คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER 07 - Making Up [End.]
CHAPTER 07 - Making Up
ปีใหม่มีแผนจะทำอะไร?
คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าเบื่อพอๆกับ ‘เที่ยงนี้จะกินอะไร?’
หรือ ‘ปิดเทอมไปเที่ยวที่ไหนมา?’
สำหรับซึลกิ เธอไม่ทันได้คิดเลยด้วยซ้ำว่าปีการศึกษานี้เดินทางมาจนเกือบจะจบลงเสียแล้ว มันเหมือนกับว่านอกจากไปโรงเรียน ทำการบ้าน สอบกลางภาคและปลายภาคแล้วซึลกิก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย
เอ่อ...บางทีอาจจะยกเว้นการโกหกคนทั้งโรงเรียนว่าเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทตัวเอง
การไปชอบหนุ่มสุดป๊อบและโดนหักอกเพราะเขาชอบผู้ชายด้วยกัน การไปวางระเบิดที่บ้านของหนุ่มคนนั้นและถูกเพื่อนสนิทสารภาพรัก
สุดท้ายก็จบลงด้วยการที่พวกเธอทะเลาะกันนิดหน่อยทำให้ไม่ได้คุยกันไปค่อนเทอม
นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วปีนี้ก็ฟังดูเหมือนจะเป็นปีที่น่าเบื่อสำหรับซึลกิจริงๆเลยนะ
อีกสองอาทิตย์จะเป็นวันสิ้นปี
ซึลกิไม่มีแผนมากนักว่าปีหน้าอยากจะปรับปรุงอะไรในชีวิตตัวเองบ้าง
ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเธอต้องการและควรจะต้องแก้ปัญหาใหญ่ในชีวิตปัจจุบันให้สำเร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มันก็ดูจะแก้ยากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนตื่นเต้นกับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา
ซึลกิกลับกำลังซังกะตายเหมือนซอมบี้เพราะพิษที่เกิดจากไข้ใจ
“ปีใหม่นี้ฉันจะลดน้ำหนักล่ะ”
เสียงจากหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเรียนของซึลกิดังขึ้นทันทีที่เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างหล่อนพูดถึงเทศกาลปีใหม่ขึ้นมา
ซึลกิรู้ว่าที่เพื่อนสองคนนี้เข้ามาคุยด้วยและพยายามจะสนิทกับเธอหลังจากทะเลาะกับซึงวานไม่ได้เป็นเพราะพวกหล่อนอยากจะเป็นเพื่อนกับนักเรียนดังๆ
แต่เป็นเพราะสงสารซึลกิต่างหาก เธอรู้ว่ามันฟังดูน่าสมเพช แต่ถ้าให้เลือกซึลกิก็คงจะเลือกให้คนมาสงสารดีกว่าให้เข้ามาตีสนิทแค่เพราะอยากมีเรื่องให้ไปคุยกับคนอื่นได้เท่านั้น
“ฉันก็เห็นแกพูดงี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้น้ำหนักขึ้นไปกี่กิโลแล้วล่ะ”
คนเริ่มบทสนทนาพูดแซวก่อนจะหัวเราะออกมา
คนโดนแซวมุ่ยหน้าใส่หล่อนก่อนจะล็อคคอเพื่อนมาดีดหน้าผากดังเพี้ยะจนอีกคนหยุดขำและเปลี่ยนเป็นร้องโอดโอยแทน
ซึลกิยิ้มขำกับเหตุการณ์ตรงหน้าแต่เมื่อสายตาหลุบไปมองที่เก้าอี้ว่างข้างกายที่แต่ก่อนเคยมีคนบางคนเคยโดนเธอจับล็อคคอและดีดหน้าผากเหมือนอย่างที่เพื่อนสองคนนี้ทำซึลกิก็ยิ้มไม่ออก
คนคนนั้นคือปัญหาใหญ่ปัญหาเดียวที่ซึลกิอยากจะแก้ไขให้ถูกต้อง
คนที่ทำเธอซึมเซาเพราะเป็นไข้ใจ...คนเคยนั่งข้างเธอที่ชื่อซน ซึงวาน
“แล้วแกล่ะซึลกิ ปีใหม่จะทำอะไร?”
ถึงตาซึลกิต้องตอบบ้าง เธอทำเป็นอ้ำอึ้งเหมือนยังคิดไม่ออกทั้งที่คำตอบมันผุดขึ้นมาในหัวตั้งแต่ได้ยินคำถามแล้ว
ปีใหม่นี้เธออยากจะได้เพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอกลับคืนมา เธออยากจะบอกซึงวานว่าเธอมันโง่เองที่ไม่ยอมรับว่าจริงๆแล้วเธอรู้สึกยังไงและอยากจะบอกว่าเธอพร้อมแล้วที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
“ฉัน...ยังไม่ได้คิด...”
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สามารถพูดออกไปได้เมื่อตอนนั้นซึงวานเดินเข้ามาในห้องพอดี
ทุกๆวันซึลกิมักจะมองตามหล่อนเหมือนลูกหมามองตามเจ้าของที่ไม่ว่างพอจะมาเล่นกับมันและซึงวานก็จะเป็นเหมือนเดิมเสมอ
หล่อนใจแข็งเกินกว่าจะหันกลับมาสบตากับเธอ แม้แต่หางตาก็ยังไม่เหลือบมามอง
นั่นล่ะที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดในการแก้ปัญหาของซึลกิ
เธอไม่สามารถจะทำให้ซึงวานรับรู้ได้ว่าเธอรู้สึกยังไงถ้าหล่อนยังเอาแต่เมินใส่อยู่แบบนี้
ซึลกิโคตรจะรู้สึกผิดเลย
เธอยอมรับไม่ได้หรอกถ้าหากว่าเธอต้องปล่อยให้ซึงวานกลายเป็นแค่คนที่ไม่รู้จักกันไปจนจบชั้นมัธยมปลายแล้วกลับมานั่งเสียใจตอนอายุหกสิบว่าทำไมถึงได้ปล่อยคนที่ตัวเองรักที่สุดไปโดยไม่คิดจะทำอะไรเลยซักอย่าง
มันต้องมีซักทางสิน่า
โอเค...ซึลกิเริ่มจะท้ออีกแล้ว
ซึงวานน่ะเป็นคนที่ใจร้ายที่สุดในโลกเลย
สองสามวันมานี้ซึลกิพยายามจะเข้าไปคุยกับหล่อนแต่แค่เห็นหน้าเธอในระยะห้าเมตรซึงวานก็หายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้อย่างกับนินจา
ซึลกิเคยแม้แต่ขอให้ซูยองช่วยแกล้งพาซึงวานมาเจอเธอตามลำพังเพื่อที่จะได้คุยกับหล่อนได้สะดวก
แต่เมื่อซึลกิเห็นสีหน้าเศร้าๆของซึงวานเธอก็พูดอะไรไม่ออก เธอเกิดความรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะทำอะไรผิดพลาดไปอีกครั้ง
กว่าจะรวบรวมความกล้ากลับมาพูดได้ใหม่ซึงวานก็เดินหนีไปไกลแล้ว
บางทีกินเนสส์บุ๊คน่าจะมาบันทึกไว้ว่าคัง
ซึลกิเป็นมนุษย์ที่กากที่สุดในโลก...
“เตรียมโชว์ปาร์ตี้ปีใหม่เสาร์นี้ยังหมี?”
เสียงของรุ่นพี่เบ จูฮยอนประธานชมรมรั้งซึลกิที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องชมรมได้แค่สามนาทีแล้วกำลังจะกลับออกไปเพราะไม่เจอซึงวานให้หยุดเดินก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันเสาร์นี้ชมรมของเธอจะมีปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่ากันที่บ้านของครูคิม
ซึ่งมีกฎว่าทุกคนที่ไปจะต้องเตรียมการแสดงไปโชว์ไม่ว่าจะแบบกลุ่มหรือเดี่ยวอันเป็นสิ่งที่ทำให้สมาชิกในชมรมรู้สึกตื่นเต้นกันใหญ่
แต่สำหรับซึลกิแล้วนี่มันน่าสนใจมากพอๆกับการไปนั่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์ติดต่อกันสามชั่วโมงรวด
ปีใหม่น่ะอยู่ห่างออกไปอีกตั้งเกือบสองอาทิตย์ ไม่รู้จะรีบฉลองกันไปไหน...
ซึลกิหันไปทำหน้าเนือยใส่จูฮยอนราวกับจะตอบกลับไปว่า ‘ช่างหัวไอ้ปาร์ตี้นั่นเถอะ
ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นนอกจากซน ซึงวาน’
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดออกไปจริงๆ แค่ส่ายหัวและตอบปฏิเสธ
“ฉันไม่ไปหรอกพี่”
จูฮยอนทำหน้ามุ่ยแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะซึลกิมักจะตอบปฏิเสธงานปาร์ตี้พวกนี้เสมอยกเว้นแต่ว่าจะมีความจำเป็นให้ต้องไปจริงๆ
และยิ่งช่วงนี้ที่ชีวิตของซึลกิเหี่ยวเฉาไร้ความหวังด้วยแล้ว
วันหยุดสุดสัปดาห์เธอขอนอนกินน้ำตาอยู่บ้านเงียบๆคนเดียวคงดีกว่า
“ได้ข่าวว่าพี่ซึงวานก็ไปด้วยนะ”
ประโยคสั้นๆจากน้องคิม
เยริมที่เข้ามาร่วมวงกับพี่จูฮยอนตอนไหนก็ไม่รู้เรียกให้ซึลกิกลับไปสนใจอีกหน เธอรู้ว่าซึงวานน่ะเกลียดงานเข้าสังคมยิ่งกว่าเธอซะอีก
บางทีหล่อนอาจจะคิดว่าซึลกิไม่มีทางไปแน่ก็เลยตัดสินใจไปอย่างนั้นล่ะมั้ง และเธอก็รู้ว่าที่ เยริมโพล่งขึ้นมาแบบนั้นเป็นเพราะเจ้าเด็กแสบคิดว่าซึลกิคงอยากจะไปทุกที่ที่ซึงวานไป(ซึ่งนางก็คิดถูกแล้ว)
มีหลายอย่างเหลือเกินที่ซึลกิเก็บเอาไว้ในใจและไม่ได้บอกให้คนที่ควรรู้ได้รับรู้
ซึลกิทั้งรู้สึกผิดต่อเพื่อน
รุ่นพี่และรุ่นน้องที่ยังเข้าใจว่าเธอเคยคบกับซึงวานเพราะแผนโกหกชั่ววูบนั่น
และทั้งรู้สึกผิดต่อซึงวานที่ต้องเสียใจเพราะเธอไม่ทำอะไรให้มันชัดเจนเสียที เธอรู้สึกว่าถ้าเธอยังไม่กล้าพอที่จะลงมือทำอะไรซักอย่าง
โอกาสที่จะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดนั้นอาจจะไม่มีอีกเลยก็ได้
เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังคิดที่จะทำมันทั้งบ้าและกากอย่างที่มันมักจะเป็นมาเสมอ
แต่ถ้าไม่ลองดูโอกาสทั้งหมดก็จะเป็นศูนย์ เธอยอมโดนนินทา โดนหัวเราะใส่หน้าหรือแม้กระทั่งโดนสงสาร
แต่ซึลกิจะไม่ยอมให้ซึงวานหันหลังให้เธออีกแล้ว
วันเสาร์มาถึงด้วยความเชื่องช้าและรวดเร็วในคราวเดียวกันและซึลกิก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นได้อย่างไร
แม่ถึงขั้นยอมให้เธอขับรถกระป๋องสุดหวงไปงานปาร์ตี้เมื่อรู้ว่าคืนนี้เธออาจจะได้ขับไปส่งซึงวานที่บ้านถ้าหากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
หมายถึง...ถ้าหากว่าซึงวานยังไม่เกลียดเธอไปเสียก่อนน่ะนะ
เรื่องห่วยๆเรื่องแรกที่ซึลกิต้องเจอคือการที่เธอหลงทางไปบ้านครูคิมอยู่ร่วมชั่วโมง
เมื่อไปถึงบ้านหลังโคตรใหญ่ของครูคิมเธอก็พบกับสีหน้าประหลาดใจของผู้ร่วมงานที่เจอคนแรกๆ
แน่ล่ะ...พวกเขาไม่ชินกับการเห็นซึลกิในงานพวกนี้นักหรอก
มีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ยังหาเครื่องดื่มกันอยู่บริเวณห้องนั่งเล่นบอกกับซึลกิว่าการแสดงที่เวทีในสวนหลังบ้านได้เริ่มไปสักพักแล้ว
ซึลกิเดินตามเสียงเพลงและเสียงผู้คนที่ส่งเสียงเชียร์(ซึ่งดังพอจะทำให้บ้านหลังที่อยู่ใกล้ที่สุดเรียกตำรวจมาตักเตือนพวกเธอได้)ไปจนถึงสวนหลังบ้าน
มันเป็นสนามหญ้าโล่งกว้างที่คงดูสงบน่าวิ่งเล่นในวันที่อากาศดีแต่ในขณะนี้มันถูกบรรจุด้วยเด็กวัยรุ่นหลายสิบคนและเวทีแสงสีเสียงฟูลออพชั่นอภินันทนาการโดยครูคิมเจ้าเก่า
ซึลกิชักจะสงสัยแล้วล่ะว่าครูคิมร่ำรวยผิดปกติจากธุรกิจไม่โปร่งใสหรือเปล่าถึงได้ทำอะไรได้ขนาดนี้
แต่เมื่อคิดว่าหล่อนมีความก้าวหน้าในการงานมากเมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกันและยังเป็นโสดไม่มีลูกให้ต้องเลี้ยงก็พอจะเข้าใจได้
“หูว จะเล่นกีต้าร์เหรอพี่ซึลกิ?”
จากสมาชิกทั้งหมดที่ยืนเกลื่อนกลาดอยู่ในบริเวณนี้
เยริมเป็นคนแรกที่เข้ามาประชิดตัวซึลกิซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเด็กคนนี้มีเรดาร์จับได้ว่าเธอเข้ามาอยู่ใกล้ในระยะห้าเมตรและต้องเข้ามาชวนคุยก่อนทุกครั้ง
ซึลกิกระชับสายสะพายของกระเป๋ากีต้าร์บนบ่าก่อนจะตอบรับในลำคอไปเบาๆ
เธอใช้เวลาคิดและเตรียมตัวที่จะปฏิบัติการนำความอับอายมาสู่ตัวเองในคืนนี้ด้วยระยะเวลาแค่สามวันนับจากวันที่จูฮยอนถามเรื่องการแสดงของเธอขึ้นมา
กีต้าร์ที่ใช้ฝึกแบบง่อยๆและเอามาด้วยในวันนี้ก็ยังยืมพี่ข้างบ้านมาด้วยซ้ำ
อันที่จริงเธอคงจะเริ่มรู้สึกประหม่ามากกว่านี้ถ้าหากว่าไม่เกิดอาการกระวนกระวายขึ้นมาเสียก่อน
ซึลกิพยายามมองหามนุษย์ซึงวานตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบคนลักษณะคล้ายฮอบบิทผสมชิพมังค์แบบหล่อนเลยแม้แต่คนเดียว บนเวทีตอนนี้เป็นรุ่นพี่คยูฮยอนที่กำลังร้องเพลงและเล่นกีต้าร์อยู่ เขามองตรงมายังหญิงสาวที่ยืนห่างจากเวทีไม่ไกลด้วยสายตาหวานเยิ้มและซึลกิก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่ผู้หญิงคนนั้นก็คือคนที่ทำให้คยูฮยอนไม่สนใจเธออีกต่อไปแล้วนั่นเอง
บรรยากาศรอบตัวในขณะนี้ช่างหวานเลี่ยนจนซึลกิอยากจะเดินไปสารภาพรักกับซึงวานให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ปัญหามีแค่อย่างเดียวคือเธอไม่รู้ว่าหล่อนอยู่ที่ส่วนไหนของโลก
หรือบางทีหล่อนอาจจะเปลี่ยนใจไม่มาแล้ว?
“พี่ซึงวานอยู่โน่นแหนะ”
เหมือนจะอ่านใจของเธอได้
เด็กเยริมสะกิดไหล่ซึลกิและพยักเพยิดไปอีกฝั่งของสนามหญ้า
ท่ามกลางแสงหลากสีที่สาดไปไม่ถึงและผู้คนหลายชีวิตที่ยืนรายล้อมอยู่ ตอนนี้ซึลกิเห็นซึงวานแล้ว
หล่อนกำลังคุยกับเพื่อนคนอื่นๆอย่างสนุกสนานเหมือนกับหลายครั้งที่ซึลกิแอบมองไปและเห็นภาพแบบนั้น
หัวใจของเธอถูกบีบเพราะรอยยิ้มกว้างของซึงวานที่กลายเป็นของคนอื่นไปแล้วด้วยความโง่เง่าของเธอเอง
เธอคิดถึงมัน...คิดถึงมากๆ
“...รักนะครับ”
“สวัสดีปีใหม่ครับทุกคน!”
สติของซึลกิถูกดึงกลับมาเพราะเสียงปรบมือและโห่แซวจากคนอื่นๆที่ดังขึ้นหลังจากคยูฮยอนร้องเพลงจบและกล่าวคำบอกรักส่งถึงแฟนสาวของเขา
รุ่นพี่คยูฮยอนก็ยังคงเล่นใหญ่เล่นเว่อร์อยู่เหมือนเดิม
แต่ในตอนนี้ที่เขามีคนที่เต็มใจจะเล่นด้วยแล้วมันก็ดูน่ารักมากทีเดียว
พอซึลกิมองไปที่เขาเธอก็ถึงกับรู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อคิดถึงสิ่งที่เธอเคยทำไว้กับเขาทั้งหมดนั่น
ทั้งทำเป็นไม่สนใจ ทิ้งขว้างของที่เขาให้และยังโกหกเพื่อกันเขาออกไปอีก เดาว่าตอนนี้ผลกรรมคงกำลังตามสนองเธออยู่แน่ๆ
“ใครพร้อมจะขึ้นมาแสดงคนต่อไปจ๊ะ?”
ครูคิมผู้เป็นทั้งแม่งานและพิธีกรถามขึ้นมาหลังจากส่งยิ้มหวานให้คยูฮยอนศิษย์รักที่เพิ่งลงจากเวทีก่อนที่เสียงพึมพำจากผู้ร่วมงานจะดังขึ้นคล้ายกับจะปรึกษาปนเกี่ยงกันขึ้นไปแสดง
ซึลกิยอมรับว่าเธอเองก็ยังไม่พร้อมและเพิ่งมาถึงที่นี่ได้แค่ไม่กี่นาทีแต่เธอก็คงไม่อยากรอจนซึงวานกลับบ้านไปแล้วหรอก
ต่อให้มันจะน่าอายขนาดไหนแต่ซึลกิต้องแก้ไขเรื่องทั้งหมดให้ถูกต้อง
“โอ้ คัง ซึลกิ...นึกว่าไม่มานะเนี่ย ขึ้นมาเลยๆ”
หลังจากครูคิมเรียกซึลกิขึ้นไปเพราะเธอยกมือขึ้นมาซะโดดเด่น
ซึลกิก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังมองมาที่เธอเป็นตาเดียวรวมทั้งกลุ่มของซึงวานด้วย
เธอหันไปมองเยริมที่ยิ้มให้กำลังใจกลับมาก่อนจะเดินออกไปด้วยความรู้สึกเหมือนจะเป็นลมในทุกย่างก้าว
แทยอนส่งไมค์ในมือมาให้เธอ ลากขาตั้งไมค์กับเก้าอี้ที่คยูฮยอนใช้นั่งเล่นกีต้าร์เมื่อครู่มาให้และลงไปจากเวที
ปล่อยให้เธอยืนสู้กับสายตาหลายสิบคู่จากด้านล่างของเวทีอยู่คนเดียว
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจ คาดหวัง
และรอคอยเหล่านั้นมีดวงตาคู่เดียวที่ซึลกิตั้งใจมองกลับไปมากที่สุด
เพื่อนรอบตัวของซึงวานเลิกชวนหล่อนคุยและต่างก็หันมาสนใจซึลกิ
ซึงวานเองก็เลยต้องหันมาสนใจไปด้วย ซึลกิมองไม่ออกว่าสีหน้าเรียบเฉยของอีกคนนั้นสื่อถึงอะไร
บางทีมันอาจจะกำลังถามซึลกิว่า ‘คิดจะทำอะไรโง่ๆอีกล่ะ?’ อยู่ก็ได้...
“ก่อนที่จะแสดง ฉันอยากทำให้การปรับปรุงตัวสำหรับปีใหม่ของฉันสำเร็จก่อน
และมันจะสำเร็จไม่ได้เลยถ้าไม่มีทุกคน...”
ซึลกิสูดหายใจลึกและพยายามควบคุมมือที่ถือไมค์ไม่ให้สั่น
ถ้านี่มันจะเป็นการทำอะไรโง่ๆจริง อย่างน้อยซึลกิก็สบายใจว่าจะไม่มีใครถูกโกหกอีก
ช่วงปีใหม่มีหลายคนที่ลงมือเขียนลิสต์สิ่งที่อยากจะปรับปรุงแก้ไขให้กับตัวเองแต่ก็มีน้อยคนที่สามารถทำได้สำเร็จ ซึลกิเองที่ไม่เคยเขียนอะไรพวกนั้นและไม่เคยคิดอยากจะปรับปรุงตัว
ถึงตอนนี้เธอกลับมีลิสต์ที่ต้องขีดฆ่าตัวใหญ่ๆเขียนอยู่ในใจขึ้นมาเสียแล้ว
“ปีใหม่นี้ฉันอยากจะเลิกโกหกค่ะ”
“คนแรกที่ฉันอยากจะเลิกโกหกคือรุ่นพี่คยูฮยอน
ตอนที่ฉันบอกว่าฉันคบกับซึงวานอยู่ ฉันโกหกเพราะไม่อยากให้พี่มาตามจีบฉันอีก
ความจริงแล้วฉันไม่เคยคบกับซึงวานเลย ฉันขอโทษจริงๆค่ะ”
เอาล่ะ
จากที่ซึลกิคิดว่าก่อนหน้าบรรยากาศเงียบมากพอแล้ว
หลังจากประโยคล่าสุดของเธอบรรยากาศก็ยิ่งเงียบมากขึ้นไปอีก
รุ่นพี่คยูฮยอนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลดูเหมือนกำลังพยายามอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจคำพูดของเธออยู่ในขณะที่ทุกคนในบริเวณนั้นมองหน้าของเธอสลับกับเขาไปมาแบบอึ้งๆ กลุ่มเพื่อนที่อยู่ใกล้กับซึงวานเริ่มหันไปมองเจ้าตัวว่ายังโอเคอยู่หรือเปล่าแต่ซึลกิก็ไม่แน่ใจนักเพราะสีหน้าของหล่อนยังคงเรียบเฉยอยู่เหมือนเดิม
ณ จุดนี้เธอไม่สามารถถอยกลับไปได้แล้ว
“คนต่อไปที่ฉันอยากจะเลิกโกหกก็คือทุกคนที่เชื่อว่าฉันคบกับซึงวาน
ฉันขอบคุณแล้วก็ขอโทษทุกคนที่คอยบอกให้ฉันกลับไปคืนดีกับมันจริงๆนะ
แต่ที่ฉันทำไม่ได้ซักทีเพราะว่าฉันเองก็โกหกซึงวานด้วยเหมือนกัน...”
หลังจากที่ได้สารภาพไปแล้ว ตอนนี้สายตาที่มองมาทั้งหมดนั่นไม่สำคัญกับซึลกิอีกต่อไป
สิ่งที่เธอจะพูดหลังจากนี้มันจะเป็นของซึงวานแค่คนเดียว มันจะเป็นของหล่อนแน่นอนในขณะที่หล่อนยังคงฟังเธอ
ไม่เดินหนีไปเหมือนก่อนหน้านี้
“ฉันโกหกแกว่าฉันไม่ได้รู้สึกแบบที่แกรู้สึก
ฉันโกหกตัวเองว่าคงทนได้ตอนที่แกหายไปจากชีวิตฉันทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้แกจะยังรู้สึกกับฉันเหมือนเดิมรึเปล่า
แต่ที่ฉันรู้สึกกับแกมันยิ่งกว่าเพื่อน...ยิ่งกว่าแฟน...”
“ตอนนี้ฉันโกหกตัวเองไม่ได้อีกแล้วว่าแกคือคนที่ฉันรัก”
ความเงียบถูกทำลายด้วยเสียงฮือฮาอีกครั้ง
เธอเพิ่งจะสารภาพรักออกไปต่อหน้าคนนับสิบที่มองมา ซึลกิรู้สึกว่าซึงวานกำลังเข้ามาใกล้เวทีขึ้นเรื่อยๆเพราะคนรอบตัวที่ขยับเปิดทางและดันหล่อนเข้ามากลายๆ
เธอรู้ว่าซึงวานเกลียดการตกเป็นเป้าความสนใจด้วยสาเหตุที่ไม่ได้มาจากการได้แสดงความสามารถหรือการได้ออกไปพรีเซนต งาน
เธอรับรู้ได้ว่าหล่อนกำลังอึดอัดแต่นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ซึงวานสนใจเธอได้
อย่างน้อยทุกคำที่เธออยากจะบอก เธอก็แน่ใจว่าหล่อนได้ยินมันไปหมดแล้ว
จากนี้ก็เหลือแค่ต้องมาลุ้นกันว่ามันจะแป้กหรือไม่แป้กเท่านั้น
“ฉันไม่รู้ว่ามันยังทันอยู่รึเปล่า
แต่ถ้าขอได้ฉันก็จะขอให้แกไม่เดินหนีฉันไปอีก ฉันจะขอให้แกกลับมา...”
ซึลกิรู้ว่านี่เป็นการส่งเข้าเพลงที่เห่ยที่สุดในโลก
เธอเสียบไมค์เข้ากับขาตั้งและเปิดกระเป๋ากีต้าร์ออกมาพร้อมที่จะเล่น เธอจำได้ว่าซึงวานเกลียดทุกครั้งเวลาที่ดูหนังด้วยกันแล้วดันมีฉากร้องเพลงสารภาพรักแบบง่อยๆของพระนางออกมา
และซึลกิก็จำได้ว่าต่อให้เธอจะเกลียดทุกครั้งที่ซึงวานพยายามยัดเยียดเพลงบางเพลงให้เธอฟัง
เธอก็ยังอยากจะร้องมันออกมาเพราะว่ามันเป็นเพลงที่หล่อนรักมากที่สุด
“I am not a kind of…”
“girl”
ซึลกิไม่สามารถร้องต่อได้โดยไม่หยุดกลางคันเพื่อเปลี่ยนคอร์ดที่จับอยู่เป็นอีกคอร์ด เธอรู้ว่ามันดูกากและหลังจากนี้เธออาจจะต้องโดนล้อไปตลอด แต่อย่างน้อยซึลกิก็ได้พยายามทำอะไรลงไปบ้างแล้ว
“Who should be rudely barging…in”
ซึลกิพยายามจะร้องต่อไปทั้งที่ยังตะกุกตะกักกับการจับคอร์ดที่เพิ่งฝึกมาเพียงสามวัน
บางทีนั่นอาจดูน่าสงสารจนคนที่ยืนดูอยู่ตลอดทนไม่ได้
“พี่เล่นให้ครับ”
อยู่ๆรุ่นพี่คยูฮยอนก็เดินดุ่มขึ้นมาบนเวทีแล้วยื่นมือออกมาเป็นเชิงเสนอความช่วยเหลือ
นอกจากนี้มันยังเป็นเหมือนสัญญาณที่บอกว่าเขาให้อภัยในความผิดที่เธอเพิ่งจะสารภาพออกมาด้วย
ซึลกิปล่อยให้คยูฮยอนเล่นกีต้าร์ให้ก่อนจะเริ่มร้องเพลงต่อโดยไม่ละสายตาไปจากซึงวานที่ตอนนี้ถูกจ้องมองโดยคนรอบตัวเพื่อดูว่าหล่อนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
มันก็เกือบจะดีแล้วจนกระทั่งซึงวานเดินแหวกผู้คนและหนีออกไปจากตรงนั้นนั่นล่ะ
เพลง Speak now ที่หล่อนมักจะฟังจนจบและวนซ้ำไปมา
ครั้งนี้ซึงวานกลับเลือกฟังแค่ไม่ทันถึงครึ่งเพลงด้วยซ้ำ
คนในงานเริ่มแตกตื่นเช่นเดียวกับตัวซึลกิเอง
เธอหยุดร้องและหันไปมองหน้ารุ่นพี่คยูฮยอนที่อยู่ข้างๆ
“ตามไปสิครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“รุ่นพี่...ไม่โกรธที่ฉันโกหกเหรอคะ?”
“ถ้ารู้ก่อนหน้านี้อาจจะโกรธครับ แต่ตอนนี้พี่ต้องขอบคุณน้องซึลกิด้วยซ้ำที่ทำให้พี่ได้คบกับแฟนคนปัจจุบัน”
“แล้วก็นะ...เวลาที่น้องซึลกิอยู่กับซึงวานน่ะดูมีความสุขมากจนพี่ไม่กล้าเข้าไปยุ่งเลย
ไม่น่าเชื่อว่าเพิ่งจะรู้ตัว”
เขาถอนหายใจก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นอีกเมื่อซึลกิยังคงยืนนิ่งเป็นเด็กเอ๋ออยู่ที่เดิม
“มัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบตามซึงวานไปเร็วสิครับ น้องซึลกิเองก็ต้องสมหวังในความรักเหมือนกันนะ”
ตอนนั้นเองที่ซึลกิเพิ่งรู้ตัวว่าควรจะเริ่มวิ่งได้แล้ว...
“ซึงวานอา”
ตอนนี้ซึลกิกำลังยืนหอบอยู่บริเวณลานหน้าบ้านของครูคิมโดยมีซึงวานยืนกอดอกหันหลังให้อยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว แสงจากดวงไฟที่ประตูหน้าบ้านสาดมาถึงตรงนี้ทำให้ก้อนกรวดสีดำเงาบนทางเท้าที่พวกเธอเหยียบอยู่ดูระยิบระยับเหมือนดวงดาวดวงเล็กๆ
“แกทำอะไรของแก?”
ซึลกิดีใจจนแทบเป็นลมตอนที่ได้ยินเสียงของซึงวานตอบกลับมา
ตอนที่วิ่งตามมาจนทันเธอนึกว่าหล่อนจะวิ่งหนีไปอีกแต่โชคดีที่ซึงวานยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นและเอ่ยปากคุยกับเธอได้เสียที
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของหล่อนจะหงุดหงิดเอามากๆก็เถอะ
“คนมองเยอะขนาดนั้นไม่อายบ้างรึไง?” เธอก้าวเข้าไปใกล้กับคนที่ยังหันหลังให้อยู่ทีละนิด
ดูเหมือนว่าซึงวานเริ่มจะโมโหมากกว่าเดิม หล่อนพูดไม่หยุดเรื่องที่เธอทำเพิ่งจะอะไรบ้าๆบนเวทีและเรื่องที่ว่าคนอื่นมองหล่อนจนแทบจะกินเข้าไปอยู่แล้ว
“แกไม่เห็นสายตาที่คนพวกนั้นมองมาเลยเหรอวะ? ไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดเลยเหรอ?”
“ฉันไม่ได้สนใจคนอื่น...ฉันมองแค่แกคนเดียว”
สิ่งที่ซึลกิเพิ่งพูดเหมือนไปปิดสวิตช์กล่องเสียงของซึงวานเข้าทำให้หล่อนเงียบไปเลย
ไม่นานซึลกิก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหล่และแผ่นหลังของคนตรงหน้าเริ่มสั่นเพราะแรงสะอื้น
“ก-แก...”
หมับ!
ร่างของซึลกิเซถอยหลังเมื่อโดนซึงวานหันกลับมาโผเข้ากอดอย่างไม่ทันตั้งตัว
แขนเล็กทั้งสองของหล่อนโอบรอบคอของเธอไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไป
วินาทีแรกที่สัมผัสนั้นจู่โจมซึลกิรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงวิ้งๆแล่นอยู่ภายในใบหูก่อนจะตามด้วยเสียงตุบหนักๆเพราะหัวใจสูบเฉือดเลือดเร็วและแรงขึ้น
“แก...ฮึก...แกรู้มั้ยว่าฉันรอแกมานานขนาดไหน”
ซึงวานกำลังร้องไห้ ใช่ ร้องหนักเลยล่ะ
ใบหน้าของหล่อนฝังอยู่กับไหล่ของซึลกิในขณะที่เธอค่อยๆวาดแขนของตัวเองไปโอบเอวเล็กตอบ
ซึลกิเพิ่งจะรู้ตัวในตอนนั้นเองว่าเธอคิดถึงซึงวานมากจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว
“ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันขอโทษ”
“แกรู้มั้ยว่าฉันร้องไห้เพราะแกไปกี่ครั้ง
ฉันเกือบจะยอมแพ้ไปแล้วด้วยซ้ำ”
เสียงอู้อี้นั้นเต็มไปด้วยความน้อยใจ
เวลาที่ซึลกิปล่อยให้เสียไปมันแทบจะไม่คุ้มเลย เธอรู้ว่าแค่ขอโทษมันยังไม่พอที่จะเอาความรู้สึกดีๆของซึงวานคืนมาได้
แต่หลังจากนี้เธอจะพยายามทำให้มันก่อตัวขึ้นมาใหม่ให้มากกว่าเดิม
“ถ้าเกิดฉันเลิกชอบแกไปแล้วจะทำยังไง” ซึงวานเริ่มจะขยำคอเสื้อของเธอจนยับไปหมดแล้ว
ซึลกิเลื่อนฝ่ามือที่ค้างอยู่บนเอวของหล่อนไปลูบแผ่นหลังให้อีกคนหยุดสะอื้นแต่ก็ไม่เป็นผลนัก
ซึงวานทั้งร้องไห้และพูดไม่หยุดไปพร้อมกันจนน่ากลัวว่านั่นจะทำให้หล่อนหายใจไม่ทัน
“ไอ้หมีบ้า ไอ้หูกาง เล่นกีต้าร์ไม่เป็นก็ยังจะเล่นอีก
ตอนฉันจะสอนแกเล่นทำไมไม่ตั้งใจฟัง”
“ไอ้กาก คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะชอบเหรอ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกเรื่อง
once รึไง ฮึก”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซึลกิยอมเงียบเพื่อให้ซึงวานด่าเธอไปเรื่อยๆอยู่ฝ่ายเดียว
เธอสามารถยืนฟังคำด่าของอีกคนได้ทั้งคืนเลยตราบใดที่เธอยังได้กอดหล่อนเอาไว้แบบนี้
พลันที่หูได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากด้านหลัง
ซึลกิเอี้ยวคอเหลือบไปเห็นเงาของคนจำนวนหนึ่งตรงช่องประตูหน้าบ้านที่แง้มไว้และบานหน้าต่างกรองแสง
ถ้าซึงวานเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่เธอและเห็นคนจ้องมองอยู่เยอะขนาดนี้หล่อนคงได้วิ่งหนีไปอีก
ซึลกิจึงค่อยๆยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากเพื่อบอกให้คนพวกนั้นเงียบและสะบัดมือเป็นเชิงบอกให้ออกไปจากตรงนั้น
เธอคิดว่าหนึ่งในคนพวกนั้นจะต้องมีเยริมอยู่ด้วยแน่นอน
ไม่นานเสียงเหล่านั้นก็เงียบไปและเงาผู้คนก็ทยอยหายไป
เสียงสบถของซึงวานเองก็หายไปด้วย
ซึลกิแทบจะรู้สึกดีขึ้นมาแล้วถ้าไม่ติดว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอยังไม่หยุดร้องไห้เลยนี่สิ...
“เฮ้ หยุดร้องไห้เถอะ”
ซึลกิคลายกอดให้หลวมขึ้นเพื่อจะเช็ดน้ำตาให้ซึงวาน
หล่อนหลบสายตาของเธอในขณะที่ลดแขนลงจากไหล่และปล่อยให้เธอใช้หัวแม่มือเกลี่ยน้ำตาบนแก้มให้อยู่อย่างนั้น
“ไม่เอาไม่ร้องแล้ว ร้องทำไมเล่า”
เธอกระซิบคำปลอบซ้ำๆเมื่ออีกคนยังหลุดสะอื้นออกมาอยู่เล็กน้อย
“ก็ฉันหงุดหงิดนี่”
ซึงวานตอบด้วยเสียงสั่นเหมือนเด็กน้อยที่โดนเพื่อนแกล้ง
ริมฝีปากบางที่เชิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวบวกกับจมูกแดงๆนั่นทำเอาสติของซึลกิกระเจิดกระเจิง
“หงุดหงิดฉันเหรอ
ถ้าหงุดหงิดฉันฉันยอมให้ตีเลยเอ้า นี่ๆๆ”
ซึลกิจับมือทั้งสองข้างของซึงวานมาตีๆตามหัวและใบหน้าของตัวเอง
เธอคิดว่าความจริงแล้วเธอควรจะโดนมากกว่านี้อีกด้วยซ้ำแต่ซึงวานก็ไม่ได้ทำอะไร
ไม่นานหล่อนก็หลุดขำกับการกระทำปัญญาอ่อนของเธอจนได้
ซึงวานเลื่อนฝ่ามือที่ยังถูกจับเอาไว้มาวางบนแก้มของเธอและใช้ดวงตาแดงก่ำจ้องมองมาอย่างเอาจริงเอาจังทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังยิ้มขำอยู่เลย
“ห้ามปล่อยให้ฉันหนีแกไปไหนอีก เข้าใจมั้ย?” เธอไม่ค่อยชินกับซึงวานร่างโหดแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันช่างดูฮอตชวนให้สติกระเจิงอีกรอบมากๆ ตอนนี้ถ้าซึงวานสั่งให้ซึลกิคลานเข่าเข้ามาหา
เธอก็จะยอมทำแต่โดยดี
“เข้าใจแล้ว ไม่ปล่อยให้ไปไหนอีกแล้ว”
“ต่อให้ฉันวิ่งหนีเร็วขนาดไหนแกก็ต้องตามมาให้ทันด้วย”
“ได้ เร็วแค่ไหนก็จะตามให้ทัน”
เธอรับคำก่อนจะปล่อยมือที่กุมมืออีกคนไว้และกลับไปโอบเอวหล่อนอย่างเดิม
เธออุตส่าห์ทะเลาะกับเด็กผู้ชายทั้งกลุ่มเพื่อปกป้องหล่อนมาตั้งหลายปี
ยอมไม่ไปเล่นกับเด็กที่ซึงวานเกลียดขี้หน้าตั้งหลายคน ยอมทำอะไรที่น่าอับอายต่อหน้าคนทั้งชมรมมาตั้งขนาดนี้
จะยอมปล่อยให้ซึงวานหนีไปไหนอีกได้ยังไงกัน
“ฉันว่าฉันควรจะจูบแกได้แล้ว”
ซึลกิกระซิบออกมาเมื่อเธอรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี
ซึงวานคงรู้สึกกระดากหูกับประโยคนั้นไม่น้อยแต่มันก็ทำให้หล่อนหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศ
ไม่มีใครกล้าทำอะไรจนกระทั่งคนในอ้อมกอดของเธอพูดเสียงอู้อี้ออกมา
“ก็ทำซะสิไอ้หมีบื้อ”
แล้วเรื่องราวก็เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น
ถึงแม้จูบครั้งล่าสุดของซึงวานจะเป็นภาพพร่ามัวสำหรับเธอ
แต่ครั้งนี้มันกลับแจ่มชัดระดับฟูลเอชดีสี่มิติ ซึลกิรู้สึกถึงมือของซึงวานที่เลื่อนขึ้นมาวางบนท้ายทอยของเธอและมือของเธอที่โอบรอบเอวเล็กของหล่อน
ใบหน้าและกลิ่นกายที่คุ้นเคยเมื่อรวมกับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคยทำเอาเธอแทบจะหัวใจวายเพราะความประหม่า
ในที่สุดความรู้สึกที่เหมือนมีดอกไม้ไฟเป็นพันดอกถูกจุดอยู่ในหัวก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเฮลั่นจากหลังบานประตูที่เคยมีกองเชียร์ไม่ได้รับเชิญมาสังเกตการณ์ก่อนหน้านี้
ดูเหมือนซึงวานจะรู้ตัวแล้วว่าพวกเธอถูกแอบมองอยู่ตลอด
หล่อนผละออกไปก่อนจะเม้มปากแน่น
เมื่อไม่รู้ว่าจะซ่อนใบหน้าแดงก่ำนั่นได้ที่ไหนหล่อนก็ซุกลงมาที่ไหล่ของซึลกิและพวกเธอทั้งสองคนต่างก็หัวเราะออกมาด้วยความเขินจนปิดไม่มิด
ด้วยความสัตย์จริง
ตอนนี้ซึลกิพูดได้เต็มปากแล้วว่าเธอโคตรจะรักปาร์ตี้ปีใหม่เลยล่ะ
“ขอทางหน่อยค่ะ”
ซึงวานพยายามจ้ำอ้าวให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาสั้นๆของเธอจะเอื้ออำนวยผ่านฝูงนักเรียนที่คุยกันโหวกเหวกราวกับไม่ได้เจอกันมาเป็นชาติตรงโถงทางเดินและซิกแซกไปมาผ่านซอกตึก
พยายามทำตัวกลืนกับฝูงชนเพื่อให้คนที่ตามเธอมาหาตัวไม่เจอจนกระทั่งมาถึงหน้าห้องเรียนที่ควรจะเป็นห้องเรียนประจำชั้นมัธยมปลายปีสุดท้ายของเธอเองในที่สุด
เพิ่งจะเปิดเทอมมาวันแรกก็มีเรื่องให้ปวดหัวซะแล้ว...ซวยชะมัดเลยซน
ซึงวาน
“หายไปไหนมาตั้งนานวะซนซึง?”
เสียงทักดังขึ้นหลังจากที่เธอตรงดิ่งไปหากลุ่มคนที่ยืนคุยกันอยู่บริเวณทางเดินหน้าห้องอันประกอบไปด้วยซึลกิ
แทยง และแจฮยอนซึ่งกลายเป็นพันธมิตรกับพวกเธอหลังจากที่ซึงวานเล่าให้ซึลกิฟังเรื่องแทยงเป็นคนคอยให้คำปรึกษากับเธอช่วงที่เพิ่งรู้ตัวว่าชอบหล่อน
ซึลกิเลิกถือโทษโกรธเคืองกับเขาเพราะถือว่าได้วางระเบิดแก้แค้นไปแล้วและพวกเธอก็พบว่าโดยเนื้อแท้แล้วสองคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีมากทีเดียว
หลังจากนั้นช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาพวกเธอก็เลยนัดกันไปติวหนังสือบ้าง
ไปเที่ยวด้วยกันบ้าง ดูๆไปก็คล้ายกับเป็นสมาคมเพื่อนเกย์อะไรสักอย่างอยู่เหมือนกัน
“แล้วนี่ไปทำอะไรมา ทำไมเหงื่อออกเยอะงี้”
ซึลกิยังถามไม่หยุดในขณะที่เธอได้แต่หอบแฮ่ก
ซึงวานปล่อยให้หล่อนเช็ดเหงื่อและจัดผมให้ราวกับเป็นผู้จัดการส่วนตัว ถ้าคิดถึงตอนที่พวกเธอยังถือกันเป็นเพื่อนอยู่
การดูแลแบบนี้คงทำให้ซึงวานรู้สึกกระดากใจไม่น้อย แต่ตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ของพวกเธอค่อยๆขยับขึ้นมา
ซึงวานไม่รู้ตัวเลยว่าเธอเริ่มเคยชินกับการถูกซึลกิแตะเนื้อต้องตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่
มันเหมือนกับว่าการกระทำทั้งหมดยังคงเป็นไปตามธรรมชาติ
เธอสองคนยังคงชอบจิกกัดกันด้วยถ้อยคำเจ็บๆอยู่เหมือนเดิม แต่บางครั้งซึลกิก็หวานใส่เธอด้วยประโยคง่ายๆอย่าง
‘ดูแลตัวเองด้วย’ หรือ ‘อย่าไปยิ้มให้ใครมาก’
ถ้าการชอบเพื่อนสนิทของตัวเองเปรียบเหมือนกับการข้ามหน้าผา ซึงวานไม่ได้มองว่านี่เป็นการกระโดดข้ามไปในคราวเดียว
แต่มันดูเหมือนกับว่าตอนนี้เธอและซึลกิกำลังช่วยกันสร้างสะพานไปยังอีกฝั่งของผาอย่างไม่รีบร้อน
“มีน้องปีหนึ่งหาห้องเรียนไม่เจอฉันก็เลยพาไป แต่เขาก็มาจีบฉันเฉยเลยอ่ะ ตื๊อจะขอเบอร์อยู่นั่นแหละ ฉันก็เลยวิ่งหนีมา”
ซึงวานอธิบายให้ทั้งสามคนฟังหลังจากหอบเสร็จ คิดไปก็ยังสยองไม่หาย แค่จะพาไปหาห้องเรียนเด็กนั่นก็บอกว่าเธออาจจะเป็นเนื้อคู่ของเขาแล้ว แทยงดูเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็มีเสียงจากทางด้านหลังของซึงวานดังขึ้นมาเสียก่อน
“อย่างน้อยให้ผมรู้ชื่อพี่หน่อยก็ยังดีนะครับ!”
อ่า...หนีไม่พ้นงั้นเหรอ
ซึงวานหันไปพบกับเด็กหนุ่มหน้าเนิร์ดที่ดูไม่มีพิษภัยแต่กลับตื๊อทนตื๊อนานอย่างร้ายกาจ
เธอจำไม่ได้ว่าบอกเขาไปหรือยังว่าเธอมีคนที่คุยด้วยอยู่แล้วแต่มันก็ไม่สำคัญในเมื่อเขาดูจะมุ่งมั่นในการขอเบอร์(หรือไอดีไลน์
หรืออินสตาแกรม หรือเฟซบุ๊ค หรือทุกอย่างบนโลกที่จะทำให้ติดต่อกับเธอได้)มากกว่า
ซึลกิกระซิบถามเบาๆว่า ‘คนนี้เหรอ?’ และซึงวานก็พยักหน้ากลับไป
หล่อนเลิกคิ้วก่อนจะขยับมาโอบไหล่ของเธออย่างแสดงความสนิทสนม
สายตาที่มองไปยังเด็กคนนั้นดูเอาเรื่องไม่น้อยเลย
“มันชื่อซน ซึงวาน มีแฟนแล้วชื่อคัง ซึลกิ”
“ค-ใครคือคัง ซึลกิเหรอครับ?”
เด็กนี่ดูจะสงสัยไม่เข้าท่า ซึลกิยิ้มพลางกระชับแขนให้เธอเข้าไปใกล้กว่าเดิม
“ฉันไง แล้วฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาจีบแฟนของฉันด้วย”
ซึลกิเน้นทั้งคำว่าแฟนและคำว่าของฉันราวกับกลัวว่าผู้ฟังจะได้ยินไม่ชัด
ก่อนหน้านี้พวกเธอไม่ค่อยใช้คำว่าแฟนหรือคนรักแทนตัวอีกคนเท่าไหร่เพราะมันฟังดูน่าขนลุก
ส่วนใหญ่แล้วจะใช้คำว่าเพื่อนเป็นปกติ อย่างมากก็ใช้แค่คำว่าคนที่กำลังคุยด้วยเท่านั้น แต่พักหลังมานี้ซึลกิดูจะใช้คำว่าแฟนกับเธอมากขึ้น
มันยังทำให้ซึงวานรู้สึกขนลุกอยู่ดีแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอชอบเวลาถูกเรียกแบบนั้นจริงๆ
“พี่มีแฟน...เป็นผู้หญิง?”
โอเค...เด็กนั่นเริ่มจะสติแตกแล้วล่ะ
“เป็นผู้หญิงที่สวยมากด้วย ถ้ายังสวยไม่เท่าฉันก็อย่าหวังจะมาแย่งซึงวานไปได้”
และซึลกิก็ยังไม่เลิกแกล้งแหย่เขาเสียที
“แล้วนี่อยู่ปีหนึ่งใช่มั้ยเรา
เพิ่งจะเข้ามาใหม่ก็ไปหาจีบแฟนคนอื่นเลยเหรอเนี่ย
เอาเวลาตามแฟนฉันไปเข้าห้องเรียนแล้วอ่านหนังสือดีกว่านะ อนาคตจะได้สดใส
มีงานมีเงิน เลี้ยงดูพ่อแม่ได้”
ซึลกิยิ้มเย็นแบบกวนประสาทสุดฤทธิ์ไปให้เด็กคนนั้นจนเจ้าตัวหน้าเจื่อน
เขาคำนับพลางบอกขอโทษเสียงสั่นๆก่อนจะเดินหงอยกลับไปทางเดิมที่เคยตามซึงวานมา
หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวเสียงหัวเราะจากแทยงและแจฮยอนก็ดังประสานกันขึ้นมา
ซึลกิหันไปใช้มือข้างที่ไม่ได้โอบเธออยู่ไฮไฟว์กับสองหนุ่มอย่างร่าเริงราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
ซึงวานรู้สึกว่าอีกเดี๋ยวหล่อนก็จะสนิทกับสองคนนั้นมากกว่าเธอแล้วล่ะ
“ดุแรงไปมั้ยเนี่ย
หน้าเขาเหมือนจะร้องไห้เลยนะเมื่อกี๊” ซึงวานหยิกพุงเรียกให้ซึลกิกลับมาสนใจก่อนที่จะได้รับรอยยิ้มกวนประสาทกลับมา
“แรงสิดี จะได้ไม่มาจีบแกอีก ฉันหวง”
ซึงวานเกลียดเวลาซึลกิพูดอะไรแบบนั้นออกมาเพราะมันทำให้เธอเขิน
และเวลาเธอเขินเธอก็จะควบคุมตัวตนด้านดีของตัวเองไม่ค่อยได้
ยิ่งซึงวานเขินมากเท่าไหร่เธอก็จะยิ่งโหดมากขึ้นเท่านั้น
“หวงอะไร มีสิทธิเหรอ?” เธอพูดพลางขยับออกมาจากอ้อมแขนของซึลกิ
“เป็นแฟนนี่ไม่มีสิทธิเหรอ”
“ใครแฟนแก?”
นั่นล่ะสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาซึงวานเขิน เธอจะกวนประสาทไปเรื่อยๆและบางทีก็ชวนทะเลาะ
แต่ซึลกิก็ดูจะรับมือกับอะไรแบบนั้นได้ดีทุกครั้งไป
“ไม่รู้สิ คนอ้วนๆแถวนี้มั้ง”
และเมื่อพวกเธอเริ่มต่อปากต่อคำกันแทยงกับแจฮยอนก็จะเริ่มเบื่อ พวกเขาส่ายหน้าก่อนจะบ่นออกมา
“เบี้ยนสองคนนี้ตีกันอีกละ เรากลับห้องกันดีกว่าครับที่รัก”
แทยงหันมาพูดกับพวกเธอก่อนจะหันไปพูดกับแจฮยอน
หนุ่มพูดน้อยตบหัวเพื่อนสนิท(คิดไม่ซื่อ)แก้เขินจากที่เพิ่งถูกอีกคนเรียกว่าที่รักและหันมาบอกลากับพวกเธอสั้นๆ
บางทีซึงวานก็คิดว่าแจฮยอนอาจจะเป็นคนประเภทเดียวกับเธอก็ได้...ประเภทที่ตอนจะสารภาพรักกล้ารุกกล้าเข้าหาอีกฝ่ายก่อนหมดทุกอย่างแต่พอเริ่มความสัมพันธ์กันจริงก็เอาแต่เขินอย่างเดียว
“ว่าแต่แกรู้จักปะ แฟนฉันที่อ้วนๆน่ะ”
เมื่อหันกลับมาซึงวานก็พบว่าซึลกิยังไม่เลิกแหย่เธอเลย
มีหน้ามาบอกว่าอ้วนทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังบ่นว่าเอวของเธอเล็กเกินไปจนน่าเป็นห่วงเองแท้ๆ
“ไม่อ้วนซะหน่อย น้ำหนักแกมากกว่าฉันอีก”
กว่าซึงวานจะรู้ตัวว่าพลาดก็ตอนที่มนุษย์หมียิ้มกว้างและมองมาที่เธอแบบผู้ชนะนั่นล่ะ...
“นี่แหละแฟนฉัน”
“หุบปากน่า”
หล่อนดึงซึงวานเข้าไปโอบอีกครั้งและพวกเธอก็เดินเข้าไปในห้องเรียนพร้อมกับเสียงกริ่งคาบแรกที่ดังขึ้น
ซึงวานพบว่ามันดูเหมือนผ่านมานานมากแล้วเมื่อเธอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน
มันเป็นทั้งปีที่น่าตื่นเต้น เป็นปีที่แย่และปีที่ดีมากๆในคราวเดียวกัน
คนรอบตัวและคนที่สำคัญสำหรับเธอต่างก็เคยกระจัดกระจายกันไปคนละทาง
ห่างกันจนดูเหมือนไม่มีวันได้เกี่ยวข้องกันอีก แต่สุดท้ายพวกเธอก็มาอยู่ตรงนี้
เธอรู้สึกดีที่อย่างน้อยตอนนี้เวลาที่ซึลกิพูดว่าเธอเป็นแฟนของหล่อน
หูของเจ้าตัวก็ไม่แดงเหมือนครั้งแรกที่พูดออกมาภายในหอประชุมต่อหน้ารุ่นพี่คยูฮยอนแล้ว
เธอรู้สึกขอบคุณทุกคำโกหกและทุกความจริงที่ทำให้ทุกคนเติบโตขึ้น คำโกหกของพวกเธอสองคนและคำโกหกของแทยงเคยนำไปสู่ความวุ่นวายใหญ่หลวงจนสุดท้ายมันได้ทิ้งบทเรียนไว้ว่าการซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองต่างหากที่เป็นหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ซึงวานรู้สึกดีที่ตอนนี้พวกเธอไม่จำเป็นต้องโกหกอีกต่อไปแล้ว
ช่วงเวลานี้ ความรู้สึกนี้ เรื่องราวเหล่านี้ที่ซึงวานได้เจอต่างก็เป็นเรื่องจริง...
และเรื่องที่ว่าซึงวานและซึลกิต่างก็ตกหลุมรักกันและกันนี้ก็เป็นเรื่องจริง.
Fin.
เฮ่~ ดีใจมากที่แต่งเรื่องนี้จนจบได้
ดีใจราวกับลูกเรียนจบอนุบาลสาม จริงๆตอนแรกฟิคเรื่องนี้เป็นแค่มโนของเราว่าอยากอ่านเวนกิสไตล์เพื่อนสนิทน่ารักกุ๊งกิ๊งใสๆ(?)บ้าง ได้แรงบันดาลใจมาจากซีรี่ส์เรื่อง Faking It ด้วยแหละ(ใครว่างก็ลองไปหาดูนะคะ
ตลกดี) มโนมาตั้งแต่ช่วงรวว.โปรโมตบีแนชเลยมั้ง แต่ตอนนั้นก็ได้แค่คิดไว้เล่นๆ ไม่คิดว่าจะได้แต่งจริงจัง แล้วพอมาช่วงคัมแบ็ค ICC ปั๊บความเวนกิก็พุ่งพล่านมาก ฟิตขึ้นมาเฉยเลย
เราเลยลองใส่รายละเอียด ลองมาลงเด็กดีแล้วก็เลยมาจนถึงตรงนี้เลย จนพวกนางเลิกโปรโมตไปละ
555 ยอมรับว่ามันอาจจะยังไม่ดีเท่าไหร่ เนื้อเรื่องบางส่วนก็ยังง่อยๆ
แต่ก็ขอบคุณที่ติดตามจริงๆค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ ขอบคุณที่อ่านฟิคในมโนของเราจนถึงตอนสุดท้าย
ฟิคจบความติ่งของเราต้องไม่จบ #ฮา
ไว้เจอกันใหม่เมื่อเราฟิต(แล้วก็คิดพล็อตออก)อีกแล้วกันค่ะ สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ *กราบ*
ความคิดเห็น