ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hello English!! *สะกิดรักคนไกล หัวใจอินเตอร์*

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 "May I help you ?!"

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 49


    ตอนที่ 3  "May I help you ?!"





    "โอ๊ย อะไรกันฟะเนี่ย...   ชองฮุน!! เกิดอะไรขึ้นเหรอ"

    ฉันตะโกนถามชองฮุน ลูกชายบ้านโฮมสเตย์ที่ฉันอาศัยอยู่เป็นภาษาเกาหลี

               ลีชองฮุน  นักศึกษาปี 1 หนุ่มน้อยร่างสูงใหญ่ตามสไตล์นักกีฬา โครงหน้ารูปไข่ผิดกับคนเกาหลีทั่วไป  คิ้วเข้มดกดำตัดกับใบหน้าขาวผ่อง ดวงตาเรียวรีที่มีไฝสองเม็ดเล็กปรากฏตรงปลายหางตาข้างซ้ายนั้น ขับให้ดวงตาของเขาดูมีเสน่ห์อย่างลึกลับ  ริมฝีปากรูปกระจับอวบอิ่มอมชมพูดูสุขภาพดีเพราะไม่สูบบุหรี่ภายใต้จมูกโด่งได้รูปนั้น ช่างเป็นสรีระรูปหน้าของชายในฝันฉันจริงๆ

                ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ชองฮุนจะเป็นหนุ่มป๊อบมาตั้งแต่เรียนม.ต้น และเพราะความหล่อของน้องชายโฮมสเตย์นี่แหละนะ เพื่อนๆจึงรักใคร่ แวะเวียนมาเยี่ยมฉันที่บ้านบ่อยครั้ง โดยมีจุดประสงค์หลักคือมาพบชองฮุน ส่วนฉัน.. ก็แค่ทางผ่าน 

                 เพื่อนๆต่างอิจฉาที่มีน้องชายโฮมสเตย์หล่อบาดขนาดนั้น แต่ฉันกลับคิดว่ามันเป็นโชคร้ายยิ่งนัก ทำไมพระเจ้าไม่ให้ชองฮุนเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัย... ทำไมไม่ให้ชองฮุนเป็นลูกชายร้านก๋วยเตี๋ยวข้างบ้าน... ทำไมต้องให้เขาเป็นน้องชาย... แถมต้องอยู่บ้านเดียวกันอีก ทำไมคะ.. ทำไม..  

                  เพราะฉันไม่อาจปิดบังความเป็นตัวเองที่น่ารังเกียจไว้ได้นานนัก อยู่ด้วยกันทุกวัน ต่อให้พยายามปกปิดไว้ยังไง สักวันหน้ากากก็ต้องหลุดอยู่ดี ให้ฉันอยู่กับคนไม่หล่อขนาดนี้ยังดีซะกว่า ฉันไม่อยากทำลายภาพลักษณ์กุลสตรีไทยใจงามนักหรอกนะ.. ให้ตายเถอะ !!


    "อุบัติเหตุน่ะ นูนา**  มีคนขับรถชนเสาไฟฟ้า ไฟดับทั่วเลย นูนาทำการบ้านอยู่รึปล่าว"

                    น้ำเสียงนุ้มทุ่มของชองฮุนที่เอ่ยถามด้วยความห่วงใยยิ่งตอกย้ำให้ฉันอยากลาไปตายแล้วเกิดใหม่เหลือเกิน T_T

    (** นูนา – เป็นคำที่ผู้ชายใช้เรียกพี่สาว ผู้แต่งขออนุญาตใช้ทัพศัพท์เพราะได้อารมณ์อ้อนๆของผู้พูดดีค่ะ)

    “ปล่าวหรอก แค่เล่นเน็ตน่ะ ว่าแต่ ดับถึงเมื่อไหร่เหรอ”

    “แบบนี้ ท่าทางจะหลายชั่วโมงนะ”

                     ฉันชำเลืองมองนาฬิกาหมีพูห์อ่อนโยนแสนน่ารักชนิดที่ขัดกับฉันอย่างสิ้นเชิง นาฬิกาซึ่งเป็นของขวัญจากยัยพรรณ อีกหนึ่งเพื่อนรักที่สนิทที่สุด โดยเจ้าหล่อนเจียดเงินจากเครื่องประทินโฉมทั้งหลายซื้อให้ฉันก่อนออกเดินทางมา ทั้งยังย้ำว่าไว้ดูต่างหน้าเวลาคิดถึง

    “คิดถึงแก ดูหมีพูห์.. อืม ขอบใจนะ”

                        พนันได้ว่า ฉันจะไม่มีวันคิดถึงทั้งยัยพรรณและยัยพูห์ตัวแทนของมันให้รู้สึกร้อนๆหนาวๆเด็ดขาด บรื๋อออออออ!!

    "ว่าแต่นี่มันกี่โมงกี่พนักงานรักษาความปลอดภัยแล้วนะ"

                        ฉันปล่อยมุกกระบือไปพลางเอื้อมหยิบตัวแทนยัยพรรณพลางกดเปิดไฟเพื่อดูเวลา

    “5 ทุ่มครึ่งแล้วนี่ คงรอไม่ไหวแล้ว นอนก่อนละกัน แล้วพรุ่งนี้จะตามไปเม้นต์ให้ คำสาปจ๋า.. อย่าเพิ่งออกฤทธิ์นะ รอฉันก่อนนนนนน!!”

                       ฉันพึมพำในลำคอเหมือนผู้หญิงบ้าๆบวมๆคนนึงก่อนลุกออกไปกล่าวราตรีสวัสดิ์คุณพ่อคุณแม่โฮสเตย์ที่ฉันนับถือเสมือนพ่อแม่แท้ๆ เพราะท่านทั้งสองดูแลฉันดีมากเหมือนเป็นลูกในไส้ของท่านยังไงยังงั้นเลยทีเดียว และนี่เป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมของชาวเกาหลีที่ฉันต้องปฏิบัติทุกวัน

                        ทว่าจนแล้วจนรอด ฉันก็ยังไม่ว่างเข้ามาเล่นเน็ตเพื่อคอมเม้นต์บลอคยัยกิ๊ฟแก้คำสาปซะที เพราะ 3 วันที่ผ่านมา ฉันมีทั้งการบ้าน รายงาน และเทสต์ย่อยอีกด้วย มันจึงกลายเป็นฝันร้ายซ้ำไปซ้ำมาหลอกหลอนฉันถึง 3 วันติดแล้ว นี่มันจะตามหลอนฉันถึงเมื่อไหร่กัน!!!

    “ยัยกิ๊ฟมันเป็นคนมีองค์ แกอย่าไปลองดีมันเชียวนะ วันดีคืนดีมันเรียกอับดุลย์ไปอยู่เป็นเพื่อนไม่รู้ด้วย”

                         คำพูดของยัยพอตตี้ที่เคยแซวยัยกิ๊ฟฟี่เมื่ออาทิตย์ก่อนพลันแว่บขึ้นมาในความคิด

    “อับดุลย์.. เอ๊ย..
    ตามมา.. ตามแหล่ว..
    ถามได้.. ตอบได้..
    หญิงรู้จัก.. ไม่รู้จัก..
    ชายรู้จัก.. รู้จักดี...”

    =_=^
    ภาพยัยกิฟฟี่และยัยพอตตี้ร้องรับกันเป็นลูกคู่อย่างสนุกสนานผุดขึ้นมาหลอกหลอนในบัดดล

                          ความคิดที่ว่าบางที ยัยกิ๊ฟอาจมีของจริงๆก็ได้ ส่วนที่ยัยพอตบ้าขนาดนี้ อาจโดนของยัยกิ๊ฟแล้วก็เป็นได้พลันแว่บขึ้นมา แล้วที่ฉันฝันแบบนั้นมา 3 วันติดล่ะ...!?!  รึว่าจะเป็นเพราะยัยกิ๊ฟเล่นของ ทั้งยังฝันเห็นงูพันธ์ผสมนั่นอีก... อย่าบอกนะว่า ฉันกำลังจะเจอ... เนื้อคู่!!!

                            ฉันกระพริบตาถี่ๆ ราวกับแทบไม่เชื่อว่าตัวเองว่าจะมีความคิดบ้าๆพวกนี้แต่เช้าตรู่ได้ ขณะที่ปากบางๆกลับมีรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม...

    “เหอๆ เนื้อคู่เรอะ.. หุหุ เนื้อคู่.. ฮ่าๆ เนื้อคู่.. กรี๊ดดดด เนื้อ... คู่... >o< อ๊าย.. ไม่ใช่สิ มัวมาดีใจอะไรเนี่ย ยังไง วันนี้ฉันก็ต้องไปเม้นต์ให้ได้ ไม่อย่างนั้นฝันร้ายคงตามหลอนฉันไม่เลิกแน่ T_T”

                            ฉันพึมพำขึ้นมาคล้ายกับปักใจว่าต้องเป็นเพราะยัยกิ๊ฟฟี่มีองค์ยังไงยังงั้น เฮ้อ.. ฉันมีความคิดไร้สาระแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ 

                            คิดพลางใช้นิ้วมือเรียวยาวปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าซ้ายทีขวาที ก่อนงัดร่างผอมบางของตนขึ้นจากเตียงนอนนุ่มนิ่มนั่น ฉันสะบัดแขนขาเพื่อสลัดตัวขี้เกียจออกไปพร้อมกับหาวฟอดใหญ่เป็นการทิ้งท้าย อำลาความง่วง...

    “หือ.. ปากเหม็นจังเรา”

                           ฉันสบถขึ้นหลังจากหายใจเอากลิ่นปากหลังการหาวเมื่อครู่เข้าสู่โพรงจมูกแบบเต็มๆ ฉันว่า ควรจะส่งตัวเองไปเข้าคอร์สกุลสตรีไทยใจงามทันทีที่ถึงประเทศไทยอย่างด่วนเลยนะเนี่ย

                           และก็ชักแน่ใจถึงเหตุผลที่ผู้หญิงเพอร์เฟกท์อย่างฉันจำต้องครองตนเป็นโสดมาถึงทุกวันนี้ขึ้นมาทีละนิดแล้วล่ะค่ะ 

                           ฉันสะบัดศีรษะเล็กๆพลางเปิดตู้เสื้อผ้าไม้สักโบราณสลักลายชนพื้นเมืองเกาหลีที่โฮมสเตย์ตั้งไว้ในห้องให้ฉันใช้ ที่จริง ห้องที่ฉันอยู่เป็นห้องของลูกสาวคนโตของบ้านนี้ เธอชื่อ ลีชองอึน อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน ตอนมาถึง ก็ไม่ทันได้พบเธอแล้ว เพราะชองอึนได้ทุนไปเรียนที่ออสเตรเลียก่อนฉันมาเพียงหนึ่งอาทิตย์ ฉันเห็นชองอึนแต่ในรูป เธอสวยมากขนาดเป็นดาราได้เลยทีเดียว อย่างไรเสีย ฉันคงไม่ได้เจอเธออยู่ดี เพราะคงกลับเมืองไทยก่อนเธอกลับมานั่นเอง ช่างเป็นโชคดีของชองอึนจริงๆที่ไม่ต้องมารู้จักคนอย่างฉัน

    “ว่าแต่ วันนี้ต้องพบอาจารย์คิมยองแอนี่นา แต่งตัวให้เรียบร้อยหน่อยดีกว่า”

                              อาจารย์คิมยองแอเคยสอนภาษาเกาหลีฉันสมัยเรียนปี 1 ที่เมืองไทย จะว่าไปก็เพราะท่านปูพื้นฐานภาษาเกาหลีให้จนแน่นตั้งแต่วันนั้น ฉันจึงมีวันนี้ได้ ท่านเป็นอีกหนึ่งผู้มีพระคุณที่ไม่อาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต

                              ฉันยิ้มกว้างเมื่อคิดถึงอาจารย์ใจดีท่านนี้ ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูผืนน้อยตรงปรี่เข้าห้องน้ำไป


                                                     ***********************************


    ณ สถานีรถไฟใต้ดิน ซาดัง

                              จ่อก แจ่ก จอแจ จ่อก แจ่ก จอแจ...

    เสียงความวุ่นวายของผู้คนจำนวนมากที่มาใช้บริการสถานีซาดังไม่ต่างจากที่อื่นๆเลย

                                ขณะนี้ ฉันเดินทางมาถึงสถานีซาดังเพื่อเปลี่ยนสายรถไฟไป “คังนัม” สถานที่นัดพบอาจารย์คิมยองแอบ่ายนี้ แต่ทว่า...

    “กรรมของเวร!! ไปยังไงต่อล่ะทีนี้”

                             ฉันสบถใส่ตัวเองหลังจากถูกความกลัวการใช้รถไฟใต้ดินครอบงำ สายตายังคงจับจ้องที่แผนที่ใบเล็กซึ่งรับแจกฟรีได้ตามจุดขายตั๋วรถไฟใต้ดิน

    “นูนาจะไปพบอาจารย์ที่คังนัมใช่ไหม เริ่มแรกนูนาเดินออกจากบ้านเราไปที่สถานีอันยางขึ้นรถไฟสาย 1 ที่เขียนว่า “พยองจอม” นูนาก็ขึ้นไป พอถึงสถานี “ คึมจอง” ก็เปลี่ยนมาขึ้นสาย 4 ที่เขียนว่าไป “ทังโกแก” ขึ้นไปจนถึงสถานี “ซาดัง” ก็เปลี่ยนไปขึ้นสาย.. ซ่า.. ซ่า..”

                          เสียงสัญญาณเครื่องบันทึกของสมองฉันตรงส่วนความทรงจำเกิดเหตุขัดข้องกลางคันก่อนหยุดชะงักไป เมื่อคืนนี้ ชองฮุนอุตส่าห์ชี้แจงวิธีเดินทางอย่างละเอียดให้ฉันฟังเพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทางอีกแต่... T^T

    “ทำไมแกต้องประท้วงหยุดงานในเวลาสำคัญแบบนี้ด้วยนะ เจ้าสมองซีกซ้าย!! ลองพยายามนึกอีกทีสิ... ขึ้นไปจนถึงสถานี “ซาดัง” ก็เปลี่ยนไปขึ้นสาย.. ซ่า.. ซ่า..”
    =_=^

    “นึกอีกที... ขึ้นไปจนถึงสถานี “ซาดัง” ก็เปลี่ยนไปขึ้นสาย.. ซ่า.. ซ่า..”
    T^T

    “อีกทีน่า...”

    “May I help you ?!”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×