ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -Fanfic บารามอส- Believed

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 10 : อาฆาต

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 49


                อีกด้านหนึ่งที่กำลังเดือดไม่แพ้กัน ยิ่งสู้กันนานเท่าไหร่ทาจัสก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นทุกที เมื่อพบว่าร่างบางๆ ที่ยกมีดสั้นรับคมดาบของตนนั้นมีฝีมือมากกว่าที่คิดเอาไว้ จนดูไม่ใช่แค่คนพเนจรที่ขึ้นเรือผิดลมเสียแล้ว ขณะเดียวกันทางฝั่งซีเวียที่ตกเป็นฝ่ายรับคมดาบมาครู่หนึ่งนั้นเริ่มมีอาการหอบให้เห็น

               
    นี่คือความต่างของหญิงกับชาย

               
    ความอดทน พละกำลัง

               
    ซีเวียกัดริมฝีปากแน่นกับสิ่งที่เธอพยายามโต้แย้งมาตลอด เสื้อและกางเกงมีรอยขาดวิ่นจากการบุกของอีกฝ่าย บางแห่งก็มีรอยแแผลบางๆ ซีเวียยกมีดสั้นขึ้นรับดาบที่ฟาดลงมาเต็มแรงจนมีดหลุดออกจากมือ รอยยิ้มเยาะปนสมเพชปรากฏขึ้นให้เธอเห็นก็ยิ่งจะเพิ่มโทสะจนเผลอบุกเข้าไปหา ทาจัสยิ้มกว้างเมื่อเหยื่อติดกับ ดาบใหญ่ปัดมีดสั้นที่ปาดมาทางซ้าย ก่อนเสียบดาบเข้าที่หัวไหล่ลึกลงไป ซีเวียกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาทันทีที่ดาบถูกดึงออก

               
    "หึ! นอกจากมีดทำครัวแล้วอาวุธมีคมน่ะไม่เหมาะกับผู้หญิงหรอกนะ" ทาจัสแสยะยิ้มเมื่อชัยชนะอยู่ตรงหน้า ซีเวียหายใจหอบฮั่กทั้งเพราะการที่ต้องต่อสู้เป็นเวลานาน อีกทั้งบาดแผลทั่วตัว แค่ยืนได้ก็เต็มกลืนเต็มที

               
    "อะไรทำให้เธอยอมสู้ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ชนะกันนะ ฉันจะบอกให้เอาไหมว่าที่ที่ผู้หญิงควรจะอยู่น่ะมันที่ไหน" รอยยิ้มกักขฬะปรากฏขึ้นบนหน้า คนถูกถามเหยียดยิ้มช้าๆ ทำเอาอีกฝ่ายหน้าตึง ดาบที่อยู่ในมือตวัดเข้าหาร่างบางที่กระโดดหลบไปด้านหลัง หากเรี่ยวแรงที่มีเหลืออยู่น้อยนิดทำให้คมดาบยังสามารถฝากรอยแผลไว้ที่ท้องของเธอได้

               
    "ยิ้มอะไร!" ทาจัสตวาดกร้าว ตาสีเขียววาวโรจน์ จากที่เป็นฝ่ายยั่วตอนนี้กลับถูกยั่วเสียเอง เขาสบถพรืดส่งดาบเข้าไปจ่อคอเตรียมสำเร็จโทษ แม้กระนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็ยังไม่เลือนหายไป

               
    "ฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญไหม ถือว่าเป็นของขวัญก่อนตาย" คิ้วเข้มเลิกสูง อะไรที่ทำให้เด็กสาวตรงหน้ามั่นใจและยังยิ้มได้แบบนั้น ตาสีแดงที่เคยวาววับด้วยแรงโทสะตอนนี้กลับมาสงบได้อย่างเดิม


               
    "ถือว่าเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนตายก็แล้วกัน" คมดาบกระชับเข้าที่คอจนเลือดซึมออกมาเป็นทาง ซีเวียแสยะยิ้มกว้างอย่างที่นานๆ ทีจะได้ทำ จนคนมองขนลุกซู่ด้วยความกลัวที่แล่นขึ้นมาจับใจ

               
    "นายคงสงสัยว่าทำไมคนพเนจรถึงสามารถเรียกเลือดนายได้สินะ บอกให้ก็ได้ว่าจริงๆ แล้วฉันเป็นนักฆ่า แม้จะไม่โด่งดังเท่าตระกูลฟิลมัสแห่งซาเรส แต่ก็คิดว่าน่าจะพอได้ยินชื่อมาบ้าง เกี่ยวกับนักฆ่าจากวิทช์" ปลายเสียงนั้นแม้แผ่วเบาแต่ชัดเจนเข้าไปในสมองคนฟังในแบบที่ไม่ต้องตีความให้เสียเวลา ตาสีเขียวเริ่มเบิกกว้าง เด็กสาวพยักหน้าช้าๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง

               
    หากให้พูดถึงประเทศที่มีทหารรับจ้างและนักฆ่าอันดับต้นๆ ของเอเดน ใครๆ ก็คงจะนึกซาเรส ประเทศที่มีการเลือกกษัตริย์คล้ายกับคาโนวาลแต่เปิดกว้างมากกว่า ตระกูลที่มีชื่อมากที่สุดคือตระกูลฟิลมัส ซึ่งตัวทาจัสเองก็ได้ข่าววงในมาว่ามีการผูกสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฟิลมัสกับคาโนวาล แต่เรื่องนี้อาจจะเป็นเพียงแค่ข่าวโคมลอยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับคาโนวาลก็เป็นได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ สองสามปีมานี้เริ่มมีนักฆ่ากลุ่มใหม่ที่เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น นักฆ่ากลุ่มนี้ไม่ใช่มาจากซาเรส หากแต่เป็นประเทศเล็กๆ อย่างวิทช์ อัตราการลอบสังหารอยู่ในระดับแนวหน้า วิธีการสังหารนั้นแตกต่างไปจากนักฆ่าทั่วไปที่ใช้ความเร็วในการสังหาร แต่สำหรับนักฆ่าพวกนี้สิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือคือยาพิษ

               
    เพราะวิทช์เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตยาชั้นเลิศ วัตถุดิบมากมายสามารถหาได้ที่นั่น จึงไม่น่าแปลกใจว่านอกจากการวิจัยยาเพื่อส่งออกแล้วก็น่าจะมีการคิดค้นยาพิษขึ้นมาเช่นกัน พิษที่มาจากวิทช์นั้นมีตั้งแต่แค่ทำให้ชาไปจนถึงตายในเวลาไม่กี่วินาที

               
    และในจำนวนนักฆ่าเหล่านั้นก็มีนักฆ่าสาวคู่หนึ่งที่มีผลงานโดดเด่นจนเป็นที่กล่าวขวัญ

               
    ซีเวียแสยะยิ้ม

               
    "นี่...รู้สึกว่าร่างกายมันชาๆ รึเปล่า" ทาจัสเบิกตากว้างเมื่อพบว่าแขนและขาเริ่มขยับไม่ได้ เด็กสาวค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นช้าๆ แม้จะมีเสียงโอดโอยบ้างแต่ในที่สุดเธอก็สามารถยืนได้เต็มความสูง ซีเวียล้วงเอาห่อผ้าเล็กๆ ที่ผูกติดกับต้นขา หากเป็นเวลาปกติคงมีเสียงเป่าปากหรือคำแซวให้ได้ยิน ผงสีดำถูกป้ายตามบาดแผลช้าๆ ไม่รีบร้อน ขณะที่คนที่ยืนค้างนั้นเริ่มเหงื่อแตก

               
    "จริงๆ แล้วฉันถนัดจับตายมากกว่า แต่พอดีว่ามีคนขอร้องเอาไว้" ตาสีแดงเหลือบมองคนอวดดีแล้วเก็บห่อผ้าไว้ที่เดิม ก่อนก้าวมาหยุดยืนข้างๆ

               
    "รู้ไหมว่าผู้หญิงน่ะเขาไม่ชอบให้ผิวมีแผล เพราะฉะนั้น...แค่ไม่ตายและตอบคำถามได้ก็น่าจะพอใจสำหรับเจ้าชายน้ำแข็งนั่น" นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน แล้วความเจ็บปวดแสนสาหัสก็แล่นวาบเข้าสู่หัวใจ

    ------------------------------------------

               
    "ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย" เสียงกรีดร้องดังขึ้นก้องไปทั่วบริเวณ ซีเวียสะดุดกึกก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ปากแผลที่เพิ่งจะสมานกันเริ่มปริออกอีกรอบ มือที่กุมเริ่มอาบเป็นสีแดงอีกหน หากฝีเท้านั้นก็ยังเร่งขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากบางเม้มแน่นน่ากลัวแต่ไม่เท่ากับความคิดที่เริ่มกังวลไปไกล

               
    "ทำไม...ทำไมกัน" มือสองข้างกุมหัวอย่างพยายามระงับอารมณ์ทุกอย่างที่ปะทุขึ้นในความรู้สึก ตาสีเขียวคลอเต็มไปด้วยน้ำตาเมื่อภาพตรงหน้ามันบาดเป็นแผลลึกลงในหัวใจ ร่างสูงแสยะยิ้มก้าวเข้าไปหาร่างที่ถูกตรึงอยู่กับที่ ตาสีน้ำตาลพราวระยับราวกับยินดีกับกลิ่นเหล็กและสีแดงสดที่ไหลออกมาจากแผลตรงกลางหน้าอกของคนตรงหน้า ในมือคือคทาสีดำคนละแบบกับที่เคยเห็นก่อนหน้านี้

               
    "ยั่วโมโหคนอื่นเป็นนิสัยที่ไม่ดี" น้ำเสียงสดใสเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำแรก หากคนที่เขาพูดด้วยนั้นถูกช่วงชิงลมหายใจไปตั้งแต่ที่แท่งน้ำแข็งทะลุกลางตัวไปตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ทอออกมาจากตาสีเขียวนั่นจึงมีเพียงแค่ความว่างเปล่า เนอาร์ดึงคทาพิพากษาออกมาควงจนเลือดที่ติดอยู่สาดกระเซ็นไปทั่ว ร่างของมิวซ์ที่ไม่มีอะไรค้ำยันจึงร่วงลงกับพื้น เนอาร์เอื้อมไปหยิบเชือกข้อมือที่หล่นอยู่ขึ้นมา ตาสีน้ำตาลมองเชือกในมือแล้วจุ๊ปากโคลงหน้าไปมา

               
    "รู้ไหมว่าไอ้เชือกนี่มันผูกยากแค่ไหน ฉันถึงไม่เคยถอดมันเลยน่ะ ขืนท่านแม่รู้ว่าทำขาดมีหวังหูชาแหงๆ" ว่าแล้วก็จัดการเก็บมันเข้าไปไว้ในกระเป๋าเสื้อ ตวัดสายตาไปมองร่างบางที่นั่งทรุดอยู่กับพื้นห้องที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง แล้วเลยขึ้นมามองคนที่เพิ่งจะมาถึง ตาสีแดงปรากฏแววหวาดหวั่นปนไม่อยากเชื่อภาพที่เห็น สองขาที่ยืนหยัดต่อหน้าความตายเมื่อครู่เกิดสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ขนแขนพร้อมใจกันลุกตั้งชัน

               
    นี่คือคนที่เธอเคยคิดจะฆ่าอย่างนั้นเหรอ

               
    "อ้า!...จริงๆ แล้วต้องห้ามฆ่านี่นา" เนอาร์ขยี้หัวตัวเองแรงๆ ในหัวก็คิดหาทางออกว่าจะทำยังไงดี ซีเวียก้าวเข้าไปในห้องที่เย็นเฉียบช้าๆ แม้เธอจะเจอการฆ่าฟันที่โหดร้ายทารุณมามาก แต่ภาพของคนที่เคยช่วยชีวิตเธอไม่ให้ต้องไปลอยคอกลางทะเลถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นด้วยฝีมือของคนที่เขาเป็นคนช่วย สำคัญกว่านั้นคือการที่พยานรู้เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้คือน้องสาวแท้ๆ ของมิวซ์ เด็กสาวหันไปมองร่างบางที่ยังคงกุมศีรษะแน่น นัยน์ตาสีเขียวสดใสตอนนี้สะท้อนเพียงภาพพี่ชายตัวเองถูกฆ่าด้วยฝีมือของคนที่เธอรัก ริมฝีปากสั่นอย่างไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้

               
    มันเกินกว่าจะทนได้...เกินกว่าที่จะทนไหว

               
    เมื่อถึงที่สุดของความตึงเครียดทางอารมณ์ ทำนบน้ำตาก็พังครืนลงพร้กมับเสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดดูจะไม่มีผลกระทบต่อคนที่ยืนทำหน้าเครียดเพื่อหาทางออกให้ตัวเองอยู่กลางห้องเลย

               
    เพี๊ยะ!!

               
    ฝ่ามือบางฟาดลงไปบนหน้าขาวๆ ของเนอาร์อย่างแรงและเร็วจนเป็นรอยมือสีแดง ซีเวียสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสบกับตาสีน้ำตาลเย็นเยียบนั้น ยิ่งรอยยิ้มที่มุมปากอีกฝ่ายกระตุกขึ้นก็เริ่มรู้สึกว่าเลือดจับตัวเป็นน้ำแข็งขึ้นมา

               
    "เธอโกรธอะไรซีเวีย" เนอาร์ถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ

               
    "เธอโมโหอะไรซีเวีย" คนถูกถามยังคงนิ่งไม่ตอบ ตาสีแดงเต้นระริกไปด้วยอารมณ์มากมาย เนอาร์ยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง

               
    "ก็แค่ฆ่าคนที่ไม่มีมารยาท ไม่รู้จักเจียมตัวนี่ ฉันผิดด้วยเหรอ" เส้นผมสีเงินด้านหน้าขาดออกจากกันค่อยๆ ลอยทิ้งตัวลงสู่พื้นทันทีที่เขาพูดจบ ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คทาในมือถูกควงอย่างรวดเร็วแล้วฟาดเข้าที่ท้องเด็กสาวอวดดีจนร่างบางนั้นกระเด็นไปติดผนัง

               
    "ฉันไม่ใจดีเหมือนเนอินหรอกนะซีเวีย"

               
    "ฉันก็ไม่ได้ต้องการให้นายมาใจดีกับฉัน" เสียงใสแผ่วเบาดังลอดไรฟันให้รู้ว่าคนพูดกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เนอาร์หัวเราะเบาไม่ถือสากับคำพูดเธอ "ไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า ยิ่งคนที่เป็นนักฆ่าอย่างเธอก็น่าจะรู้จักความจริงข้อนี้ดีนี่นา"

               
    ...นักฆ่า...

               
    "แต่ฉันก็ไม่เลวถึงขนาดฆ่าคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ไหนนายเคยห่วงศักดิ์ศรีเจ้าชายมากนักนี่ คิดเหรอว่าทำอย่างนี้แล้วจะมีคนยอมรับ"

               
    ...เจ้าชาย...

               
    เนอาร์หัวเราะอีกครั้ง ส่ายหัวทำหน้าเหมือนเด็กสาวตรงหน้าเป็นเด็กน้อยที่ยังอ่อนต่อโลก

               
    "ถ้าหมอนั่นไม่ทำให้ฉันลงไปนอนเล่นในคุกโดยยัดเยียดข้อหากบฏให้ฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนี้หรอกนะ ที่สำคัญคือ...การที่มันมาแตะต้องสิ่งสำคัญของคนอื่น แค่สองข้อนี่ก็ทำให้ฉันฆ่าได้แล้ว" เสียบเรียบเอ่ยช้าๆ หากชัดและมั่นคง

               
    ...สิ่งสำคัญ...

               
    หากให้เปรียบนักฆ่าเหมือนยมทูตที่หยิบยื่นความตายให้โดยไม่รู้ตัว

               
    ตอนนี้คนตรงหน้าก็คงจะเป็นเทพแห่งการฆ่าที่ทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่คิดว่าสำคัญ

               
    "...ทำไม..." ตาสองคู่หันไปมองต้นเสียง คำพูดแห้งผากเค้นออกมาทีละคำอย่างยากลำบาก ราวกับมีอะไรจุกตันอยู่ในคอ เนอาร์ทิ้งน้ำหนักแขนลงกับคทาพิพากษาต่างไม้เท้า เงียบเพื่อที่จะฟังประโยคต่อไป

               
    "พี่น่ะช่วยนายไม่ให้ต้องตาย! แต่นายกลับ..." เสียงหวานแผดลั่น จากความเจ็บปวดปนความตกใจเริ่มเปลี่ยนเป็นโทสะ เนอาร์ถอนหายใจเฮือกทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ

               
    "ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องซะแล้วเหรอไมร่า ถ้าจะให้ขยายความ...ถ้ามิวซ์ไม่พยายามจะก่อสงครามเพื่อตัวเองแล้วล่ะก็ เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้ พวกเธอก็คงได้ใช้ชีวิตไปตามปกติ" ตาสีเขียวเป็นประกายวิบวับกับคำตอบที่ได้

               
    "ก่อสงครามเพื่อตัวเอง?" เธอถามเสียงสูงก่อนจะแค่นยิ้มจนเด็กสาวอีกคนที่นั่งจุกอยู่แปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงนั้น

               
    "สิ่งที่พี่ทำทุกอย่างก็เพื่อซูลู! ทุกอย่างที่พี่คิดก็มีแต่เพื่อซูลู! พี่ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวที่จะยอมทิ้งบ้านเกิดตัวเองเหมือนเจ้าชายพลัดถิ่นอย่างนาย!!" ประกายตาสีน้ำตาลคมตวัดมองคนพูดทันทีที่ประโยคสุดท้ายจบลง ร่างบางสะดุ้งเฮือก ร่างกายนิ่งเหมือนถูกจับตรึงไม่ให้ขยับ เหงื่อไหลแฉะไปทั้งมือที่กำแน่น แรงกดดันมหาศาลทำให้เธอหายใจไม่ออก

               
    "'เจ้าชายพลัดถิ่น' อย่างนั้นเหรอ" เนอาร์ขยับยิ้มพยักหน้ายอมรับคำกล่าวหา เรียกเอาสีหน้าพอใจจากไมร่าที่ยืนเกร็งให้รู้สึกว่าร่างกายสามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างเดิม แต่ประโยคต่อมากลับทำให้เธอหน้าชายิ่งกว่าถูกสาดด้วยน้ำเย็นในหน้าหนาว

               
    "ถึงอย่างนั้น เจ้าชายพลัดถิ่นอย่างฉันก็ไม่เคยคิดที่จะฆ่าคิงของตัวเอง"

    ------------------------------------------

               
    เสียงนกนางนวลดังห่างออกไปไม่มากนัก สายลมแรงที่พัดมาพอจะทำให้จิตใจที่หนักอึ้งเบาลงได้บ้าง เนอาร์จัดการเสยผมหน้าที่ปรกลงมา

               
    เพราะมันสั้นลงจึงทำให้มันน่ารำคาญขึ้นรึเปล่านะ

               
    เสื้อของเขายังคงเป็นผ้าป่านขาดๆ กระดำกระด่างตัวเดิม จะมีก็แค่รอยคล้ำสีเข้มดวงใหญ่เปื้อนติดมาด้วย เขาปฏิเสธเครื่องแต่งกายของพวกชนชั้นสูงของซูลูไปเมื่อเช้านี้ก่อนขึ้นเรือ ชายหนุ่มยิ้มเย็นให้กับตัวเอง

               
    เขากำลังคิดอะไรอยู่?

               
    ...ความสำนึกผิดงี่เง่าที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องแบกรับ...

               
    ร่างสูงยืดตัวเต็มความสูงก่อนจะทรุดนั่งลงตรงที่ดาดฟ้าเรือนั่นท่ามกลางความแปลกใจของลูกเรือ เพราะไม่ค่อยจะได้เห็นพวกลูกเจ้าขุนมูลนายออกมานั่งให้ลมพัดปัดหัวให้ยุ่งแบบนี้ เนอาร์หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อแสงแดดยามสายสะท้อนเข้าตาก่อนลดมือลงวางไว้ข้างตัว ตาสีน้ำตาลเหม่อออกไปยังน้ำทะเลสีครามเบื้องหน้า จมอยู่กับความคิดของตัวเองกับเหตุการณ์หลังจากที่เรื่องยุ่งๆ จบลง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาจากการฝึกฝนจนเคยชินเดินมาหยุดลงข้างตัว

               
    ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร จะมีกี่คนในเรือลำนี้ที่กล้าเดินเข้ามาหยุดข้างกายบุคคลที่กษัตริย์แห่งซูลูต้องออกมาส่งถึงท่าเรือโดยไม่ส่งเสียงตามมารยาท

               
    "ทำแบบนั้นดีแล้วเหรอ" ตาสีน้ำตาลเหลือบมองโครงหน้าหวานแล้วหันกลับไปมองทะเลไม่ตอบคำถาม

               
    บทสนทนาในรอบสามวัน

               
    ไม่แปลกที่ซีเวียจะไม่พูดกับเขา เพียงแต่ออกจะแปลกใจที่นักฆ่าอย่างหล่อนจะเกิดอารมณ์อ่อนไหวเมื่อเห็นคนถูกฆ่าขึ้นมากระทันหัน คนถามเองก็ดูจะชินกับอาการนิ่งเงียบแทนคำตอบของชายหนุ่ม

    ------------------------------------------

               
    เสียงแมลงดังระงมในยามนี้ให้ความรู้สึกปวดหูมากกว่าไพเราะ ซีเวียเดินฟึดฟัดไปมาอยู่ในห้องเป็นหนูติดจั่นมาร่วมชั่วโมงแล้ว และอาจจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้นเพื่อแจ้งเวลาอาหารค่ำ แต่เธอก็ปฏิเสธไปแทบจะทันที หลังจากที่มั่นใจว่าถึงจะเดินจงกลมรอบโซฟากลางห้องจนถึงเช้าก็ไม่ได้ช่วยให้แก้ปัญหาได้ เธอก็ตัดสินใจกระแทกตัวลงนั่งกับโซฟาตัวใหญ่แทน ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ไม่มีทางที่จะทำให้ไมร่าพ้นผิดในข้อหาพยายามฆ่า ทั้งๆ ที่แม้ว่าความจริงแล้วคนผิดในข้อหานั่นน่าจะเป็นไอ้เจ้าชายหน้านิ่งเป็นหินสลักมากกว่า


               
    "การกักบริเวณนี่ถือเป็นโทษที่เบาที่สุดแล้วสำหรับคนที่พยายามฆ่าอาคันตุกะต่างเมือง" แม่ทัพไบอัสชี้แจงเป็นรอบที่สามเมื่อนักฆ่าแห่งวิชท์ยังคงถามซ้ำเกี่ยวกับการลดผ่อนโทษ ตาสีแดงปรายไปมองเส้นทางที่เธอเคยใช้เดินผ่านอย่างหนักใจ ตอนนี้ปรากฏทหารยามยืนรักษาการอยู่ตรงทางแยก และเชื่อว่าคงต้องมีทหารคนอื่นประจำอยู่ไปตลอดเส้นทางจนถึงบ้านหลังเล็กนั่นในอีกสองวันข้างหน้า ข้างกายคือชายหนุ่มที่ยืนฟังเงียบๆ เธอไม่ได้คุยอะไรกับเขาอีกเลยนับตั้งแต่สองวันก่อน

               
    "แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่เห็นต้องระแวงขนาดนี้" ซีเวียพูดยืนยันความคิดตัวเอง หากคนฟังกลับส่ายหน้าช้า "แม้ว่าไมร่าจะเป็นเด็กสาวที่ดูอ่อนต่อโลก แต่ท่านมิวซ์ก็ได้สอนอะไรหลายอย่างให้กับหล่อน รวมไปถึงเรื่องเวทย์ด้วย เห็นได้จากเหตุการณ์เมื่อคืนวานที่ผ่านมา"

               
    เนอาร์มองสีหน้าลำบากใจของคนที่ก้มหน้านอบน้อมอยู่นิ่ง ทันทีที่เขาพูดจบ ฟางเส้นสุดท้ายของไมร่าก็ขาดผึงลง ร่างเล็กเจ็บแค้นจนถึงจุดที่ต้องระเบิดออกมา เวทย์ลมอันคมกริบก็สาดเข้าใส่ ยังทีที่เรียกไอซ์วอทัน ไม่เช่นนั้นคงต้องรวบรวมเศษเนื้อเขาส่งกลับคาโนวาลแทน และยังเป็นเรื่องที่ชั้นที่สองที่กำลังเสริมมาช่วยห้ามทัพไว้ได้ทันท่วงทีก่อนที่เขาจะจัดการผ่าหล่อนเป็นส่วนๆ

               
    ตาสีแดงเหลือบมองเจ้าชายน้ำแข็งอย่างเย็นชาแล้วหันมาพูดกับแม่ทัพใหญ่ต่อ "แล้วเรื่องอาหารการกินล่ะ ถ้าโดนกักบริเวณแบบนี้จะทำยังไง" ไบอัสขยับยิ้มด้วยเข้าใจดีถึงความหวังดีจากเด็กสาว

               
    "ไม่ต้องเป็นห่วงเราจะส่งเสบียงให้ทุกๆ อาทิตย์ ส่วนเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยทหารที่เฝ้าจะเป็นคนไปตามหมอให้เอง" ซีเวียหน้าเสียไปเล็กน้อย จริงอยู่ว่ามันดูจะเป็นคำถามโง่ๆ แต่ถ้าหากมันเกิดจะทำให้ไมร่าหลุดพ้นจากบ้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของเธอกับพี่ชายและการกักบริเวณไปได้ ต่อให้มีโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่นเธอก็จะทำ

               
    อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนบุญคุณ...ที่ใครบางคนไม่คิดจะทำ


               
    ซีเวียสบถพรืดออกมา พวกคาโนวาลทุกคนเป็นแบบนี้กันหมดเลยรึเปล่านะ ยิ่งนึกก็ยิ่งฉุนเมื่อนึกถึงตอนที่คำตัดสินโทษถูกป่าวประกาศออกมา นอกจากจะไม่แย้งอะไรแล้ว ยังไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ ผมสีแดงยาวสะบัดตามแรงส่ายศีรษะของเด็กสาว

               
    หมอนั่นมันก็เย็นชามาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอไง

               
    ตาสีแดงวาววับอย่างตัดสินใจ ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่ได้ เจรจาแล้วก็ยังไม่ยกเลิกการกักบริเวณอีก ก็เห็นจะมีอยู่ทางเดียว


               
    มียามเฝ้าอยู่สองคน

               
    ตากลมโตมองลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้เงียบกริบ หลังยามนั้นคือประตูเหล็กสีดำสนิทที่กั้นระหว่างคำว่า "คุก" กับ "อิสระภาพ" แม้จะเป็นเพียงประตูบานเล็กๆ แต่มันก็หนักอึ้งเกินกว่าจะเดินฝ่าออกมา ซีเวียผ่อนลมหายใจเบาๆ เพื่อรวบรวมสติและแผนการณ์ที่ตนคิดมาตลอดทาง การเฝ้ายามดูน้อยกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อการลงมือทำตามแผน เธอล้วงเอาห่อผ้าเล็กขึ้นมาแกะ ภายในคือผงยาสลบชนิดที่ได้สูดดมเพียงนิดเดียวก็ล้มทั้งยืน ถ้ามีไอ้นี่การจะช่วยไมร่าก็จะเป็นเรื่องง่าย หากไม่ทันที่เธอจะได้ลงมือ สายตาก็ไปกระทบกับแขกคนใหม่

               
    หมอนั่นมาทำอะไรที่นี่?

               
    ร่างสูงนั้นยืนเจรจากับยามอยู่พักหนึ่งจึงผ่านเข้าประตูเหล็กนั่นไปได้ คิ้วเรียวขมวดกันมุ่นไม่เข้าใจ หมอนั่นต้องการอะไรกันแน่? ในช่วงสืบสวนไม่พูดแก้ต่างอะไรให้ไมร่าซักคำ แต่ดันมาหาเจ้าตัวก่อนวันที่จะต้องถูกนำตัวไปกักบริเวณ เธอรออีกซักพักแล้วผงสีขาวก็ถูกโปรยลงให้ลอยไปตามลม เมื่อยามทั้งสองสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนเพียงครู่ก็ล้มตึงลงไปนอนกับพื้นทันที ซีเวียโหนตัวลงจากต้นไม้แล้วค่อยๆ แทรกตัวผ่านเข้าประตูเหล็กไปด้วยความรวดเร็วและเงียบกริบ

               
    ภายในคุกหินส่องสว่างด้วยคบไฟบนผนังที่เรียงยาวไปจนถึงด้านใน นอกจากยามด้านหน้าแล้วก็ไม่เจอใครอีก ท่าทางจะมั่นใจว่าไม่มีทางที่ใครจะหลุดรอดจากคุกแห่งนี้ไปได้ หรือถ้าหนีไปได้ก็ไม่มีทางที่จะออกจากซูลู ซีเวียขยับยิ้มพอจะเข้าใจคำพูดของมิวซ์ขึ้นมาเล็กน้อย ดูท่าทางคิงของซูลูจะอ่อนต่อโลกไปซักหน่อยรึเปล่านะ ฝีเท้าที่จรดแผ่วเบาลงบนแผ่นหินชะงักเมื่อหูสดับเสียงพูดคุยดังมาจากแยกทางขวามือเธอ

               
    เมื่อเดินเข้าไปใกล้บทสนทนาก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ขณะที่ระยะห่างของคบเพลิงนั้นกลับมากขึ้น จนเธอไม่สามารถเดินเข้าไปใกล้มากกว่านี้ เพราะฝ่ายที่อยู่ด้านในจะสังเกตเห็นทันทีที่เท้าเธอเหยียบย่างเข้าสู่แสงสว่างจุดต่อไป

               
    "...จะมาแก้ตัวอะไรฉันก็ไม่คิดจะยกโทษให้หรอกนะ" น้ำเสียงแหบแห้งจากการร้องไห้และตะโกนอย่างหนัก ตาสีน้ำตาลเรียบมองคนพูด ผิวขาวเต็มไปด้วยฝุ่นและเหงื่อไคล เสื้อผ้ายังคงเป็นเสื้อตัวเก่าหากกลับมีรอยฉีกขาด นั่นคงเป็นฝีมือของเจ้าตัว สังเกตได้จากนิ้วมือเป็นสีม่วงบ้างแดงบ้าง ผมสีทองที่เคยเรียบเป็นมันจากการดูแลตอนนี้กระเซิงยุ่งเหยิง

               
    จากเด็กสาวอนาคตไกล เหลือเพียงนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ไม่มีทางได้รับการอภัยโทษ

               
    "ฉันไม่ได้คิดจะมาแก้ตัว" เนอาร์ตอบเสียงเรียบ ตาสีเขียวตวัดมองคนพูดแข็งกร้าว รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานนั้น

               
    "อ้อ...แสดงนายตั้งใจมาดูสารรูปนักโทษที่ได้รับความปราณีไม่ต้องรับโทษ แต่ต้องแบกคำตราหน้าว่ามีพี่ชายเป็นกบฏไปตลอดชีวิตงั้นสินะ" คำค่อนขอดเสียดแทงเข้ากลางใจคนฟัง แต่ก็ยังคงตีหน้านิ่งเอาไว้

               
    "ทำไมถึงไม่ปฏิเสธข้อหา" ไมร่าหัวเราะลุกขึ้นเดินมาเกาะลูกกรงเหล็กซี่ใหญ่เพื่อเผชิญหน้ากับเนอาร์

               
    "คนอย่างนายจะมาเข้าใจอะไร นอกจากคอยปั่นหัวคนอื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดน่ะ" หล่อนยิ้มอีกครั้งก่อนเอ่ยต่อ "และต่อให้ฉันต้องโทษประหาร ฉันก็ไม่มีทางทรยศพี่ชายตัวเองที่เลี้ยงดูฉันมาเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตต่อไป"

               
    "แม้ว่าสิ่งที่มิวซ์ทำนั่นจะเป็นการละเลงเลือดลงบนแผ่นดินซูลูอย่างนั้นเหรอ" ไมร่ากระแทกตัวเข้ากับกรงอย่างแรงจนเสียงดังก้องไปทั่วคุกใต้ดิน

               
    "คนอย่างแกไม่มีสิทธิ์เรียกชื่อพี่" น้ำเสียงเหี้ยมลอดไรฟันจนน่าขนลุก หล่อนผละตัวเองกลับไปนั่งบนเตียงขาดๆ ต่อ

               
    "เราสองคนถูกทิ้งให้อยู่กับบ้านเพราะสงครามเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พี่ทำทุกวิถีทางที่จะเลี้ยงฉันในรอดในภาวะขาดแคลนอาหารนั่น พี่ต้องอดเพื่อที่จะให้ฉันได้อิ่ม ต้องทนหนาวเพื่อให้ฉันอุ่น ยอมถูกเหยียบย่ำเพื่อให้ฉันได้สบาย แล้วจะให้ฉันปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยให้พี่ต้องตายอย่างเดียวดายอย่างนั้นเหรอ" ประโยคสุดท้ายหันมาถามร่างสูงที่ยืนฟังเงียบๆ ไมร่าขำคิกคักขึ้นมา "แต่ก็นะ พี่น่ะไม่มีดวงเรื่องอุปถัมป์คนอื่นจริงๆ นั่นล่ะ"

               
    เธอหยุดถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเอ่ย

               
    "ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ มันไม่ง่ายเหมือนอย่างที่นายคิดหรอกนะ คุณเจ้าชาย" เนอาร์ไม่ตอบอะไรเพราะรู้ดีถึงความจริงที่ท่านแม่มักพร่ำบอก

               
    "เพื่อให้ซูลูเปลี่ยนแปลง เพื่อป้องกันซูลูจากบารามอส จึงจำเป็นต้องอำนาจมาไว้ในมือ"

               
    "การปกป้องบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ" เสียงทุ้มท้วงขึ้นมาเรียบๆ ตาสีเขียวมองคนพูดแล้วหัวเราะดังลั่น ราวกับได้ฟังเรื่องตลกขบขัน "ช่างเป็นเจ้าชายที่จิตใจดีเหลือเกินนะ แล้วไอ้ความเด็ดขาด โหดเหี้ยมเมื่อคืนก่อนหายไปไหนเสียแล้วล่ะ 'การปกป้องบางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจ' อย่างนั้นเหรอ งั้นนายลองบอกมาสิอะไรที่จะทำให้บารามอสหยุดรุกรานซูลู" เนอาร์ส่ายหน้าช้าๆ

               
    "บารามอสไม่เคยคิดรุกรานซูลู" รอยยิ้มหายวับไปทันที สีหน้าแข็งกร้าวถูกตีขึ้นมาเมื่อได้ยินคำตอบ "สิ่งที่บารามอสทำก็แค่น้ำใจจากประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถให้ได้ในยามที่อีกฝ่ายลำบาก"

               
    "จอมปลอม!!" ไมร่าตวาดลั่น มือกำแน่นด้วยโทสะที่พลุ่งพล่านไปทั่วกาย ก่อนเอ่ยเสียงเย็น "ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ลงทุนแล้วไม่หวังผลตอบแทน"

               
    "ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่มิวซ์ทำให้เธอ ณ ที่นี่ ตอนนี้คือสิ่งที่พี่เธอหวังไว้สินะ"

               
    "เนอาร์!!!"

               
    กึง!!!

               
    กรงขังถูกกระแทกอย่างแรง เพราะภายในห้องเต็มไปด้วยภาษาโบราณที่เป็นการปิดกั้นการใช้เวทย์ ทำให้ไมร่าไม่สามารถสร้างเวทย์ลมเฉือนคนตรงหน้าให้สาแก่ใจได้

               
    "มีคนรู้จักเคยพูดเอาไว้ว่า คนสร้างอำนาจ อำนาจสร้างคน คนเปลี่ยนอำนาจ อำนาจเปลี่ยนคน สิ่งที่พี่ชายเธอทำไม่ใช่การทำเพื่อซูลู แต่เพราะหลงใหลในอำนาจที่เขาสร้างขึ้น นั่นไม่ใช่พี่ชายที่ทำทุกอย่างเพื่อน้อง แต่เป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้อำนาจมาไว้ในมือ" เนอาร์ยังคงพูดต่อไปไม่สนใจกับตาสีเขียวที่พร้อมจะขย้ำเขาได้ทุกเมื่อหากกรงขังตรงหน้าถูกทำลายลง

               
    "คนอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร คนอย่างนาย..." ไมร่าคำรามเสียงต่ำ หากเนอาร์กลับไม่รู้สึกอะไรนอกจากความสงสาร

               
    การถูกหักหลังคือเรื่องเจ็บปวดที่แม้แต่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่อาจยอมรับได้

               
    แล้วนับประสาอะไรกับเด็กสาวที่ถูกพี่ชายหักหลัง

               
    หากชายหนุ่มกลับไม่รู้เลยว่า การถูกคนที่รักหักหลังนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่า

               
    ตาสีน้ำตาลคมสบตาสีเขียวทอประกายด้วยความโกรธแค้นภายในอก เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของไมร่ากับการต้องสูญเสียพี่ชายที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวไป แต่ถ้าปล่อยไว้มิวซ์ก็ต้องนำชีวิตของคนบริสุทธิ์เข้าสู่สงครามล่าอำนาจ นัยน์ตาคมหลับตาลงอย่างชั่งใจกับการตัดสินใจของตัวเอง

               
    "ถ้าแค้นฉันนัก...ก็ฆ่าฉันซะไมร่า ถ้าทำได้น่ะนะ" น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยอำนาจประกาศออกมาอย่างไม่ลังเล ไมร่าชะงักเลิกคิ้วสูงแล้วก็ต้องอึ้งกับแววตาคมปลาบของอีกฝ่าย

               
    แววตาของเหยี่ยวที่จับจ้องอยู่ที่เหยื่อตัวเล็กๆ

               
    หากไมร่ากลับรู้สึกเหมือนตนจะไม่ใช่แค่เหยื่อที่ถูกจับตามอง แต่ถูกกรงเล็กแกร่งและแหลมคมนั้นโอบรัดตัวเอง ...ไม่มีแรงบีบแต่ก็อึดอัดเสียจนเหงื่อไหลซึมตามไปทั่วตัว ฝ่ามือเหนียวเหนอะด้วยแรงกดดันและไอเย็นที่พุ่งออกมา 

               
    "กลัว...กลัวแต่จะหดหัวหลุบหางหนีกระเซอะกระเซิงมากกว่าน่ะสิ" แม้ว่าความกลัวจะเข้าครอบงำร่างกาย แต่จิตใจยังคงแกร่งจนคนฟังต้องขยับยิ้มเย็นเยาะเย้ยเรียกคทาสีแดงมาไว้ในมือขวา ส่วนมือซ้ายก็มีดาบใหญ่ ชายหนุ่มยื่นหัวคทาเข้าไปในคุก ส่วนดาบนั้นก็จ่อคอเด็กสาวเผื่ออีกฝ่ายจะคิดอะไรแผลงๆ ตาสีเขียวมองการกระทำตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เพียงครู่กลุ่มหิมะเล็กๆ ก็ก่อตัวขึ้นเหนือคทาก่อนที่มันจะค่อยๆ ขยายไปทั่วห้องขังเป็นสัญญาณว่าอักขระเวทย์โบราณตามผนังนั่นไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาแม้แต่นิดเดียว เนอาร์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นไมร่าเบิกตาโต แล้วถอนทั้งคทาและดาบออกมา 

               
    "แค่กรงขังแค่นี้ยังไม่มีปัญญาจะพังออกมายังปากกล้าอีกนะ" ความกลัวถูกสลัดทิ้งแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคดูแคลน

               
    "คนของคาโนวาลไม่เคยหนี จะมีก็แค่คนไร้ความสามารถที่แก้แค้นให้คนสำคัญของตัวเองไม่ได้เท่านั้น" ขาดคำแรงกดดันมหาศาลก็ปะทุขึ้นภายในห้องขังหลังลูกกรงนั่น หากไม่มีอักขระเวทย์โบราณเขียนกำกับไว้ คุกแห่งนี้ก็คงถล่มลงมาในเวลาอันรวดเร็ว เนอาร์มองคนตรงหน้านิ่งไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความกลัว ไม่มีสีหน้าใดๆ ปรากฏขึ้นมา


               
    "แล้วแกจะเสียใจที่ไว้ชีวิตฉัน เนอาร์"


    *********************************TBC.....

    Talk > เมื่อสองวันก่อนว่าจะอัพ......เวบปิดปรับปรุง = =" แล้วไอ้ที่จัดหน้ามาก็สูญหมด เลยเสียเวลาทำใจไปสองวัน T^T

    แต่งตอนนี้แอบเครียด เพราะเนอาร์มันพูดน้อย จะให้มันพูดทีนี่คิดหนัก เฮ้อ.....

    เจอกันตอนหน้าค่า >///</

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×