ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Distance : การเดินทางที่ยาวไกล

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9 : เหตุผลที่ต้องทะเลาะกัน

    • อัปเดตล่าสุด 25 ม.ค. 49


                       เช้าวันรุ่งขึ้น ณ ห้องเสวยที่คึกคักกว่าปกติ ด้วยเสียงหัวเราะที่ดังกว่าทุกวัน อาหารบนโต๊ะส่วนใหญ่จะเป็นของขึ้นชื่อของคาโนวาลที่เตรียมไว้เพื่อแขกคนสำคัญ ยกเว้นแต่สำรับของราชินีที่แยกออกไปต่างหาก

                       "กินแต่ผักไม่เบื่อบ้างหรอไง เฟริน" อาเธอร์เอ่ยปากทัก ขณะที่จ้องไปยังสำรับของหล่อน คนถูกทักฉีกยิ้มกว้าง ในปากเต็มไปด้วยอาหารที่เจ้าหล่อนพยายามยัดเข้าไปให้มากที่สุด ทั้งๆ ที่มันก็มีเหลือเฟือให้หล่อนกินได้สบายๆ แท้ๆ

                       "ไม่เบื่อหรอกกระหม่อม ลองให้ผมไปกินเนื้อสัตว์ดูสิ โอ้กอ้ากไปหลายวันเลยล่ะ สงสัยกระเพาะผมคงไม่รับเนื้อสัตว์แล้วด้วยมั้ง" พูดจบก็ตักผัดผักตรงหน้าต่อ ท่านแม่นะท่านแม่ บอกให้เราทำตัวเรียบร้อยอย่าให้เสียหน้า แต่ตัวเองทำเสียหน้าซะเอง เนอาร์คิดแล้วปลงตก

                       "แล้วนี่คิลกับเรนอนไปอยู่ไหนซะล่ะ ทำไม่มาทานด้วยกัน" เอ่ยปากถามหาบุคคลที่โผล่มาเมื่อคืน ตาสีดำหันไปสบกับเจ้าของตาสีฟ้าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะที่นั่งกินอยู่เงียบๆ

                       "น้าคิลบอกว่าไม่ถนัดที่จะมานั่งโต๊ะทานกับกษัตริย์ฮะ ก็เลยปลีกตัวไปหาอะไรทานที่ตลาดแทน" คนที่ตอบคือเด็กน้อยผมสีเงิน ตาสีน้ำตาลแป๋วที่อาเธอร์รู้สึกถูกโฉลกเล็กน้อย คงเพราะนิสัยที่ได้มาจากแม่เต็มๆ นั่นล่ะมั้ง

                       "นึกไม่ถึงว่าคิลจะอยู่ที่คาโนวาลด้วย เปิดตัวซะเด่นเหลือเกิน" คราวนี้เสียงช้อนส้อมชะงักลง เฟรินกับคาโลเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดพร้อมกัน หากไม่ทันที่เจ้าหล่อนจะได้พูดอะไร คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับชิงพูดขึ้นมาซะก่อน

                       "ถ้าไม่ทำเช่นนั้น เด็กสองคนนี่คงไม่มีโอกาสได้มานั่งร่วมโต๊ะกับพระองค์" ความเงียบโรยตัวเข้ามาช้าๆ สร้างความอึดอัดให้กับเด็กน้อยสองคนที่ยังไม่เคยเจอบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน จนกระทั่งเฟรินเริ่มลงมือกินข้าวต่อ ภาพตรงหน้าเหมือนจะเป็นภาพช่วยชีวิตไม่ให้เขาทั้งสองคนอึดอัดจนตาย แล้วบทสนทนาก็ถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นแทน

    ------------------------------------------

                       "ถ้าอย่างนั้นแกก็สงสัยกษัตริย์อาเธอร์" ตาสีม่วงมองคนที่เพิ่งเปรยบางอย่างกับเขา ก่อนจะเบนสายตาไปมองร่างสามร่างที่เล่นอยู่ห่างๆ กับสุนัขสีน้ำตาลภายในสวนใหญ่แห่งนี้ ชวนให้คิดถึงสมัยที่คนข้างๆ ยังมีอีกร่างเป็นสุนัข จนถึงตอนนี้เขาก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า ชอบร่างหมาของมันมากกว่า ขณะที่กษัตริย์ทั้งสองนั้นได้เสด็จออกไปตรวจราชการตามปกติ

                       "แกคิดมากไปเองรึปล่าว" ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็รู้ดี...นัยน์สีดำที่ปรากฏแววโกรธเกรี้ยวของเมื่อคืน เฟรินมู่หน้าลงอย่างเหนื่อยใจ หยิบขนมใส่ปาก

                       "ถ้าฉันแค่คิดมากไปอย่างที่แกพูดก็ดีสิ แกก็น่าจะรู้นิสัยคิงอาเธอร์ดี...คิงประเทศแกนี่" ประโยคสุดท้ายเรียกเสียงหัวเราะหึๆ ให้กับคิล พูดยังกะว่านักฆ่ากับคิงต้องติดต่อกันบ่อยอย่างนั้นล่ะ

                       "หรือบางทีฉันคงต้องพาเนอินกับเนอาร์ไปเดมอสอย่างที่คาโลมันว่าจริงๆ" คนฟังหันมามองอย่างแปลกใจ คิ้วเข้มเลิกสูง คนอย่างคาโลเนี่ยนะจะยืมมือคนอื่นช่วย แค่กับเพื่อนอย่างเขามันยังเสียเวลาคิดอยู่เป็นอาทิตย์ ตาสีน้ำตาลมองไปยังลูกของตนที่กำลังเล่นอย่างมีความสุข...ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นคนที่เป็นหัวขโมยอย่างเธอ โซ่...เชือก....ที่ล่ามอิสระภาพไว้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะแกะมันออกได้

                       "แล้วแกจะยอมปล่อยให้คาโลมันอยู่ที่คาโนวาลคนเดียว?" ถามขึ้นพลางกระตุกยิ้มเมื่อเห็นหน้าหวานๆ นั้นยู่ลง

                       "แล้วแกจะให้ฉันทำไงฟะ จะปล่อยให้สองคนนั่นไปเดมอสกันเองก็ทำยังกะมันจะรู้ทาง ขืนไปเจอไอ้กับดักบ้าๆ เข้ามีหวังได้เหลือแต่ชื่อ" คิลหัวเราะคิกคักเบาๆ ก่อนจะเสริม

                       "ช่าย โดยเฉพาะเนอินที่รับนิสัยของนายไปเต็มๆ ด้วยแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วง" ตาสีน้ำตาลมองค้อนเขียวปัด อย่าคิดว่าไม่รู้นะว่าหลอกด่า หากเสียงหัวเราะคิกคักนั้นก็ยังดังเบาๆ อย่างที่เจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้เต็มที่ เฟรินถอนหายใจฉิวๆ ปลงกับนิสัยแบบนี้ของเพื่อนซี้เต็มที

                       "แล้วจะปล่อยให้ไอ้คาโลมันบริหารงานคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่..."

                       "แต่กลัวว่าพวกว่าจ้างจะเบนเข็มไปหามันแทนใช่มะ เพราะถ้าลูกแกไปเดมอสแกต้องตามไปแน่ๆ" คิลดักคอรู้ทัน เฟรินพยักหน้าหงึกหงักแล้วถอนหายใจอีกรอบ

                       "งั้นก็ไปด้วยกันให้หมด ยังไงซะ...ถือว่าไปฮันนิมูนก็ได้นี่ พวกข้าราชการคงไม่ตายหรอก" ข้อเสนอที่ทำให้คนฟังต้องคิด แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าไปมา

                       "ไม่มีทาง ไอ้คาโลไม่ยอมวางงานแน่ๆ แกก็น่าจะรู้ หน้าที่ หน้าที่ แล้วก็หน้าที่" เปรยถึงคำที่ผูกมัดคนที่กำลังพูดถึงเบาๆ สีหน้าบ่งบอกถึงความยุ่งยากใจที่จะต้องตัดสินใจเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยิ่งถ้าเธอตัดสินใจไปเดมอสนั่นหมายความว่าแทบจะตัดข่าวจากฝั่งเอเดนไปแทบจะทันที เอ๋...เดี๋ยวสิ!! เฟรินสะดุ้งตัวพรวดขึ้นมายืนจนคนข้างๆ ตกอกตกใจ

                       "เดี๋ยวสิๆๆ เดมอส...เดมอส... ฮ่าๆๆๆ" แล้วเฟรินก็เดินหัวเราะเข้าไปข้างใน คิลที่ได้แต่ยืนงงมองตามเพื่อนตัวที่เครียดจนเพี้ยนไปเรียบร้อยแล้วอย่างปลงๆ เฮ้อ...ภูมิคุ้มกันเรื่องความเครียดของมันยังคงต่ำเหมือนเดิม คิดแล้วก็วิ่งไปร่วมวงกับคนที่สามคนที่กลางสนาม


                       "ทำอะไรน่ะ" เสียงทุ้มดุเอ่ยทักเมื่อเห็นร่างบางทำลับๆ ล่ออยู่ตรงคอกม้าหลวง เฟรินสะดุ้งเฮือกรีบหันกลับมายิ้มกว้างใส่

                       "ปล๊าวว ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่มาดูม้าบ้าง เผื่อจะออกไปไหนแค่นั้นเอง" ตาสีฟ้ามองเลยข้ามไหล่เธอไปยังคอกม้าที่อยู่เรียบร้อยดี ก่อนจะเบนกลับมามองดวงหน้าเล็กอีกครั้ง

                       ...ไม่ค่อยน่าเชื่อ...

                       และเหมือนเจ้าตัวแสบจะรู้ว่าตัวเองกำลังจะตกอยู่ในฐานะจำเลยก็รีบออกปาก

                       "เพิ่งกลับมาหรอ เหนื่อยรึปล่าว ไปปกติไม่มีอะไรมาก แต่ต้องพาพี่อาเธอร์ไปด้วยคงเหนื่อยสินะ" เธอรีบเดินเข้าไปไกลเอียงคอถาม พยายามทำสายตาน่ารักสุดชีวิต แต่ยิ่งทำก็ยิ่งเหมือนกระตุ้นต่อมอยากรู้มากขึ้น

                       "แกปิดบังอะไรฉันไว้" เอาล่ะสิ...บทจะดื้อก็ดื้อเสียยิ่งกว่าเธอเสียอีก เฟรินเริ่มหาทางออกในแบบที่ไม่อยากทำเท่าไหร่นัก ยิ่งคนตรงหน้ามีภูมิต้านทานด้วยแล้ว ใบหน้าหวานงอง้ำลงพลางสะบัดหน้าพรืดใส่

                       "ก็บอกว่าไม่มีอะไร ถ้าแกไม่เชื่อก็ตามใจแกสิ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงถามไถ่ไม่มีหรอกคำตอบ ชิ!...ไอ้พวกหอคอยงาช้างแช่แข็ง" ว่าแล้วก็ก้าวฉับๆ เดินผ่านร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่งเฉยมองตามไปจนลับสายตา คาโลหันกลับมาที่คอกม้าอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มสำรวจและก็พบว่ามีม้าตัวนึงหายไป

                       ทำไมมันต้องโกหกและปิดเขาด้วย?!

                       ความไม่พอใจแล่นริ้วขึ้นมาในอารมณ์ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่าไอ้เหตุการณ์แบบนี้ก็เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นาน หากไม่ใช่เป็นกับเขา คาโลยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้าก่อนจะเดินออกจากคอกม้าไป

                       เฮ้อ เราเองก็งอนไม่เข้าเรื่องเหมือนกัน

                       เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ เจ้าตัวดีที่เพิ่งเล่นฉากงอนเดินฉิวเข้าห้องก่อนจะปิดประตูลงแผ่วเบา จัดการเศษกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะให้กลับมาอยู่ในสภาพเหมือนเดิม ความจริงไอ้เรื่องแบบนี้เธอไม่คิดจะทำหรอก แต่ในกรณีถ้าไม่ทำละก็ ถ้าไอ้คาโลมาเห็นล่ะซวยสุดๆ คิดแล้วต้องเร่งมือขึ้นมาทันที ไม่นานโต๊ะที่รกเมื่อครู่ก็กลับมาเรียบร้อยเช่นเดิม เฟรินยิ้มพอใจเล็กน้อย ที่เหลือก็แค่เตรียมการอีกเล็กน้อย

                       "คุณนาเดีย เรียกเนอินกับเนอาร์มาพบผมที่ห้องหน่อยฮะ" เจ้าหล่อนเปิดประตูตะโกนลั่นวังอย่างที่ทำเป็นประจำ แม้ว่าสุดท้ายจะจบลงด้วยการลงโทษเล็กๆ น้อยๆ จากสามีก็ตาม ไม่นานนักเด็กน้อยทั้งสองที่เธอต้องการพบก็เข้ามาอยู่ภายในห้องเรียบร้อย

                       "จู่ๆ ให้เรียกตัวมาแบบนี้ ท่านแม่มีอะไรหรอครับ" เนอาร์เอ่ยทักอย่างแปลกใจด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยจนคนฟังอดหมั่นไส้ไม่ได้ แต่ต้องสู้ปั้นหน้าขรึมเอาไว้ เฟรินเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ยกมือบางขึ้นมาลูบหัวลูกทั้งสองอย่างแผ่วเบา พยายามนึกคำพูดที่ดูเข้าท่าที่สุด

                       "ถ้า...พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน พวกแกจะว่าอะไรมั้ย" สรรพนามเรียกลูกตัวเองที่เหลือทนที่จะฟังได้ถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่ออยู่กันเพียงสามคนเช่นนี้เท่านั้น ทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก ผิดกันก็แต่ตาสีน้ำตาลนั้นดูเรียบเฉยจากการเสี้ยมสอนที่ดีเยี่ยมจากผู้เป็นพ่อ หากตาสีฟ้าอีกคู่ข้างกลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างห้ามไม่อยู่

                       "ท่านพ่อกับท่านแม่จะแยกกันอยู่หรอฮะ ทำไมล่ะ!"

                       "นั่นสิครับ ถึงจะทะเลาะกันบ่อยวันละ 3 เวลาระหว่างอาหาร กระทบกระทั่งเฉลี่ยอาทิตย์ละ 4 ครั้ง แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับต้องเลิกกันนี่ครับ" เหตุผลที่อ้างอิงจนน่าจะจับตัดลิ้นทิ้งของผู้เป็นลูกทำให้เฟรินต้องฉีกยิ้มออกมาอย่างพยายามปกปิดอาการยักษ์ลงชั่วคราว

                       "ไม่ใช่อย่างนั้น ก็น่าจะรู้อยู่ว่าฉันพูดไม่เก่ง อย่างที่รู้ๆ กันว่าพวกแกก็โดนลอบฆ่า ถ้าไปเดมอสกับฉันก็จะได้ท่านตาช่วยดูแล แต่คาโนวาลก็ต้องการผู้นำและไอ้คาโลก็คงไม่ยอมผละไปง่ายๆ แน่ๆ เพราะฉะนั้น ให้เลือกสองทางคือไปกับฉันหรือไปกับคาโล" คำชี้แจงที่ดูมีเหตุผลถูกเปรยขึ้น พร้อมกับนิ้วที่ชูขึ้นมาสองนิ้วเป็นการให้เลือก ตาสีน้ำตาลคมหรี่ลงเล็กน้อยอย่างสงสัย หากเนอินกลับดี๊ด๊าสุดๆ ที่จะได้ไปเที่ยว

                       "ท่านแม่มีอะไรปิดบังพวกเราอยู่รึปล่าว" คำกล่าวหาช้าๆ ชัดๆ พุ่งเสียบเข้ากลางใจดังจึ้กๆ ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งเฮือกเล็กน้อย ก่อนจะรีบปั้นหน้านิ่ง บอกปัดๆ ไป

                       "ฉันมีอะไรจะปิดพวกแกล่ะ ยังไงแกสองคนก็ลูกฉันนะ ไม่ห่วงแล้วจะให้ไปห่วงใครอีกเล่า" เฟรินลุกขึ้นยืนเดินไปนั่งลงบนเตียงใหญ่ ตาสีน้ำตาลที่เคยปรากฏแววขี้เล่นตลอดเวลาตอนนี้มีเพียงแววตาจริงจังที่ดูน่าเชื่อถืออย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

                       "พวกแกน่าจะเข้าใจสถานะของตัวเองนะ เนอิน เนอาร์... ตำแหน่งคิงในอนาคตอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง ก็อย่างที่เห็นกันในวันที่จัดงานเลี้ยงไม่ใช่หรอ ถ้าไม่มีคิลมาช่วย ไอ้ศพที่จมกองเลือดก็คงเป็นพวกแกสองคนแทน" พูดแล้วก็วูบขึ้นมาในอก แค่คิดภาพตามก็แย่แล้ว

                       ...ห้ามไม่ได้นี่นะ ไอ้ความรู้สึกนี่...

                       คนฟังทั้งสองที่โดนดูถูกกลายๆ เริ่มนิ่วหน้าไม่พอใจ เรื่องอื่นยอมได้ แต่เรื่องหมิ่นประมาทกันแบบนี้ ไม่มีทาง!!!

                       "นั่นเพราะเราไม่รู้ว่ามีคนคิดจะมาฆ่านี่นา" เนอินสอดปากขึ้นทันที ตามนิสัยที่ตรงไปตรงมา ริมฝีปากบางกระตุกเหยียดขึ้น อย่างที่คนมองไม่ถูกใจนัก

                       "คนเราน่ะ ไม่จำเป็นต้องเตือนก็น่าจะรู้ตัว ถึงพวกแกจะยังเด็ก แต่ก็น่าจะรู้ถึงความสำคัญของตัวเอง โดยเฉพาะเนอาร์... น่าจะรู้ดีกว่าเนอินนะ" มือเล็กๆ กำแน่นจนน่ากลัวว่ามันจะหักได้ง่ายๆ เฟรินมองลูกของเธอทั้งสองคน ความรู้สึกหนักใจบางอย่างมันแล่นเข้ามาครอบคลุมจิตใจตั้งแต่เมื่อครู่ เธอไม่สันทัดการพูดบทสนทนาเครียดๆ แบบนี้อยู่แล้ว แต่ต้องมาพูดกับลูกของตัวเองที่เคยแต่เล่นหัวกันเหมือนรุ่นเดียวกันยิ่งแล้วใหญ่ ตาสีฟ้าและตาสีน้ำตาลที่สืบทอดจากผู้เป็นพ่อแม่ น้อยครั้งนักที่จะปรากฏประกายแบบเดียวกันในเวลาเดียวกัน ครู่ใหญ่ที่ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบกับการรอคอยอะไรบางอย่างที่จะเป็นสัญญาณ จนกระทั่งเนอาร์เปิดปากขึ้นมาเป็นคนแรก

                       "ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านแม่เถอะ แค่ไปอยู่เดมอส...หน้าที่ของเด็กอย่างพวกเราคงทำได้แค่นี้"

                       ...เจ็บ...

                       เฟรินยิ้มบางพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยไล่ให้ทั้งสองเตรียมตัวเก็บของเพื่อที่จะได้เดินทางทันทีหลังจากที่กษัตริย์แห่งซาเรสที่เป็นอาคันตุกะเสด็จกลับไป

                       เหลืออีกคนนึง

                       เธอสูดหายใจลึกก้าวออกจากห้องมุ่งไปยังห้องทำงานอันเป็นห้องส่วนตัวที่ไร้ซึ่งคนที่จะกล้าเฉียดเข้าใกล้ยามเจ้าของห้องกำลังง่วนกับงานยามบ่ายเช่นนี้ ประตูใหญ่ถูกเคาะสองสามครั้งเป็นเชิงขออนุญาตก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยรับ

                       "แกพอจะมีเวลาว่างคุยกับฉันหน่อยมั้ยคาโล" ร่างสูงหลังกองกระดาษอันเป็นงานต้องตรวจเช็คทุกวันเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เพิ่งเข้ามาอย่างแปลกใจ แต่ก็ยอมละสายตาขึ้นมามองตรงๆ เป็นการบอกว่ากำลังฟังอยู่ เฟรินก้าวเข้ามานั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเงียบๆ ก่อนจะเริ่มหัวข้อที่ต้องการ

                       "หลังจากที่พี่อาเธอร์กลับซาเรส ฉันจะพาเนอินกับเนอาร์ไปเดมอสตามที่แกเสนอ" อาการชะงักเล็กน้อยไม่พ้นสายตาของเธอไปได้ รู้สึกสะใจนิดๆ แฮะ คาโลนิ่งไปนานครู่ใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่เขาเสนอไปไม่ใช่หรอไง แต่พอถูกตอบรับก็กลับรู้สึกวาบภายในใจที่ต้องรู้ว่าเจ้าตัวแสบที่คอยสร้างปัญหากับลิงสองตัวที่แทบจะพังวังอาทิตย์ละสองหนจะต้องหายหน้าหายตาไปชั่วคราว โครงหน้าเฉยชาพยักหน้าหงึกหงักเล็กน้อย

                       "ก็ตามใจแก ก่อนอื่นฉันมีเรื่องอยากจะถาม" เฟรินสะดุ้งเล็กๆ กลัวถูกจับผิด หากก็พยายามสงบสีหน้าให้ถึงที่สุด

                       "ที่แกไปทำลับๆ ล่อๆ อยู่ที่คอกม้า..แกไปทำอะไร"

                       ซวย!
     เฟรินสบถในใจเบาๆ ในหัวเริ่มแล่นรันหาวิธีแก้ตัว 108 กำลังสี่ ที่เธอสอนให้ลูกๆ ไปแค่ 108 วิธีธรรมดาเท่านั้น มันเห็นแค่ไหนกันนะ อย่างนี้ต้องลองเสี่ยง

                       "ก็แค่ไปดูนี่ รู้สึกว่าจะหายไปตัวนึงด้วย นายเอาไปใช้อะไรรึปล่าว" ตอแหลพลางตีหน้างงสุดชีวิต ตาสีฟ้าจ้องอย่างจับผิดแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ.. หรือถ้าจะให้พูดให้ถูกคือมันผิดปกติจนไม่รู้อันไหนจริงอันไหนปลอม เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

                       "มีแค่นี้ใช่มั้ย" คิ้วเรียวๆ ขมวดเข้าหากัน นี่มันจะไม่ห้ามหรือท้วงอะไรหน่อยหรอไง จริงอยู่ที่ข้อเสนอนี้มันเป็นคนเสนอขึ้นมาเอง แต่...

                       "แกไม่คิดจะค้านอะไรเลยหรอ" อะไรบางอย่างในความรู้สึกทำให้เฟรินโพล่งออกไป คนฟังหันกลับมามองนิ่ง

                       "ถ้าตัดสินใจไปแล้วก็ต้องทำ การลังเลไม่ใช่นิสัยของกษัตริย์"

                       "แม้ว่าบางทีฉันจะไม่ได้เจอกับแกอีกแล้วเนี่ยนะ" น้ำเสียงที่จับได้ออกจะสั่นนิดๆ คาโลเลิกคิ้วสูงแปลกใจ

                       "แกหมายความว่าไง" เฟรินสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างรวบรวมสติ อย่าเพิ่งหลุดไป

                       "ก็คนที่จะไปเดมอสมีฉัน เนอินแล้วก็เนอาร์เท่านั้น"

                       "ไม่ได้!!!" คำปฏิเสธสวนขึ้นทันที เรียกให้ความรู้สึกกรุ่นๆ แล่นริ้วขึ้นมาทันที

                       "ทำไมจะไม่ได้! แค่ให้คนไปส่งถึงชายแดนคาโนวาล ฝั่งเดมอสก็คงส่งคนมารับฉันกับลูกอยู่แล้ว" คาโลสบถพรืดอย่างแรง คิ้วเข้มขมวดขัดใจ ทำไมมันถึงดื้อนักนะ!!

                       "แกคิดว่ามันจะง่ายหรอไง รู้มั้ยตอนนี้แกกับลูกต้องระวังตัวมากแค่ไหน! อยากให้เรื่องมันร้ายแรงหรอไง" คำตอบเรียบๆ เฉยชาดึงให้เส้นอารมณ์บางๆ ขาดผึงทันที

                       ปึก!!

                       หนังสือเล่มใหญ่ใกล้มือที่โชคร้ายถูกหยิบขึ้นปาปะทะกับหน้าคมเต็มรัก หากมือที่ใช้ขว้างกับสั่นระริกด้วยความโกรธ

                       "ถ้าแกคิดว่าคนอย่างฉันปกป้องลูกสองคนไว้ไม่ได้ เราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน คาโล!!" เฟรินกระแทกเดินกระแทกส้นเดินปึงปังออกไป ทิ้งให้คู่กรณียืนกุมขมับด้วยความเครียด

    ------------------------------------------

                       หลายวันต่อมา ณ ห้องเสวยอันโอ่อ่าก็ไร้ซึ่งร่างของราชินีแห่งคาโนวาลเช่นเคย เจ้าหล่อนเก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวัน ไม่ก็พยายามหลบลี้หนีหน้าใครบางคนที่ทำให้เส้นอารมณ์ขาดไปเมื่อวันก่อน มันแย่กว่าทุกครั้งตรงที่เธอย้ายไปนอนอีกห้องหนึ่งซึ่งจะล็อคทุกครั้งยามที่เธออยู่หรือไม่อยู่ในห้อง อาเธอร์มองใบหน้าคมที่ดูจะตึงเครียดหนักกว่าวันแรกๆ ที่เจอกัน วันนี้ตอนเย็นเขาจะกลับแล้วแต่ก็ยังไม่พบหน้าภรรยาเจ้าบ้านเลย

                       "เฟรินไปไหนกันนะ" เปรยออกมาเบาๆ แต่ส่งผลถึงทั่วทั้งโต๊ะ

                       "ท่านแม่พักผ่อนอยู่ในห้อง เห็นว่าไม่ค่อยสบายกระหม่อม" เนอาร์ทูลเบาๆ ความจริงแล้ว...พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่เจอหน้าเฟรินอีกเลยตั้งแต่ที่คุยกันเรื่องไปเดมอส ทุกวันก็ขลุกอยู่แต่คิลกับเรนอนที่สอนเรื่องต่างๆ ให้ด้วยความยินดี ฝั่งคาโลที่แทบจะไม่ได้เจอหน้ากันยามปกติอยู่แล้ว ยิ่งเจอการแยกห้องเข้าไปก็ไม่ต้องพูดถึง

                       "อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ" ปรายตาเหลือบมองเจ้าของเรือนผมสีเงินเล็กน้อยก่อนจะเปรยต่อ

                       "การกระทบกระทั่งกันบ้างก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเป็นการเข้าใจผิดก็ควรจะแก้ไขให้ถูก จริงมั้ยคาโล?" หันมาถามคนที่รวบช้อนเรียบร้อยแล้ว คาโลไม่พูดอะไรได้แต่ขอตัวและเดินออกไปทันที ไม่นานนักเด็กน้อยอีกสองคนที่ทำตัวเรียบร้อยจนน่าใจหายก็ตามออกไป

                       "แล้วกันสิ... ทิ้งแขกไว้อย่างนี้ก็มีด้วย เฮ้อ..."

                       ...เอาแต่ใจกันทั้งครอบครัว...


                       ก๊อกๆๆๆ

                       ......................

                       มือใหญ่เอื้อมบิดกลอนประตูที่เจ้าของห้องเผลอเรอลืมล็อค ห้องเล็กๆ ที่ถูกจัดขึ้นมาง่ายๆ กลางห้องคือร่างบางของคนที่เขาไม่ได้เห็นหน้ามานานกำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ คาโลส่ายหน้าน้อยๆ กับการนอนหลับโดยไม่ล็อคห้องอันเป็นหนึ่งในนิสัยที่ควรปรับปรุง เปลือกตาบางที่ปกติมักจะลืมขึ้นยากกับค่อยๆ กระพริบลืมขึ้นราวกับรู้ว่ามีใครบางคนที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาให้ห้อง ทันทีที่สบกับตาสีฟ้าร่างบางก็ลุกพรวดขึ้นมานั่ง

                       "แกเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง" คาโลนิ่งไปครู่หนึ่งยกมือกอดอกช้าๆ

                       "ควรจะถามแกมากกว่าว่าทำไมถึงไม่ล็อคห้อง" คราวนี้เจ้าของห้องถึงกับสะดุ้งไปนิดๆ ชิ..โดนมันเอากลับจนได้ มือเล็กๆ เสยผมยาวยุ่งๆ ของตัวเองแรงๆ ใจอยากจะตัดมันมาตั้งนานแล้ว แต่ถูกไอ้คนข้างๆ นี่ห้ามด้วยเหตุผลที่ว่า...ก็สวยดีนี่นา เฮ้อ...ถ้าจะบ้าแล้วสิเรา แค่เหตุผลบ้าๆ นั่นก็ยอมมันแล้ว แต่จะว่าไป...มันก็เริ่มหนักข้อตั้งแต่ท้องไอ้ลิงสองตัวนั่นนี่นา

                       "ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้ว ฉันจะพักผ่อน" เฟรินสะบัดหน้าหันไปสนใจกับกระดาษบนโต๊ะหัวเตียงอย่างไม่ใยดี ร่างสูงชะงักกึก คิ้วเข้มขมวดกันมุ่น

                       "แค่จะบอกว่าเตรียมของให้เรียบร้อยได้แล้ว ที่สำคัญรู้มั้ยว่าเสียมารยาทขนาดไหนที่ไม่ยอมออกไปส่งคิงอาเธอร์ด้วยการอ้างว่าป่วยการเมือง" คนฟังหัวเราะเบาๆ หมุนตัวหันกลับมามอง ตาสีน้ำตาลพราวระยับอย่างที่ไม่ได้เห็นนานแล้ว แววตาของหัวขโมยผู้ไม่สนใจอะไรนอกจากตัวเอง

                       "นั่นมันก็เรื่องของฉัน แล้วฉันก็ไม่ได้โกหกด้วย เพราะวันนี้รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยแค่นั้นเอง ถ้าหมดเรื่องแล้วก็ออกไปได้แล้ว" ไล่แล้วหันหลังใส่ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แขนบางถูกคว้าหมับเข้าอย่างแรงจนเจ้าตัวต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด

                       "ปล่อยนะโว้ยย นาเดีย!! คุณนาเดีย!! มาช่วยผมไล่แขกที่ไม่ได้รับเชิญนี่ออกไปที" เฟรินตะโกนลั่นด้วยความโมโห โดยลืมซะสนิทว่าไอ้ที่เป็นแขกไม่ได้รับเชิญน่ะ มันคิงเจ้าของวังนี้แท้ๆ นาเดียโผล่พรวดเข้ามาแล้วต้องรีบถอยกลับไปแทบไม่ทันเมื่อรับรู้ถึงไอเย็นๆ ที่แผ่ออกมา

                       "อย่ามาทำสะบัดหน้าใส่นะเฟริน มีอะไรไม่พอใจก็พูดกันตรงๆ อย่ามาใช้นิสัยของขโมยในวังนี้" หญิงสาวที่พยายามจะสะบัดแขนชะงักค้างกับคำพูดเมื่อครู่ ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ

                       "ทำไมจะใช้ไม่ได้!! อาชีพเก่าฉันมันคือขโมยนี่นา คนที่ผิดคือแกมากกว่าคาโล! ที่มาห้ามขโมยอย่างฉัน!!"

                       "แต่แกไม่ใช่ขโมย! ตอนนี้แกเป็นราชินีของบารามอสกับเดมอส เป็นราชินีของคาโนวาล หัดทำอะไรที่มันสมกับฐานะหน้าที่นี่หน่อยได้มั้ย!!" คาโลเผลอตวาดใส่ด้วยความโมโห เฟรินมองคนตรงหน้า รอยยิ้มเยอะถูกระบายขึ้นบางๆ

                       "ถ้าฉัน...ไม่ใช่ธิดาแห่งความมืด ไม่ใช่ราชินีแห่งบารามอสและเดมอส ฉันก็คงกลายเป็นแค่หัวขโมยโง่ๆ ที่คิดริจะทำตัวเทียบเท่ากษัตริย์อย่างนั้นสิ" เสียงใสสั่นเครืออย่างพยายามระงับอารมณ์เอาไว้ ร่างสูงอ้าปากพยายามจะอธิบายแต่ถูกดักไว้เสียก่อน

                       "ถ้าฉันไม่ใช่เฟลิโอน่า เกรเดเวล แต่เป็นแค่เฟริน เดอเบอโรว์อย่างที่เจอกันครั้งแรกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาอยู่ข้างแกใช่มั้ย.. ได้เลยคาโล ไม่สิ...ฝ่าบาท" เฟรินย่อตัวถอนสายบัว หากเป็นเวลาปกติเขาคงจะยิ้ม แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ใช่! หล่อนเงยหน้าขึ้นยิ้ม หากน้ำใสๆ ที่เอ่อล้นออกมากลับกลบรอยยิ้มนั้นเสียจนหมด ความเจ็บปวดที่ไม่รู้ว่าใครกันที่จะเจ็บปวดมากกว่ากันทิ่มแทงให้รู้สึกชาไปหมด

                       "ที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่ฝ่าบาทจะเสด็จมา ขอทูลเชิญเสด็จกลับไปเถอะเพคะ"

                       "เฟริน..." คาโลเอ่ยปาก ขณะที่เพิ่มแรงบีบเข้าไปมากกว่าเดิม แต่รอยยิ้มจอมปลอมนั่นก็ยังคงระบายอยู่

                       "หากพระองค์ไม่เสด็จกลับ หม่อมฉันจะเป็นฝ่ายไปเองเพคะ" ตาสีน้ำตาลที่คลอไปด้วยน้ำตาฉายแววความมั่นคงในคำพูด ใจอยากจะดึงร่างนี้เข้ามากอดปลอบโยน หากแต่รัศมีบางอย่างที่แผ่ออกมา มันดูสูงส่งเกินกว่าที่เขาจะกล้าทำ มือใหญ่ค่อยๆ คลายลง ก่อนจะพาร่างตัวเองเดินออกไป ทันทีที่เสียงประตูบานใหญ่ปิดลง เขื่อน้ำตาก็พังครืนลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

                       .........ทำไม ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้........

    ------------------------------------------

                       "ทุกอย่างพร้อมนะฮะคุณนาเดีย" เสียงใสๆ ย้ำพลางเช็คของที่กำลังขนขึ้นเกวียน ทันทีที่ข้ามฝั่งจะมีมังกรมารับ เฮ้อ...ทำไมไม่หาอะไรที่มันนั่งง่ายๆ กว่านี้หน่อยนะ ข้ารับใช้ส่วนตัวพยักหน้าเล็กน้อย การเตรียมตัวเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เฟรินขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนที่สติจะถูกเรียกกลับมา

                       "ค่ะ เรียบร้อยดีค่ะ" เฟรินยิ้มบางๆ หันไปหาเด็กน้อยที่ยืนนิ่งอยู่ข้างเกวียนแล้วพยักหน้าให้ขึ้นไปนั่งเรียบร้อย ขบวนเสด็จถูกจัดเป็นขบวนเล็กๆ มีเพียงทหารที่ไว้ใจ 6-7 นายที่คุมเกวียนไป นี่คือความประสงค์ของคนเจ้าของความคิดนี่ด้วย ตาสีน้ำตาลกวาดสายตามองหาใครบางคนจนนาเดียขำเล็กๆ แม้จะนึกสงสารอยู่ในใจ รอยขอบตาที่บวมเป่งนั่น ต่อให้โบ๊ะยังไงก็ดูท่าทางจะไม่จางลงไปง่ายๆ

                       "ฝ่าบาททรงงานอยู่ค่ะ ดูเหมือนจะมีปัญหาเรื่องหมู่บ้านแถบชายแดนที่แห้งแล้งต้องรีบจัดส่งเสบียงไปให้" คำชี้แจงที่ทำให้เธอต้องตีหน้าเหรอหราเพราะถูกดักคอ

                       "ใครว่าผมมองหาหมอนั่นล่ะ จะไปไหนก็เรื่องของมันสิ อย่าพูดถึงมันให้ผมได้ยินอีก ไม่เอาละ...เดินทางดีกว่า จะได้ถึงเร็วๆ" ว่าแล้วเธอก็จัดการกระโดดขึ้นคุมเกวียนให้เคลื่อนออกไปด้วยความเงียบสงบ โดยไม่รู้ว่ามีตาสีฟ้าคู่หนึ่งจับจ้องมองลงมาจากชั้นบนคู่กับตาสีม่วงประกาย

                       "ไว้ใจได้หรอ" คำเปรยเบาๆ ทำให้เขาต้องถอนหายใจ ไม่ไว้ใจแล้วจะทำอะไรได้... คิดแล้วก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ยาวอย่างเหนื่อยใจ

                       "ทำได้แค่นี้นี่นา" คิลผละออกมานั่งลงที่ริมหน้าต่าง มองหน้าที่ดูอิดโรยของอีกฝ่าย

                       "ทะเลาะกันอีกหรอไง ดูท่าทางจะร้ายแรงกว่าทุกที" คาโลเหยียดยิ้มเล็กน้อย

                       "เอาไว้ค่อยว่า  มาพูดเรื่องงานเลยดีกว่า" เรนอนมองสบกับคิลเงียบๆ อาการแบบนี้ คงไม่ใช่แค่ร้ายแรง แต่เป็นคอขาดบาดตายเลยมากกว่า


    *******************************TBC...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×