ตอนที่ 6 : "เชลยศึก"
ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว ทหารหลายนายที่ไม่มีหน้าที่เฝ้าเวรยามเพื่อระวังภัยจากภายนอก หลายคนก็หลับพักผ่อนเอาแรงเพื่อออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นตามคำสั่ง หลังจากที่เขาและหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นหมอถกเถียงกันอยู่นานเรื่องเวลาของการเดินทาง ฝ่ายชายยืนยันว่าต้องออกเดินทางให้เร็วที่สุด ในขณะที่ฝ่ายสาวเจ้าค้านเสียงแข็งว่าไปไม่ได้เพราะคนเจ็บเดินทางไม่ได้ในตอนนี้ ทั้งคู่เถียงกันอยู่นานพอควรจนเห็นว่าคนเจ็บแสดงอาการว่าเดินทางไม่ไหวจริงๆ ฝ่ายชายจึงต้องยอมทำตามฝ่ายหญิงแต่โดยดี ขณะที่หญิงสาวเฝ้าไข้คนเจ็บอยู่ตลอดทั้งคืน ทุกการกระทำของเธอนั้น ได้ถูกจับตามองจากอีกคนตลอดเวลา ชนิดที่ว่าแม้เธอจะทำอะไรก็ไม่มีทางหลุดลอดสายตาเขาไปได้อย่างแน่นอน เขาเฝ้าดูจนกระทั่งอีกฝ่ายหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนที่แสงอาทิตย์จะส่องจากขอบฟ้าในอีกสองชั่วโมงหลังจากนั้น
"ตื่นได้แล้ว" เสียงเรียกจากใครบางคนทำให้หญิงสาวค่อยๆตื่นจากภวังค์ เธอลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ให้ตายเถอะเธอเพิ่งจะได้นอน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นมานั่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
"อ้าว! ไม่ได้ฝันหรอกเหรอ" เธออยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อตื่นขึ้นมาเจอกับชายหนุ่มคนเดิมที่เถียงกับเธอเมื่อคืน ซึ่งตอนนี้กำลังยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงหน้าเธอ "นึกว่าฝันร้ายซะอีก โถ วาดดาว" เธอถอนหายใจยาวและเบ้ปากเหมือนเด็กทำท่าจะร้องไห้
"ลุกขึ้นได้แล้ว เราจักออกเดินทางกันแล้ว" ชายตรงหน้าเร่งให้เธอลุกขึ้นหลังจากที่สาวเจ้าไม่ได้แสดงทีท่าว่าสนใจคำพูดของเขาสักเท่าไรนัก
"ไปไหน" เธอเงยหน้าขึ้นถามเขา
"กลับค่าย"
"กลับค่าย?" หญิงสาวทวนคำตอบที่ได้ยินพร้อมกับดีดตัวลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับคนตรงหน้า ทำเอาเขาต้องขยับถอยหลังไปครึ่งก้าว เพราะเกรงจะใกล้เกินไป "ฉันต้องไปด้วยเหรอ คุณไม่ปล่อยฉันไปเหรอ ฉันต้องรีบไปแล้ว ป่านนี้เพื่อนฉันคนเป็นห่วงกันแย่แล้ว" เธอบอกแกมข้อร้องให้เขาปล่อยเธอไป
"ไม่ได้" เขาปฏิเสธเสียงดังจนเธอสะดุ้ง "ยามนี้เจ้าถูกจับเป็นเชลย จักให้ปล่อยตัวไปได้เยี่ยงไรกัน"
"พวกคุณจะจับตัวฉันไว้แบบนี้ไม่ได้นะ มันไม่ถูก" วาดดาวพยายามจะแย้ง แต่กลับถูกสวนกลับทันที
"เช่นไรกันที่เรียกว่าถูก ข้าจักปล่อยเจ้าไปก็ต่อเมื่อเจ้าพิสูจน์ได้ว่าเจ้าเป็นผู้ใด มาจากที่ใด แลมิใช้ฝ่ายศัตรูเท่านั้น" เขาตะคอกใส่เธอเสียงดัง "เห็นแก่ที่เจ้าช่วยชีวิตพันเรืองไว้ดอกนะ ข้าจึงมิได้มัดเจ้ารวมกันเชลยพวกนั้น" ชายหนุ่มบอกพร้อมกับชี้ดาบไปทางกลุ่มคนที่ถูกจับมาพร้อมกับเธอเมื่อวาน ซึ่งตอนนี้คนกลุ่มนั้นถูกมัดมือต่อกันด้วยเชือกเส้นเดียว "แลหากเจ้ายังโวยวายอยู่เช่นนี้ ข้าจักมัดปากเจ้าด้วยเสีย จักได้ไม่ต้องพูดอีก" ได้ยินแบบนั้นวาดดาวจึงได้เม้มริมฝีปากแน่นเพราะกลัวคำขู่ "ไปได้แล้ว" เขาออกคำสั่ง
"อย่าให้รอดไปได้นะ จะแจ้งตำรวจจับให้หมดเลย" พอหันหลังให้ก็แอบบ่นเบาๆ จากนั้นจึงเดินไปรวมกับเชลยคนอื่นๆ
"พันเรืองเป็นเช่นไรบ้างหัวหมื่น" ชายหนุ่มเดินมาถามถึงอาการคนเจ็บหลังจากพักรบกับสาวเจ้าปัญหาไปเมื่อครู่
"ดีขึ้นมากแล้วขอรับ" คนถูกถามรับหันกลับมาตอบ ขณะกำลังเตรียมการเคลื่อนย้ายคนเจ็บ "วิธีการรักษาของแม่หญิงผู้นั้นได้ผลดีทีเดียว แลยาที่นางให้พันเรืองกินก็ได้ผลชะงักนัก ปกติแล้วบาดแผลฉกรรจ์เช่นนี้ คนเจ็บต้องได้ไข้จากพิษบาดแผล หลายเพลานักกว่าจักดีขึ้น แต่นี่พันเรืองมิได้เป็นกระไรเลย จักมีก็แต่อาการเจ็บที่บาดแผลก็เท่านั้น"
หลังจากที่ได้ฟังคำตอบ ชายหนุ่มจึงหันไปมองคนเจ็บที่เมื่อคืนแสดงทีท่าว่าจะไม่ไหวเสียให้ได้ แต่ตอนนี้กลับกำลังนั่งคุยกับนายทหารชั้นผู้น้อยด้วยอาการที่เกือบจะเป็นปกติ
"หรือว่านางจักเป็นหมอจริงๆ อย่างว่า" เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรตอบ เขาจึงเริ่มแสดงความคิดเห็นของตัวเองต่อ "แต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ กระผมไม่เคยเห็น แลได้ยินวิธีการรักษาเช่นนี้มาก่อนเลย แลหมอรักษาคนที่เป็นหญิงกระผมก็ไม่เคยเห็น นอกเสียจากหมอตำแยก็เท่านั้น" คราวนี้ทั้งคนฟังและคนพูดหันไปให้ความสนใจกับหญิงสาวปริศนาที่โผล่มาสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาตั้งแต่เมื่อวาน
"อย่าว่าแต่เอ็งเลย ข้าเองก็มิเคยพบเคยเห็นเช่นกัน" คนที่เงียบอยู่นานเริ่มแสดงความคิดเห็นบ้าง
"แลมิเคยเห็นหมอที่ทั้งงามและยังเยาว์วัยเยี่ยงนี้มาก่อนเลย หากมิเคี้ยวหมากจนฟันดำ ก็ผมขาวโพลนทั้งหัวเช่นนั้นไป" คราวนี้คนแสดงความคิดเห็นเริ่มออกนอกเรื่อง แต่เมื่อหันมาเห็นสีหน้าและสายตาจริงจังของคู่สนทนา คนพูดก็รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
"แล้วคุณหลวงจักทำเช่นไรกับนางขอรับ"
"คงต้องพากลับไปที่ค่ายก่อน ไว้สอบสวนได้ความเช่นไรค่อยว่ากันอีกที" เขาตอบขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่หญิงสาวแปลกหน้า ที่กำลังยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ท่ามกลางเหล่านาบทหารและเชลยศึก ที่ถูกจับไว้ได้เมื่อเย็นวาน
หลวงฤทธิรงค์ มนูธรรม หรือ อินทร์ เป็นนายทหารใต้บังคับบัญชาของสมเด็จวังหน้า พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (พระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑) ตามเสด็จ กรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งยกทัพมาทำศึกกับพม่า ณ ทุ่งลาดหญ้า เมืองกาญจนบุรี เพื่อสกัดกองทัพพม่าที่ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ตามพระบัญชาของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑) โดยกรมพระราชวังบวรฯ ทรงมีรับสั่งให้หลวงฤทธิรงค์ มนูธรรม และหลวงภักดี ชุมพล คุมทัพทหารจำนวนหนึ่งมาสมทบกับกองทหารมอญของพระยามหาโยธารามัญที่ด่านกรามช้าง เพื่อสกัดถ่วงเวลากองทัพพม่าไว้ให้ช้าลง ในศึกที่พม่ายกมาตีไทยถึงเก้าทัพ
สองวันก่อนหน้านี้ นายทหารหนุ่มได้รับคำสั่งจากพระยามหาโยธารามัญให้ออกมาลาดตระเวนดูความเรียบร้อยนอกที่ตั้งค่าย เนื่องจากได้ข่าวว่ามีกำลังทหารของฝ่ายข้าศึกเข้ามาลุกลานชาวบ้าน เขาจึงรับหน้าที่ให้นำกำลังทหารส่วนหนึ่งมาปราบปราม แต่เกิดปะทะกับทหารข้าศึกเข้าเมื่อเย็นวาน และในขณะที่กำลังสู้รบกันอยู่นั้นเอง เขาได้สังเกตเห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในวงล้อมของการต่อสู้แบบไม่รู้เรื่องรู้ราว และเธอเกือบจะโดนฟันคอขาดหากเขาไม่ตัดสินใจเข้าไปช่วยไว้เสียก่อน เมื่อการสู้รบจบลง ฝ่ายเขาได้รับชัยชนะ ข้าศึกเมื่อรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ จึงล่าถอยไปในที่สุด ในขณะที่บางส่วนก็ล้มตายไป และบางส่วนถูกจับเป็นเชลย เขาสังเกตเห็นว่าหญิงสาวมีท่าทีตกใจเมื่อรู้ว่าได้พาตัวเองมาอยู่ในสมรภูมิรบ เขาจับเธอไว้ในฐานะเชลย เช่น เชลยศึกคนอื่นๆ
หญิงสาวท่าทางแปลกๆ แต่งกายแปลกตา พูดจาแปลกหูอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน สาวเจ้าที่เอาแต่บอกว่าเองเป็นหมอ และร้องขอให้ปล่อยเธอไปตลอดเวลาที่ถูกจับ เขาพยายามคาดคั้นถามว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แต่ยิ่งคุยก็เหมือนยิ่งไม่ได้ความ คล้ายว่าคุยกันคนละภาษา จนเธอได้ช่วยรักษาทหารใต้บังคับบัญชาของเขาจากอาการบาดเจ็บด้วยวิธีการรักษาที่แปลกอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหน ก็ดูเหมือนจะพอทำให้เชื่อได้บ้างว่าเธอเป็นหมอ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครหรืออะไรสามารถบอกได้ชัดว่าหญิงสาวปริศนาผู้นี้เป็นใคร มาจากไหนกันแน่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 29 ตุลาคม 2560 / 23:00
เดี๋ยวยาก้หมดแล้วนะจ๊ะ
รอต่อจ้าา
เนื้อหาดีแต่ออกจะสั้นไม่จุใจเล็กน้อยTT