ตอนที่ 5 : UP UP UP

ในเวลาบ่ายสามครึ่ง เหล่าปี1ทั้งหมดพากันไปรวมตัวที่สนามเพื่อเริ่มฝึกบินเป็นครั้งแรก วันแห่งการเริ่มต้นโบยบินในอากาศนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส มีสายลมพัดโชยอ่อนๆ เบาสบาย หากได้ออกมานั่งเรียนวิชาอื่นนอกสถานที่ในสภาพอากาศแบบนี้ คิดว่ามันคงน่านอนพอๆ กับคาบประวัติศาสตร์เวทมนตร์ของศาสตราจารย์บินส์เป็นแน่ แต่วิชาภาคปฏิบัติของฮอกวอตส์ไม่เคยทำให้ใครง่วงนอน เพราะหากเผลอแม้แต่นิด อาจได้เจอโชคร้ายที่ไม่น่าสนุกนักขึ้นมาก็ได้...โลกเวทมนตร์นั้นไม่เหมือนโลกมักเกิ้ล มันท้าทาย เปิดกว้าง...และอันตรายกว่า
จึงไม่น่าแปลกที่คนหลายกลุ่มจะคิดว่ามักเกิ้ลไม่น่าพิสมัยนัก เข้าใจอะไรได้ยากเย็น โง่เง่า และอ่อนแอ...แต่เรื่องนั้นก็ขึ้นกับมุมมอง ว่าจะมองพวกเขาอย่างไรด้วย
เด็กๆ เดินลงมายังสนาม บนพื้นหญ้าสีเขียวขจีมีไม้กวาดจำนวนหนึ่งวางเรียงกันเป็นแถวยาวอยู่บนพื้น มาดามฮูชเองก็มาถึงแล้ว เส้นผมสั้นสีเทาและใบหน้าแสดงถึงความมั่นใจนั่นดูเหมาะกับการสอนวิชานี้อย่างน่าแปลก ดวงตาสีเหลืองเฉียบคมเหมือนเหยี่ยวมองนักเรียนทุกคนของเธอ ก่อนจะส่งเสียงตะคอก
“เอ้า เด็กๆ มัวคอยอะไรอยู่!”
“ทุกคนมายืนข้างไม้กวาด มาเร็ว เร็วๆ เข้า!” เธอเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างขันแข็ง เด็กทุกคนจะรีบเดินไปตามที่เธอเอ่ยบอก
“ฟอกซ์ นายเคยขี่ไม้กวาดมาก่อนมั้ย?” คาโลกระซิบถาม โดยไม่ได้ถามฟินิกซ์ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนเลือดผสมไม่เคยมายังโลกเวทมนตร์มาก่อนจนกระทั่งได้รับจดหมาย เพราะงั้นคงไม่เคยขี่ไม้กวาดอยู่แล้ว ในขณะที่ฟินิกซ์ได้แต่คิดในใจว่าเขาเองก็เคยขี่ไม้กวาดวิ่งเล่นไปรอบบ้านแบบโง่ๆ สมมติเอาว่าตนเองมีพลังวิเศษเป็นพ่อมดแม่มด ตามการ์ตูนที่เห็นในทีวีอยู่เหมือนกัน (...)
ฟอกซ์พยักหน้ารับเล็กน้อย
“แค่สองสามครั้ง ไม่ชำนาญหรอก...นายล่ะ?”
“ไม่เคยแม้แต่จะแตะ ฉันไม่ชอบกีฬา...มีแต่เจ็บตัว” คาโลเอ่ยตอบแทบจะทันที เขาไม่คิดจะหาเรื่องให้ตัวเองต้องบาดเจ็บหรอก ไม่เหมือนพี่ชายของเขา เซนน่ะหาเรื่องเจ็บตัวอยู่ตลอด ทั้งเป็นนักกีฬาควิดิช ทั้งคบหาสมาคมกับลูซิเฟอร์คนพี่นั่นอีก คาโลแอบนินทาพี่ชายสุดรักในใจ โดนไม่รู้สักนิดว่าตอนนี้เซนกำลังซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ไม่ไกล
“ฮัดชิ่ว!” เซนจามออกมา โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าผู้นินทาตนก็คือน้องชายตัวดีนั่นเอง แต่นอกเหนือจากการมาเพื่อแอบดูน้องชายของตนเรียนแล้ว เขายังมาเพื่อแอบดูอาน่าหมายเลขสองด้วย
คริสตัล วิลสัน...
ไหนดูซิว่าเธอจะเก่งแค่ไหนกันเชียว ตำแหน่งนักกีฬาในปีต่อๆ ไป เธออาจจะพอมีความหวังได้อยู่บ้าง จากออร่าแบบนั้น เพราะงั้นเขาจึงแอบโดดเรียนออกมาดูสักหน่อย
“ยื่นมือขวาออกมาเหนือไม้กวาด แล้วพูดว่า ‘ลอยขึ้นมา!’ “มาดามฮูชเอ่ยบอกด้านหน้าเด็กๆ เรียกความสนใจจากทุกคนมาได้
“ลอย” เสียงเอ่ยดังขึ้นพร้อมกันจากคนหลายคน ทว่าด้วยโทนเสียงที่แตกต่าง
ไวท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาสบายเหมือนกำลังอ่านคำหนึ่งขึ้นมาจากหนังสือสักเล่ม ราบเรียบ และสงบนิ่ง...ไม้กวาดลอยขึ้นมาในทันทีแบบไม่ช้าไม่เร็ว รับคำสั่งเป็นอย่างดี
“ลอยซะ ไม่งั้นฉันจะหักแกทิ้งแน่ๆ”
ในขณะที่คริสตัลเอ่ยพร้อมรอยยิ้มมุมปาก น้ำเสียงคำพูด และสายตาที่มองไม้กวาดนั้นราวกับกำลังออกคำสั่งด้วยท่าทีคุกคาม จึงไม่ต้องแปลกใจเลยถ้ามันจะแทบกระโดดเข้าใส่มือของเธอในทันที บางทีแม้แต่ไม้กวาดก็คงยังรักชีวิตของตนอยู่บ้าง
“...ลอย” น้ำเสียงเฉยชาทว่าดูมีอำนาจของฟอกซ์ทำให้ไม้กวาดลอยขึ้นมาได้ไม่ยาก ทว่าเจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้สนใจไม้กวาดในมือเท่าไหร่นัก
“...ยี้ ถึงแกจะว่าง่าย แต่ฉันก็ไม่ยินดีที่จะต้องขี่แกหรอกนะ” คาโลเอ่ยขึ้นด้วยสายตาเหยียดๆ มองไม้กวาดสภาพโกโรโกโสที่นิ่งไปครู่นิ่ง ก็ลอยขึ้นมาตามคำสั่งของเขาอย่างนอบน้อม
ทั้งหมดที่กล่าวไปนั้นเป็นหนึ่งในไม้กวาดเพียงไม่กี่ด้ามที่ลอยขึ้นหลังถูกเรียกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในขณะที่ไม้กวาดที่เหลือเพียงแค่ขยับๆ ไปตามพื้นเล็กน้อย หรือไม่ทำอะไรเลย
“เริ่มต้นได้ดีนี่นา ยัยหนู! ...แล้วก็คาโลของฉันด้วย เก่งมากกก” เซนเอ่ยอย่างอารมณ์ดีอยู่ในพุ่มไม้ เฝ้าสังเกตการณ์ต่อไปอย่างจดจ่อ
“ลอย...” เจมส์ขมวดคิ้วใส่ไม้กวาดด้ามเก่าที่ยังนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ก่อนจะเรียกด้วยน้ำเสียงดังขึ้น
“ลอย!”
สำเร็จ ไม้กวาดดีดตัวขึ้นจากพื้นเข้าหามือของเขาในที่สุด แรงปะทะทำให้เจมส์เซไปเล็กน้อย ทว่าไวท์ที่อยู่ข้างๆ ก็ช่วยประคองเอาไว้ได้ทัน หนุ่มอ้วนจึงยังทรงตัวยืนอยู่ได้ เขาหันไปยกยิ้มและเอ่ยขอบคุณเพื่อน ก่อนจะหันมามองไม้กวาดในมืออีกครั้งด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับ
“ลอยยยย ลอยยสิ ขอล่ะ ลอยหน่อยย!” ฟินิกซ์เอ่ยแทบจะเป็นร้องขอกับไม้กวาด เส้นผมสีน้ำตาลหยักศกปรกหน้าเล็กน้อย เมื่อเจ้าตัวก้มลงต่ำ มือขวายื่นออกไปใกล้ไม้กวาดมากขึ้น
“มานี่ ลอยยย” ไม้กวาดของฟินิกซ์เพียงแค่ขยับกลิ้งตัวไปมาเล็กน้อยบนพื้น ก่อนจะค่อยๆ ขยับยกตัวสูงขึ้นจากพื้นอย่างเกียจคร้าน
“เยี่ยม! แบบนั้นแหละ ลอย ลอยนะ ลอยย!” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ้นจัด ค่อยๆ ขยับตัวขึ้นยืนในระดับปกติอย่างช้าๆ ราวกับกำลังประคองเด็กตัวน้อยที่หัดเดิน จนเด็กหัดเดินที่เรียกว่าไม้กวาดยอมขึ้นมาจนถึงมือของเขาในที่สุด
เมื่อทุกคนเรียกไม้กวาดขึ้นมาได้สำเร็จ มาดามฮูชก็สอนวิธีการจับไม้กวาดอย่างถูกต้องให้นักเรียนทุกคน เธอเดินตรวจดูตามแถว เพื่อตรวจให้นักเรียนทีละคน และช่วยปรับท่าทางการจับไม้กวาดที่ผิดให้เข้าที่เข้าทาง เพราะมิเช่นนั้นมันอาจทำให้ลูกศิษย์ของเธอร่วงหล่นไปทางปลายไม้กวาดขณะลอยอยู่ในอากาศได้
ไวท์ไล่สายตามองไปตามด้ามไม้กวาดชู้ตติ้งสตาร์ในมือของตนเอง ฮอกวอตส์ใช้ไม้กวาดรุ่นนี้ทั้งหมด สำหรับการหัดบินของนักเรียน ในความคิดของเขาเดาว่ามันคงไม่ได้ดีนัก เพราะมันเป็นไม้กวาดที่มีข้อเสียมากมาย อาน่าเองก็เคยบ่นให้เขาฟังอยู่ว่ามันตรงตามข่าวที่เคยได้ยินมาทุกอย่าง ทั้งเรื่องที่มันบินได้ไม่เร็วเท่าไหร่นักเมื่อใช้ไปนานๆ มันจะบินเอียงๆ ไปด้านข้างอยู่บ้าง รวมทั้งเริ่มสั่นหนักยิ่งกว่าศาสตราจารย์ควีเรลล์ยามพูดถึงผีดูดเลือดเมื่อบินขึ้นสูงๆ อีกด้วย
แต่ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของมันก็คือราคาที่ถูกแสนถูกนั่นล่ะ แต่ในที่สุดประสิทธิภาพย่อมสำคัญกว่า มันจึงถูกยกเลิกผลิตไปในที่สุด
“เอาล่ะ ทีนี้พอฉันเป่านกหวีด พวกเธอก็ถีบเท้าแรงๆ” มาดามฮูชเอ่ย มือของเธอจับนกหวีดที่แขวนเอาไว้บนลำคอขึ้นมา
“จับไม้กวาดไว้นิ่งๆ แล้วบินขึ้นไปสักเกือบเมตร แล้วก็ร่อนกลับลงมาโดยให้โน้มตัวไปข้างหน้านิดหนึ่ง” เธอเอ่ยอธิบายขั้นตอน เด็กทั้งหมดฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และรอสัญญาณ ดวงตาคมราวกับเหยี่ยวของมาดามฮูชมองนักเรียนของเธอทุกคน
“เอ้า ฟังเสียงนกหวีดฉันนะ สาม...สอง...”
ทว่าเด็กจากบ้านกริฟฟินดอร์...เจ้าของกบเจ้าปัญหาที่หายไปในรถไฟ เนวิลล์ ลองบัตท่อม เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นเต้นและกลัวเป็นอย่างมาก เขาจึงเผลอถีบเท้าอย่างแรง ก่อนที่นกหวีดจะแตะริมฝีปากของมาดามฮูชเสียอีก เสียงของมาดามฮูชตะโกนร้องบอกให้เขากลับลงมา ทว่าเหมือนเนวิลล์จะไม่ได้ยินคำสั่งนั้น หรือบางทีเขาอาจได้ยิน แต่เขาก็หยุดมันไม่ได้
ไม้กวาดและเด็กหนุ่มทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ฉวัดเฉวียนไปมาอย่างน่าหวาดเสียว มันสูงขึ้น...สูงขึ้น...ราวๆ หกเมตรเหนือพื้นดิน เด็กหนุ่มผู้ตื่นตระหนก ไหลตกลงจากไม้กวาด เขาหล่นลงมาเกี่ยวกับส่วนแหลมของปลายหอกในมือรูปปั้นที่ประดับอยู่ด้านบน มาดามฮูชหวังจะช่วยเขา ทว่าก็ไม่ทันกาล เมื่อชายเสื้อคลุมที่เกี่ยวอยู่นั้นขาดออกอย่างรวดเร็ว เนวิลล์ใจกระตุกอย่างแรง และเสื้อคลุมของเขาก็เกี่ยวกับโคมไฟที่อยู่ต่ำลงมาเล็กน้อยอีกเป็นครั้งที่สอง...เขาเผลอวางใจเพียงวูบเดียวเท่านั้นก่อนที่น้ำหนักของเขาจะฉุดให้เสื้อคลุมขาดซ้ำอีก ทำให้เขาร่วงหล่นอีกครั้ง โดยไม่มีอะไรช่วยได้อีกต่อไป และลงมากระทบพื้นด้านล่าง
“ผลั่ก” เสียงกระแทกดังสนั่น มาดามฮูชเร่งรุดเข้าหาเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนสนาม ตอนนี้สีหน้าของทั้งสองซีดไม่แพ้กัน
“ข้อมือหักเลย” เธอพึมพำหลังตรวจเช็คอาการของเนวิลล์ เธอพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้นและหันมามองยังกลุ่มนักเรียนคนอื่นๆ ที่ยืนมองมาด้วยสีหน้าที่หลากหลาย ตั้งแต่ตกใจตกใจ เป็นห่วง ไปจนถึงขบขัน
“พวกเธอห้ามขยับเขยื้อนนะ ระหว่างที่ฉันพาเจ้าหนูนี่ไปห้องพยาบาล ปล่อยให้ไม้กวาดอยู่ที่เดิม! ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องถูกไล่ออกจากฮอกวอตส์ก่อนจะพูดคำว่าควิดิชจบซะอีก...ไปกันเจ้าหนู” หลังเอ่ยคำประกาศิตจบ เธอก็พาเนวิลล์ที่เดินกุมข้อมือน้ำตานองหน้าออกไปจากสนาม ไวท์ได้แต่มองตามอย่างเห็นอกเห็นใจ เข้าใจได้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะรักในวิชานี้ คนบางคนก็พึงพอใจกับการเป็นผู้ชมอยู่ข้างสนามควิดิชมากกว่าที่จะต้องเอาตัวเองไปอยู่บนไม้กวาด...
“...โว้ว...ชักกลัวขึ้นมาเลย” ฟินิกซ์เอ่ยพึมพำ ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะเข้าขากันได้ดีกับไม้กวาดของตนเท่าไหร่ เขาเองจะรอดไหมนะ...เขายังไม่อยากเป็นรายที่สองหรอก...
ทั้งสองยังไม่ทันพ้นจากบริเวณนั้นดี เสียงระเบิดหัวเราะก็ดังขึ้นจากหนึ่งในเลือดบริสุทธิ์ผู้หยิ่งผยองและอวดดีจากบ้านสลิธีริน
“เห็นหน้าเขาไหม? ไอ้อ้วนนั่น” เดรโก มัลฟอยเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอีกครั้ง เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนบ้านสลิธีรินให้มาร่วมวงด้วยได้อย่างดี ฟินิกซ์หัวเราะไม่ออก เพราะคิดว่าเขาเองก็คงออกมาไม่ต่างจากเนวิลล์นัก
คาโลแค่นหัวเราะตาม ดวงตาสีเขียวมีเหลือบประกายสีเหลืองให้เห็นเล็กน้อย ในขณะที่ฟอกซ์เพียงปรายตามองมัลฟอยด้วยสายตาเรียบๆ
ทุกอย่างเริ่มโกลาหล เมื่อมีการโต้เถียงกัน จากคนฝั่งมัลฟอยกับเพื่อนๆ ของเนวิลล์ จนกระทั่งทุกคนเงียบลง เมื่อเสียงของแฮร์รี่ดังขึ้น
“เอามานี่ มัลฟอย” แฮร์รี่เอ่ยเสียงเรียบ มองลูกแก้วแปลกๆ ในมือมัลฟอย ซึ่งเนวิลล์เป็นเจ้าของ และมันคงหล่นในเหตุการณ์เมื่อครู่
“ไม่ล่ะ ฉันว่าฉันเอาไปไว้ที่ไหนสักแห่งให้ลองบัตท่อมไปเก็บเอาเองดีกว่า...บนต้นไม้ เป็นไง?” มัลฟอยยิ้มกวนก่อนจะกระโดดขึ้นไม้กวาดและทะยานขึ้นไปด้วยใบหน้าของผู้อยู่เหนือกว่า และดูสนุกสนานเหลือเกินกับการยั่วยุอีกฝ่าย
แฮร์รี่ดูโกรธจัด เขากระโดดขึ้นไม้กวาด ถีบตัวอย่างแรงเพื่อตามขึ้นไปในทันที เสียงของเด็กสาวผมฟูจากบ้านกริฟฟินดอร์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ตะโกนร้องห้าม ทว่าเด็กผู้รอดชีวิตไม่สนใจฟังอีกแล้ว
“นี่มันวุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว” ไวท์เอ่ยพึมพำเบาๆ
“พวกเราไม่ควรห้ามพวกเขาเหรอ...” ฟินิกซ์เอ่ยพลางมองไม้กวาดสองด้ามที่กำลังลอยคว้างกลางอากาศ
“อยากหาเรื่องใส่ตัวกันก็ปล่อยไปเถอะ” ฟอกซ์เอ่ยอย่างไม่สนใจ พอตเตอร์กับมัลฟอยจะถูกไล่ออกหรือไม่ ยังไงก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเขา
“พวกไร้สมอง” คาโลเอ่ยด้วยสายตาหยามเหยียด
มัลฟอยโยนลูกแก้วไปอีกทางด้วยความเร็ว และพอตเตอร์คนดังก็รีบพุ่งตามไปในทันที ทุกคนได้แต่มองด้วยใจลุ้นระทึก บ้างก็ร้องตามแฮร์รี่ให้เลิกตามลูกแก้วด้วยกลัวว่า เด็กชายผู้รอดชีวิตจะพุ่งเข้าชนกำแพงแล้วกลายเป็นเด็กชายผู้ไม่รอดชีวิตในวันนี้เสียแทน
แฮร์รี่ทะยานตามลูกแก้ว และคว้ามันเอาไว้ได้ก่อนจะหักหลบกำแพงได้อย่างเฉียดฉิว แสดงถึงพรสวรรค์ชั้นเยี่ยม เพื่อนๆ ด้านล่างต่างพากันปรบมือโห่ร้องชื่นชม พร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก
“พอตเตอร์นั่นว่องไวไม่เบานี่นา...น่าจะเป็นซีกเกอร์ได้” เซนพึมพำคนเดียวอยู่ในพุ่มไม้ เขายังคงแฝงตัวอยู่ในพุ่มไม้อย่างอดทนและจริงจัง หากศาสตราจารย์หลายๆ ท่านมาเจอ คงสงสัย ว่าเขาคนนี้จริงจังกับเรื่องนี้มากกว่าเรื่องเรียนหรือเปล่า บางครั้งก็จริงจังกับเรื่องแปลกประหลาดเสียจริง
“ก็แค่เก็บลูกแก้วโง่ๆ ได้...” คาโลพึมพำอย่างไม่เข้าใจนัก เช่นเดียวกับสลิธีรินคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ยินดี...ออกจะหมั่นไส้มากกว่า
แฮร์รี่โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย และร่อนกลับลงมาได้อย่างสวยงาม แต่ทุกคนก็ชื่นชมพูดคุยอยู่ได้เพียงไม่นาน เพราะมีเสียงตะโกนเรียกดังกึกก้อง
“แฮร์รี่ พอตเตอร์!” มักกอลนากัล ศาสตราจารย์ที่รับรู้เรื่องยุ่งได้ไวเสียยิ่งกว่ากะพริบตาเดินเข้ามา ใบหน้าเคร่งเครียด เธอมองมายังแฮร์รี่ด้วยสายตาที่ยากจะบอกว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่ดูเหมือนมีเปลวไฟอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ตามฉันมา!” เธอดึงตัวแฮร์รี่ออกไป ท่ามกลางสายตาเป็นห่วงของใครหลายคน และสายตาสมน้ำหน้าของอีกหลายคนเช่นกัน
“...พอตเตอร์นั่นจะโดนไล่ออกมั้ยนะ” เจมส์พึมพำ
“ไม่หรอก...” ไวท์เอ่ยตอบกลับเบาๆ
“ทำไมล่ะ?” เจมส์ถามกลับอย่างแปลกใจ
“ฉันไม่คิดว่าจะมีใครโดนไล่ออกเพราะเรื่องนี้หรอก เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่ได้ผิดอะไร...แต่คงได้มีข่าวใหญ่อะไรจากนี้ล่ะ...” แววตาของไวท์มีประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออกวาบผ่าน
เจมส์สงสัยกับคำพูดของเพื่อน ทว่าเขาก็เก็บงำความสงสัยไว้ ก่อนจะสะดุ้งโหยง เมื่อเหลือบไปเห็นหนุ่มปีสามที่กำลังซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ เขารีบสะกิดไวท์แทบไม่ทัน นิ้วอ้วนป้อมชี้ไป
“คนนั้นที่อยู่กับพี่สาวนายไม่ใช่เหรอ ใครน่ะ?”
ดวงตาสีฟ้าอมเทาเลื่อนไปตามทิศที่เพื่อนบอก ก่อนจะอึ้งกิมกี่ไปพักหนึ่ง
“นั่นพี่ชายของสเตรนเจอร์น่ะ สนิทกับพี่สาวฉัน...แต่ปีสามน่าจะมีคลาสนี่ มาทำอะไรแถวนี้” เขางุนงนเป็นอย่างมาก แต่เซนเองก็เหลือบไปเห็นคุณนายนอร์ริสกำลังเดินมาทางเขา
คุณนายนอร์ริสเป็นแมวตาโปนจอมหยิ่งยโส แสนขี้ฟ้องของภารโรงอย่างฟิลซ์ มันจะวิ่งแจ้นไปบอกเจ้านายเสมอ เมื่อเจอนักเรียนทำผิดกฎ เขายังไม่อยากถูกจับได้ว่าโดดเรียน จึงจำใจต้องจากไปในทันที แม้จะอยากอยู่ดูต่อไปก็ตาม
ระหว่างนั้น คริสตัลเองก็กำลังมองไปรอบๆ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากเมื่อคิดแผนสนุกๆ ขึ้นมาได้ เธอขึ้นขี่ไม้กวาด ก่อนจะถีบตัวลอยขึ้นไปบนอากาศ เธอเซเล็กน้อยในช่วงแรก ทว่าสุดท้ายแล้วก็ควบคุมไม้กวาดเอาไว้ได้ เธอบินขึ้นไปสูงขึ้นอีก สูงขึ้นอีก
น่าเสียดายที่ตั้งแต่เข้ามา เธอก็ชอบทำตัวก่อปัญหาอยู่เรื่อยไป และไม่เคยเป็นมิตรกับใครสักคน เธอจึงไม่มีเพื่อนผู้หวังดีมาคอยห้ามคอยเป็นห่วง ถ้าจะมีก็มีแต่...
“หยุดเดี๋ยวนี้นะวิลสัน!! ถ้ามาดามฮูชกลับมา เดี๋ยวพวกเราก็ซวยกันหมดหรอก!!” เสียงตะโกนดังมาจากเพื่อนร่วมบ้าน ทว่าคริสตัลกลับยิ้มกว้างกว่าเดิมราวกับไม่สนใจ เธอลอยขึ้นไปสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ จนถึงความสูงระดับหนึ่งเธอก็บังคับไม้กวาดให้หยุดลงช้าๆ มองไปรอบๆ มองเห็นเจ้าอ้วนฮัทสัน เธอก็ยิ้มกริ่ม ก่อนจะโน้มตัวลงพุ่งเข้าหาอย่างแรง
“เจมส์ ระวัง!”
หางตาของไวท์มองเห็นคริสตัลกำลังมาทางนี้พอดิบพอดี เขาจึงรีบผลักเจมส์หลบจากรัศมีของคริสตัลอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องเพื่อน ทั้งคู่จึงเซล้มไปพร้อมกัน
ไม้กวาดของคริสตัลเฉียดบริเวณที่เจมส์อยู่เมื่อครู่ไปเล็กน้อยก่อนจะพุ่งโค้งกลับขึ้นไปสูงขึ้นเล็กน้อยและช้าลงจนหยุด เธอยังทรงตัวให้อยู่บนไม่กวาดได้โดยไม่หล่นลงไปแม้จะยากเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าไม่มากเกินไปนัก เธอยังพยายามควบคุมไว้ได้ แต่คงต้องได้ลองอีกสักพักเธอถึงจะทำทุกอย่างได้ดังใจนึก
“ฮ่าๆๆ นี่คิดว่าฉันจะชนจริงๆ ให้ตัวเองเจ็บตัวเล่นรึไง?” เธอเอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน ก่อนจะหัวเราะออกมาอีกอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่าในที่นี้ไม่มีใครคิดจะตลกไปกับเธอด้วยหรอก แม้แต่พวกสลิธีรินเองก็ตาม พวกเขาก็ถอยออกห่างเพราะกลัวโดนลูกหลงเช่นกัน
แน่นอนว่าเมื่อกี้เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้ชนอีกฝ่ายแต่แรกอยู่แล้ว เธอเพียงแค่จะแกล้งให้ตกใจเล่น แล้วก็จะพุ่งเฉียดไปเท่านั้น...แต่คนไม่คิดหน้าคิดหลังแบบเธอคงไม่รู้หรอก ว่าเธอจะสามารถหลบได้แบบนั้นอย่างที่ตนเองคิดจริงๆ หรือเปล่า เธอมั่นใจในตนเองมากเกินไป โดยที่ไม่คำนึงถึงความชำนาญของตัวเอง ความปลอดภัยหรือความเหมาะสมอะไรทั้งสิ้น
หากไวท์ไม่ผลักเพื่อนพ้นรัศมีไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย เจมส์อาจจะโดนหรือไม่โดนชนก็ได้
นั่นเป็นสิ่งที่คริสตัลไม่ได้คิดแม้แต่น้อย ความคิดเป็นเด็กๆ และเอาแต่เล่นสนุกก่อปัญหาแบบนี้ทำให้เพื่อนร่วมบ้านเอือมระอา ทว่าเจ้าตัวก็ดูจะไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ และไม่คิดจะปรับเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น...
“เป็นบ้าหรือไง?” คาโลเอ่ยพลางมองคริสตัลด้วยท่าทีรังเกียจ ขณะที่ไวท์ลุกขึ้นและพยุงตัวเจมส์ขึ้นมา เจมส์ปัดๆ เศษหญ้าที่ติดบนเสื้อคลุม บนมืออ้วนกลมมีรอยถลอกอยู่บ้าง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เขาหันไปมองผู้ปองร้ายตนก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เรียกร้องความสนใจอยู่ได้ พ่อแม่ไม่รักหรือไง วิลสัน” คาโลเอ่ย
“รักสิ รักมากด้วย~” คริสตัลเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ฉันแค่อยากแบ่งปันความสนุก?” คริสตัลกล่าวก่อนจะพุ่งเข้าใส่คาโลบ้าง ฟอกซ์เห็นท่าไม่ดีจึงรีบดึงข้อมือคาโลเข้าหาตัวเองอย่างรวดเร็ว ทำให้พ้นวิถีของคริสตัลไปได้ ทว่าคาโลรู้สึกโกรธเป็นอย่างมากกับการกระทำไร้สมองของคริสตัล
“ยัยวิลสัน!!” เขาตวาดแหวเสียงดัง ดวงตากลมโตของคาโลเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงสด
ไวท์จ้องมองสังเกตดวงตากลมนั่นอยู่อย่างเงียบเชียบ
“คุณวิลสัน! เสียงตวาดอีกเสียงจากมาดามฮูชดังมาก่อนตัวเสียอีก ดวงตาคมเหมือนเหยี่ยวของเธอมองมายังคริสตัลอย่างเดือลดาล
“อุ้ย...คะ?” คริสตัลเอ่ยขานรับอย่างไม่รู้สึกสำนึก
“ลงมาเดี๋ยวนี้!”
เด็กสาวผมฟูลงมาจากไม้กวาดตามคำสั่ง เธอเดินเข้าไปหามาดามฮูชด้วยรอยยิ้มซื่อ ที่ทำให้คาโลรู้สึกหงุดหงิดเหลือเกิน ดวงตาสีแดงเลือดยังวาวโรจน์ ฟินิกซ์ที่เหมือนจะยังมองเหตุการณ์ไม่ค่อยจะทันนักได้แต่ลูบแขนคาโลเบาๆ บอกให้เพื่อนใจเย็น
“ทำไมเธอถึงได้ก่อปัญหาแบบนี้ ใครคนใดคนหนึ่งอาจได้รับบาดเจ็บ!” มาดามฮูชตำหนิด้วยท่าทางขึงขัง
“ขอโทษค่ะ” เธอเอ่ย ทว่าใบหน้ากลับไม่ได้ดูสำนึกผิดอะไรมากนัก
“ฉันจะทำยังไงกับเธอดี” มาดามฮูชถอนหายใจหนักๆ ในขณะที่คริสตัลยืนเอามือไพล่หลังรอคอยการลงโทษอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“สิบแต้ม” มาดามฮูชเอ่ย
“จะถูกหักจากกริฟฟินดอร์ และเธอต้องเอาไม้กวาดทั้งหมดไปเก็บให้เรียบร้อย ถ้าคราวหน้าเธอยังก่อปัญหาอีก ฉันจะแจ้งศาสตราจารย์มักกอลนากัล” เธอเอ่ยสั่ง ก่อนจะหันไปเอ่ยบอกทุกคน
“วันนี้เลิกเท่านี้ แยกย้ายกันได้”
ทุกคนพากันทยอยจากไป ไวท์มองคริสตัล ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“...ฉันเคยคิดนะว่าเธอเหมือนร่างโคลนของพี่สาวฉัน”
ดวงตาสีฟ้าอมเทามองไปยังอีกฝ่าย เธอมองกลับมาเหมือนกำลังบอกว่าเธอฟังอยู่
“...แต่ไม่...อาน่าน่ะ...มีเหตุผลกว่านี้ ยัยนั่นไม่เอาชีวิตคนอื่นมาล้อเล่นถ้าตัวเองรับผิดชอบไม่ไหวหรอก...” ไวท์หันไปมองเจมส์
“ไปเถอะ เจมส์” เจมส์มองคริสตัลเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามไวท์ไปในทันที
คริสตัลมองตามจนกระทั่งทุกคนทยอยออกไปกันจนหมด นิ่งเงียบเมื่อคิดตามคำพูดของไวท์...แววตาของเด็กสาวไหววูบชั่วครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มกว้างกับตนเอง และจัดการหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา เพื่อเตรียมโกงโดยการร่ายคาถาเก็บไม้กวาดทั้งหมด
“อะแฮ่ม...” เสียงกระแอมที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างจงใจของมาดามฮูช ทำให้คริสตัลชะงักไป และรู้สึกตัวว่ามาดามผู้สั่งลงโทษยังไม่ได้จากไปไหน
“หยุดคิดจะเล่นตุกติก และขนทุกอย่างไปเก็บเองเดี๋ยวนี้ คุณวิลสัน” ดวงตาคมกริบที่มองมาบ่งบอกให้รู้ว่าเธอจะจ้องมองทุกวินาทีจนกว่าคริสตัลจะเก็บไม้กวาดเสร็จ
เด็กสาวจึงได้แต่เดินขนไม้กวาดไปเก็บในตู้ด้วยตนเองอย่างจำยอม
ทางด้านไวท์ เขาชวนเจมส์ไปหาหนังสืออ่านที่ห้องสมุด เขาได้รู้ความจริงว่าเจมส์นั้นอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก หนังสือเรียนที่มีจึงไร้ความหมายไปโดยปริยาย ไวท์เป็นห่วงเพื่อนเหลือเกินเพราะการสอบตอนจบเทอมนั้นเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษ เขาจึงช่วยหาหนังสือที่เป็นภาษาเยอรมัน ซึ่งเป็นภาษาบ้านเกิดของพ่อของเจมส์ แล้วก็หนังสือที่เป็นอักษรรูนมา เพื่อช่วยให้เจมส์ได้เรียนรู้เนื้อหาไปก่อน แล้วค่อยมาฝึกภาษาอังกฤษ ระหว่างที่ทิ้งเจมส์ให้ทำความคุ้นเคยกับอักษรรูนอยู่ ไวท์ก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น เมื่อสิ่งที่เคยอยู่ในนั้นหายไป
...หายไปตอนไหนกัน...หรือจะเป็นตอนที่ล้มนั่น...
ไวท์คิดอย่างร้อนรน ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวฉันกลับมานะเจมส์” เขาเอ่ยบอก เจมส์เงยขึ้นมาก่อนจะพยักหน้ารับง่ายๆ และก้มลงสนใจหนังสือต่อ
ไวท์เดินออกมาจากห้องสมุด เตรียมวิ่งออกไปยังสนาม ทว่าระหว่างทางเสียงหนึ่งก็รั้งให้เขาหยุดเดิน
“คุณลูซิเฟอร์ครับ”
เสียงที่ทั้งคุ้นหูและไม่คุ้นหูแปลกๆ นั่นเรียกให้เขาชะงักฝีเท้า ไวท์หันกลับไปในทันที ปรากฏร่างสูงๆ ของเด็กหนุ่มสลิธีรินปีเดียวกันอีกคน...ทว่าตั้งแต่เข้ามาในฮอกวอตส์ ทั้งสองยังไม่เคยคุยกันจริงๆ เลยสักครั้ง เพียงเดินผ่านๆ กันผิวเผินเท่านั้น
วินาทีที่หันกลับไปนั้น ไวท์รู้สึกราวกับว่าโลกมันหมุนช้าลงไปชั่วขณะ บางอย่างในตัวมันแผดเสียงดังสนั่นอยู่ในห้วงความคิด ทว่าเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป...
“...มีอะไรเหรอ โรบินสัน?” เอซ โรบินสัน...เด็กหนุ่มร่างสูงผู้มีดวงตาสีเขียวหม่นลึกล้ำน่าค้นหากับคิ้วเข้มหนาเป็นเอกลักษณ์ เขามักมีรอยยิ้มสุภาพบางๆ ประดับบนใบหน้าแทบจะตลอดเวลา
“พอดีผมเจอมันตกอยู่ที่สนามน่ะครับ...คิดว่าคงเป็นของคุณ” สิ้นประโยค สร้อยคอสีเงินเส้นหนึ่งก็ถูกหยิบออกมา
มันเป็นสร้อยคอรูปดาวห้าแฉกที่มีอักษรรูนสลักคำว่าลูซิเฟอร์เอาไว้ และมีตัวอักษรWสลักไว้ด้านบนสุด
ไวท์รีบคว้ามันกลับคืนมาทันทีอย่างหวงแหน จ้องมองสร้อยในมืออย่างโล่งอก ก่อนจะเหลือบขึ้นมองอีกฝ่าย
“...ขอบคุณนะ”
“ยินดีครับ...งั้น ผมขอตัวนะครับ” เขายิ้มพลางค้อมหัวเพียงเล็กน้อยแสดงภาษากายบอกลาง่ายๆ และก้าวเท้าเดินจากไปอีกทาง
ไวท์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนมือเรียวจะเลื่อนขึ้นกุมหัวตัวเองเอาไว้เบาๆ พลางสูดหายใจเข้าลึก
“...ใจเย็นหน่อยสิไวท์.....”
ทำไม...ใจมันถึงได้เต้นผิดจังหวะไปหมดแบบนี้นะ...เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง...ทว่าเขารู้สึกได้ว่ามันไม่ได้รู้สึกดีเลย มันไม่เหมือนกับความรู้สึกตกหลุมรักหรือตื่นเต้น...มันปวดหนึบ...ราวกับส่วนหนึ่งของเขากำลังกรีดร้องร่ำไห้...โดยที่เขาไม่รู้ว่าทำไม...
tbc

จับตาดูสร้อยเส้นนี้กันดีๆนะคะ มีความสำคัญน่าดูเลย
แฮ่ ตัวละครลับออกมาแล้วหนึ่ง เป็นใครกันน้า55555 กว่าจะเฉลยอีกนานเลย ไม่รู้นะมีคนจับได้ก่อนรึเปล่า~ ถ้าเจอคำผิดก็แจ้งได้นะคะ พยายามแก้เช็คแล้ว แต่อาจจะมีตาลายมองข้ามบ้าง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
