ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Distance : การเดินทางที่ยาวไกล

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 13 : ความหลัง(3) - งานวันเกิด

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 49


                       หลังจากนั้นหนึ่งปีทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางที่ตัวเองเลือกไว้ มีการเขียนจดหมายหากันบ้าง หรือบางคนก็ยุ่งซะจนไม่มีเวลาบ้าง ก็คละๆ กันไป ทางด้านตัวเอกของเรา มาดูกันที่คิลเป็นคนแรก คนนี้ซุ่มเงียบเพราะจบไปแล้วไม่มีข่าวคราวอะไรอีกเลย จดหมายก็ไม่มีเขียน ติดต่อกับใครก็ไม่ทำ ทางด้านคาโลก็ถูกเรียกตัวกลับคาโนวาลเพื่อเรียนรู้การเป็นกษัตริย์ ส่วนเฟรินนั้นกลับเดมอสเพื่อเรียนรู้วิธีการเป็นผู้หญิงจากท่านอาลูน่าที่เจียดเวลามาอบรมอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อวัน (ซึ่งเฟรินฝากบอกว่า นรก!!!!) เวลายิ่งผ่านไปทุกวันๆ อาการกระโดกกระเดกเป็นม้าก็เริ่มลดลง แต่ไอ้นิสัยปากเสียที่แม้แต่ราชินีดวงจันทร์ก็ต้องส่ายหน้า ทำยังไงก็ไม่หายเสียทีจนต้องปล่อยเลยตามเลย และอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็จะเป็นงานฉลองวันครบรอบ...(ตื้ด)...ปี (ด้วยจรรยาบรรณไม่สามารถแสดงตัวเลขได้ ขอให้ผู้อ่านนับกันเอาเองค่ะ) ทั่วทั้งเดมอสต่างเริ่มคึกคักกันขึ้นมาอีกครั้ง หากผิดกับสภาพภายในวังลิบลับ

                       "โกโดม มีจดหมายถึงฉันบ้างมั้ย" หญิงสาวที่เจริญวัยสมบูรณ์พร้อมแทบทุกอย่าง ยกเว้นแต่ยังไม่ยอมผ่าสัตว์สี่เท้าออกจากปากนั้นชะโงกออกมาถามคนแคระเขากวางที่กำลังวิ่งวุ่นเพื่อเตรียมงานใหญ่ที่จะมาถึงในเย็นนี้

                       "นอกจากจดหมายของท่านโรแล้วยังไม่มีเลยกระหม่อม มีอะไรจะรับสั่งหรอกระหม่อม" เฟรินโบกมือไล่แล้วปิดประตูส่ง โกโดมเอียงคองงก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังห้องโถงกลางอย่างรีบเร่ง ภายในห้องบรรทมของเจ้าหญิงแห่งเดมอส ใช่...มันควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เพราะสภาพในห้องไม่มีส่วนไหนที่ควรเรียกว่าห้องบรรทมให้สมศักดิ์เลย เตียงขนาดกลางตั้งเด่นภายให้ห้องเล็กๆ แห่งนี้ โต๊ะทำงานติดหน้าต่างที่เต็มไปด้วยกระดาษและขยะ ตู้เสื้อผ้าที่มีเสื้อผ้าโผล่ออกมา และ...เจ้าหญิงแห่งเดมอสในชุดชาวบ้านแบบ...ผู้ชาย ( -*- ) ผมยาวสลวยมัดรวบด้วยเชือกเส้นเล็กมวยขึ้นแล้วใช้ปิ่นไม้เรียบๆ ตรึงเอาไว้ ดวงหน้างอง้ำเนื่องด้วยอาการเซ็งจากการรอคอย ไอ้พวกบ้า!!! มันไม่คิดจะติดต่ออะไรมาบ้างเลยหรอไงเนี่ยยยย!!!! คิดแล้วยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากวังโดยเด็ดขาด อย่าว่าแต่ออกไปเลย แค่ขาก้าวออกไปข้างเดียว ตัวอะไรก็ไม่รู้ รูปร่างเหมือนมนุษย์แต่ตัวเล็กๆ ป้อมๆ เขี้ยวยาวๆ ก็กระโดดแวบออกมาขวางหน้าทันที เสียงสบถดังพรืดเป็นรอบที่ 95 ของวันนี้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเหตุผลบ้าๆ ของไอ้เจ้าคนแคระเขากวางนั่นแท้ๆ

                       'ควรให้ฝ่าบาทเผยสิริโฉมในวันงานนะกระหม่อม เหมือนกับดอกไม้งามยิ่งหวงแหนก็ยิ่งมีค่า ยิ่งซ่อนก็ยิ่งน่าค้นหา'

                       น่าค้นหาบ้านมันสิ!!! จะมีใครบ้าที่กล้าผ่านเมืองหน้าด่านที่แสนเที่ยงตรง ผ่านป่าหลงลืมที่เธอเปลี่ยนเป็นป่าโคตรหลงนรก เข้าหุบเขากระโหลกของไอ้พวกคนแคระดำ และที่สำคัญที่สุด...นครจันทราที่ท่านอาลูน่าเป็นผู้ปกครอง หลุดเข้ามาจับเธอถึงเดมอสนี่ได้ แล้วเท้างามๆ ก็ฟาดเปรี้ยงเข้ากับตู้เสื้อผ้าที่อยู่เป็นกระสอบทรายให้เธอมาตลอดอาทิตย์ (ไม่เจ็บหรอนั่น) สังเกตได้จากบานประตูเริ่มหลุดจากบานกบ มีรอยแตกและรอยแยกหลายรายการ ยิ่งเรื่องสามวิชาลับประจำตระกูลไม่ต้องพูดถึง...ลองมาหมดแล้ว!!! แล้วมันก็ทำให้เธอยังคงมานั่งหัวเสียอยู่ในห้องนี่ยังไงล่ะ

                       โว้ยยยยย!!!!! ไอ้คาโล มันหายหัวไปไหนของมันกัน จดหมายก็ไม่เขียนมาหรือโดนคิงหน้าบากนั่นจับฝังดินไปแล้วก็ไม่รู้ เฟรินฮึดฮัดเดินวนอยู่ในห้องหงุดหงิด ตาสีน้ำตาลเริ่มหาที่ระบายแห่งใหม่เพราะเกิดสงสารตู้เสื้อผ้าขึ้นมากระทันหัน

                       ไม่ไหว! อยู่แต่ในห้องต้องบ้าแน่ๆ มือเรียวเอื้อมไปจับกลอนประตูแล้วบิด...

                       ......................

                       แกร๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (เสียงบิดกลอนประตูด้วยความเร็วสูง)

                       "เฮ้ย!! ใครล็อกประตูน่ะ โกโดม! ท่านพ่อ! ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!!" เสียงหวานๆ แหกปากลั่นอย่างไม่กลัวเสียภาพพจน์ มือก็ทุบโครมๆ เข้ากับบานประตูใหญ่ไม่สมดุลกับห้อง เฟรินกัดฟันกรอด แค่ไม่ให้ไปเที่ยวไหนก็กล้ำกลืนเต็มทน เล่นมาขึงแบบนี้...ไม่ยอมโว้ยยย!!! ว่าแล้วก็หันขวับไปที่หน้าต่างผู้โชคร้ายเหนือโต๊ะเขียนหนังสือ ผ่าปฐพีถูกเรียกเข้ามาในมือก่อนจะถูกเง้อไปด้านหลังแล้วฟาดลงบนแก้วใสๆ เต็มแรง

                       กึ๊ง!!!

                       ดาบใหญ่กระเด้งออกเหมือนติดสปริงส่งให้คนถือหงายโคโล่ก้นกระแทกพื้น เรียกเสียงโอดโอยจากไอ้คนฟาด เฟรินเงยหน้ามองกระจกที่เมื่อก่อนเขาเคยทำมันแตกเพราะเผลอแตะก้อนหินกระเด็นใส่แล้วยันตัวขึ้นมาเพ่งพินิจ คิ้วเรียวๆ ขมวดเข้าหากัน เมื่อยกมือเคาะก็ปรากฏเสียง

                       ก๊องๆ

                       กระจกบ้าอะไรวะเคาะแล้วดังก๊องๆ ตาสีน้ำตาลหรี่ลงอย่างใช้ความคิด ในห้องนี้นอกจากท่านพ่อคนเดียวที่เข้ามาเยี่ยมเธอมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ก็ไม่มีใครเข้ามา...

                       แน่ใจ??

                       ไม่สิ มันก็มีช่วงที่เธอไม่อยู่นี่นา สมองเริ่มเดาอะไรได้ลางๆ ประกายก็ลุกโชนขึ้นอีกรอบพร้อมกับเสียงตะโกนที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ไหน
                       "ไอ้โกโดมมม!!!!!!"


                       เฮือก!

                       คนแคระเขากวางผู้ไม่รู้ชะตากรรมเกิดอาการที่เรียกว่าเสียวสันหลังวูบ เขาบนหัวกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ต้องรีบหันกลับมาทำงานต่อเมื่อเอวิเดสกำชับเรื่องแขกที่จะมางานครบรอบวันเกิดของลูกสาวตน

                       "ถ้าอย่างนั้น รายชื่อแขกก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วสินะ" ย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เพราะเป็นงานวันเกิดที่จัดขึ้นครั้งแรกนับจากงานครบเดือนเมื่อหลายปีก่อน แถมยัง...

                       "หึๆๆๆ" ด้วยอาการไหนก็ไม่ทราบได้ของจ้าวปีศาจที่จู่ก็เกิดอาการอยากหัวเราะขึ้นมา เรียกให้ผู้ที่อยู่รอบข้างขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

                       "กระหม่อม ตอนนี้แขกทุกท่านได้ส่งจดหมายตอบรับคำเชิญมาจนครบ ยกเว้น...คิงบาโรแห่งคาโนวาลกระหม่อม รู้สึกจะเขียนจดหมายตอบมาว่ามีเรื่องต้องทำมากมายหลังจากการแต่งตั้งคิงองค์ใหม่กระหม่อม" เอวิเดสหยุดหัวเราะกึก ตาดำหรี่ลงอย่างใช้ความคิดก่อนจะพยักหน้ารับรู้ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น หันไปดูงานที่กำลังจัดแต่งต่อไป

                       หรือว่าจะเบี้ยว??

    ----------------------------------------------------

                       "วันนี้ฝ่าบาทงามที่สุดเลยเพคะ" เสียงหัวเราะคิกคักดังอยู่ข้างๆ หูมาตั้งแต่ร่วม 3 ชั่วโมงก่อนไม่ได้ทำให้คิ้วบางโก่งนั้นคลายขมวดแม้แต่นิดเดียว ตาสีน้ำตาลจ้องภาพของตัวเองที่กำลังสะท้อนอยู่บนกระจกอย่างฉุนๆ ทำไมฉันต้องยอมแม่พวกนี้ทุกที!!! ความแปลกใจบังเกิดขึ้นแก่คนที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุดอย่างเฟริน เดอเบอร์โรว์ ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในวังที่เดมอส ทุกครั้งที่เจอยัยสามศรีพี่น้องนี่ทีไร นั่นหมายความว่าเธอต้องกลายเป็นตุ๊กตาให้จับใส่นู่น ยัดนี่ แต่งนั่นแน่นอน เฟรินถอนหายใจหนักๆ

                       "แล้วจะบอกผมได้รึยังว่าวันนี้มันวันอะไรถึงต้องมาจับผมแต่งไอ้ชุดบ้าๆ ฟูฟ่องนี่ด้วย" หญิงสาวผมทอง เอ้อ...จะว่าหญิงสาวก็ไม่ถูก เพราะหูที่แหลมยื่นนั่นมันเหมือนมนุษย์ตรงไหนกันนะ แต่ไอ้ที่พอจะบอกเพศก็คือไอ้นิสัยกระดี๊กระด๊ากรี๊ดกร๊าดของพวกบรรดาหล่อนๆ นี่ล่ะ คนที่กำลังหวีผมยาวดูเป็นพี่ใหญ่ที่สุดเป็นผู้ตอบ

                       "ก็วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของฝ่าบาทนี่เพคะ ท่านจ้าวก็เลยจัดงานที่ท้องพระโรง ได้ข่าวมาแว่วๆ ว่าเชิญผู้หลักผู้ใหญ่มาทั้งในเดมอสแล้วก็ฝั่งเอเดนด้วยนะเพคะ" ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็หันไปหัวเราะคิกคักกับน้องสาวอีกสองคนต่อ (ว่าด้วยเรื่องความงามของเธอ) ซึ่งตอนนี้มันไม่ได้เข้าหูเฟรินแม้แต่นิดเดียว เอเดนด้วยหรอ...

                       พวกนั้นจะมามั้ยนะ..

                       กลีบปากบางสีอ่อนจากลิปสติกกระตุกยิ้ม มันจะมากันทำไม! แค่ส่งจดหมายมันยังไม่ทำกันเลย คิดแล้วก็ปลง เธอคงถูกพวกนั้นลืมไปแล้วสิเนี่ย ใจหวนกระหวัดไปถึงก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่ไม่ได้พบหน้ากันเป็นปีก่อนจะสะบัดหัวไล่พร้อมกับที่เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้น ร่างเล็กๆ ของโกโดมตัวแสบที่เฟรินได้หมายมั่นปั้นมือไว้เต็มที่ว่าหลังจบงานเมื่อไหร่จะชำแหละออกมาดูว่าเครื่องในของมันเป็นแบบคนแคระหรือกวางกันแน่ก็ก้าวเข้ามาโค้งตัวให้

                       "ได้เวลาแล้วฝ่าบาท แขกทุกท่านได้รอยลโฉมฝ่าบาทอยู่ที่ท้องพระโรง" เฟรินพยักหน้าเนือยๆ งานนี้ต้องแกล้งยิ้มฉอเลาะอีกกี่ชั่วโมงล่ะเนี่ย ระหว่างทางต่างฝ่ายต่างเงียบ ไร้ซึ่งผู้คนเดินผ่านไปมาผิดกับวันปกติ เสียงฝีเท้าของทั้งสองคนหยุดลงที่หน้าประตูบานใหญ่ ประตูที่เธอบอกได้ว่า ข้างหลังมันคงเต็มไปด้วยผู้คนที่...แปลกประหลาด เหอะๆๆ ถึงได้ยินมาว่าเชิญแขกจากฝั่งเอเดนมาด้วย แต่ใครจะกล้าข้ามมาเดมอสล่ะ หึ...เว้นพ่อมาดัสไว้คนนึงล่ะ โกโดมผลักประตูตรงหน้าเบาๆ ให้เปิดออก บรรดาเสียงพูดคุยที่ดังเล็ดลอดไปเมื่อครู่กลับเงียบกริบลงเพื่อตอนรับเจ้าของงานที่มาในชุดราตรียาวกรอมเท้าสีครีมอ่อน เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเคลียไหล่ทั้งสองข้างแทนเครื่องประดับหรูหราชิ้นอื่นที่นอกเหนือไปจากสร้อยไข่มุกแสงจันทร์ที่เจ้าตัวไม่เคยถอดออกจากคอ แขกแยกออกเป็นสองฝั่งเพื่อเปิดทางให้กับเฟรินเพื่อเดินไปหาผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ตาสีน้ำตาลกวาดไปรอบๆ พลางยิ้มในแบบที่อาลูน่าอุตส่าห์เสี้ยมสอนมาเป็นปีด้วยเหงื่อนับล้านหยด เก็บซ่อนความแปลกใจไว้ภายใน ตรงที่แขกทุกคนนั้นใส่หน้ากากยกเว้นแต่จ้าวเอวิเดส หล่อน และโกโดมเท่านั้น ทันทีที่เดินไปหยุดตรงหน้า เฟรินก็ถอนสายบัวตามแบบที่สอนมาได้อย่างสง่าไม่เสียแรง(น้ำตา)ของท่านอา เอวิเดสแย้มยิ้มลุกขึ้นมายืนเคียงข้างเธอ

                       "นี่คือเจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล บุตรีของเราซึ่งก็เป็นเจ้าของงานนี้ ขอเชิญทุกท่านสนุกกับงานจนกว่าจะถึงเวลาสุดท้าย" แล้วเหตุการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ แขกทุกคนเริ่มคุยกันอีกครั้ง แต่เฟรินรู้ดี...สายตาหลายคู่กำลังมองมายังที่เธอ มือบางสะกิดชายเสื้อผู้เป็นพ่อเบาๆ

                       "นี่มันหมายความว่าไงท่านพ่อ" ฟังออกเป็นเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมากกว่าการถามดีๆ แต่สีหน้ายังคงโปรยยิ้มไปให้ทุกคนที่สบตาด้วย เอวิเดสหัวเราะนิดๆ

                       "ก็อย่างที่ลูกเห็น งานวันเกิดลูกไงเฟลิโอน่า" เสียงจิ๊จ๊ะดังขึ้นเบาๆ

                       "งานวันเกิดบ้าอะไรที่แขกต้องใส่หน้ากากล่ะท่านพ่อ ท่านพ่อคิดจะเล่นอะไรแผลงๆ อีกแล้วใช่มั้ย" คราวนี้คนฟังถึงกับหัวเราะลั่นออกมาก่อนจะรีบหุบเงียบลงเมื่อสายตาทุกคู่หันมาจับจ้องอยู่ที่ตนอย่างสงสัยว่าใครกัน

                       "โธ่...อย่าคิดมากไปเฟลิโอน่า ทุกคนที่ได้รับเชิญต่างยอมรับข้อเสนอที่จะไม่เผยว่าตนเองคือใคร ก่อนที่จะถึงเวลา พ่อก็แค่..อยากจะทำให้มันไม่น่าเบื่อ" ว่าแล้วก็หลบไปขำคิกคักคนเดียว ทิ้งให้เฟรินนั่งหน้าบูดเป็นปลาค้างคืน (เน่าจัด) อยู่คนเดียว จริงอยู่ถึงจะใช้หน้ากากปิดหน้าตาแต่ก็พอจะเดาใครได้หลายๆ คน ยิ้มบางๆ กระตุกขึ้นอย่างนึกเรื่องสนุกก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปยังร่างสูงผมสีน้ำเงินเด่นภายใต้หน้ากากสีขาวนั้นช้าๆ ฝ่ายคนที่เห็นว่าเจ้าของงานกำลังเดินมาหาตน บทสนทนาที่กำลังติดพันอยู่จึงถูกยกเลิกไป

                       "งานน่าเบื่อมั้ยคะ" เฟรินถือโอกาสชวนคุยกับเหยื่อ(?)ของเธอพลางยิ้ม บุรุษตรงหน้ายิ้มเล็กน้อย

                       "ไม่หรอกฝ่าบาท" ร่างสูงตอบพลางมองดวงหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่นักของหญิงสาวตรงหน้า แต่มีบางอย่างบอกเขาว่ามันมีอะไรเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว

                       "ความจริงแล้ว...ดิฉันตั้งใจจะเชิญน้องสาวมาด้วย ติดตรงที่ดูเหมือนกำลังมีปัญหาอยู่ที่เวนอล" คนฟังสะดุ้งนิดๆ เริ่มมองอย่างระแวง บางที...เขาคงคิดผิดที่ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ไอ้อาการสะดุ้งเพียงนิดเดียวมีหรอที่จะหลุดรอดสายตาคนชอบหาเรื่องคนนี้ไปได้ เฟรินนึกขำในใจ

                       "น้องสาวดิฉันหลงรักเจ้าชายผู้สูงศักดิ์อยู่องค์หนึ่ง ที่ตอนนี้กลายเป็นคิงไปเรียบร้อยตามความคาดหมายของทุกคน ดิฉันสงสารน้องสาวค่ะ ความรักที่ไม่อาจจะสมหวังเพราะศักดินาที่ค้ำคอ" คราวนี้ร่างสูงถึงกับนิ่ง หากไม่มีหน้ากากบังใบหน้าไว้ คงจะเห็นอาการคิ้วขมวดมุ่นและดวงตาที่ออกจะเริ่มหงุดหงิดกับนิสัยปากไม่มีหูรูดของเจ้าหล่อน ยัยตัวแสบทำท่าสะดุ้งเล็กน้อยแล้วตีสีหน้าสำนึกผิด

                       "อา..ต้องขออภัยนะคะ จู่ๆ ก็มาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ขอตัวก่อนนะคะ" แล้วเธอก็ก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะผละออกไปพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ได้แกล้งคน ตาสีน้ำตาลเริ่มกวาดหาเหยื่อรายต่อไป อันได้แก่ ชายหนุ่มผมสั้นสีดำกระเซิง หญิงสาวผมม่วงยาวเรียบราว ฯลฯ (ยกเว้นชายหนุ่มผมดำที่กำลังคุยหัวเราะกับแขกคนอื่น ส่วนคนที่อยู่ข้างๆ นั้นผมทองที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษ) จนสุดท้าย ยัยตัวแสบก็ต้องมายืนพัก หากสายตากลับยังสอดส่ายต่อไป ราวกับยังไม่พบใครบางคน...

                       ไฟทั้งหมดดับพรึ่บลง พร้อมกับเสียงเปียโนเบาๆ ลอยคลอเข้ามา เค้กก้อนใหญ่ปักเทียนตามจำนวนอายุค่อยๆ ถูกยกมาตั้งบนโต๊ะตัวใหญ่ตรงหน้า เฟรินยืนสูดหายใจเข้าลึกๆ บรรดาแขกทั้งหมดเงียบเสียงลงมีเพียงเสียงพึมพำดังร้องคลอกับเสียงเปียโนเป็นการอวยพรให้หญิงสาว ตาสีน้ำตาลยังคงมองฝ่าความมืดเข้าไปในหมู่แขกเหรื่ออย่างมีความหวังนานจนโกโดมต้องสะกิดเตือน เฟรินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มลงเป่าเทียนทั้งหมดให้ดับลง

                       แล้วนาย..ก็ไม่มา

                       เสียงปรบมือดังเกรียวกราวพอเป็นพิธี แสงไฟกลับมาสว่างขึ้นอีกครั้ง เค้กใหญ่ถูกยกไปจัดการตัดแบ่งเพื่อให้แขกผู้มีเกียรติได้ลิ้มชิมกัน เฟรินยืนฉีกยิ้มตามแบบที่ได้ร่ำเรียนมา

                       "เอ้า เฟลิโอน่า ลูกต้องหาคู่เต้นรำเพื่อเปิดฟลอร์นะ" เอวิเดสทักขึ้นเมื่อยังเห็นลูกสาวของตนยืนยิ้มนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งขยับได้นิดๆ เรียกให้คนที่ต้องทำหน้าที่เปิดฟลอร์เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ทำไงดีล่ะ...เล่นไปวางระเบิดไว้ซะทั่วงานแล้วใคร๊มันจะมายอมเต้นด้วยล่ะเนี่ย ตาเหลือบไปมองชายผมดำยุ่งๆ ที่หย่อนระเบิดขนาดบิ๊กไปให้เมื่อตอนต้นงานแล้วต้องผิดหวัง เพราะมันไม่หันมาแม้แต่จะสบตา ส่วนคนอื่นๆ ก็พากันหลีกลี้หนีไปไกล แขกบ้านไหนเมืองไหนฟะ!! หนีหน้าเจ้าของงานแบบนี้ ยิ่งคิดยิ่งเครียดจะไปว่าใครไม่ได้เพราะตัวเองหาเรื่องเอง (เอิ๊กๆๆ) หากในใจกลับยิ้มกระหย่อง เรื่องอะไรฉันต้องไปเต้นเป็นผู้หญิงล่ะ เหอะๆ แต่ก็เหมือนสวรรค์มาโปรด (หรือนรกกลั่นแกล้ง) เมื่อชายหน่มร่างสูงผมสีแดงเพลิงใต้หน้ากากสีน้ำเงินเข้มตัดกันเดินเข้ามาโค้งพร้อมกับยื่นมือออกมา เฟรินยิ้มให้ตามมารยาทก่อนจะถอนสายบัวแล้วส่งมือให้อีกฝ่าย หลายๆ คู่ที่รออยู่แล้วจึงเดินตามเข้าไปในฟลอร์

                       "ไม่ทราบว่าท่านมาจากที่ไหนหรอ ไม่คุ้นเลย" เฟรินเปิดบทสนทนาหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมคู่ของเธอไว้ เสียงเพลงเบาๆ ขับขานจากนักดนตรีฝีมือดีแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้เธอหายคิดกังวลถึงใครบางคนไปได้ บ้าดิ!...เลิกคิดถึงไอ้บ้านั่นได้แล้ว คิ้วเรียวๆ ขมวดเข้าหากันเมื่อจำได้ว่าคู่เต้นรำของเธอยังไม่ตอบคำถาม

                       ...ไร้มนุษยสัมพันธ์ดี...

                       จบไปเพลงหนึ่งเฟรินก็ขอตัวออกมาอย่างสุภาพ ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของผู้เป็นพ่อที่นั่งยิ้มอยู่เบื้องหน้าก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ให้โกโดม ไม่นานนักนักดนตรีก็ถูกจัดเก็บไป เอวิเดสลุกขึ้นยืนช้าๆ ขณะที่เจ้าของงานก็นั่งปั้นหน้านิ่งอยู่ข้างๆ

                       "เอาล่ะ...ตามที่เราได้เขียนในจดหมายเชิญทุกท่าน ว่าการจัดงานวันเกิดวันนี้ แท้จริงแล้วได้ควบงานเลือกคู่ของบุตรีของเราด้วย..."

                       "ว่าไงนะ!!!" เจ้าหญิงคนสวยที่เรียบร้อยมาตั้งแต่ต้นเกิดอาการหลุดกระทันหันลุกพรวดตะโกนดังลั่นท้องพระโรงที่เงียบกริบ เสียงหัวเราะคิกคักดังเบาๆ แต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจมันเลย

                       "ท่านพ่อว่ายังไงนะ!" เฟรินปราดเข้าไปถามใกล้ๆ อย่างเอาเรื่อง เอวิเดสยกมือขึ้นปรามพร้อมกับรอยยิ้ม

                       "ใจเย็นๆ เฟลิโอน่า อย่างที่เราได้พูดไป ผู้ที่เฟลิโอน่าเลือกที่จะเต้นรำเป็นคู่เปิดฟลอร์คือคนที่จะได้อภิเสกสมรศกับเธอ" เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาตรงที่เธอยืนอยู่ อ๊ากกกกกกกกก ท่านพ่อบ้า เล่นกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรอเนี่ย

                       "ซึ่งเราขอเชิญท่านนั้นมายืนที่นี่ด้วย" บุรุษร่างสูงผมสีแดงเพลิงที่เธอเพิ่งจะประณามไปว่าไร้มนุษยสัมพันธ์ในใจไปไม่นานก้าวมายืนต่อหน้าเธอ

                       "ผมไม่ยอมท่านพ่อ! เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้ ให้ไปแต่งงานกับใครก็ไม่รู้อย่างนี้ผมไม่ยอมเด็ดขาด!!" เฟรินค้านหัวชนฝา บางทีนี่คงเป็นครั้งแรกที่คิดจะเอาหัวตัวเองชนฝาตายจริงๆ ถ้าท่านพ่อคิดจะจับเธอแต่งงานกะไอ้หัวไม้ขีดนี่ มือเรียวกำสร้อยไข่มุกแสงจันทร์บนคอแน่น

                       เป็นเพราะแกคาโล!!..เพราะแกไม่มางานนี้!!!

                       เอวิเดสถอนหายใจหนักอย่างหน่ายๆ

                       "ไม่ได้เฟลิโอน่า พ่อพูดไปแล้ว" มือเล็กๆ กำหมัดแน่น ตาสีน้ำตาลส่งสายตาอาฆาตไปให้บุรุษผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไร

                       "ถ้าอย่างนั้น ท่านพ่อก็แต่งเองก็แล้วกัน!!" คำประกาศเปรี้ยงพร้อมกับอาการปึงปังของหญิงสาวที่ยังทำตัวเป็นเด็กๆ ที่เดินออกจากห้องไปเรียกเสียงฮาครืนจากแขกที่มางานได้ทุกคน

                       "ทำอย่างนี้ไม่น่าสงสารไปหน่อยหรอคะ" สาวผมม่วงเปรยเบาๆ อย่างเป็นห่วง เล่นเอาเรื่องแบบนี้มาหยอก ชักพอจะน่าเชื่อแล้วว่าเป็นพ่อลูกกันจริงๆ

                       "ช่างมันเถอะ" หนุ่มผมดำที่ยืนขำกึ๊กกั๊กอยู่ข้างๆ กลั้นหัวเราะสุดแรงเกิด ไม่เจอกันนาน นิสัยไม่เปลี่ยนเลยนะ..เฟริน

                       "งั้นก็ถอดไอ้หน้ากากนี่ได้แล้วสิ" แล้วทุกคนต่างก็พากันถอดหน้ากากเผยโฉมแต่ละคนออก ต่างฝ่ายต่างมองหน้าแล้วหัวเราะก๊ากเมื่อคิดไปถึงเจ้าของงานที่เจอพ่อตัวเองเล่นเข้าให้ ยกเว้น...หนุ่มผมสีแดงเพลิงที่ยืนทำหน้าหงุดหงิดอยู่ด้านหน้า

                       "แล้วแกจะยืนทำบื้อไรอยู่วะ รีบตามไปสิ"

    ----------------------------------------------------

                       บรรดากิ่งไม้อ่อนเคราะห์ร้ายที่ยื่นออกมาถูกกระชากทิ้งอย่างไม่ใยดีด้วยมือบางๆ ที่ตอนนี้อยู่ในอารมณ์หงุดหงิดอย่างที่สุด สวนภายในวังที่เธอชอบมาเดินเล่นเวลาเบื่อๆ ตอนนี้เริ่มเละด้วยการระบายความเครียดแทน รอยบากที่พื้น ที่ต้นไม้ โต๊ะ เก้าอี้รอบๆ ไม่ใช่มาจากไหนถ้าไม่ใช่ดาบใหญ่ให้มือหญิงสาวที่ยืนหอบจนตัวโยนไม่ได้เข้ากับชุดที่สวมใส่อยู่แม้แต่น้อย

                       "ไอ้บ้าคาโล!!!" เสียงหวานๆ ตะโกนออกมาอย่างเหลืออด พร้อมกับฟันฉัวะเข้าให้กับต้นไม้อายุราวๆ ร่วมร้อยปีให้หักโค่นเป็นสองท่อน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง พอเหงื่อออกสมองก็โล่งขึ้นมาบ้าง มือบางๆ เอื้อมขึ้นกระชับไข่มุกเม็ดเล็กบนคอของตน

                       สัญญาว่าจะแต่งงานด้วย..แล้วไงฟะ!! คนอย่างเฟริน เดอเบอร์โรว์ไม่ต้องรอไอ้น้ำแข็งนั่นก็มีคนมาเสนอให้แต่งด้วยอยู่แล้ว แต่ไอ้ที่มาเสนอน่ะผู้ชาย...ความคิดที่แทรกเข้ามาทำให้เธอต้องนิ่งไป แต่งกับผู้ชาย...หยึย~ คิดแล้วสยอง เฟรินลูบแขนตัวเองแรงๆ

                       สวบ!

                       "ใครน่ะ" ร่างบางตวัดดาบเข้ามากระชับในมือลุกขึ้นพรวดในท่าเตรียมพร้อม ก่อนจะลดดาบลงเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือใคร

                       พ่อหนุ่มไร้อารมณ์นี่เอง

                       "มีธุระอะไรไม่ทราบ บอกไว้ก่อนอยู่นอกงานอย่างนี้ฉันไม่คิดจะระวังมารยาท" ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไป เฟรินเหลือบมองร่างสูงที่ยืนจ้องหล่อนอยู่เงียบๆ เดาสีหน้าใต้หน้ากากนั่นไม่ออก... เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่

                       "ถ้าท่านพ่อสั่งให้มาตามกลับเข้างานล่ะก็ นายกลับไปเลย ฉันไม่ยอมรับการคลุมถุงชนบ้าๆ นั่นเด็ดขาด" หากชายหนุ่มผมสีแดงนั่นกลับเดินเข้ามาใกล้จนเฟรินชะงัก บางอย่างบอกเธอว่าร่างๆ นี้คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

                       "เธอมีคนที่รักอยู่แล้วอย่างนั้นหรอ" น้ำเสียงแปร่งๆ ไม่คุ้นหูเอ่ยถามให้คนฟังต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน อะไรของมันฟะ...

                       "จะมีหรือไม่มีแล้วเกี่ยวอะไรกับนายด้วย" มือหนายกขึ้นแตะพวงแก้มใส ละลงไปแตะไข่มุกที่ทอแสงอยู่บนคอ มือบางๆ กระตุกสร้อยกลับอย่างหวงแหน ไอ้หมอนี่มันใครฟะ!! ชักไม่น่าไว้ใจ

                       "แม้ว่าขนาดที่เธอกำลังจะต้องแต่งงานกับใคร หมอนั่นก็ยังไม่มาหาเธอก็ยังรักอีกหรอ" เอ่ยถามต่อไม่ใส่ใจกับอาการตรงหน้า คิ้วบางๆ ยิ่งขมวดหนักกว่าเดิม บุรุษผู้นั้นจ้องหน้าหวานเงียบๆ เพราะมองอยู่ตลอดจึงเห็นว่าคนๆ นี้กำลังมองหาใครซักคน...ใครที่สำคัญ

                       "ฉันจะรักใครก็เรื่องของฉัน อย่าคิดว่าเป็นแขกของท่านพ่อเชิญมาแล้วฉันจะไม่กล้า..." ยังไม่ทันที่จะจบประโยคปากบางๆ ที่พูดอยู่ก็โดนประกบให้เงียบเสียงทันที เฟรินดิ้นขลุกขลักอย่างตกใจ มือก็ทุกอักๆ เข้าที่อกแกร่งแต่ก็ไม่เป็นผล หากระหว่างที่ดิ้นนั้นเอง หน้ากากสีน้ำเงินเข้มนั้นก็ถูกปัดหลุดออกจากใบหน้าอีกฝ่าย เรือนผมสีแดงเพลิงค่อยๆ แปลสภาพเป็นสีเงินคุ้นตา เฟรินเบิกตากว้างตกใจ ยิ่งรสสัมผัสที่ได้รับ...ยิ่งทำให้เธอพอจะเข้าใจอะไรได้เลาๆ แต่สมองก็พยายามสั่งให้ตัวเองดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดแกร่งนั้นให้ได้ หากสองแขนที่โอบไว้กลับกระชับเข้ามามากขึ้น จนเธอหมดเรี่ยวแรงยอมปล่อยให้จอมหลอกลวงคนนี้ตักตวงความหวานได้ตามใจ

                       "เฟริน" เสียงเรียกทุ้มเสียงเดิมที่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้ยินอีกครั้งดังเบาๆ อยู่ข้างหู เฟรินก้มหน้างุดขนลุกซู่ รู้ตัวว่าหน้าของตัวเองตอนนี้มันแดงแค่ไหน ยิ่งรู้สึกถึงริมฝีปากของร่างสูงที่มาคลอเคลียอยู่รอบๆ หน้าของตนด้วยแล้วยิ่งเขินหนัก

                       "ไอ้บ้า! แกหลอกฉันคาโล" มือทุบอักเข้าที่แผ่นอกกว้างทั้งๆ ที่ไม่มีแรงนั่นแหละ คาโลยกมือขึ้นจับไว้เบาๆ จุมพิศลงที่หน้าผากมนนั้นก่อนจะยอมผละออกมามองหน้าหญิงสาวที่ตนคิดถึงเป็นแรมปี

                       "จดหมายซักฉบับก็ไม่มี บทจะมาก็เสือกมาปลอมเป็นใครอีกก็ไม่รู้ แล้วยังมา..." ประโยคสุดท้ายกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อคิดได้ว่าตัวเองก็เผลอไปกับสัมผัสนั้นเหมือนกัน ไอ้บ้า!! แค่จูบธรรมดาก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้....(บรึ้ม!!-- เอ...เสียงระเบิดจากไหน) คาโลมองหน้าแดงแล้วหัวเราะเบาๆ ตาสีฟ้าทอประกายอ่อนโยนมาให้หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน

                       "อยากจะเขียนหาอยู่ แต่ไม่มีเวลา ส่วนที่แกเห็นก็เป็นแผนของจ้าวเอวิเดส" เสียงกัดฟันของผู้เป็นลูกสาวที่โดนท่านพ่อเล่นให้เองดังกรอดๆ ทำกันได้นะท่านพ่อ!!

                       "อ้อ..แล้วแกที่อยากเห็นฉันเป็นไอ้น่าโง่นี่ก็เลยเห็นชอบด้วย" คราวนี้โยนโคลนสาดใส่ให้ซ้ำ ทำเอาจำเลยปั้นสีหน้าไม่ถูก

                       "ฉันโดนบังคับ"

                       "บังคับห่_าแกสิ เห็นเล่นได้ราบรื่นซะเหมือนจริง" ด่ากลับพร้อมถีบโครมเข้าให้ส่งให้ร่างสูงกลิ้งลงไปอยู่บนพื้น คาโลลุกขึ้นมองตาดุๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

                       "แล้วทีนี้ไอ้ที่ท่านพ่อบอกว่าใครที่เต้นกับฉันเป็นคู่เปิดฟลอร์แล้วจะได้แต่งงานด้วยนี่ก็คงเป็นแผนอีกล่ะสิ ชิ!...อย่างนี้ต้องเอาคืน" เฟรินหมายมั่นปั้นมือสุดฤทธิ์ ในหัวเริ่มแล่นหาวิธีการแก้แค้นไปเรื่อยๆ หากกลับสะดุดด้วยประโยคนี้

                       "นั่นเป็นเรื่องจริง" ตาสีน้ำตาลหันกลับมาสบอย่างไม่เชื่อ คาโลก้าวเข้ามาใกล้ๆ

                       "บ้าน่ะสิ!! แล้วถ้าไอ้คนที่ฉันเต้นด้วยไม่ใช่แกขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง" หลุดออกมาแล้วรีบตะครุบปากตัวเองทันที แต่ไม่ทันซะแล้วเมื่อรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แห่งคาโนวาลค่อยๆ แย้มออกมาให้เห็น

                       "หืม... พูดแบบนี้น่าให้รางวัลนะ" เฟรินถอยกรูดติดต้นไม้น่าซีดหดเหลือสองนิ้วมองอีกฝ่ายด้วยความระแวง ชี้ผ่าปฐพีใส่หน้า

                       "อย่าคิดอะไรบ้าๆ นะโว้ยยย ไม่งั้นพ่อฟันสองท่อนแน่" คาโลหลุดขำออกมาเล็กน้อยแต่ขาก็ก้าวเข้าไปใกล้ ไม่กลัวกับคำขู่เท่าไหร่นัก จนกระทั่งร่างบางๆ ของเฟรินแทบจะติดกันกับตัวเขา ผ่าปฐพีถูกลดลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สองแขนแกร่งตรึงกับต้นไม้ไม่ให้เธอหนีไปไหนได้ เสียงหัวใจดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อสบกับตาสีฟ้าประกายตรงหน้าแล้ว

                       "ฉันมารับแกไปคาโนวาล" คาโลเอ่ยเบาๆ พร้อมกับประทับริมฝีปากลงไปอีกครั้งอย่างไม่เคยพอ ตาสีน้ำตาลหลับพริ้มลงรับสัมผัสอ่อนนุ่มนั้นอย่างเต็มใจ

                       "ขอพูดอีกครั้ง...แต่งงานกับฉันนะเฟริน" เฟรินมองหน้าคมชัดๆ ก่อนจะยิ้มแผล่อย่างคนชอบยั่ว

                       "ใครว่าฉันจะแต่งกับแกล่ะ" เท่านั้นล่ะตาสีฟ้าที่มีแววอ่อนโยนตวัดกลับมาแข็งโป๊กยิ่งกว่าหินแทบจะทันที และดูเหมือนยัยตัวแสบจะยังไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองปากจึงพล่อยต่อไป

                       "รู้มั้ยว่าค่าสินสอดของฉันมันแพง ถึงคาโนวาลของแกจะสมบัติมาก แต่ก็ใช่ว่าฉันจะยอมแต่งกับแก" ตาสีน้ำตาลเป็นประกายอย่างลองดี

                       "แต่ถ้าแกบอกรักฉันก่อน จะบอกท่านพ่อให้ไม่เอาสินสอดก็ได้" ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างให้ สร้างอาการปวดหัวริ้วๆ ขึ้นมาให้กับคนฟัง ผู้หญิงที่ไหนเขาพูดกันเรื่องนี้ล่ะเนี่ย ตาสีฟ้าสบตาสีน้ำตาลใส่แป๋วนิ่ง ก่อนจะผละออกไปไม่ใส่ใจกับคำเรียกร้องนั้น ทำเอาคนที่รอฟังอยู่อึ้งไป

                       "ถ้าแกคิดว่าคำบอกรักของฉันมันตีค่ามาเป็นเงินได้ เราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน" อีกแล้ว!! ไอ้ประโยคนี้อีกแล้ว เฟรินคิดอย่างฉุนๆ กะจะเล่นบทงอนให้คนมาง้อ กลับต้องมาเล่นบทง้อคนที่กำลังงอนแทน ว่าแล้วยัยตัวดีก็รีบผ่าเข้าไปขวาง จ้องใบหน้าเย็นชาของเจ้าชายน้ำแข็งเงียบๆ

                       "ก็ได้!... ฉันขอโทษที่ไปพูดไม่ดีแบบนั้น" คำขอโทษง่ายๆ หลุดออกมาจากเจ้าคนที่ได้ชื่อว่าปากหนักสำหรับเรื่องแบบนี้ฟังดูจริงใจอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าจะขัดกับภาพเก้ๆ กังๆ ของคนที่ไม่ชอบขอโทษก่อนก็ตาม แต่คาโลก็ไม่มีทีท่าว่าจะให้อภัยอย่างที่มันชอบทำเช่นกัน ร่างสูงยังคงดึงดันจะเดินออกจากสวนไปทั้งอย่างนี้ โดยมีเฟรินคอยเดินตามขอโทษไปตลอดทาง จนกระทั่ง...ความอดทนมันถึงขีด มือบางๆ ก็คว้าไหล่กระชากให้หันกลับมาแล้วเอื้อมอีกมือคว้าคอร่างสูงลงมาประกบปากทันที

                       ในเมื่อพูดไม่รู้เรื่อง...ก็ต้องทำแบบนี้!!

                       ขายาวที่ก้าวหนีเมื่อครู่ตอนนี้หยุดกึกลงเพื่อจะลิ้มรสหวานจากปากบางๆ ของคนที่ไม่สมเป็นหญิงตรงหน้าเป็นฝ่ายเชื้อเชิญก่อนอย่างหาได้ยากนัก เฟรินที่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายหยุดเดินแล้วก็เตรียมจะผละออกเพื่อที่จะพูดให้รู้เรื่อง แต่..เนื้อเข้าปากจิ้งจอกแล้วมีหรือ...ที่จิ้งจอกจะยอมคาย (หึๆๆๆ) คาโลถือโอกาสรวบตัวร่างบางๆ เข้ามากอดแน่นอย่างรู้ทัน ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ไม่พอ...รสหวานจากริมฝีปากของคนๆ นี้

                       "แต่งงานกับฉันนะเฟริน" คำขอแต่งงานครั้งที่สามถูกยื่นเสนอให้คนที่ถูกจูบจนเบลอเผลอพยักหน้าตอบโดยดี

                       "อื้อ" ก่อนจะสะดุ้งเฮือกว่าหลงกลติดกับดักอันหอมหวานเข้าให้แล้ว จะถอนตัวตอนนี้ก็ถอนไม่ทันซะแล้วเมื่อบรรดาเอเดนมุงเริ่มโผล่ออกมา

                       มันเล่นมุขเดิมตอนจบจากเอดินเบิร์กเมื่อปีที่แล้วนี่หว่า

                       เฟรินกัดฟันกรอดๆ ระหว่างรับคำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่แสนดี (กัดฟัน)

                       "งั้นก็เก็บกระเป๋ากันได้เลยสิเนี่ย ไป..ฉันช่วย" แองเจลีน่าคว้าข้อมือบาง เฟรินตกใจหันไปมองก่อนจะถาม

                       "เก็บของอะไร" คนถูกถามส่ายหน้าช้าๆ นอกจากเรื่องกินกับเที่ยวหาเรื่องเขาไปทั่ว เคยคิดที่จะรู้อะไรอีกมั้ยเนี่ย

                       "ก็เก็บของเตรียมไปคาโนวาลน่ะสิ อีกสามวันเธอต้องเข้างานแต่งงานแล้ว ไม่รู้ตัวหรอไง" แล้วแองจี้ก็จัดการลากเฟรินที่แข็งเป็นก้อนหินกลับห้องเพื่อเตรียมตัวเก็บของพร้อมกับมาทิลด้าและเรนอน


    ****************************TBC.....

    Talk > เอ่อ...มีบางท่านส่งเมลล์มาจองหนังสือ ขอเรียนว่าตอนนี้ยังไม่เปิดจองอีกรอบนะก๊าบ ไอ้เบนซ์ซาบซึ้งมากๆ ที่ท่านๆ ให้ความสนใจ จนบัดนี้บัญชีเพิ่งจะเคลียร์ไปได้ครึ่งเดียว = =" คาดว่าอาทิตย์หน้าน่าจะเสร็จทั้งหมด แล้วจะประกาศที่เด็กดีอีกครั้งนะคะ m(_ _)m

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×