ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ก่อนดวงดาวจะเต็มฟ้า

    ลำดับตอนที่ #7 : นักเรียนทุน

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 62


            ๗

    นักเรียนทุน

     

                      





     

    เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙



                     

                      แพร์เปิดสมุดบันทึกปกหนังสีครีมริมฝีปากแย้มละไมเธอพลิกกระดาษเบามือจากหน้าแรกไล่สายตาอ่านผ่านไป  จนถึงกระดาษหน้าที่มีแผ่นคั่นกระดาษสีชมพูสอดไว้  จรดปากกาลงเขียน...

                                    

                                 ผู้ได้รับทุนซายน์ไลฟ์   พริบดาว  บุณยะภัค  ไชโย!

                 

                     ในที่สุดทุนในฝันของปีนี้ก็ตกเป็นของเธอ  แพร์ยิ้มกว้างหัวใจเต็มตื้นด้วยความสุขสมหวัง  ปิดสมุดบันทึกแสนรัก  ซึ่งใช้บันทึกผลการเรียนและรางวัลที่ได้รับในแต่ละปี ตั้งแต่ชั้นประถมหนึ่งจนถึงเวลานี้ ... เธอเรียนจบปริญญาตรี

                     

                     ทุนซายน์ไลฟ์ เป็นทุนการศึกษาขั้นปริญญาโทและปริญญาเอกของบริษัทเอส.เอ. ยูเนียนกรุ๊ป บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารยักษ์ใหญ่ของโลก  มีบริษัทแม่อยู่ในประเทศแคนาดาและสาขาอีกสิบสองประเทศทั่วโลก ทุนนี้มอบให้กับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้วยคะแนนเฉลี่ย ๓.๙ขึ้นไป   ถ้านักศึกษามีสิทธิขอรับทุนมากกว่าหนึ่งคน คณะกรรมการจากบริษัทเอส.เอ.ยูเนียนกรุ๊ปจะเป็นผู้คัดเลือกโดยการสัมภาษณ์  ... มันคือความใฝ่ฝันของนักศึกษาเรียนดีทุกคนในคณะ เพราะเป็นทุนให้ฟรีครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่จำกัดมหา วิทยาลัย   ปีนี้มีผู้มีสิทธิ์รับทุนสามคน แพร์  เชอรี่ เทียน ... และเธอคือผู้ได้รับการคัดเลือก

                     

                     บ่ายวันนี้  แสงแดดอ่อนทั่วผืนฟ้า กลิ่นหอมของดอกไม้คละกลิ่นหอมของดินและหญ้าตัดใหม่อวลอยู่ในอากาศ  แพร์นั่งทอดอารมณ์บนเก้าอี้ไม้ใต้ต้นปีบ ดูโตนกับตาลสุนัขวัยสามเดือนสองพี่น้องวิ่งไล่กันบนสนามหญ้า   

                     

                     สี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านไปแล้ว  เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ... เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ทุกอย่าง  แพร์ระบายลมหายใจช้า ๆ... แต่อย่าคิดนะว่าเธอได้มันมาง่าย ๆ  กว่าจะถึงวันนี้เธอผ่านประสบการณ์ทั้งความสุข ความสนุก ความเศร้า ความท้อแท้และความกลัว...

     

                     หกโมงสิบห้านาที... หน้าห้องปฏิบัติการของภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยา ศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งยังเงียบ แสงไฟจากเพดานทางเดินปิดตั้งแต่หกโมงเช้า  บรรยากาศยังสลัวอึมครึม  นักศึกษาสาวรูปร่างบอบบางยืนเหลียวซ้ายแลขวา ... ทำไมยังไม่มานะ    เธอเดินช้าๆไปยังบันไดที่เพิ่งเดินขึ้นมา มองลงไปแล้วเดินกลับมาหน้าห้องปฏิบัติการอีกครั้ง   เอื้อมมือหมุนลูกบิดประตูเบาๆลองผลัก... ประตูยังปิดล็อก

                      

                      "แพร์"    

                      

                      เธอสะดุ้งโหยง หันขวับไปทางต้นเสียง นักศึกษาชายร่างท้วมผิวขาวยืนหมุนนิ้วชี้ควงพวงกุญแจในมือ

                      

                      "ทำไมเพิ่งมาน่ะหมอน เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก"     เธอถามเสียงกระซิบ  ถึงแม้บริเวณนี้จะมีเพียงเธอกับหมอนเพื่อนสนิท  

                      

                      ที่ต้องมายืนลับๆล่อๆอยู่ตรงนี้เพราะเมื่อเย็นวาน ก่อนออกจากคณะ  หมอนแจ้งข่าวร้าย

                      'แพร์ ฉันได้ยินพี่ผู้ช่วยอาจารย์บอกว่าเตรียมของสำหรับใช้เรียนพรุ่งนี้เสร็จแล้ว  เป็นปลาหางนกยูงสิบสองตัวกับปลาทองสิบสองตัว เธอไหวไหมล่ะ'    

                      

                      จำได้ว่าตัวเองตกใจแทบสิ้นสติ ทวนคำบอกเล่าของเพื่อนเสียงสั่น

                      

                      'อะไรนะ!ไหนว่าจะใช้แต่ปลาหางนกยูงไม่ใช่หรือ'

                      

                      'ไม่ แล้วพี่เขาบอกว่าจัดกลุ่มตามแถวนะ  แถวแรกให้ใช้ปลาทอง แถวที่สองใช้ปลาหางนกยูงว่ะ เอาไงล่ะแพร์ โต๊ะของกลุ่มพวกเราอยู่แถวแรกซะด้วย'   

                      

                      แพร์ฟังแล้วใจเสีย น้ำตาเอ่อขึ้นมาทันที หมอนมองหน้าเธอ... คงนึกสงสาร 

                      

                      'อย่าเพิ่งร้องไห้ ฉันขอคิดก่อน'    ผ่านไปสองสามนาที หมอนก้มลงกระซิบข้างหูเธอ... แพร์พยักหน้า ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

                      

                      ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ   แพร์กลัวปลาทอง... กลัวจับจิตตั้งแต่ยังเด็ก

                      

                      หมอนไขกุญแจเข้าห้องปฏิบัติการ ไม่กี่อึดใจเขาเดินยิ้มร่าออกมาหาเธอ ผู้ยืนใจแป้วรออยู่หน้าห้อง 

     

                      นี่เป็นปฏิบัติการสุดท้ายของวิชาสัตววิทยาในเทอมนี้ การทดลองแรกศึกษาอัตราการหายใจของปลาที่อุณหภูมิต่างๆระหว่างสิบองศาเซลเซียสถึงสามสิบห้าองศาเซลเซียส ดูว่าปลามีปฏิกิริยาอย่างไร  การทดลองที่สองศึกษาทิศทางการไหลเวียนเลือดของปลา

                  

                      แปดโมงครึ่งนักศึกษาทุกคนเข้าห้องปฏิบัติการ หมอนเดินนำอาดๆไปยังโต๊ะ

                  

                      "อ้าว เฮ้ย"  เขาสะดุ้งตกใจเมื่อมองแผ่นกระดาษที่เขียนว่า ... ปลาทอง   ซึ่งเขาบอกเธอว่าจัดการย้ายไปไว้แถวสองเมื่อเช้าตรู่  บัดนี้ถูกย้ายกลับมาวางบนโต๊ะดังเดิม  หมอนหันมองเธอ     "แพร์ไม่ต้องกลัวนะ ดูอย่างเดียวแล้วรีบวาดรูป"    หมอน นักศึกษาหนุ่มเพื่อนสนิทเอื้อมมือตบบ่าเธอ นัยน์ตาเรียวเล็กสีดำจ้องมาเหมือนให้กำลังใจ

                    

                      "เออน่า กัดฟันนะแพร์ แป๊บเดียวเอง"    กระแต เพื่อนสนิทอีกคนพูดเสียงขึงขัง 

                     

                      แพร์รู้ว่าเพื่อนทั้งสองหวังให้เธอเข้มแข็งฮึดสู้  หารู้ไม่ว่ามันไม่ได้ผล... แพร์ยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก  เธอนั่งก้มหน้าลงกับโต๊ะเหมือนนักโทษรอการประหารชีวิต ใจสั่นพั่บๆระคนหวาดผวา เหลือบมองไปทางเคาน์เตอร์ริมหน้าต่าง  มีกาละมังสีขาวใส่ปลาทองแหวกว่ายในนั้น  พอถึงเวลาอาจารย์ให้เริ่มปฏิบัติการได้ หมอนลุกขึ้นคว้าโถแก้วสองใบบนโต๊ะ

                     "ฉันไปเอาปลาก่อนนะ"    

                     

                      เธอรู้ขั้นตอนนี้ดี  

                      หมอนจะต้องรินน้ำจากกาละมังใส่โถแก้ว ใช้กระชอนช้อนปลาทองที่เล็งแล้วว่าอ้วนท้วนแข็งแรงดีมาสองตัวใส่โถละตัว  ต้องเลือกปลาแข็งแรงเพราะมันจะถูกนำไปใส่จานแก้วโปะด้วยสำลีชุ่มน้ำคลุมส่วนหัว  เพื่อให้ปลายังหายใจได้เหมือนอยู่ในน้ำ วางบนแท่นของกล้องจุลทรรศน์ ให้นักศึกษาได้เรียนรู้การไหลเวียนของเลือดจากตัวมัน   เพราะฉะนั้นถ้าปลาไม่แข็งแรงจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนการทดลองจะเสร็จสิ้น นักศึกษาต้องทำการทดลองอย่างว่องไวรีบดูส่วนหางของปลาบนกล้องจุลทรรศน์  แล้ววาดรูปทิศทางการไหลเวียนเลือดทันที  เพื่อรักษาชีวิตของปลาที่จำต้องมาเป็นอาจารย์ให้พวกนักศึกษา  โดยตัวของมันคงไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อย

                   

                      แพร์แข็งใจขับไล่ความหวาดหวั่น ก้มลงดูปลาทองสีส้มจัดจ้าสยายหาง นอนขยับเหงือกพะงาบๆอยู่บนแท่นของกล้องจุลทรรศน์แล้วรีบจดบันทึก วาดรูปทิศทางการไหลเวียนของเลือดบริเวณหางของมันจนเสร็จ  เธอแทบขาดใจตายกว่าจะผ่านพ้นการทดลองนั้นไปได้

     

                      นักศึกษาหญิงน้องใหม่ของคณะที่สวยและเด่นมีอยู่สองคน... แพร์กับเชอรี่

                   

                      เธอกับเชอรี่อยู่คนละกลุ่ม  ต่างก็มาจากคนละโรงเรียน  เธอมาจากโรงเรียนประจำหญิงล้วนเก่าแก่ เชอรี่มาจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่มีแต่ลูกเศรษฐีเท่านั้นเข้าเรียนได้   เธอมาจากครอบครัวข้าราชการ ส่วนครอบครัวของเชอรี่เป็นนักธุรกิจระดับพันล้าน ทั้งสองคนเรียนเก่งทัดเทียมกัน ว่าที่เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของคณะทั้งคู่ ที่กล่าวมาทั้งหมดน่าจะเพียงพอสำหรับเหตุผลของ ... เพื่อนเกลียด   แต่มันไม่ใช่

                     

                     กลุ่มของแพร์ซึ่งสนิทกันตั้งแต่ต้นเทอมแรก มีหมอน กระแต ป๋องและจิ๊บ หลังจากงานรับน้องผ่านไปไม่นานมีรุ่นพี่ปีสี่คนหนึ่ง...นัท เขามักเข้ามานั่งคุยกับกลุ่มของเธอ บางครั้งช่วยติววิชาที่พวกน้องติดขัด เวลานี้นัทกับพวกแพร์สนิทสนมกันมาก เจอกันเกือบทุกวัน นัทสูงร้อยแปดสิบสองเซนติเมตร ผิวขาวสะอาด นัยน์ตาคม จมูกโด่ง พูดจาสุภาพเป็นที่ชื่นชมของน้องๆและเพื่อนในคณะ โดยเฉพาะน้องสาวและ ... เชอรี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

                   

                   วันหนึ่งหลังเลิกเรียน เชอรี่ยืนดักรอแพร์ 

                   

                   "เธอคิดอะไรกับพี่นัทหรือเปล่า"   คนเรียนภาควิชาเดียวกันถาม

                    

                   "หมายความว่ายังไง คิดอะไร"   แพร์งงกับคำถามของอีกฝ่าย

                    

                   "แหม ใสซื่อจริงนะ"   เสียงของเชอรี่สูงปรี๊ด สายตามองเธออย่างเย้ยหยัน

                  

                   แพร์จ้องสาวตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึงที่จู่จู่ต้องมาโดนเจ้าหล่อนพูดจาถากถางเรื่องผู้ชาย

                    

                  "ฉันจะเตือนเธอนะ อย่ามายุ่งกับพี่นัท รู้ไว้ซะด้วยคุณพ่อของพี่นัทกับปาป๊า มาม้าสนิทกันมาก เราสองครอบครัวตกลงกันมานานแล้ว พี่สาวของฉันจะแต่งงานกับพี่ชายของพี่นัท ส่วนฉันกับพี่นัทเรียนจบโทเมื่อไร เราจะแต่งงานกัน"   เชอรี่พูดเน้นเสียง ดวงตาเรียวสีดำขลับฉายแววโกรธเกรี้ยว ทำท่าทางเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างไม่ปิดบัง  

                     

                   "จำไว้แพร์   พี่นัทน่ะผู้ชายของฉัน"    เชอรี่ย้ำ ยกมือขึ้นเท้าสะเอวด้วยมาดของนางพญาผึ้งที่พร้อมจะโรมรันฝ่ายศัตรู

                     

                     แพร์อ้าปากค้าง  รู้สึกโกรธจนเสียงสั่น...   "จะบ้าเหรอเชอรี่ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่นัท"  

                     เชอรี่ยิ้มเยาะสายตาที่จ้องตอบบอกว่าไม่เชื่อคำพูดของเธอแม้แต่น้อย    "ระวังตัวไว้ก็แล้วกัน"    เชอรี่พูดเสียงต่ำ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปขึ้นรถเบนซ์เอสคลาสสีดำ ซึ่งคนขับรถเปิดประตูรอ ปล่อยให้เธอยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น

                     

                     ตั้งแต่นั้นแพร์ระวังตัวมากขึ้นเมื่อเจอนัท  เธอไม่อยากข้องเกี่ยวกับเชอรี่  หลังปิดเทอมต้นนัทสารภาพรักกับแพร์  เธอตกใจและปฏิเสธเขา  จนกระทั่งรุ่นพี่คนนี้ดร็อปเรียนไปเป็นปีแล้ว แพร์ยังคงอยู่ในสถานะ  'เพื่อนเกลียดของเชอรี่'  ไม่เปลี่ยน

                     

                     พออยู่ปีสาม วิชาไม้ดอกไม้ประดับ วิชานี้เป็นวิชาบังคับซึ่งนักศึกษาวิชาเอกพฤกษศาสตร์ จะต้องลงเรียน นักศึกษามีทั้งหมดสิบห้าคนรวมแพร์และเชอรี่ด้วย  อาจารย์ให้นักศึกษาฝึกการขยายพันธุ์ไม้ดอก ซึ่งก็คือฝึกการปลูกพืชจากเมล็ดให้เติบโตเป็นต้นไม้จนถึงออกดอก อาจารย์มอบหมายให้ผู้ช่วยสอน ซึ่งมักเป็นพี่ซึ่งกำลังเรียนปริญญาโทหรือปริญญาเอก  เป็นผู้ไปซื้อเมล็ดพันธุ์ไม้ดอกมาสิบห้าชนิด จากนั้นให้นักศึกษาทุกคนจับฉลากว่าใครจะได้ปลูกต้นอะไร  แพร์ได้เมล็ดดาวเรือง หมอนได้เมล็ดดาวกระจาย เชอรี่ได้เมล็ดพิทูเนีย นักศึกษารับเมล็ดพันธุ์แล้วเริ่มลงมือเพาะ โดยนำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำไว้หนึ่งคืน จากนั้นเพาะกับดินร่วนซุยลงในถาดหลุม ถาดหลุมของแต่ละคนมียี่สิบหลุมนั่นคือเพาะคนละยี่สิบต้น

                     

                      "ระยะเวลาของปฏิบัติการนี้สามเดือนนะนักศึกษา ดูแลต้นไม้ของตัวเองให้ดี ถ้าติดดอกตามเวลาที่อาจารย์กำหนดถือว่าจบปฏิบัติการ"     ดอกเตอร์วินีย์ อาจารย์สาววัยสี่สิบ อดีตนักปิงปองทีมชาติกล่าวยิ้มๆ  

                     "อาจารย์ครับครบสามเดือนแล้ว ถ้าเกิดดอกยังไม่ออกล่ะครับ"   หมอนถามเสียงดังแทนเพื่อนทุกคน

                      "ก็ถือว่างานไม่สมบูรณ์ หักคะแนนตามความเป็นจริง" 

                      

                      พันธุ์ไม้ดอกทั้งสิบห้าชนิด มีระยะการติดดอกอยู่ในช่วงสามเดือนเหมือนกัน ถ้านักศึกษาดูแลตามขั้นตอนที่เรียน ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา วิชานี้จะปิดคลาสด้วยต้นไม้ติดดอกแล้วทั้งสิบห้าชนิด และไม่มีเหตุผลที่อาจารย์วินีย์จะหักคะแนนใครได้

                      

                      เนื่องจากนักศึกษาต้องเรียนวิชาอื่นด้วย    แพร์ หมอนและเพื่อนพ้องจึงผลัดกันมารดน้ำตอนเช้าทุกวัน ในเรือนปลูกพืชทดลองหรือที่เรียกกันว่าเรือนกระจก   เรือนปลูกพืชนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่  อาจารย์ให้นักศึกษาทั้งสิบห้าคน แบ่งบริเวณเพาะเมล็ดพืชของตนเรียงกันไปเป็นระยะ  ถาดหลุมเพาะเมล็ดดาวเรืองของแพร์อยู่ใกล้กับถาดพิทูเนียของเชอรี่  แพร์คอยเฝ้าดูการเพาะของตนด้วยความเอาใจใส่  ห้าวันต่อมายอดของต้นอ่อนดาวเรืองโผล่พ้นดินให้เห็น   เธอตื่นเต้นดีใจ ต้นไม้ของเพื่อนๆทยอยแทงยอดอ่อนขึ้นมา  

                      ระหว่างนั้นนักศึกษาทุกคนเดินเข้าเดินออกในเรือนกระจกไม่ว่างเว้น  อาจารย์เองก็เข้าไปดูผลงานลูกศิษย์เป็นประจำ การรดน้ำระยะนี้ต้องบิดหัวฉีดน้ำเป็นฝอยละเอียดเหมือนละอองหมอกเพราะต้นอ่อนยังไม่แข็งแรง  ผ่านไปสองสัปดาห์ต้นดาวเรืองของแพร์สูงราวสองนิ้ว  ใกล้เวลาจะย้ายลงกระถางแล้ว 

                       

                        วันรุ่งขึ้นแพร์มีเรียนวิชานี้แปดโมงครึ่ง  เธอไปถึงคณะตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ารีบเดินเข้าไปดูต้นกล้าดาวเรืองซึ่งแทงยอดเติบโตถึงสิบแปดต้น  แพร์ตกตะลึงแทบช็อก ต้นดาวเรืองเมื่อวานยังตั้งตรงดีอยู่กลับเอนล้มเป็นแพ... ไม่รอดแม้แต่ต้นเดียว  

                       

                        "อ้าว เฮ้ย แพร์ ทำไมต้นดาวเรืองล้มล่ะ"    หมอนมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วง

                       "ไม่รู้ เมื่อวานเย็นยังดีๆอยู่เลย"   แพร์ตอบ ใจเสียแทบทรุด นึกหวั่นถึงผลที่จะตามมา  ทุกคนรู้ว่าระยะนี้ของการปลูกเป็นระยะอ่อนไหวที่สุด ต้องประคบประหงมให้ดี ถ้าต้นอ่อนเอนล้มมันหมายถึงโอกาสที่จะเติบโตเป็นต้นสมบูรณ์แทบไม่มีเลย แล้วเธอจะทำอย่างไรดี แพร์เครียดและวิตก

                       "เอนขนาดนี้ต้องโดนพ่นน้ำแรงๆใส่ ใครทำวะ"    เสียงของกระแตดังลั่น กวาดตามองเพื่อนนักศึกษาทุกคนในเรือนกระจก

                       "ใครแกล้งแพร์วะ ทำอย่างนี้ได้ไง"   เธอได้ยินเพื่อนพูดโต้ตอบกัน ยืนทรงกายเกือบไม่อยู่  เธอเห็นเชอรี่ ยิ้มน้อยๆ หมอนถามซ้ำ   "เธอรึเปล่า เชอรี่"

                       "อย่าพูดหมาๆนะหมอน"    เชอรี่สวนกลับเสียงมะนาวไม่มีน้ำ แล้วยักไหล่เดินออกจากเรือนกระจก

                      

                       ต้นชั่วโมงเรียน   แพร์รายงานเรื่องนี้กับอาจารย์   เธอขอเลื่อนเวลาส่งงานออกไปอีกสองสัปดาห์ เพราะต้องเพาะเมล็ดดาวเรืองขึ้นมาใหม่ อาจารย์วินีย์ไม่อนุญาตเนื่องจากต้องปิดคลาสเรียนตามเวลามหาวิทยาลัยกำหนด และแพร์จะต้องส่งงานตามเวลาพร้อมเพื่อน ต้นดาวเรืองของเธอไม่มีวันติดดอกทันส่งอาจารย์แน่ นั่นหมายถึงแพร์ส่งงานไม่สมบูรณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอยอมไม่ได้

                       

                      "เอาอย่างนี้นะแพร์  ตัดสินใจดูจะทำรายงานส่งหรือจะปลูกใหม่  ท้ายชั่วโมงค่อยตอบอาจารย์" อาจารย์วินีย์กล่าวสรุปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โพเดียมเพื่อเริ่มบรรยาย...

                     

                       บรรยากาศในห้องปฏิบัติการเงียบลงทันทีเมื่อแพร์ตอบอาจารย์ว่า   เธอเลือกปลูกต้นไม้ขึ้นมาใหม่แทนการทำรายงานส่ง

                       " รีบทำนะแพร์ เวลามีน้อย"    อาจารย์พูดจบถือกระเป๋าเดินออกไปจากห้อง 

                       เชอรี่ชะโงกหน้ามาที่โต๊ะของเธอ    "เอาอย่างนั้นหรือแพร์ ฉันว่าทำรายงานส่งง่ายกว่านะ"   

                       หมอนพูดเสียงแข็ง  "ฉันรู้นะว่าเป็นเธอ"  

                       เชอรี่ตวัดสายตาค้อนขวับ เบ้ปาก    "มีหลักฐานไหมล่ะ"

                      

                       งานของแพร์ยากขึ้นเป็นเท่าตัว   ... เพราะเวลาหายไปสองสัปดาห์  เธอตัดสินใจเพาะเมล็ดบานชื่นแทนดาวเรือง   เนื่องจากบานชื่นมีระยะเวลาเติบโตสั้นกว่าดาวเรืองราวสองสัปดาห์และพืชทั้งสองชนิดอยู่ในวงศ์เดียวกัน  แพร์ชวนพี่ชายไปซื้อเมล็ดพันธุ์แถวสวนจตุจักร    เธอแบ่งเมล็ดเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเพาะในเรือนกระจกอีกส่วนเพาะที่บ้าน  ขณะต้นไม้ของเพื่อนๆแยกปลูกลงกระถางพากันเจริญเติบโตลำต้นใหญ่แข็งแรง   บานชื่นของแพร์เพิ่งแทงยอดอ่อนพ้นดินให้เห็น  เธอไม่ย่อท้อ... จนกระทั่งได้แยกปลูกลงกระถาง  

                       

                        เวลาผ่านไปจนถึงชั่วโมงสุดท้ายของการเรียนวิชานี้  อาจารย์วินีย์เดินเข้าไปตรวจต้นไม้ของลูกศิษย์ทุกคนในเรือนกระจก   แล้วเข้าห้องปฏิบัติการเพื่อสรุปผลการเรียน ให้คะแนนและเตรียมปิดคลาสเรียนของวิชานี้   เชอรี่ยกมือถามอาจารย์

                        

                       "อาจารย์คะทำไมแพร์ถึงได้คะแนนเต็มทั้งที่งานไม่สมบูรณ์ หนูว่ามันไม่ยุติธรรมกับพวกเรา ในเมื่อแพร์จับฉลากได้ดอกดาวเรือง งานที่ส่งก็ควรจะเป็นต้นดาวเรืองติดดอกสิคะ"

                       "เชอรี่ถามมาก็ดีแล้ว"    เธอมองเชอรี่แล้วหันไปมองหน้าอาจารย์  อาจารย์วินีย์ยิ้มอ่อนโยนเจือความเมตตาให้เชอรี่ แล้วมองหน้าลูกศิษย์ทั่วห้อง...พูดเสียงเนิบเหมือนตอนบรรยาย

                       

                       "เราคุยกันตั้งแต่เปิดชั้นเรียนว่า  ทุกคนต้องส่งต้นไม้ติดดอกภายในวันสุดท้ายของการเรียนวิชานี้ ซึ่งดอกจะตูมหรือบานก็ได้ทั้งนั้นหรือจะเพิ่งโผล่ให้เห็นตาดอกนิดๆ   อาจารย์ก็ถือว่าเป็นงานที่สมบูรณ์ เพราะต้นไม้แต่ละพันธุ์ระยะเวลาการติดดอกจนบานต่างกัน นั่นคือพวกเธอมีระยะเวลาการปลูกตั้งแต่เพาะเมล็ดจนถึงติดดอกประมาณสามเดือน   ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอาจารย์เข้าไปดูผลงานของพวกเธอทุกวัน เห็นความตั้งใจ ความเอาใจใส่ของทุกคนรวมทั้งแพร์ด้วย จนกระทั่งเกิดปัญหาขึ้นกับแพร์ อย่างที่พวกเธอรู้การปลูกพืชในเรือนกระจกนั้น ได้รับการควบคุมดูแลเหมือนกันทั้งอุณหภูมิ การปลอดจากแมลง สิ่งที่ต้นไม้ของแต่ละคนได้รับต่างกันคือการรดน้ำ    ต้นอ่อนล้มมีเหตุเดียวคือรดน้ำแรง     

                        อาจารย์จะไม่ถามว่าใครทำและทำเพื่ออะไร  คนที่ทำอาจเป็นหนึ่งในพวกเธอหรือคนนอกก็ได้ แต่อาจารย์ดีใจนะเมื่อแพร์เลือกเพาะเมล็ดใหม่แทนการทำรายงานส่ง  เพราะมันตรงกับวัตถุประสงค์ของวิชานี้คือการปลูกต้นไม้ให้เป็น   ถ้าจะให้ครบวงจรชีวิตที่สุดของต้นไม้คือ... ปลูกจากเมล็ดจนถึงดอกบานแล้วเกิดเมล็ด  แต่เวลาจำกัดอาจารย์จึงให้ทุกคนส่งต้นไม้ติดดอกเท่านั้น    แพร์แก้ปัญหาได้ดีเลือกใช้เมล็ดบานชื่นแทน... ระยะการเติบโตจนติดดอกออกเมล็ดของมันเร็วกว่าดาวเรืองราวสองสัปดาห์   แพร์ส่งงานพร้อมเพื่อนตามกำหนด ... คือต้นบานชื่นที่มีดอกบานและมีกระเปาะเมล็ดด้วยซึ่งถือว่าเป็นงานสมบูรณ์ครบวงจรชีวิต    แพร์ถึงได้คะแนนเต็ม ... พวกเธอมีใครคิดว่าอาจารย์ไม่ยุติธรรมบ้าง"       

                      

                       นักศึกษาทุกคนเงียบกริบ อันที่จริงเงียบมาตั้งแต่เชอรี่ยกมือถามอาจารย์วินีย์แล้ว   สองนาทีต่อมา เสียงปรบมือดังก้องห้องปฏิบัติการ แพร์ก้มลงกราบอาจารย์ที่โต๊ะ   อาจารย์วินีย์ยิ้มรับ แล้วคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้อง ก่อนจะทิ้งท้ายว่า...

                       

                       "ตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบให้ดีล่ะ"

                       

                       แพร์เคารพอาจารย์ที่สอนเธอทุกท่าน  แต่นาทีนี้เธอรักและเคารพอาจารย์วินีย์เต็มหัวใจ

                       

                       เส้นทางซึ่งฝ่าฟันมาสี่ปีผ่านไปแล้ว  จากนี้ไปอีกสี่ปีข้างหน้า เส้นทางที่จะเดิน ... เส้นทางใหม่  เธอไม่กลัวอะไรทั้งนั้น จะว่าไปแล้วต้องขอบคุณคนคนหนึ่งเมื่อสิบหกปีที่แล้ว  แต่แพร์จะขอบคุณคนคนนั้นแค่นิดเดียว... นิดเดียวเท่านั้น

     

                                     ____________________________________

     

                                            สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆ

                                                มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์

                                  เริ่มปีใหม่ขอให้ได้รับแต่สิ่งที่ดี คิดสิ่งใดสมปรารถนา

                                                  ขอให้ทุกคนโชคดีปีใหม่นะคะ

                                                            Happy New Year

     

     ตอน  'นักเรียนทุนชักเริ่มสนุกขึ้นแล้วใช่ไหมคะ ... 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×