ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 Help me please!!
ตอนที่ 4 "Help me please!!"
"อะไรน้าาาาาา !?! นี่แกตอบไปโดยที่ไม่ได้มองหน้าเค้าด้วยซ้ำน่ะเหรอ !?!"
ยัยพอตตี้แหกปากโวยวายด้วยพลังเสียงเซอราวด์ดังกระหึ่มสนั่นร้านคอฟฟี่ชอพแถวสถานีคังนัมที่เรานัดเจอกันก่อนไปพบอาจารย์คิมยองแอพร้อมกัน จนทุกคนในร้านหันมองโต๊ะเราเป็นตาเดียว อาจเป็นเพราะเราคุยกันเป็นภาษไทยด้วย จึงยิ่งดึงดูดความสนใจใหญ่
ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปากยัยพอตตี้เป็นเชิงปรามไม่ให้เสียงดังพลางพยักหน้าหงึกหงักก่อนสาธยายต่อไป
"สุดท้ายฉันก็หลงขึ้นรถไฟผิดสายจนได้ เลยต้องถามเจ้าหน้าที่ที่สถานีเอา รู้อย่างนี้ถามแต่แรกซะก็ดี ทุลักทุเลกว่าจะมาถึง แล้วอาจารย์ก็โทรมาบอกว่าติดประชุมขอเลื่อนนัดไปอีก 3 วัน ตอนที่ฉันออกจากสถานีคังนัมโดยสวัสดิภาพแล้ว ทำไมอาจารย์ไม่โทรบอกตั้งแต่ตอนที่ฉันเอ๋ออยู่ที่ซาดังนะ จะได้ไม่ต้องดันทุรังคลำทางมาแบบนี้..."
ฉันบ่นยาวโดยไม่มีเว้นวรรคไว้หายใจ บางทีก็แอบนึกว่า ช่วงที่ฉันเก็บกดนี่ ถ้าไปร้องเพลงแรพคงลื่นไหลดีไม่มีสะดุดแน่ เพราะฉัน.. หายใจทางผิวหนังได้เหมือนนักร้องพวกนั้นนั่นแหละค่ะ
"ไหนๆ.. แกลองเล่ามาให้ละเอียดสิ"
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเหม่อมองออกไปทางประตูกระจกด้านข้างที่ชั้นสองของร้าน ถนนเลนยาว ร้านค้าเรียงราย ผู้คนเดินขวักไขว่ ไม่มีใครสนใจใคร... ภาพความวุ่นวายนั้นถูกภาพซ้อนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงก่อนทับแทนที่...
**************************
"May I help you ?!"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
คำพูดมักไวกว่าความคิดเสมอ ฉันหลุดปากตอบออกไปเป็นภาษเกาหลีโดยอัตโนมัติ ทั้งที่ไม่ทันมองหน้าคนพูดด้วยซ้ำ เวลานี้.. สมาธิของฉันจดจ่ออยู่ที่การพยายามนึกถึงคำพูดของชองฮุนเท่านั้น เพียงเสี้ยววินาที สมองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ กระบวนการแปลภาษาจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง..
"May I help you ?" แปลว่า "ให้ช่วยมั๊ย" นี่นา
"ให้ช่วยสิ!!"
ฉันรีบเงยหน้าขึ้นมองแหล่งกำเนิดเสียงทันที สายตาพลันปะทะเข้ากับ ดวงตาชั้นครึ่งสีน้ำตาลอ่อนภายใต้คิ้วเข้มเรียวยาวจนสุดปลายตา จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางแดงระเรื่อ สรีระรูปหน้าของเขาสะกดสายตาฉันให้จับจ้องโดยไม่อาจกระพริบตาได้ ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกค่ะว่าอาการตะลึงงันนี่ มันเป็นเพราะความหล่อของเขา รึเพราะฉันรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อนกันแน่
ฉันละสายตาขึ้นมองเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ไถด้านข้างจนเรียบคงเหลือไว้เพียงแค่ช่วงกลางศีรษะซึ่งไม่ยาวเท่าไหร่นักและถูกเซตให้ชี้ตั้งด้วยเยลใส่ผม (แหม.. ทรงผมมีแนว ได้ใจจริงๆนะเพ่) สีผิวออกแทนขัดกับสไตล์หน้าตาของเขา และรูปร่างสูงโปร่งนั่น ทำให้ฉันที่ว่าสูงแล้วยังสูงได้แค่ปลายคางของเขาเท่านั้น โอ้... อากาศข้างบนคงสดชื่นน่าดู -*-
"Oops! Sorry!"
เขาเอ่ยขึ้นอย่างเสียหน้าทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ก่อนเดินหันหลังจากไป ทิ้งฉัน... ผู้ที่ยังสับสนในชีวิตตัวเองไว้แบบนั้นเพียงลำพัง
อ๊ายยยย.. นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย!! ฉันตอบว่าไม่เป็นไรทำม๊ายยย.. ฉันต้องการความช่วยเหลือนี่น้า..
"Ah! Yes,help me please!! please!!"
ไม่ทันเสียแล้ว เขาเดินห่างไปไกลเกินกว่าจะได้ยินเสียงวิงวอนเล็กๆของฉัน
โอ้.. ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ภาษาอังกฤษที่มีอยู่น้อยนิดในสมองกลับช่วยฉันทำมาหากินน่าดู ขอบใจมากนะ T^T
"See ya later"
ยังไม่เลิกค่ะ.. นี่ฉันจะดัดจริตโชว์พลังสำเนียงดีทำไมเนี่ย ยังไงเขาก็ไปไกลเกินกว่าจะได้ยินและคงไม่อยากพบเจอคนอย่างฉันอีกเป็นครั้งที่สองแน่
"รู้สึกคุ้นหน้าจังแฮะ เคยเจอที่ไหนน้า แต่ฉันก็คุ้นหน้าค่าตาพวกหนุ่มหล่อๆอยู่เป็นนิจอยู่แล้วนี่นา ไม่.. ไม่.. นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ ฉันคาใจจริงๆ ทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าเขาจังเลย เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึปล่าวนะ "
ฉันพูดเองเออเองคนเดียวเสร็จสรรพ ขณะที่คิ้วโก่งดั่งวงพระจันทร์ของฉันขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกันเพราะความสงสัยคาหัวใจในเรื่องนั้นนั่นเอง
"คนชาติไหนเนี่ย หน้าตาออกไปแนวฝรั่งหน้าตี๋ พูดภาษาอังกฤษชัดเปรี๊ยะขนาดนั้น ลูกครึ่งรึปล่าวนะ.. ช่างเขาเถอะ ว่าแต่เราจะเอายังไงต่อดี ปากเจ้ากรรม.. แกรับผิดชอบเลย"
ฉันสบถใส่ตัวเองราวกับทำเรื่องผิดพลาดมหันต์ ก็น่าอยู่หรอกค่ะ ฉันพลาดรับความช่วยเหลือสำคัญจากหนุ่มหล่อขนาดนั้นเพราะปากเจ้ากรรมดันพูดไม่คิดนี่นา เสียดายชะมัด เฮ้อ.. คลำทางไปละกัน
ว่าแล้วก็สาวเท้าก้าวไปข้างหน้า จุดหมายยังคงเป็น "คังนัม" ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าต้องขึ้นไปเปลี่ยนรถไฟที่ฝั่งไหน....
*******************************
"ฮ่าๆๆๆ ยัยฟินเอ๊ย.. ฉันจะสงสารหรือสมน้ำหน้าแกดีเนี่ย แกนะแก... เป็นฉันหน่อยไม่ได้ ป่านนี้ได้ชื่อพร้อมเบอร์อีเมลล์มาแล้ว เสียของมั๊ยเนี่ยแก.."
"=_=^ อย่างน้อยแกก็น่าจะห่วงฉันบ้างนะพอตตี้ "
ฉันแอบน้อยใจเพื่อนสาวที่เอาแต่ห่วงผู้ชายไม่ห่วงฉันเลยสักนิด
"แล้วยังไงต่อล่ะ"
"ก็หลงน่ะสิ สาย 2 ที่ไปคังนัมมันเป็นรถไฟวันเวย์ ฉันขึ้นผิดฝั่งหลงจนได้ พอลงมาเลยถามเจ้าหน้าที่ที่สถานีเอา นึกว่าจะมาไม่ถึงแล้วเนี่ย"
"ทีหลัง เวลาชองฮุนบอกแกก็จดไว้สิ แต่ก็นะ... แกอยู่มาเป็นเดือนแล้ว ยังขึ้นผิดอยู่อีกเหรอ"
"พนันได้ว่า อยู่เป็นปีก็คงขึ้นผิดอยู่ดี ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะว่า ทำไมฉันถึงเป็นคนแบบนี้"
"แต่ฉันขำแกอ่ะ ฟัง-พูดอังกฤษได้ซะด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า"
"นั่นสิ ทำได้ยังไงวะเนี่ย ฉันก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกัน สงสัยธาตุความกลัวรถไฟเข้าแทรกมั้ง"
"... ไม่ใช่หนังจีน... "
จบประโยคพวกเราหันมองหน้ากันด้วยสายตาสื่อความหมายว่า "มุกฝืดสุดๆ" ก่อนระเบิดหัวเราะออกมา ยัยพอตนะยัยพอต แกจะรับมุขฉันทำไมเนี่ย
"ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าพูดไปได้ยังไง แต่ฉันก็คงพูดได้แค่นั้นแหละ บางที.. ถึงเขาช่วยบอกทางมา ฉันก็คงฟังไม่ออกอยู่ดี มีค่าเท่ากันแหละ"
"แต่ฉันว่าเขาพูดเกาหลีได้นะ ไม่งั้นจะฟังออกได้ยังไงว่าแกพูดอะไร"
"เออ.. นั่นสิ คงเป็นลูกครึ่งมั้ง"
"กรี๊ดๆๆๆ สเปคเลยค่ะ พันธุ์ผสมแบบนี้"
"แล้วชองฮุนล่ะ แกเอาไปเก็บไว้ที่ไหน"
"ฮาเล็มหัวใจฉันมีที่ว่างเหลือเฟือ ไม่ต้องแย่งกัน.. ได้ทุกคน "
ภาพยัยพอตตี้นั่งอยู่ในห้องหนึ่งซึ่งตกแต่งเป็นสไตล์อินเดีย มีมู่ลี่สีทองบางๆสะบัดพริ้วไหวไปมา สายลมวูบหนึ่งพัดมูลี่ให้ปลิวออก เผยให้เห็นภาพของชายหนุ่มร่างกายกำยำหลายชีวิตเปลือยท่อนบนเต้นระบำอยู่รอบข้างยัยพอตตี้ บ้างก็กำลังรินเหล้า บ้างก็นั่งคลอเคลียอย่างมีความสุข...
=_=^ ไร้สาระน่า.. ฉันเห็นภาพหลอนแบบนี้ได้ยังไง อี๋.. น่ากลัวชะมัด
" เออนี่แก... ฉันฝันว่านั่งเผชิญหน้ากับงูมา 3 วันติดแล้ว ฝันเห็น... "
*********************************
คุยกันหลังไมล์
ตอนนี้ จบแบบค้างๆคาๆนะคะ ที่จริง มันยาวมาก ตัดแบ่งมา ก็เลยจบแบบห้วนๆไปนิด ต้องขออภัยไว้ณ ที่นี้ด้วย
และขอกราบสวัสดี คุณผู้อ่านที่ติดตามอ่านกัน ขอบคุณเพื่อนใหม่ทุกๆท่าน กำลังใจจากทุกคอมเม้นต์ทำให้ข้าพเจ้ามีพลังเต็มเปี่ยม พร้อมจะเขียนงานสนุกๆต่อไป ขอบพระคุณสุดหัวใจเลยค่ะ
"อะไรน้าาาาาา !?! นี่แกตอบไปโดยที่ไม่ได้มองหน้าเค้าด้วยซ้ำน่ะเหรอ !?!"
ยัยพอตตี้แหกปากโวยวายด้วยพลังเสียงเซอราวด์ดังกระหึ่มสนั่นร้านคอฟฟี่ชอพแถวสถานีคังนัมที่เรานัดเจอกันก่อนไปพบอาจารย์คิมยองแอพร้อมกัน จนทุกคนในร้านหันมองโต๊ะเราเป็นตาเดียว อาจเป็นเพราะเราคุยกันเป็นภาษไทยด้วย จึงยิ่งดึงดูดความสนใจใหญ่
ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปากยัยพอตตี้เป็นเชิงปรามไม่ให้เสียงดังพลางพยักหน้าหงึกหงักก่อนสาธยายต่อไป
"สุดท้ายฉันก็หลงขึ้นรถไฟผิดสายจนได้ เลยต้องถามเจ้าหน้าที่ที่สถานีเอา รู้อย่างนี้ถามแต่แรกซะก็ดี ทุลักทุเลกว่าจะมาถึง แล้วอาจารย์ก็โทรมาบอกว่าติดประชุมขอเลื่อนนัดไปอีก 3 วัน ตอนที่ฉันออกจากสถานีคังนัมโดยสวัสดิภาพแล้ว ทำไมอาจารย์ไม่โทรบอกตั้งแต่ตอนที่ฉันเอ๋ออยู่ที่ซาดังนะ จะได้ไม่ต้องดันทุรังคลำทางมาแบบนี้..."
ฉันบ่นยาวโดยไม่มีเว้นวรรคไว้หายใจ บางทีก็แอบนึกว่า ช่วงที่ฉันเก็บกดนี่ ถ้าไปร้องเพลงแรพคงลื่นไหลดีไม่มีสะดุดแน่ เพราะฉัน.. หายใจทางผิวหนังได้เหมือนนักร้องพวกนั้นนั่นแหละค่ะ
"ไหนๆ.. แกลองเล่ามาให้ละเอียดสิ"
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเหม่อมองออกไปทางประตูกระจกด้านข้างที่ชั้นสองของร้าน ถนนเลนยาว ร้านค้าเรียงราย ผู้คนเดินขวักไขว่ ไม่มีใครสนใจใคร... ภาพความวุ่นวายนั้นถูกภาพซ้อนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองชั่วโมงก่อนทับแทนที่...
**************************
"May I help you ?!"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
คำพูดมักไวกว่าความคิดเสมอ ฉันหลุดปากตอบออกไปเป็นภาษเกาหลีโดยอัตโนมัติ ทั้งที่ไม่ทันมองหน้าคนพูดด้วยซ้ำ เวลานี้.. สมาธิของฉันจดจ่ออยู่ที่การพยายามนึกถึงคำพูดของชองฮุนเท่านั้น เพียงเสี้ยววินาที สมองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ กระบวนการแปลภาษาจึงเริ่มทำงานอีกครั้ง..
"May I help you ?" แปลว่า "ให้ช่วยมั๊ย" นี่นา
"ให้ช่วยสิ!!"
ฉันรีบเงยหน้าขึ้นมองแหล่งกำเนิดเสียงทันที สายตาพลันปะทะเข้ากับ ดวงตาชั้นครึ่งสีน้ำตาลอ่อนภายใต้คิ้วเข้มเรียวยาวจนสุดปลายตา จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางแดงระเรื่อ สรีระรูปหน้าของเขาสะกดสายตาฉันให้จับจ้องโดยไม่อาจกระพริบตาได้ ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักหรอกค่ะว่าอาการตะลึงงันนี่ มันเป็นเพราะความหล่อของเขา รึเพราะฉันรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อนกันแน่
ฉันละสายตาขึ้นมองเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ไถด้านข้างจนเรียบคงเหลือไว้เพียงแค่ช่วงกลางศีรษะซึ่งไม่ยาวเท่าไหร่นักและถูกเซตให้ชี้ตั้งด้วยเยลใส่ผม (แหม.. ทรงผมมีแนว ได้ใจจริงๆนะเพ่) สีผิวออกแทนขัดกับสไตล์หน้าตาของเขา และรูปร่างสูงโปร่งนั่น ทำให้ฉันที่ว่าสูงแล้วยังสูงได้แค่ปลายคางของเขาเท่านั้น โอ้... อากาศข้างบนคงสดชื่นน่าดู -*-
"Oops! Sorry!"
เขาเอ่ยขึ้นอย่างเสียหน้าทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ก่อนเดินหันหลังจากไป ทิ้งฉัน... ผู้ที่ยังสับสนในชีวิตตัวเองไว้แบบนั้นเพียงลำพัง
อ๊ายยยย.. นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย!! ฉันตอบว่าไม่เป็นไรทำม๊ายยย.. ฉันต้องการความช่วยเหลือนี่น้า..
"Ah! Yes,help me please!! please!!"
ไม่ทันเสียแล้ว เขาเดินห่างไปไกลเกินกว่าจะได้ยินเสียงวิงวอนเล็กๆของฉัน
โอ้.. ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ภาษาอังกฤษที่มีอยู่น้อยนิดในสมองกลับช่วยฉันทำมาหากินน่าดู ขอบใจมากนะ T^T
"See ya later"
ยังไม่เลิกค่ะ.. นี่ฉันจะดัดจริตโชว์พลังสำเนียงดีทำไมเนี่ย ยังไงเขาก็ไปไกลเกินกว่าจะได้ยินและคงไม่อยากพบเจอคนอย่างฉันอีกเป็นครั้งที่สองแน่
"รู้สึกคุ้นหน้าจังแฮะ เคยเจอที่ไหนน้า แต่ฉันก็คุ้นหน้าค่าตาพวกหนุ่มหล่อๆอยู่เป็นนิจอยู่แล้วนี่นา ไม่.. ไม่.. นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ ฉันคาใจจริงๆ ทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าเขาจังเลย เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึปล่าวนะ "
ฉันพูดเองเออเองคนเดียวเสร็จสรรพ ขณะที่คิ้วโก่งดั่งวงพระจันทร์ของฉันขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกันเพราะความสงสัยคาหัวใจในเรื่องนั้นนั่นเอง
"คนชาติไหนเนี่ย หน้าตาออกไปแนวฝรั่งหน้าตี๋ พูดภาษาอังกฤษชัดเปรี๊ยะขนาดนั้น ลูกครึ่งรึปล่าวนะ.. ช่างเขาเถอะ ว่าแต่เราจะเอายังไงต่อดี ปากเจ้ากรรม.. แกรับผิดชอบเลย"
ฉันสบถใส่ตัวเองราวกับทำเรื่องผิดพลาดมหันต์ ก็น่าอยู่หรอกค่ะ ฉันพลาดรับความช่วยเหลือสำคัญจากหนุ่มหล่อขนาดนั้นเพราะปากเจ้ากรรมดันพูดไม่คิดนี่นา เสียดายชะมัด เฮ้อ.. คลำทางไปละกัน
ว่าแล้วก็สาวเท้าก้าวไปข้างหน้า จุดหมายยังคงเป็น "คังนัม" ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าต้องขึ้นไปเปลี่ยนรถไฟที่ฝั่งไหน....
*******************************
"ฮ่าๆๆๆ ยัยฟินเอ๊ย.. ฉันจะสงสารหรือสมน้ำหน้าแกดีเนี่ย แกนะแก... เป็นฉันหน่อยไม่ได้ ป่านนี้ได้ชื่อพร้อมเบอร์อีเมลล์มาแล้ว เสียของมั๊ยเนี่ยแก.."
"=_=^ อย่างน้อยแกก็น่าจะห่วงฉันบ้างนะพอตตี้ "
ฉันแอบน้อยใจเพื่อนสาวที่เอาแต่ห่วงผู้ชายไม่ห่วงฉันเลยสักนิด
"แล้วยังไงต่อล่ะ"
"ก็หลงน่ะสิ สาย 2 ที่ไปคังนัมมันเป็นรถไฟวันเวย์ ฉันขึ้นผิดฝั่งหลงจนได้ พอลงมาเลยถามเจ้าหน้าที่ที่สถานีเอา นึกว่าจะมาไม่ถึงแล้วเนี่ย"
"ทีหลัง เวลาชองฮุนบอกแกก็จดไว้สิ แต่ก็นะ... แกอยู่มาเป็นเดือนแล้ว ยังขึ้นผิดอยู่อีกเหรอ"
"พนันได้ว่า อยู่เป็นปีก็คงขึ้นผิดอยู่ดี ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะว่า ทำไมฉันถึงเป็นคนแบบนี้"
"แต่ฉันขำแกอ่ะ ฟัง-พูดอังกฤษได้ซะด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า"
"นั่นสิ ทำได้ยังไงวะเนี่ย ฉันก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกัน สงสัยธาตุความกลัวรถไฟเข้าแทรกมั้ง"
"... ไม่ใช่หนังจีน... "
จบประโยคพวกเราหันมองหน้ากันด้วยสายตาสื่อความหมายว่า "มุกฝืดสุดๆ" ก่อนระเบิดหัวเราะออกมา ยัยพอตนะยัยพอต แกจะรับมุขฉันทำไมเนี่ย
"ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าพูดไปได้ยังไง แต่ฉันก็คงพูดได้แค่นั้นแหละ บางที.. ถึงเขาช่วยบอกทางมา ฉันก็คงฟังไม่ออกอยู่ดี มีค่าเท่ากันแหละ"
"แต่ฉันว่าเขาพูดเกาหลีได้นะ ไม่งั้นจะฟังออกได้ยังไงว่าแกพูดอะไร"
"เออ.. นั่นสิ คงเป็นลูกครึ่งมั้ง"
"กรี๊ดๆๆๆ สเปคเลยค่ะ พันธุ์ผสมแบบนี้"
"แล้วชองฮุนล่ะ แกเอาไปเก็บไว้ที่ไหน"
"ฮาเล็มหัวใจฉันมีที่ว่างเหลือเฟือ ไม่ต้องแย่งกัน.. ได้ทุกคน "
ภาพยัยพอตตี้นั่งอยู่ในห้องหนึ่งซึ่งตกแต่งเป็นสไตล์อินเดีย มีมู่ลี่สีทองบางๆสะบัดพริ้วไหวไปมา สายลมวูบหนึ่งพัดมูลี่ให้ปลิวออก เผยให้เห็นภาพของชายหนุ่มร่างกายกำยำหลายชีวิตเปลือยท่อนบนเต้นระบำอยู่รอบข้างยัยพอตตี้ บ้างก็กำลังรินเหล้า บ้างก็นั่งคลอเคลียอย่างมีความสุข...
=_=^ ไร้สาระน่า.. ฉันเห็นภาพหลอนแบบนี้ได้ยังไง อี๋.. น่ากลัวชะมัด
" เออนี่แก... ฉันฝันว่านั่งเผชิญหน้ากับงูมา 3 วันติดแล้ว ฝันเห็น... "
*********************************
คุยกันหลังไมล์
ตอนนี้ จบแบบค้างๆคาๆนะคะ ที่จริง มันยาวมาก ตัดแบ่งมา ก็เลยจบแบบห้วนๆไปนิด ต้องขออภัยไว้ณ ที่นี้ด้วย
และขอกราบสวัสดี คุณผู้อ่านที่ติดตามอ่านกัน ขอบคุณเพื่อนใหม่ทุกๆท่าน กำลังใจจากทุกคอมเม้นต์ทำให้ข้าพเจ้ามีพลังเต็มเปี่ยม พร้อมจะเขียนงานสนุกๆต่อไป ขอบพระคุณสุดหัวใจเลยค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น