ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Lotm] เรื่องราวของผู้เสียสละ

    ลำดับตอนที่ #9 : ออเดรย์และวิล

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 67


    เมื่อภาพรังไหมปรากฏ อมานีเซียกับโรซาล์ยต่างลุกจากเก้าอี้โดยไม่รู้ตัวด้วยความตกใจแม้แต่อดัมยังแอบลืมตาขึ้นมองเล็กน้อย


     

    นั่นคือสถานที่ที่วิญญาณเราหลับใหลมาตลอดสินะ


     

    เนื่องจากเส้นทางของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเร้นลับจึงมิอาจกลับไปที่ปราสาทต้นกำเนิดได้ในภายหลังแถมยังไม่เคยเห็นรังไหมเหล่านั้นด้วย


     

    “น่าคิดถึงจริงๆ” โรซาล์ยมองไปยังภาพผู้คนในชุดสูทบ้าง ชุดนักศึกษาและมีบางคนถือโทรศัพท์มือถืออีก


     

    อมานีเซียไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่มองไปยังรังไหมสามอันที่ใกล้ชิดกันซึ่งแตกออกไปแล้ว…มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมานิดหน่อย


     

    ภาพที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลต่ออารมณ์พวกเขาอย่างมากไม่เว้นแม้แต่อดัมที่ยังคงมองเหล่าผู้คนพลางนวดกางเขนในมือ


     

    “…” คนที่เหลือในห้องมิอาจเข้าใจความรู้สึกของสามคนด้านหน้าได้ แต่พวกเขามั่นใจว่านั้นคือความรู้สึกโหยหา,คิดถึง,อ้างว้าง แม้พวกเขาจะเคยเป็นศัตรูกันแต่ในอดีตก็ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ กลับบ้าน


     

    [ออเดรย์ได้ขอให้ซูซี่เฝ้าประตูห้องไว้ ก่อนที่เธอจะนอนลงบนเตียงให้สายหมอกพาขึ้นไปยังปราสาทต้นกำเนิดเพื่อเริ่มพูดคุยกับเดอะเวิร์ลถึงปัญหา


     

    ในความคิดของออเดรย์ สภาพปัจจุบันของมิสเตอร์เวิร์ลไม่ได้เกิดจากอาการทางจิตและไม่ได้จะคลุ้มคลั่ง แต่เป็นเพราะจุดประสงค์ในการดำรงชีวิตของเขานั้นหายไป หากต้องการช่วย ออเดรย์ต้องหาเป้าหมายระยะสั้นให้อีกฝ่ายและค่อยๆชี้นำค้นหาความหมายของชีวิต]


     

    ’ความหมายของชีวิต‘ ออเดรย์เม้มริมฝีปากตัวเองเงียบๆ จริงอยู่ที่เธอสามารถช่วยให้อีกฝ่ายหาเป้าหมายชีวิตต่อไปได้แต่…


     

    เป้าหมายนั่นกลับหนักหนาเกินไปสำหรับเขาและคนที่รักเขา


     

    [ในตอนท้ายสุด ออเดรย์ให้คำแนะนำหนึ่งแก่เดอะเวิร์ล


     

    “อย่าสวมหน้ากากหนาเกินไป”


     

    เดอะเวิร์ลเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากตอนปกติโดยสิ้นเชิง


     

    “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและการรักษา”


     

    หลังส่งออเดรย์ออกไป เห็นได้ชัดว่าอาการของไคลน์นั้นดีขึ้นมาก เขามีพลังใจมากพอที่จะเดินทางต่อและค้นหาสาเหตุที่เขามาที่นี้]


     

    เมลิสซ่าถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหันไปพูดกับออเดรย์ด้วยความจริงใจ


     

    ”ขอบคุณมากค่ะ มิสออเดรย์“


     

    ออเดรย์ส่ายหัวเบาๆ และตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


     

    “ไม่หรอก ฉันยังทำได้ไม่มากพอ”


     

    ในฐานะหมอส่วนตัวของมิสเตอร์เวิร์ล เธอได้ช่วยเหลือปัญหาทางจิตของเขาอยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่สามารถช่วยเหลือไคลน์ได้ในยามที่เขาต้องการเธอที่สุด


     

    ไม่แน่หากให้นักบำบัดคนอื่นมาช่วยมิสเตอร์เวิร์ล อาจทำได้ดีกว่าเธอก็ได้


     

    ทันใดนั้น กลิ่นวานิลลาอันแสนสงบราวกับความอ่อนโยนของดวงจันทร์ก็ลอยมาในโสตประสาทสัมผัสของเธอทำให้จิตใจนั้นสงบลง


     

    ออเดรย์มองไปยังที่มองของกลิ่นและเห็นอมานีเซียกับอดัมกำลังหันกลับมามองเธอ


     

    “เธอไม่ต้องโทษตัวเองหรอก อย่างที่เขาเคยพูดนั้นคือเส้นทางที่เขาเลือกเดินเอง” เสียงอันเฉยแสนสงบของเทพธิดารัตติกาลดังขึ้นในห้วงจิตใจของออเดรย์


     

    “อึก…ขอบคุณค่ะ” ดวงตาออเดรย์มีน้ำตาไหลเล็กน้อยขณะก้มหัวลงขอบคุณ


     

    อมานีเซียไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยและหันกลับมาดูหน้าจอตามเดิม


     

    อดัมมองออเดรย์ด้วยรอยยิ้ม เป็นเขาเองที่ขอให้อมานีเซียช่วยปลอบประโลมเด็กสาวแต่ด้วยประวัติแย่ๆในอดีต มันก็กระไรอยู่หากเป็นเขาที่ออกตัวช่วย


     

    [ภาพตัดกลับมาช่วงที่ไคลน์ได้เชิญเลียวนาร์ดเข้าชุมนุมทาโรต์ได้สำเร็จโดยให้อีกฝ่ายเลือกไพ่แทนชื่อตัวเอง


     

    ”เดอะสตาร์?“  นี้ไม่ใช่ไพ่ที่ตรงกับรสนิยมเลียวนาร์ดเท่าไร แต่เนื่องจากเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิที่มีเดอะฟูลเป็นสักขีพยาน เลียวนาร์ดก็ไม่มีทางเลือกนอกจากน้อมรับไว้


     

    “วันนี้เจ้ากลับไปก่อน การชุมนุมจะมีทุกวันจันทร์บ่ายสามโมงตรงตามเวลาเมืองเบ็คลันด์” ไคลน์ยกเลิกการเชื่อมต่อของเลียวนาร์ดก่อนจะเอนตัวลงและหัวเราะชอบใจเล็กน้อยขณะมองไปยังกองไพ่ที่เลียวนาร์ดสุ่มเมื่อครู่


     

    พวกมันทั้งหมดเป็นไพ่แบบเดียวกันคือ เดอะสตาร์ค!]


     

    ’…เอาจริงดิ!!‘ เลียวนาร์ดคิ้วตากระตุกพอได้เห็นความจริงในตอนนั้น แม้จะโกรธแต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจและยิ้มออกมา


     

    “นายยังมีอารมณ์แกล้งฉันอยู่แบบนี้ แสดงว่าสภาพจิตใจนายตอนนั้นยังดีอยู่สินะ”


     

    เมื่อหน้าจอทีวีดับลง เทียนก็กลายเป็นโคมไฟ ซึ่งคือสัญญาณว่าเรื่องจบแล้ว (ทำไมไม่มีเขียนถึงตอนคุยในเมืองมังกรหว่า Byไรท์)


     

    ออเดรย์ลุกขึ้นเดินไปที่แม่น้ำพร้อมกับโคมไฟจากนั้นก็ยกขึ้นมาติดกับหน้าผากเพื่อกระซิบคำอธิษฐาน


     

    “ฉันหวังว่ามิสเตอร์ฟูลจะไม่ต้องสวมหน้ากากหนาอีกต่อไป“


     

    หน้ากากเหล่านั้นเปรียบเสมือนเกราะและกุญแจมือ มันได้ซ่อนหัวใจเขาไว้ในส่วนลึกกับปฏิเสธที่จะให้ใครได้สัมผัส


     

    แต่หัวใจของเขานั้นอ่อนโยนและสวยงามมาก มันคืออัญมณีที่จะแพรวพราวส่องแสงสว่างดุจดวงดาวชั่วนิรันดร์


     

    เมื่อออเดรย์กลับมาที่นั่ง ผู้สมัครคนถัดไปก็ลุกขึ้นโดยคราวนี้เป็นวิลที่เดินมาจุดไฟ ทำให้ภาพบนหน้าปรากฏขึ้น


     

    [รอย•คิง ถูกจับแล้ว


     

    ไคลน์เขียนประโยคนี้ลงในนกกระดาษ จากนั้นก็หลับตานอนและได้พูดคุยกับอสรพิษชะตาว่าเขาขอร้องให้ช่วยเหลือดัควีลล์เพื่อนำของสำคัญออกจากเกาะ


     

    ในวันถัดมาไคลน์ในสภาพเกอร์มันได้รับข้อเสนอจากดัควีลล์ในการคุ้มกันออกจากเกาะ


     

    หลังได้รับเงินพวกเขาก็วางแผนเดินทางขึ้นเรือโดยสารไปเกาะโอลาวี ขณะที่ทั้งสองคนกำลังรอเรือแล่นอยู่นั้น จู่ๆก็เกิดพายุขึ้น ดัควีลล์ที่หวาดกลัวว่าคนทรยศขององค์กรจะตามมาเลยถามเกอร์มันว่าสามารถจัดการพายุได้ไหม

     

    ‘ได้สิ ถ้านายอธิษฐานถึงเทพสมุทรฉันก็จะกลับขึ้นไปในมิติสายหมอกตอบสนองคำอธิษฐานและลบพายุนี้ออก แต่นายมั่นใจได้เลยว่าจากนั้นเจ้าสมุทรจะมาหาพวกเราภายในสิบวินาทีโดยส่งสายฟ้ามาก่อนอย่างแรก‘


     

    “ฉันเป็นแค่นักผจญภัย” หลังจากคิดติดตลกในใจเกอร์มันก็ตอบสั้นๆ


     

    เมื่อรู้ว่าเขาคาดหวังในสิ่งเพ้อฝันก็ได้แต่สถบด่าท้องฟ้าในใจ พลางชะโงกศีรษะออกไปนอกหน้าต่างเพื่อตรวจสอบท้องฟ้า


     

    *เปรี้ยง!!!


     

    สายฟ้าสีเงินผ่าลงกลางกบาลของดัควีลล์โดยที่ไคลน์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆมิอาจช่วยเหลืออะไรได้เลย]


     

    “…” ทุกคนในห้องไม่รู้จะพูดอะไรดี จะสงสารที่อีกฝ่ายโดนฟ้าผ่ากลางหัวมันก็ใช่อยู่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าฟ้ามืดขนาดนั้นเองจะชะโงกหัวออกไปทำไม


     

    [ไคลน์ได้ให้ยาแก่ดัควีลล์ตามคำแนะนำของนกฮูกพูดได้ ซึ่งช่วยชีวิตและจากนั้นทั้งสองก็ได้เข้ามาพักในห้อง


     

    ทางด้านไคลน์มันเริ่มตะหนักแล้วว่างานคุ้มกันนี้มีบางอย่างแปลกๆเลยถามดัควีลล์ว่าปิดบังอะไรเขา เพราะมันจะได้สามารถเลือกวิธีการปกป้องถูก


     

    แต่ดัควีลล์กลับอ้างด้วยเหตุผลไร้สาระ ทว่าเขากลับโชคดีเกอร์มันนั้นเชื่อข้ออ้างนั้นอย่างสนิทใจ]


     

    ”ฝีมือของลูกเต๋านั้นสินะ” ซิลสังเกตได้ว่าลูกเต๋านั้นต้องเป็นตัวการแน่นอนเพราะด้วยความฉลาดของเกอร์มัน ข้ออ้างแบบนั้นไม่น่าใช้ได้ผลกับเขา


     

    [ทว่าหลังจากนั้นดัควีลล์นั้นโชคร้ายติดต่อกันจนต้องสารภาพกับเกอร์มันว่าทั้งหมดเป็นเพราะลูกเต๋า


     

    ”มุขนายตลกนี้นะ“ แต่โชคร้ายของดัควีลล์ที่ลูกเต๋าตอนนั้นได้ทำให้เกอร์มันไม่เชื่อคำพูด จนกระทั่งไคลน์กลับไปมิติสายหมอกและได้รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมด]


     

    ”ถึงมันจะไม่เหมาะที่จะพูดตอนนี้แต่เหมือนมิสเตอร์ฟูลจะชอบใช้ห้องน้ำก่อนเข้ามิติสายหมอกตลอดเลยอะ“ ฟอร์สกระซิบถามซิล


     

    ”แล้วจากนั้นเธอก็เลยคิดว่าอีกฝ่ายมีปัญหากับต่อมลูกหมากสินะ“ ซิลจำตอนพวกเธอไปเป็นองค์รักษ์ให้ดอนดัสเนสได้  และเป็นตอนนั้นเองที่พวกเธอคิดไปเองว่าอีกฝ่ายมีปัญหากับระบบขับไถ่!


     

    [ไคลน์กลับสู่ความเป็นจริงและขอให้ดัควีลล์กับนกฮูกแฮรี่คอยเฝ้าระวังลูกเต๋าไว้ แต่ในพริบตานั้นลูกเต๋าก็เปลี่ยนเป็นสองแต้ม


     

    “มันเปลี่ยนแล้วๆ สองแต้ม!!” นกฮูกแฮรี่ร้องเสียงหลง เป็นสัญญาณให้ไคลน์กระโดดไปจับดัควีลล์ก้มหมอบลง


     

    *ปัง!


     

    กระสุนจากห้องตรงข้ามทะลุผ่านจุดที่ดัควีลล์ยืนก่อนหน้าไป หรือก็คือหากเกอร์มันไม่ช่วยนักปรุงยาอ้วนคนนี้อาจตายไปแล้วเพราะถูกกระสุนลูกหลง!]


     

    ประสบการณ์ตลกเกินจริงนี้นอกจากจะไม่ทำให้ทุกคนขำแล้ว มันยังทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเจ้าลูกเต๋านี้ขึ้นมาจับใจ


     

    “เหอะ ความตายเวอร์ชั่นเร้นลับกำลังมา” โรซาล์ยพึมพำถึงหนังเก่าสมัยอดีตที่ว่าตัวละครหลักมักจะตายด้วยเหตุบังเอิญ {อันนี้เฮียแกล้อถึง ‘หนังโกงความตาย’ อะครับ}


     

    [หลังจากนั้นไคลน์ได้ให้พวกดัควีลล์คอยเฝ้าระวังเอาไว้ ก่อนจะหลับตาเพื่อจะได้ปรึกษากับอสรพิษชะตาจนรู้ว่ามิติสายหมอกสามารถข่มลูกเต๋าได้จึงลืมตาตื่นขึ้นเพื่อไปนำมันวางไว้บนโต้ะยาวทองแดง


     

    ไคลน์ยิ้มมุมปากอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยนและใจดี มันกระซิบกับลูกเต๋าบนโต้ะอย่างใจเย็น


     

    “ขอต้อนรับสู่คอนเสิร์ต” ]


     

    ทุกคนเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนผิดกับการกระทำนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขนหัวลุกโดยเฉพาะฟอร์สที่ตอนนี้มองอีกฝ่ายเห็นเป็นภาพเกอร์มันยิ้มไปแล้ว


     

    ”เยี่ยม! ตอนนั้นแกแกล้งเจ้าลูกเต๋านั้น หลังจากนั้นก็กลับมาแกล้งข้า!! เจ้าเป็นอะไรกับคนในเส้นทางประสัตว์ประหลาดกันเนี่ย!!“ วิลลุกขึ้นประท้วง เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายชอบรังแกคนในเส้นทางนี้ตลอด


     

    [หลังจากข่มขู่ลูกเต๋าจนอยู่หมัด ไคลน์ก็ลงจากมิติสายหมอกไปแจ้งดัควีลล์ว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมแล้วและในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย]


     

    หน้าจอดับลงเป็นจังหวะเดียวกับที่เทียนกลายเป็นโคมไฟลอยมาหาวิลเพื่อนำไปวางในแม่น้ำ


     

    ในฐานะ งูแห่งโชคชะตา เขานั้นคุ้นชินกับความไม่เที่ยงธรรมของมันมานานแล้ว และยังเคยจ่ายล่วงหน้าเพื่อรอของขวัญแห่งชะตา


     

    แต่หลังจากได้พบไคลน์และเล็งเห็นโอกาสในการปรองดองกับเอกลักษณ์ ไม่รู้ว่าตอนไหนแต่เขาเริ่มช่วยเหลือไคลน์โดยหวังสิ่งตอบแทนแค่เล็กๆน้อยๆ


     

    ใครจะไปรู้ว่าในวันนี้เป็นครั้งแรกตลอดช่วงชีวิตที่ผ่าน ที่จะต่อสู้กับโชคชะตาเป็นครั้งแรก..เพื่อนำเพื่อนคนนั้นกลับมา


     

    วิลนำโคมไฟลงในแม่น้ำพลางกระซิบคำอธิษฐาน


     

    ”ให้โอกาสฉันหน่อย ให้ฉันได้มีโอกาสพานายไปกินไอศครีมด้วยกัน“


     

    พอเสร็จแล้วเขาก็กลับมานั่งที่เดิม คนต่อไปก็ลุกขึ้นไปยืนบนโพเดียมต่อซึ่งคราวนี้ก็คือเอ็มลิน


     

    [อีกด้านหนึ่งของจัตุรัสฮิลลัน เอ็มลิน•ไวท์ที่กำลังชื่นชมการแสดงของดนตรีริมถนน พลันเงยหน้าขึ้นกระทันหันจ้องมองนกที่บินมาใกล้ๆ


     

    จากนั้น มันยกมือขึ้นและกดหมวกทรงสูงไว้บนหัว ก้มศีรษะเล็กน้อยเดินด้วยความเร็วสูงไปยังใจกลางจัตุรัส ขยับเข้าใกล้น้ำพุ ในระหว่างทางร่าของเอ็มลินก็ปะปนไม่กับฝูงชนโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น]

     


     

    นางเอก!!!!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×