ตอนที่ 21 : "สิ่งที่ต้องทำ"
"จักยกสำรับไปที่ใดกันรึ"นายทหารทั้งสองนายเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากหลวงหนุ่มจึงหยุดเดินและหันมาทำความเคารพก่อนจะตอบคำถามของเขา
"มีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่ชายป่าท้ายค่ายขอรับ ท่านเจ้าคุณจึงสั่งให้พวกกระผมยกสำรับอาหารไปถวายเพลขอรับ" ตอบเสร็จก็หันหลังเดินตรงไปยังประตูด้านหลังค่ายทันที
" พระธุดงค์เหรอ?" วาดดาวพึมพำคนเดียว และหันไปมองหน้าอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหลังเตรียมจะเดินตามนายทหารสองคนเมื่อครู่ไป แต่ถูกเธอเรียกไว้เสียก่อน
"นั่นคุณจะไปไหน" เธอถาม
"มิได้ยินที่ทหารบอกรึ ว่ามีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ท้ายค่าย ฉันก็จักไปดูอย่างไรเล่า" เขาตอบก่อนจะหันหลังเตรียมจะเดินต่อ
"ฉันไปด้วย" เธอว่าพร้อมกับออกเดินนำหน้าชายหนุ่มทันที
"ก็ดีเหมือนกัน ไหว้พระรดน้ำมนต์เสียบ้าง เผื่อสติสะตังจักดีขึ้น" เขาว่าเธอ แต่คนถูกกล่าวหาว่าสติไม่ดีเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ชะงักฝีเท้าทันที ก่อนจะหันกลับมามองคนพูด
"นี่คุณว่าฉันเหรอ" เธอถามเขา แต่ดูเหมือนคนถูกถามจะไม่ได้ใส่ใจกับคำถามของเธอเลยแม้แต่น้อย เขาเดินผ่านเธอไปหน้าตาเฉย และแอบลอบยิ้มออกมาเมื่อพ้นสายตาสาวเจ้า ทิ้งให้อีกคนยืนชักสีหน้าไม่พอใจอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึงปังตามเขาไป
หลวงฤทธิรงค์และวาดดาวเดินเลาะมาตามชายป่าด้านหลังค่าย ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงบริเวณที่พระธุดงค์ปักกลดอยู่ ซึ่งอยู่ริมลำธารไม่ห่างจากตัวค่ายมากเท่าใดนัก เมื่อมาถึงก็พบ พระยามหาโยธารามัญ หลวงภักดี หมื่นพิทักษ์ และทหารอีกสามนายที่นั่น ซึ่งกำลังสนทนากับพระท่านอยู่
วาดดาวเมื่อได้เห็นพระสงฆ์รูปนั้นก็รู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่เมื่อเห็นหลวงฤทธิ์รงค์เข้าไปกราบพระท่าน เธอก็รีบทำตามเขาทันที ทั้งหมดสนทนาธรรมกับพระคุณเจ้าท่านอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเตรียมกราบลาพระท่านเมื่อเห็นว่ารบกวนนานแล้ว
"เช่นนั้นพวกกระผมคงต้องขอตัวกราบลาพระคุณเจ้าแล้วนะขอรับ รบกวนพระคุณเจ้านานแล้ว" พระยารามัญกล่าว
"เชิญเถิด" ท่านตอบพร้อมกับยิ้มให้กลุ่มคนดังกล่าว ก่อนที่ทุกคนจะกราบลาท่านเตรียมกลับ แต่วาดดาวยังดูไม่หายข้องใจ เธอนั่งคิดตลอดเวลาว่าเคยพบพระคุณเจ้ารูปนี้แน่นอน
"มีเรื่องกระไรจักถามอาตมาก็ถามมาเถิด สีกา" ท่านเอ่ยขึ้นหลังจากคนอื่นๆ เดินจากไปแล้ว เหลือเพียงวาดดาวและหลวงฤทธิรงค์ที่เตรียมจะกราบลาเช่นกัน เธอเงยหน้ามองพระคุณเจ้าท่านทันที ก่อนจะหันซ้ายหันขวาดูว่าท่านหมายถึงใคร พลอยทำให้คนข้างๆต้องหยุดชะงักตามไปด้วย
"เราเคยพบกันมาก่อนใช่ไหมคะ ฉันรู้สึกเหมือนเคยเจอหลวงพ่อมาก่อน" วาดดาวถามขึ้นเมื่อแน่ใจว่าท่านหมายถึงเธอ
"อาตมาเดินธุดงค์ไปทุกแห่งหน เราอาจเคยพบกันที่ใดสักแห่งก็เป็นได้" ท่านยิ้มหลังจากกล่าวจบ วาดดาวนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
"จำได้แล้ว วันนั้น วันฝนตก ที่ชายป่า" วาดดาวนึกออกว่าพระคุณเจ้ารูปนี้คือพระรูปที่เธอพบในวันที่เธอมาที่นี่วันแรก "หลวงพ่อมาที่นี่ได้ยังไงคะ หรือว่าย้อนเวลามาเหมือนกัน" เธอถามและสรุปเอาเอง
"อาตมาอยู่ที่มาโดยตลอด หาได้เคยไปที่ใดไม่"
"แต่วันนั้น ฉันเห็น........"
"คงเป็นโชคชะตาของสีกากระมัง จึงทำให้สีกามองเห็นอาตมาในวันนั้น" ท่านพูดแทรกขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าข้องใจของหญิงสาว ซึ่งวาดดาวแน่ในว่าท่านเข้าใจที่เธอพูด
"ฉันไม่เข้าใจค่ะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ เรื่องทั้งหมดมันไม่น่าที่จะเกิดขึ้นได้เลย"
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น ที่สีกาต้องมาอยู่ที่นี่เพลานี้ก็ย่อมมีเหตุผลเช่นกัน"
"เหตุผลอะไรกันคะ มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องมาที่นี่" เธอไม่เข้าใจ
"การที่สีกามาอยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าที่นี่ต้องการสีกา อาจมีบางสิ่ง หรือใครบางคน ที่ต้องการความช่วยเหลือจากสีกาก็เป็นได้" วาดดาวถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ อะไรที่เธอต้องทำที่นี่ ใครกันที่ต้องการให้เธอช่วย ถึงขนาดต้องตามเธอมาจากปัจจุบันเชียวหรือ
"แล้วฉันจะได้กลับไปไหมคะ" เธอถามด้วยความอยากรู้ว่าเธอจะมีโอกาสกลับไปยังปัจจุบันหรือไม่ แต่พระคุณเจ้าท่านกลับยิ้มให้เธออย่างเมตตา ก่อนจะตอบให้คลายความกังวล
"ที่นี่หาได้ใช่ที่ของสีกาไม่ เมื่อถึงเพลา สีกาก็จักได้กลับไปยังที่ที่สีกาจากมาเอง"
"เมื่อไรคะ" เธอถามต่อ
"อาตมาตอบมิได้ดอก จักช้าหรือเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับการที่สีกาได้ทำสิ่งที่ควรทำแล้วหรือไม่" วาดดาวถอนหายใจอีกครั้งเมื่อได้ฟังคำบอกของพระคุณเจ้า แล้วเธอจะมีโอกาสได้กลับไปหรือ ในเมื่อเธอยังไม่รู้เลยว่าเธอมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร แต่คนที่ดูจะไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดเอาเสียเลยคือ ชายอีกคนที่นั่งฟังบทสนทนาทั้งหมดเงียบๆมาโดยตลอด
หลังจากกราบลาพระคุณเจ้าแล้ว วาดดาวเดินใจลอยกลับค่าย ตลอดทางเธอเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ได้สนทนากับพระคุณเจ้าท่านไปเมื่อครู่ จนเกือบจะเดินออกนอกเส้นทางเสียแล้ว ดีที่อีกคนที่เดินตามหลังมาร้องทักขึ้นเสียก่อน
"นั่นแม่จักไปที่ใดกัน นั่นมิใช่ทางกลับค่ายนะ" หญิงสาวหลุดจากห้วงความคิดทันทีที่ได้ยินเสียงร้องทัก จนต้องหันหลังกลับไปดูจึงได้พบหลวงฤทธิรงค์ที่เดินตามเธอมา เธอแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเขา เพราะตลอดทางมานั้นเธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาเดินตามหลังเธอมาด้วย
"อ้าวคุณ! ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ ฉันคิดว่าคุณกลับไปตั้งนานแล้วซะอีก"
"ฉันก็อยู่กับแม่ตลอด นี่แม่มิเห็นฉันดอกรึ" เขารู้สึกแปลกใจที่เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ข้างหลังเธอมาตลอดทาง "มัวใจลอยคิดเรื่องที่สนทนากับพระคุณเจ้าเมื่อครู่อยู่รึ" เขาถามต่อ วาดดาวยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแก้เก้อ นี่เธอใจลอยขนาดไม่รู้ตัวว่ามีคนเดินตามหลังมาเลยหรือ "ฉันมิอยากเชื่อเลยจริงๆ หากมิได้ยินเรื่องนี้จากปากพระคุณเจ้าท่าน" เขามองหน้าเธออย่างจริงจัง ก่อนจะเอ่ยคำพูดต่อมา "เรื่องที่แม่พูดก่อนหน้านี้ เป็นความจริงรึ"
"ฉันบอกคุณไปแล้วตั้งหลายครั้ง คุณก็ไม่เชื่อฉัน แถมยังหาว่าฉันสติไม่ดีอีกต่างหาก" เธอใส่อารมณ์เล็กน้อยไม่พอใจที่เขาชอบหาว่าเธอสติไม่ดี
"เรื่องนี้คงเกินไปนักที่จักให้เชื่อได้ เรื่องผีสาง นางไม้ยังดูน่าเชื่อกว่านี้เสียอีก" วาดดาวมองหน้าชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจกับคำพูดของเขาที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคำพูดของคนยุคสมัยนี้
"นี่คุณเป็นคนยุคไหนกันแน่" เธอว่า
"แล้วนี่แม่จักทำเช่นไรต่อไปกัน " เขาถามเธอต่อ แต่คนถูกถามกลับถอนหายใจเฮือกใหญ่แทนคำตอบ เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันมาที่นี่เพราะมีบางอย่างที่ฉันต้องทำ ถ้าฉันทำสำเร็จ ฉันก็จะได้กลับไป"
"แล้วบางอย่างที่ว่านั่น คือกระไรกัน"
"นั่นแหละปัญหา ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันต้องทำอะไร แล้วฉันจะทำมันสำเร็จได้ยังไง" วาดดาวถอนหายใจอีกครั้งด้วยความรู้สึกจนหนทาง
เสียงคมดาบกระทบกันดังไปทั่วทั้งบริเวณ เหล่าพลรบทั้งหลายกำลังฝึกปรือฝีมือดาบกันอย่างขะมักเขม้น เพื่อเตรียมรับศึกที่ใกล้เข้ามาทุกที แต่ดูเหมือนเสียงดาบที่ดังอยู่ตรงหน้านั้นจะไม่ได้แทรกเข้าสู่โสตประสาทของอีกคนที่ยืนดูการฝึกซ้อมอยู่เลยแม่แต่น้อย
"เป็นกระไรของเอ็งวะ"หลวงภักดีที่อยู่ข้างๆเอ่ยทักขึ้นเมื่อสังเกตเห็นถึงอาการผิดปกติของอีกคน "ข้าเห็นเอ็งใจลอยเช่นนี้มาตั้งแต่หัววันแล้ว มีเรื่องกระไรในใจรึ"
"หาได้มีกระไรดอกพี่ ฉันก็คิดกระไรของฉันไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น" หลวงผู้น้องบอกปัดไป แต่ที่จริงเขากำลังคิดเรื่องของวาดดาวอยู่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันดูเหลือเชื่อจนเกินไป เขาจึงไม่กล้าที่จะเล่าให้อีกคนฟัง
"เช่นนั้นก็แล้วไป คิดว่าเอ็งมีกระไรในใจเสียอีก" เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะไม่พูด คนถามจึงไม่คิดเซ้าซี้ถามต่อ แต่หลวงหนุ่มดูท่าอยากจะเล่าให้อีกฝ่ายฟัง แต่ไม่กล้า เพราะถ้าเล่าไป อีกฝ่ายอาจจะหาว่าเขาสติไม่ดี เหมือนกับที่เขาเคยว่าหญิงนางนั้นก็เป็นได้ แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะพูดบางอย่างออกไป
"พี่เทพ พี่เคยได้ยินเรื่องย้อนเวลาหรือไม่พี่"
“ย้อนเวลา?" คนถูกถามทวนคำของอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
"พี่เชื่อหรือไม่ว่า คนเราสามารถย้อนกลับไปในอดีตได้" เขาถามต่อโดยไม่ได้ใส่ใจสีหน้างุนงงของคนถูกถามเลยแม้แต่น้อย
"เอ็งพูดเรื่องกระไรของเอ็งวะ ย้อนอดีตกระไรของเอ็ง" คนฟังยังคงงุนงง
"ช่างมันเถอะ หาได้มีกระไรดอก" เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูท่าจะไม่เข้าใจที่ตนเองพูด หลวงหนุ่มจึงจัดการตัดบทจบไม่พูดต่อ เพราะหากให้อธิบายต่อ เขาคงได้กลายเป็นคนสติวิปลาสไปอีกคน เหมือนกับที่อีกฝ่ายเคยว่าหมอหญิงไว้ก่อนหน้านี้ หลวงภักดีประหลาดใจที่อยู่ดีๆอีกฝ่ายก็ตัดบทไม่พูดต่อเอาเสียอย่างนั้น แต่ตนก็ไม่เข้าในที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ
"คุณหลวงขอรับ คุณหลวง" พอดีที่หมื่นพิทักษ์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพอดี "เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ"
"เรื่องกระไรวะ" หลวงภักดีและหลวงฤทธิรงค์ถามขึ้นพร้อมกัน และต่างหันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ว่ามีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นอีกในเวลานี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หมอโวยวายก็เยอะนะคะ 555