไหนก็ไม่รู้ ตรงหน้าเธอมีเพียงผู้ชายคนนึงที่เมาหลับไม่ได้สติเท่านั้น เสื้อตัวนอกที่สวมอยู่ดูหน้าอึดอัดเธอจึงตัดสินใจถอดเอาไปแขวน (แล้วไม่ทำซะแต่แรก) หากเสื้อด้านในกลับชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเช่นเดียวกับใบหน้า ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเริ่มเห็นผล เฟรินเริ่มหนักใจ ไอ้จะถอดเสื้อให้ก็กระไรอยู่ เพราะงั้นก็...

                       "ฝันดีนะคาโล" แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนด้านข้างทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไอ้เสียงงึมงำๆ ข้างๆ หูก็ยังไม่มีทีท่าจะเงียบลงซักที และไอ้คนที่คิดจะนอนโดยไม่ช่วยเหลือก็เริ่มทนไม่ได้ เฟรินยันตัวเองขึ้นมามองคนที่รบกวนการนอนของตนอย่างขัดใจ เหงื่อเกาะพราวไปทั่วใบหน้า เสื้อที่ใส่อยู่ก็เปียกโชกเหมือนโดนน้ำสาดใส่ คิ้วเข้มขมวดกันมุ่น ดูท่าทางจะฝันร้ายซะด้วย เอาไงดีล่ะเนี่ยปล่อยให้มันอยู่อย่างนี้ คนที่นอนไม่หลับจะกลายเป็นเขาแทนแน่ๆ ยิ่งมองยิ่งเหนื่อยใจ เฮ้อ...ไอ้คาโลเอ้ยยย หมดสภาพก็คราวนี้ล่ะ คิดพลางก็ลุกขึ้นไปค้นเอาผ้าขนหนูผืนเล็กในตู้เสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

                       "อือ..." คนที่นอนอยู่ครางออกมาอย่างรำคาญ เมื่อสัมผัสกับความเย็นชื้นของผ้าที่เช็ดเอาเหงื่อที่หน้าออก มือไม้ยกมือปัดไปมา

                       "เฮ้ๆ อยู่เฉยๆ หน่อยไม่ได้หรอไง คนเขาอุตส่าห์จะเช็ดตัวให้" เฟรินบ่นอุบ พยายามใช้อีกมือรวบมือใหญ่ของอีกฝ่ายกดลงให้ราบกับลำตัว แต่เพียงครู่เดียวอาการฮึดฮัดนั้นก็สงบลง ทำให้เธอเช็ดตัวอีกฝ่ายได้สะดวกมากขึ้น

                       "เฮ้อ...เมาแล้วหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ดีนะที่มันไม่ชอบกินเหล้าเท่าไหร่" บ่นกับตัวเองเบาๆ มือก็ยังสาละวนกับการบิดผ้าให้หมาด นี่ถ้ามันกินอย่างนี้ทุกวันงานนี้มีเลิกแน่ๆ แทนที่จะได้นอนสบายๆ

                       หมับ!

                       "เฮ้ย!!!" เสียงอุทานห้วนๆ สะดุ้งเฮือก เมื่อไอ้มือที่วางอยู่นิ่งๆ จู่ๆ ก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเธอ เปลือกตาที่หลับพริ้มอยู่ค่อยๆ เผยอลืมขึ้นช้าๆ แล้วลุกพรวด ทำเอาคนข้างๆ สบถออกมาด้วยความตกใจ ตาสีฟ้าหันมาจ้องร่างบางข้างๆ เขม็ง ความเงียบที่น่าอึดอัดค่อยๆ ปกคลุมภายในห้อง ก่อนจะถูกทำลายด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

                       "มีอะไร" ถามพลางมองผ้าขนหนูในมือเลยไปยังอ่างน้ำข้างเตียง เฟรินพยายามสะบัดข้อมือแรงๆ แต่ก็สู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี

                       "ก็แกเมา...แล้วบ่นอะไรพึมพำก็ไม่รู้ ฉันก็คิดว่าเพราะแกร้อนทำให้เพ้อก็เลยเช็ดตัวให้แค่นั้น" เหตุผลที่ได้ยินทำให้แววตาดุๆ อ่อนลง

                       "ขอโทษ" เฟรินมองหน้างงๆ มันขอโทษอะไรฟะ เรื่องที่มันเมา เรื่องที่ทำให้เราไม่ได้นอน หรือเรื่องอื่น?

                       "ช่างมันเถอะ แกตื่นก็ดีแล้ว ไปอาบน้ำเลยไป แล้วก็ปล่อยมือฉันได้แล้ว" หากคาโลก็ยังคงมองหน้าเธอนิ่ง แล้วจู่ๆ ก็ดึงมือที่จับไว้ไปประทับริมฝีปากแผ่วเบา ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้ง เฮ้ย!! มันเมาหนักอะไรขนาดนั้นฟะ นี่เช็ดตัวแล้วยังไม่ดีขึ้นเรอะ อยากจะชักมือกลับ ถ้าไม่ติดตรงที่ไอ้มือที่จับอยู่นั่นมันเหนียวยิ่งกว่ามือตุ๊กแกทากาวตาช้าง

                       "เมื่อกี้ฉันฝันร้าย" คาโลเอ่ยขึ้นเบาๆ คิ้วบางขมวดเข้าหากัน แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยวะ เหมือนจะรู้ว่าเธอคิดอะไร ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อ

                       "ฝันว่านายหนีกลับเดมอส แล้วแต่งงานกับคนอื่น" หัวใจกระตุกวูบกับคำบอกเล่า ยิ่งสบสายตาจริงจังนั่นอีก

                       "โชคดีที่เป็นแค่ความฝัน" เฟรินมองหน้าอย่างอ่อนใจ ทำไมถึงได้ใจอ่อนกับคำพูดมันนักนะ หันไปวางผ้าขนหนูลงบนขอบอ่างน้ำแล้วหันกลับมามองใบหน้าขาวที่แดงระเรื่อเล็กน้อย อารมณ์อยากแกล้งคนค่อยโผล่ขึ้นมา

                       "ก็ไม่แน่...ถ้าแกยังทำตัวเป็นเครื่องทำน้ำแข็งและพยายามจะแช่แข็งคาโนวาล ฉันอาจจะชิ่งกลับแล้วหาใครซักคนที่อบอุ่นมากพอ บอกแล้วไม่ใช่หรอ ว่าฉันชอบร้อนๆ อบอุ่น ไม่ใช่หนาวเย็น น้ำแข็งเกาะ" กระเซ้าแหย่อย่างเคยตัว แววตาที่ดูอ่อนโยนก็แข็งกร้าวขึ้นมา มือที่กุมข้อมือบางเอาไว้รัดแน่นจนเจ้าตัวร้องออกมา

                       "มันเจ็บนะไอ้บ้า!" แต่ดูเหมือนคาโลจะน็อตหลุดไปเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงกระตุกดึงเอาเฟรินที่ลุกขึ้นพยายามสะบัดมือให้เสียหลักล้มลงบนเตียง ก่อนจะตวัดตัวเองขึ้นคร่อมอีกฝ่ายทันที

                       "ทำบ้าอะไรของแก ออกไปเดี๋ยวนี้นะไอ้คาโล" เฟรินตวาดใส่ หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมาจากข้างในพร้อมกับไอ้เพชรบ้าๆ นั่น สองแขนถูกตรึงด้วยมือใหญ่ไว้เหนือหัว สภาพการณ์แบบนี้อันตรายที่สุด!!!

                       "แกเป็นของฉัน เฟริน" คาโลเอ่ยเสียงเฉียบขาดจนเกือบกลายเป็นตะคอก ชัวร์เลย!! ไอ้ตอนแรกไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้มั่นใจมากว่า มันเมา!!! เมามากพอดูที่จะทำให้มันลืมเก๊กได้ เจ้าตัวดีที่คิดจะยั่วโมโห ตอนนี้เริ่มสอดส่ายสายตาหาทางเลี่ยง

                       "เพราะฉะนั้นไม่มีใครที่จะมาได้แกไปจากฉัน" คำพูดชวนฉุนกึกทำให้หล่อนฟิวส์ขาดขึ้นมาซะง่ายๆ

                       "ไอ้บ้า! ฉันไม่ใช่สิ่งของนะเฟ้ย ที่จะได้มาแย่..." จูบร้อนๆ จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีเธอประกบหยุดคำพูดทุกคำ จูบที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและเร่าร้อนทำให้เฟรินอ่อนระทวยไปทันที คาโลไม่เคยจูบหล่อนแบบนี้ จูบที่เต็มไปด้วย...ความต้องการ ดวงหน้าขาวร้อนวูบเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด ไม่นะโว้ย!! ความบริสุทธิ์ช๊านนนนนน แล้วก็ยิ่งหน้าแดงหนัก เมื่อริมฝีปากที่เคยอยู่บนปากหล่อนเริ่มไล้ไปตามสันกรามเรื่อยลงไปตามคอ ถึงเธอจะแต่งงานกับคาโลแล้วก็จริง แต่...มันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย เพราะเธอพยายามหลบเลี่ยงมาตลอด หาข้ออ้างสารพัด แต่วันนี้...ตอนนี้ เธอรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ว่าต่อให้หาเหตุผลยังไง คนๆ นี้คงไม่หยุดแน่ๆ ความหวานกลัวพุ่งปราดเข้ามาในใจ

                       "ค..คาโล ไม่เอานะ แบบนี้ไม่เอา" เสียงสั่นเครือด้วยความกลัว ใช่...เธอกำลังกลัว กลัวในสิ่งที่กำลังเผชิญ คนด้านบนชะงักกึก ยิ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นน้ำใสๆ ที่ไหลอาบแก้มบางนั้นแล้วยิ่งทำให้ใจอ่อนยวบ เรียกสติกลับคืนมาทันที

                       "ขอโทษ อย่าร้องนะ" มือใหญ่เอื้อมมาปาดน้ำตาออกแผ่วเบา เฟรินยังคงสะอื้น คาโลสบถโทษตัวเองเบาๆ เขาไม่ควรจะใช้กำลัง แต่เพราะคำพูดที่หักหาญน้ำใจนั่นบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอร์ที่ไหลวนอยู่ในตัว ทำให้เขาหลุดไปมากขนาดนี้

                       "ขอโทษนะ ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก อย่าร้องเลยนะ" ก้มลงจูบซับน้ำตาเบาๆ ตาสีน้ำตาลค้อนขวับให้วงโต

                       "ไอ้บ้า! แกบอกเองไม่ใช่หรอว่าจะไม่บังคับ" ด่าไปพลางพยายามสะกดเสียงสะอื้นไปพลาง คาโลลดตัวลงมานอนข้างๆ แล้วโอบกระชับเอวอีกฝ่ายเข้าหาตัว จูบที่ขมับเป็นการปลอบโยน

                       "ขอโทษ" ย้ำอีกครั้งก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ เฟรินเหลือบมองเล็กน้อยแล้วขู่ฟ่อ

                       "อย่าให้มีคราวหน้านะ ฉันหนีกลับเดมอสแน่ๆ" ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ

                       "สัญญา นอนเถอะดึกมากแล้ว" หากไม่ทันที่จะหลับ แขนบางๆ ก็ดันร่างสูงออกซะห่าง

                       "ไปอาบน้ำก่อนเลยไป แล้วค่อยมานอน" เมื่อภรรยา(ทางนิตินัย)ที่รักสั่ง มีหรือที่สามีจะไม่ทำตาม แต่พอออกมาก็พบว่าเจ้าตัวหลับตาพริ้มจมอยู่ในห้วงนิทราไปเรียบร้อยซะแล้ว คาโลยิ้มบางๆ แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ โดยมีเฟรินเป็นหมอนกอดให้ความอบอุ่น (แค่นั้นจริงๆ นะ)

    ----------------------------------------------------

                       "ฮ้าวววว อรุณสวัสดิ์คิล" เสียงทักใสๆ ของเพื่อนตัวแสบดังขึ้น ภายในห้องอาหารดราก้อนที่แสนจะคิดถึงกับบรรยากาศเดิมๆ

                       "อรุณสวัสดิ์บ้านนายดิ นี่มันจะสิบโมงแล้ว" เรนอนที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะคิกคัก เฟรินยิ้มกว้างไม่สนใจ ทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ใช่ว่าอาหารของคาโนวาลไม่อร่อย แต่เขาไม่ได้กินของพวกนี้มานานแล้วนี่นา คิลมองแล้วส่ายหน้าช้าๆ

                       "นี่ไม่พัฒนาการกินขึ้นบ้างหรอไง หรือไอ้คาโลมันไม่สอน" ถามพลางก็มองไปรอบๆ ที่ตอนนี้รุ่นน้องหลายคนหันมามองแล้วเริ่มซุบซิบด้วยคำถามที่ว่า ไอ้คนที่ตายอดตายอยากมาจากไหนก็ไม่รู้คนนี้คือใคร??

                       "โธ่...กินกับเพื่อนจะต้องระวังอะไรวะ ไว้ไปนั่งกินกับพวกขุนนางหรือราชนิกูลก็ค่อยว่ากัน ถ้าแกเห็นฉันตอนนั้นแล้วจะอึ้ง" ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะหึๆ และน้ำแก้วใหญ่เป็นอันจบพิธีการกินในสายวันนี้ การพูดคุยเพื่อการย่อยก็เริ่มขึ้น

                       "แล้วนี่พวกนั้นมันไปไหนล่ะ" หันมองล่อกแล่กซ้ายขวา เมื่อไม่เห็นเพื่อนร่วมป้อม

                       "อ๋อ...เห็นว่าพี่โรเวนเขาเรียกประชุมตอนสิบโมงน่ะ สงสัยไปรวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นมั้ง"

                       "อ้าว...แล้วทำไมแกกับเรนอนยังไม่ไปวะ นั่งอ้อระเหยลอยชายอยู่แถวนี้" คราวนี้คนถูกถามหน้าเริ่มขึ้นสีเล็กๆ เช่นเดียวกับหญิงสาวข้างๆ ที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆ เฟรินเลิกคิ้วสูง ยิ่งเห็นท่าทางอย่างนี้แล้วยิ่งน่าแกล้ง เอ...แต่จะว่าไปมันก็แปลกๆ นะ เรนอนกินแต่ผักกับผลไม้ แถมไอ้คิลก็กินแค่ข้าวกับแกงจืด แล้วก็อาหารทอด ทั้งๆ ที่ปกติมันต้องพวกแกงเผ็ดหรือไม่ก็พวกผัดผักนี่นา

                       "หรือว่า..." สมองเล็กๆ ของเธอเริ่มประมวลเหมือนเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 10 ตัวประมวลผลร่วมกัน ติ๊ดๆๆๆๆ แล้วข้อสรุปก็ไหลออกมาพร้อมกับคำพูด

                       "เรนอนท้อง??" ติ๊งต่อง!! เสียงใสๆ เหมือนมีคนมาเฉลยดังขึ้นในหัว เจ้าตัวป่วนยิ้มแผล่ อ่าฮะ...งานนี้ได้แกล้งคนอีกแล้วว

                       "กี่เดือนแล้วล่ะ" เมื่อไม่ปฏิเสธก็ถามต่อซะเลย

                       "3 เดือนค่ะ" เรนอนตอบอ้อมแอ้ม แต่ไอ้คนถามน่ะกำลังมองหน้าเพื่อนตัวดีที่หันไปมองโน่นมองนี่เลี่ยงไม่ยอมสบตาเธอง่ายๆ แทน


                       "อะไรกันวะคิล เพื่อนจะได้อุ้มหลานแต่แกดันไม่บอกข่าวดีแบบนี้ใช่ได้ที่ไหนกัน" ผิวเข้มๆ ค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง

                       "แล้วนี่มีใครรู้บ้างรึยัง" หันไปถามผู้ที่กำลังจะเป็นแม่คนต่อ อีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ

                       "นอกจากครอบครัวคุณคิลแล้ว ก็มีแต่พี่โรเวนกับคุณเฟรินนี่ล่ะค่ะ" คนฟังดีดนิ้วเป๊าะชอบใจ อ้อ...ถึงได้เถลไถลได้อย่างนี้นี่เอง

                       "อย่างนี้ต้องฉลองหน่อยแล้ว พวกนั้นต้องดีใจแน่ๆ"

                       "แกอย่าไปบอกพวกนั้นก่อนนะ" คิลหันขวับกลับมาห้าม คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน

                       "ทำไมวะ" เขาเกาแก้มเบาๆ เป็นนิสัยปกติที่เวลาเขินหรือกระดากต้องแสดงออกมา

                       "ก็..อยากให้คลอดก่อนแค่นั้น" คราวนี้เฟรินถึงกับปล่อยก๊ากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไอ้นี่มันหวงลูกนี่หว่า 555555555+ ไอ้คนถูกหัวเราะใส่ก็ยิ่งหน้าแดง ถึงไม่อยากให้มันรู้ไง

                       "ว่าแต่แกเถอะ ทำไมยังอยู่ในร่างนี้ล่ะ ปกติต้องใส่แหวนอยู่ตลอดเวลานี่" หญิงสาวชะงักกึก แทงเข้ากลางใจ

                       "ไอ้คาโลมันเก็บไว้น่ะสิ บอกว่าไว้จำเป็นเมื่อไหร่จะให้คืน" จบแล้วก็บ่นกับตัวเองพึมพำเบาๆ คิลหัวเราะกิ๊ก อย่างน้อยมันก็ลืมเรื่องของเขาละ

                       "คุณคิลคะ ไปกันดีกว่าค่ะ อีก 5 นาทีจะได้เวลาที่พี่โรเวนนัดแล้ว" ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วพากันเดินไปพร้อมกันทั้งสามคน

    ----------------------------------------------------

                       ภายในห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจของการทักทายถามสารทุกข์สุขดิบปนๆ ไปกับเสียงหัวเราะเฮฮา ทำให้ชวนนึกถึงสมัยยังเรียนอยู่ ซึ่งการจัดงานเลี้ยงรุ่นนี้ใช้เกณฑ์นับจากคนจัดงานลงไป 3 ปีและขึ้นไปอีก 2 ปี รวมเป็น 6 ปี หากแต่ส่วนใหญ่จะติดภารกิจ ทำให้จำนวนจึงน้อยลงกว่าปกติ ไม่นานนักคนสามคนก็เปิดประตูเดินเข้ามา เสียงคุยค่อยเงียบลงจนเงียบสนิท

                       "เอาล่ะ ก่อนอื่นต้องพูดว่า ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ตอนนี้อยากให้ทุกคนลืมยศถาบรรดาศักดิ์กันก่อน ไม่มีคิง ไม่มีหัวขโมย มีแต่รุ่นพี่รุ่นน้องและเพื่อนร่วมป้อม โอเคมั้ยจ๊ะ" ประโยคหลังของอาจารย์แรมเซิลดูเหมือนจะเจาะจงมาที่ใครบางคนอย่างน่าประหลาด เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ

                       "เมื่อครู่ฉันได้คุยกับบรรดาหัวหน้าของชั้นปีในแต่ละรุ่นแล้ว เพื่อแจกแจงรายละเอียดของกิจกรรมในช่วง 2-3 วันที่อยู่ที่นี่ เอาเป็นว่า...ยกเป็นหน้าที่ของมาทิลด้ากับคาโลก็แล้วกันนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันต้องไปที่กลุ่มอื่นต่อ" แล้วมิสแรมเซิลก็เดินออกไป คาโลแจกเอกสารที่ถ่ายมาให้กับทุกคน ขณะที่มาทิลด้าอธิบายในส่วนต่างๆ เฟรินก้มลงมองตารางในแต่ละวันผ่านๆ

                       "สำหรับวันนี้พี่โรเวนจัดให้ทุกคนได้พักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้จะมีการประลองกัน ซึ่ง...ทุกคนต้องลงแข่ง การแข่งจะเป็นแบบแพ้คัดออก ซึ่งบางทีพวกเราต้องแข่งกับรุ่นพี่ สำหรับตารางการแข่งจะออกมาในวันพรุ่งนี้" หึๆ ถ้าไม่มีโปรแกรมนี้สิถึงจะแปลก คนของป้อมอัศวิน นิยมการประลองฝีมือ

                       "ตกกลางคืนจะเป็นด่านทดสอบจิตใจในป่าที่ศาตราจารย์วิงกี้เสกขึ้นมาให้เป็นกรณีพิเศษ" คนที่ไม่ถูกโฉลกกับเรื่องแบบนี้สะดุ้งเฮือก งานเลี้ยงรุ่นบ้าอะไรฟะ ต้องมีด่านทดสอบจิตใจ บ่นงึมงำๆ เบาๆ

                       "ส่วนกติกาคาโลจะเป็นคนอธิบายภายหลัง วันถัดไปจะเป็นการแข่งหมากกระดานเกียรติยศรอบพิเศษ ก็คือเป็นการแข่งกันเองไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งประจำปี ซึ่งจะแบ่งทีมเป็น 6 ทีมในแต่ละรุ่น ใช้วิธีแพ้คัดออกเหมือนกัน เรื่องตำแหน่งเราจะว่ากันอีกที เอาล่ะ มีใครสงสัยจะถามอะไรมั้ย" มาทิลด้ากวาดสายตาไปหยุดอยู่ที่มือที่ชูหราบนอากาศก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต

                       "มีรางวัลอะไรมั้ยครับ" 

                       "เห็นพี่โรเวนบอกว่าจะให้แพ็คเกจกินฟรีอยู่ฟรี 5 วัน 5 คืนที่เจมิไน พร้อมทัวร์ต่อที่เวนอลอีก 3 วัน"  เสียงฮือฮาก็กระหึ่มขึ้น  ขณะที่คนสองคนกำลัง หัวเราะคิกคักขำกับรางวัลงานนี้ โธ่...แบบนี้ พี่เขาก็ไม่เสียอะไรเลยนี่นา หุๆ เล่นจัดในเจมิไนกับเวนอล ฮ่าๆๆๆ

                       "หมายความว่าวันนี้จะไปไหนก็ได้งั้นหรอ" ครี้ดถามขึ้น เธอพยักหน้าช้าๆ

                       "ใช่...ทั้งภายในและภายนอกปราสาท แต่ว่า ถ้าต้องการออกไปข้างนอก สำหรับบางคนต้องเอาคนติดตามไปอารักขาด้วย" เสียงพึมพำดังระงมน่าเวียนหัว

                       ตึง!!!

                       "ฉันเคยพร่ำบอกแล้วไม่ใช่หรอไง ว่าจะพูดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ทำตัวให้เป็นผู้ชายหน่อย" มาทิลด้าตวาดเสียงดัง ทั้งห้องกลับมาเงียบอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย


    ****************************TBC.....
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×