ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โลกในเกม จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

    ลำดับตอนที่ #2 : เลื่อนขั้นของการเป็นนักผจญภัย(มั้ง)

    • อัปเดตล่าสุด 9 เม.ย. 66


     

    ณ ในตำหนักพระราชวังของเมืองรูเมียร่า

     

    “นี่!! ไม่ได้ยินที่ท่านพระราชาถามหรือไง!”

     

    ทหารที่คุ้มกันขบวนรถม้าเมื่อก่อนหน้านี้ตะคอกใส่มาร์ซ ที่ถูกจับมาให้ปากคำกับพระราชาแห่งเมืองรูเมียร่า

     

    “ฉันจะถามอีกครั้งนะ พวกเจ้าเป็นกลุ่มโจรภูเขาใช่ไหม!?”

     

    “กลุ่มโจรภูเขาหรอ ไม่ใช่สักหน่อย ฉันไม่ใช่โจรภูเขานะ ฉันน่ะเป็นผู้เล่นเกมไง Player อ่ะ Player รู้จักป่ะ”

     

    พระราชากับทหารที่อยู่แถวนั้นมองหน้ากันด้วยความงงงวย 

     

    “สงสัย NPC อย่างพวกนายคงไม่รู้จักคำว่าผู้เล่นสินะ ฉันก็เป็นนักผจญภัยธรรมดาๆ นี่แหละ”

     

    “เป็นนักผจญภัยแล้วทำไมถึงมาขโมยของในขบวนรถม้าด้วยละ?”

     

    ทหารคุ้มกันขบวนรถม้าพูดขึ้น

     

    “อะฮึ่ม! ข้าต้องเป็นคนถามเจ้าหัวขโมยนี้ไม่ใช่หรอ?”

     

    “อ่ะ!! ขอโทษด้วยครับท่านพระราชา”

     

    “แล้ว ทำไมเจ้าถึงขโมยสินค้าในขบวนรถม้าด้วยละ?”

     

    “คือว่า ฉันไปเจอผู้ชายคนหนึ่งเข้า เขาบอกว่าเป็นพ่อค้า เลยจะชวนผมไปหาวัตถุดิบมาขายเพื่อหาเงินน่ะ”

     

    “ครับด้วยสิ!!”

     

    ทหารตะคอกใส่

     

    “อ่ะ อ่า~ ครับ”

     

    “อืม ก็เลยมาลงเอยโดยการมาปล้นรถม้าของเมืองเราสินะ”

     

    “คะ ครับ ทีแรกผมนึกว่าเจ้าหมอนั่นจะพาไปหาวัตถุดิบจากมอนสเตอร์ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดเลยครับ”

     

    พระราชาเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ข้างๆ แล้วเปิดออกมาอ่านให้มาร์ซฟัง

     

    “เจ้ารู้ไหม กฏของที่นี่มีอยู่ข้อหนึ่งที่เขียนไว้ว่า หากผู้ใดให้ข้อมูลเท็จกับเจ้าพนักงาน บุคคลผู้นั้น ก็จะต้องได้รับโทษเข้าคุกไปตลอดชีวิตนะ”

     

    “ห้ะ! ติดคุกตลอดชีวิต แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้โกหกอะไรทั้งนั้น”

     

    “แล้วก็อีกข้อหนึ่ง หากใครกระทำการรวมกลุ่มเพื่อลักขโมยสินค้าที่ทำการค้าระหว่างเมือง บุคคลผู้นั้นจะต้องได้รับโทษประหาร เพราะก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้กับประชาชน และทรัพท์สินทางการค้าระหว่างเมือง”

     

    “ห้ะ!!! ประหารชีวิตเลยหรอ!! เฮ้ยๆๆ เกินไปไหมท่าน! ไม่น่าจะใช่นะแบบนี้ งี้ต้องรีบล็อคเอ้าแล้วไปเล่นเกมอื่นดีกว่า”

     

    มาร์ซรู้สึกหัวเสีย จึงเรียกใช้คำสั่งเมนูขึ้นมา แล้วกดไปที่ปุ่ม ล็อคเอ้า

     

    [ไม่สามารถล็อคเอ้าได้ในขณะนี้ กรุณาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย]

     

    “ห๊าา อะไรกันเนี้ย!! ทำไมล็อคเอ้าไม่ได้ ที่นี่มันไม่ปลอดภัยตรงไหนกัน!! ต้องกดรายงานแล้ว รายงานไปหา GM ด่วนน!!”

     

    “ถ้างั้นในระหว่างนี้เอาตัวไปเข้าห้องขังก่อน”

     

    ราชาแห่งเมืองรูเมียร่าออกคำสั่งให้ทหารเอาตัวมาร์ซไปยังห้องขังชั่วคราว เพื่อรอคำตัดสิน

     

    “ครับ!”

     

    “ไม่นะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะขโมยนะ เข้าใจผมผิดแล้วว!!”

     

     

    ณ ห้องคุมขังใต้เมืองรูเมียร่า

     

    ห้องคุมขังใต้เมือง เป็นสถานที่ ที่คุมขังนักโทษที่กระทำผิดกฏของเมืองรูเมียร่า แต่ด้วยความที่นี่เป็นเกม จึงไม่มี NPC อยู่ในห้องคุมขังเลยสักคน มีเพียงแค่มาร์ซคนเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในห้องขังขนาดใหญ่คนเดียว

     

    “โธ่เอ๋ย~ เป็นแค่เกมแท้ๆ ทำไมถึงมีระบบขังผู้เล่นได้ละ แถมยังล็อคเอ้าไม่ได้อีก”

     

    มาร์ซเปิดคำสั่งเมนูเพื่อที่จะล็อคเอ้าอีกครั้ง

     

    [ไม่สามารถล็อคเอ้าได้ในขณะนี้ กรุณาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย]

     

    “เฮ้อ~ ล็อคเอ้าไม่ได้ ฉันต้องอยู่จนกว่าตัวละครนี้ตาย ถึงจะล็อคเอ้าได้สินะเนี่ย”

     

    มาร์ซมองตาละห้อยออกไปนอกช่องระบายอากาศพร้อมกับบ่นพึมพำคนเดียว ซึ่งอันที่จริงแล้วช่องระบายอากาศนั้นคือช่องระบายน้ำที่อยู่ขอบถนนของเมือง

     

    “แต่ก็นะ ตัวละครนี้ก็อุส่าเก็บเวลเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงเลเวล 20 แล้ว จะเริ่มเล่นใหม่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากนักหรอก”

     

    “เจ้าหมอนั่นมันไปทางไหนแล้ว!!”

     

    “แยกย้ายกันตามหา! ได้ยินจากทหารกลุ่มอื่นมาว่าให้ระวังระเบิดของมันด้วย”

     

    เสียงอึกทึกครึกโครมที่อยู่ด้านบนห้องขังที่มาร์ซอยู่ ราวกับว่ามีกลุ่มทหารของเมืองกำลังวิ่งไล่หาใครสักคนอยู่ เล็ดลอดผ่านช่องระบายอากาศเข้ามาจนทำให้มาร์ซได้ยิน

     

    “ข้างนอกเอะอะเสียงดังกันจังเลยน๊า หรือว่าเจ้าหมอนั่นคือคนที่พาเราไปขโมยของขบวนรถม้ากันนะ ก่อกวนคนไปทั่วเลยนะเจ้าหมอนั่นน่ะ แล้วทำให้ฉันต้องมานั่งหงอยเหงาในห้องขังคนเดียวอีก ถ้าได้เจอตัวครั้งหน้าเดียวต้องเช็คบิลสักหน่อยแล้ว”

     

    “นั่นไง! มันอยู่ตรงนั้น”

     

    “ล้อมมันไว้!!”

     

    เสียงกลุ่มทหารที่อยู่ด้านบนห้องขังของมาร์ซ อยู่ใกล้กับช่องระบายอากาศมาก มาร์ซจึงลุกเดินไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น

     

    “ทีนี้แกก็จนมุมแล้ว”

     

    มาร์ซชะโหงกหน้ามองช่องระบายอากาศ จึงเห็นกลุ่มทหารหลายสิบคน ชักดาบและหอกไปทางใครสักคนที่ยืนชิดกำแพงอยู่ แต่จุดที่มาร์ซยืนอยู่มองไม่เห็นว่าเป็นใคร ในใจมาร์ซตอนนี้รู้สึกแค้นคนที่เคยพาเขาไปขโมยของบนรถม้ามาก จึงคิดว่าคนที่ถูกกลุ่มทหารกำลังล้อมอยู่ คือคนเดียวกัน 

     

    “จับมันเลยพี่ทหาร!! เจ้าหมอนั่นแหละที่มันพาผมไปขโมยของ!!”

     

    มาร์ซตะโกนผ่านช่องระบายอากาศออกไป ทำให้กลุ่มทหารที่ยืนอยู่พากันตกใจกับเสียงที่มาร์ซตะโกนออกมายังช่องระบาย

     

    “เฮ้ย! ละ แล้วนี่นายเป็นใครเนี่ย”

     

    กลุ่มทหารที่กำลังตกใจที่จู่ๆ มาร์ซก็ตะโกนออกมานอกห้องขัง ในระหว่างนั้นเอง คนที่ถูกทหารล้อมอยู่ก็โยนลูกบอลที่มีลักษณะกลมๆ ดำๆ มีชิ้นส่วนประกอบติดรอบๆ และมีแสงกระพิบเป็นจังหวะ ไปที่พื้นบริเวณที่พวกทหารยืนอยู่

     

    กลิ้ง~ กลิ้ง~ 

     

    ลูกบอลนั้นกลิ้งมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ตรงหน้ามาร์ซ ที่กำลังทำหน้าเพ่งเล็งไปที่ลูกบอลนั้นอยู่ว่ามันคือลูกบอลอะไร

     

    “ระ ระเบิด!!”

     

    “ทุกคน! หาที่กำบัง!!” 

     

    กลุ่มทหารตะโกนขึ้น แล้วพากันหลบไปคนละทิศคนละทาง ส่วนมาร์ซเมื่อได้ยินว่าเป็นระเบิดก็รีบก้มหลบทันที  ก่อนที่ระเบิดลูกนั้นจะระเบิด

     

    ตู้มม!!

     

    แรงระเบิดทำให้พื้นขอบถนนที่เป็นเพดานห้องขังของมาร์ซพังเป็นช่องขนาดใหญ่ พวกกลุ่มทหารและมาร์ซไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก แต่คนที่โยนลูกระเบิดใส่ใช้ช่วงชุลมุนได้หนีหายไปแล้ว 

     

    ในจังหวะที่กลุ่มทหารกำลังมึนกับแรงระเบิดเมื่อกี้อยู่ มาร์ซก็เหลือบไปเห็นช่องขนาดใหญ่ที่เกิดจากแรงระเบิดเมื่อกี้ จึงนึกได้ว่าตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสทองที่จะหนีออกจากห้องขังนี้ จึงลุกไปดูพวกกลุ่มทหารว่ามองมาที่ตัวเขาหรือไม่

     

    "โอ้ย พวกเราโดนเล่นเข้าแล้วไง"

     

    "ทุกคน มีใครบาดเจ็บไหม"

     

    เสียงทหารถามไถ่พวกพ้องที่กำลังล้มกันระนาว

     

    "จังหวะนี้ละ หนีโลดด!!"

     

    เมื่อมาร์ซรู้ว่าไม่มีทหารคนไหนมองมาที่ตัวเขาจึงรีบลุกขึ้นมาแล้วปีนขึ้นไปยังเพดานที่เป็นรูโว่จากระเบิด จากนั้นก็วิ่งหน้าตั้งหนีออกไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว

     

    "ทุกคนไม่เป็นไรใช่ไหม!!"

     

    "พวกเราปลอดภัยดีครับ!"

     

    "หัวหน้า! คนที่แหกเข้าเมืองมาหายไปแล้วครับ!!"

     

    "หนอย! หนีไปจนได้ แล้วคนที่อยู่ในห้องขังละเป็นไงบ้าง"

     

    "เดียวผมไปดูให้ครับ"

     

    "ถึงแม้จะเป็นนักโทษ เราก็ต้องใส่ใจความปลอดภัยจนกว่าจะถึงวันตัดสินนะ"

     

    ทหารคนหนึ่ง วิ่งไปดูช่องระบายน้ำ ที่เป็นช่องระบายอากาศของห้องขัง แล้วเห็นว่าข้างๆ มีรูขนาดใหญ่อยู่ จึงมองเข้าไปด้านในแล้วพบว่าในห้องขังนั้นว่างเปล่า

     

    "หัวหน้าครับ! คนที่อยู่ในห้องขังใต้เมืองหนีออกไปแล้วครับ!!"

     

    "ว่าไงนะ!!"

     

    หัวหน้าของกลุ่มทหารวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วมองไปรอบๆ บริเวณห้องขังที่พังจากแรงระเบิด จึงทำให้รู้ว่า มาร์ซน่าจะหนีไปไกลแล้ว

     

    “แย่แล้ว เราต้องรีบไปรายงานกับพระราชาเดียวนี้ พวกนายช่วยไปแจ้งฝ่ายซ่อมแซมทีนะ”

     

    “รับทราบครับ!”

     

     

    แฮ่ก~ แฮ่ก~

     

    “ทำไมฉันถึงมีแต่วิ่งหนีตลอดเลยนะ ฉันตั้งใจจะเป็นผู้พิชิตเกมนี้แท้ๆ ถ้าไม่พยายามทำอะไรสักอย่างคงมีแต่ต้องหนีแบบนี้อย่างเดียวแน่ๆ ฉันต้องออกผจญภัยอย่างจริงจังแล้วละ”

     

    เมื่อคิดได้อย่างนั้น มาร์ซจึงพยายามจะหนีออกนอกเมืองนี้ไปก่อนเพราะเขารู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาคงจะถูกทหารในเมืองตามตัวอยู่ ถ้าหากเขาหนีออกนอกเมืองได้ พวกทหารก็จะตามตัวได้ยากขึ้น

     

    มาร์ซได้เดินไปดูบริเวณแผ่นป้ายเส้นทางขบวนรถม้า แล้วเห็นว่าเหมือนตอนนี้ทางเมืองรูเมียร่าจะทำการปิดเมืองเพื่อตามหาตัวมาร์ซอยู่ ขืนมัวชักช้า มาร์ซอาจถูกจับได้อีกรอบแน่ แต่ว่าการออกนอกเมืองนั้นจะต้องผ่านประตูเมืองที่มีทหารคอยตรวจสอบคนเข้าออกเมืองอยู่ตลอด จึงเป็นเรื่องยากที่มาร์ซจะหนีออกไปโดยที่ไม่ถูกจับได้

     

    “นี่ เป็นอะไรงั้นหรอ”

     

    มาร์ซที่กำลังยืนกลุ้มใจอยู่หน้าป้ายเส้นทางขบวนรถม้า ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักเขา

     

    “อ่ะ เอ่อ เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร”

     

    มาร์ซตอบกลับไปพร้อมกับพยายามหันหน้าหนี เพราะกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเขาคือนักโทษที่หนีออกมา แล้วจับตัวเขาส่งกลับเข้าคุกอีกรอบ

     

    “อยากเดินทางไปไหนหรือเปล่า? ฉันช่วยเธอได้นะ”

     

    เหมือนหญิงสาวคนนี้จะยังไม่รู้เรื่องว่า มาร์ซคือคนที่หนีออกจากคุกมา

     

    “อ่ะ เอ่อ พอดีผมว่าจะออกไปผจญภัยตามประสาคนเล่นเดี่ยวน่ะ แฮ่ๆ”

     

    “งั้น ให้ฉันจ่ายค่าขบวนรถม้าให้ไหม ฉันเองก็จะเดินทางไปอีกเมืองพอดี แถมขบวนรถม้าก็เหลือแค่รอบนี้รอบเดียวด้วย”

     

    “ขะ ขอรบกวนด้วยครับ”

     

    มาร์ซไม่มีทางเลือกแล้ว จะไม่ไปก็คงถูกจับแน่ๆ จึงตอบตกลงไปแบบยังไม่ทันได้คิดอะไร 

     

    “ขบวนรถม้าเที่ยวสุดท้าย!! จะมุ่งหน้าไปเมืองโครูเวียครับ!!”

     

    “ขอขึ้นอีก 2 ที่นั่งค่ะ”

     

    พวกมาร์ซเดินมาถึงกลุ่มขบวนรถม้าที่กำลังจะออกเดินทางพอดี

     

    “สองท่านสินะครับ ท่านละ 2 เหรียญทองครับ”

     

    หญิงสาวหยิบถุงใส่เหรียญออกมา หยิบเหรียญทอง 4 เหรียญให้กับคนนำขบวนรถม้า

     

    “ขอบคุณมากครับ ที่นั่งที่เหลือตอนนี้อยู่รถม้าคันสุดท้ายนะครับ”

     

    “ขอบคุณมากค่ะ”

     

    ไม่นานขบวนรถม้าก็เริ่มออกเดินทาง พวกกลุ่มมาร์ซได้นั่งรถม้าขบวนท้ายสุด โดยที่มีผู้โดยสารอื่นซึ่งมีทั้งผู้เล่นเหมือนกันและ NPC อยู่ด้วย

     

    ในขณะที่กลุ่มขบวนรถม้ากำลังจะผ่านประตูเมือง มาร์ซก็เริ่มรู้สึกกดดันว่าจะโดนจับอีกไหม ทำให้ตัวเขาดูลุกลี้ลุกลน จนทำให้หญิงสาวที่นั่งข้างๆ สังเกตุเห็น

     

    “เป็นอะไรไปงั้นหรอ ดูนายลุกลี้ลุกลนมากเลย”

     

    “อะ อ้อ พอดีผมไม่ค่อยถูกกับพวกทหารในเมืองเท่าไรน่ะ เลยร้อนรนไปหน่อย ฮ่าๆ”

     

    “ไม่เป็นไรหรอก ทหารพวกนั้นก็เป็นแค่ NPC ของเกมนี้เฉยๆ เขาไม่ทำอะไรกับผู้เล่นหรอก นอกจากว่าทำผิดกฏของเกมน่ะ”

     

    “น่ะ นั้นสินะ ฮ่าๆๆ”

     

    มาร์ซหัวเราะไปพลางๆ โดยที่ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าเขาทำอะไรมา

     

    พวกทหารหน้าประตูเมืองเริ่มทยอยตรวจขบวนรถม้าเริ่มทีละคันอย่างเข้มงวด ตรวจเช็คว่าบนรถม้ามีใครบ้าง และกล่องสินค้าว่ามีอะไรอยู่ข้างในบ้าง

     

    “ปกติแล้วทหารหน้าประตูเมืองเขาไม่ได้ตรวจเข้มขนาดนี้นะ คงอาจเป็นเพราะมีผู้เล่นคนหนึ่งแหกคุกจากชั้นดิน เลยทำให้พวกทหารต้องตรวจอย่างเข้มงวดน่ะ”

     

    “อ้อ ปะ เป็นอย่างนั้นเองหรอครับ”

     

    มาร์ซพูดตีเนียนไปก่อน

     

    ตอนนี้ กลุ่มทหารหน้าประตูเมืองก็กำลังตรวจขบวนรถม้าใกล้รถม้าของมาร์ซเข้ามาเรื่อยๆ มาร์ซก็พยายามนั่งคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์ว่าจะทำยังไงดี จะวิ่งหนีออกนอกเมืองไปเลยก็คงไม่ทัน เพราะพวกทหารก็มีม้าไว้ใช้งานอยู่ จะชักดาบสู้กับกลุ่มทหารเลยก็ยิ่งไม่ได้ไปใหญ่ หรือจะยอมให้ทหารจับแต่โดยดีเลยดีไหม ไม่ว่าจะทางไหนก็รู้สึกแย่ไปหมดทุกทาง

     

    “รถม้าคันสุดท้ายแล้ว”

     

    กลุ่มทหารได้เดินมาตรวจรถม้าของมาร์ซแล้ว

     

    “ในกล่องนั้นมีสินค้าอะไรบ้างครับ”

     

    “ในกล่องนี้มีเครื่องประดับไว้อยู่น่ะ แล้วก็ในถุงนั้นก็เป็นวัตถุดิบจากมอนสเตอร์”

     

    “ขอเปิดดูหน่อยได้ไหมครับ”

     

    “ได้ครับ เชิญเลย”

     

    พวกทหารเปิดถุงขนาดใหญ่ดู ก็พบว่าในนั้นก็เป็นวัตถุดิบจากมอนสเตอร์จริงๆ และของที่อยู่ในกล่องก็เป็นเครื่องประดับมากมายตามที่คนขับรถม้าบอกจริงๆ 

     

    “ต่อไปขอตรวจผู้โดยสารด้วยครับ รบกวนหันหน้ามาให้เห็นหมดทุกคนด้วยครับ”

     

    ทุกคนที่อยู่บนรถม้า หันหน้าไปหากลุ่มทหาร เพื่อให้ทหารเช็คหน้าตา คนที่ใส่ผ้าคลุมหัว ก็เปิดผ้าคลุมให้ทหารเช็คเช่นกัน ตอนนี้ เหลือเพียงแค่มาร์ซคนเดียวเท่านั้นที่ยังก้มหน้าหลบกลุ่มทหารอยู่

     

    “ผู้ชายคนนั้นละครับ ช่วยหันหน้ามาหน่อยครับ”

     

    มาร์ซที่ได้ยินแบบนั้นก็มีสะดุ้งนิดหน่อย และคิดในใจว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแล้วละ ยอมให้มันเกิดและผ่านๆ ไปสะ ดีกว่ามัวคิดหาทางแก้ไขอยู่แบบนี้ มันช่างน่าปวดหัว

     

    มาร์ซเริ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ เพื่อจะให้พวกทหารเช็คดู ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังมาจากด้านในตัวเมือง ใกล้ๆ บริเวณที่ทหารยืนอยู่

     

    ตูมม!!

     

    เสียงระเบิดดังสนั่นจนทำให้กลุ่มทหารต้องหันหลังกลับไปมองยังต้นเสียงว่ามันเกิดอะไรขึ้น

     

    “เฮ้ย! ตรงนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”

     

    ทหารพูดขึ้นด้วยความตกใจ คนที่อยู่ในรถม้า ต่างก็มีสีหน้าตกใจเหมือนกัน

     

    “รีบไปตรวจสอบดูกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ส่วนขบวนรถม้าให้เดินทางได้”

     

    คนขับรถม้าเมื่อได้ยินแบบนั้น จึงเริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองโครูเวียทันที มาร์ซที่กำลังกังวลอยู่ก็เริ่มผ่อนคลายลงอย่างมาก

     

    “เฮ้อ~ รอดมาจนได้”

     

    “รอดอะไรหรอ?”

     

    หญิงสาวที่นั่งข้างๆ ได้ยินที่มาร์ซพูดจึงได้ถามมาร์ซไปแบบงงๆ 

     

    “อ่อ ไม่มีอะไรหรอกๆ อย่าใส่ใจผมเลย ฮ่าๆ”

     

    มาร์ซทำสีหน้าตีเนียนไปพลางๆ

     

    “ว่าแต่ นายชื่ออะไรหรอ?”

     

    “ผมชื่อมาร์ซครับ เล่นเป็นสายดาบโล่”

     

    “ฉันชื่อมีอา เล่นเป็นสายนักเวทย์ จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ”

     

    “ครับ ฝากตัวด้วยเช่นกัน”

     

    “นายไม่ยังไม่มีปาร์ตี้หรอ เห็นว่าเล่นไปตามประสาผู้เล่นเดี่ยว?”

     

    “ตอนนี้ยังไม่มีเลยครับ ว่าจะเก็บเลเวลให้มากกว่านี้หน่อย แล้วค่อยขออยู่กับปาร์ตี้คนอื่น”

     

    “อย่างงั้นหรอ นั้นสินะ คนส่วนใหญ่ก็จะหาแต่คนที่มีดาเมจสูงๆ เข้าปาร์ตี้ตัวเอง ส่วนคนที่เริ่มเล่นใหม่ๆ ก็แทบจะไม่มีโอกาสเก็บเลเวลเลย นอกจากจะต้องพยายามดิ้นรนด้วยตัวเอง”

     

    “คุณมีอาก็มีปาร์ตี้แล้วสินะครับ”

     

    “ใช่แล้วละ แต่คนในปาร์ตี้ฉันก็เหมือนจะไม่ถูกกันสักเท่าไรน่ะ เวลาอยู่ด้วยกันก็เหมือนจะดี แต่พออยู่คนละที่ก็จะเป็นคนละคนเลย”

     

    มาร์ซทำหน้างง แล้วมองไปที่มีอาด้วยความสงสัยกับคำพูดของมีอา

     

    “ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคำพูดของฉันหรอกนะ ลืมๆ มันไปเถอะเนาะ”

     

    “แฮะๆๆ”

     

    “แต่ก็นะ บางทีฉันเองก็คิดอยู่ว่า ถ้าหากเล่นคนเดียวเหมือนนาย มันก็อาจจะสบายใจกว่าก็ได้”

     

    มีอาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย พร้อมกับก้มหน้ากุมมือของตัวเองเอาไว้แน่น

     

    “มันก็สบายใจอยู่หรอกครับ แต่ว่านะถ้าอยู่แล้วรู้สึกแย่ หรือคนรอบข้างไม่เห็นคุณค่าในตัวเรา ก็ควรถอยออกมาจะดีกว่า เอาคุณค่าของเราที่มี ไปมอบให้กับสิ่งที่คู่ควรกับเราดีกว่า”

     

    มาร์ซพยายามพูดปลอบใจมีอา ที่กำลังก้มหน้าอยู่

     

    “เวลาผมตัดสินที่จะทำอะไร ผมจะใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นตัวตัดสิน ถ้าผมรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ผมกำลังจะทำมันให้ผมสนุกหรือมีความสุข ต่อให้มันจะเป็นทางที่ยากลำบากหรือมีแต่ปัญหามากมาย ผมก็จะทำมันต่อไป”

     

    มีอาที่ก้มหน้าฟังมาร์ซพูด ก็เงยหน้าแล้วยิ้มให้มาร์ซไป

     

    “ขอบคุณที่ปลอบใจฉันนะ”

     

    “ผมก็แค่พูดให้ดูเป็นลูกผู้ชายเฉยๆ แหละครับ ฮ่าๆๆ”

     

    “เอ้~”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×