คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : พาลีส
เมลิสซ่าที่เห็นภาพโดยรอบก็จับกระโปร่งของเธอแน่นโดยไม่รู้ตัว แม้จะรู้ความจริงเกี่ยวกับการ {ตาย} ครั้งแรกของเขาจากเลียวนาร์ดแล้วแต่มันก็ห้ามความรู้สึกเจ็บปวดในใจไม่ได้จริงๆ
เลียวนาร์ดที่มองอยู่ก็ลุกขึ้นมานั่งอย่างจริงจัง ในสถานการณ์แบบนี้เขาคงติดเล่นไม่ได้แล้ว
[เมกูสยิ้มทักทายทุกคนในบริษัทหนามทมิฬและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากเดินเล่นบนถนนซุตแลน จากนั้นก็อยากเดินขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล“
‘อาการทางจิตแย่ลงขนาดนี้แล้วหรือ‘
ไคลน์นึกขึ้นได้ว่าในการพบเมกูสคราวก่อนมันพลาดโอกาสใช้เนตรวิญญาณตรวจสอบร่างกายหล่อนอย่างละเอียด ด้วยเหตุนี้กรามซ้ายจึงถูกยกขึ้นเตรียมกระทบ
ทันใดนั้น เสียงปริศนาพลันแผดร้องก้องกังวาลในหัวไคลน์รุนแรง
“ห้ามมอง! ห้ามมองเด็ดขาด!! แกจะตายถ้ามองเธอ!!” ]
‘นี้คงจะเป็นสถานการณ์เด็กทารกที่มิสเตอร์สตาร์คพูดตอนที่สำรวจสมุดจินตภาพแน่ๆ‘ ออเดรย์พลันนึกถึงสิ่งที่เลียวนาร์ดพูดขึ้นในตอนนั้น แม้เธอจะคิดว่าเขาพูดเล่น…แต่ดูแล้วมันไม่ใช่เลยแถมยังเป็นช่วงที่พวกเขายังลำดับต่ำอยู่อีก!
[ขณะนั้นไคลน์นึกถึงประโยคในสมุดไดอารี่ของโรซาล์ย
“9 สิงหาคม เราไม่สบายใจเลยกับเหตุการณ์ในช่วงสองวันหลังมานี้ อุตส่าห์ตั้งใจปฏิวัติอุตสาหกรรมของโลกให้กลายเป็นยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเต็มตัว แต่สิ่งนี้กลับเป็นเงื่อนไขสำคัญช่วยให้เทพนอกรีตปรากฏตัวบนโลกง่ายขึ้น” ]
โรซาล์นถอนหายใจ เขาสาบานได้ว่าตัวเองไม่เคยต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ แค่มองก็รู้แล้วว่าเหตุการณ์นี้เขามีส่วนผิดไม่เกินกว่าครึ่งแน่นอน
[ไคลน์นึกถึงอีกความเป็นไปได้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจแต่สัญชาตญาณกลับปฏิเสธจะรับรู้
‘ห้ามจ้องมองเทพโดดเด็ดขาด‘ ]
“อ่า…” ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขนลุกแม้จะกลายเป็นครึ่งเทพแล้วก็ตามแต่ประสบการณ์ในเหตุการณ์วันวานก็หวนกลับมาทุกครั้งเมื่อนึกถึง โดยเฉพาะกับแคทลียาที่ดูจะมีอาการมากกว่าคนอื่นเล็กน้อย
[แม้ไคลน์จะไม่อยากยอมรับ แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ตรอกย้ำความสงสัยเขาไม่เหลือชิ้นดี เขาเลยขอให้เลียวนาร์ดถ่วงเวลาไว้แล้วเดี้ยวเขาไปหาหัวหน้าด้านล่าง
ดันท์ที่ได้รับรู้เรื่องจึงวางแผนจะเอา ขี้เถ้าของพระแม่เซเลน่า ออแมารับมือส่วน ไคลน์จะไปอพยพพนักงานฝ่ายพลเรือนทุกคนออกไปพร้อมกับบอกให้สมาชิกคนอื่นคอยป้องกันเหล่าสมบัติวิเศษที่อาจถูกกระตุ้นภายในประตูยานิส]
อัลเจอร์ขมวดคิ้วขึ้นพอได้ยินแบบนั้นก่อนจะหันไปหาเลียวนาร์ด
“แผนนี้มัน…”
เลียวนาร์ดพยักหน้ายอมรับ
”ฉันรู้ มันไม่ใช่แผนที่ดีที่สุด ในตอนนั้นสภาพจิตใจของหัวหน้าไม่เสถียรจากการถูกกัดกร่อนของสมุดและยังมีปัญหาจากการกินตะกอนเกินอีก“
อัลเจอร์พยักหน้าเข้าใจแล้วหันไปมองภาพบนจอต่อ
[ไคลน์อาศัยจังหวะที่ทุกคนเตรียมตัวเขียนจดหมายถึงอะซิกเล่าทุกอย่างแล้วอยากให้มาช่วย จากนั้นขณะที่พวกเขาเตรียมจะเข้าสู้ ดันท์ก็ได้พูดกับไคลน์ว่ารู้ที่อีกฝ่ายแจ้งเรื่องสิ่งผิดปกติ ของเขากับดาลีย์แต่ดันท์ไม่ได้โกรธอะไรและอธิบายความผิดปกตินั้นให้ไคลน์ฟัง]
พอได้เห็นการพูดคุยของทั้งสอง เลียวนาร์ดก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด แม้จะได้รู้สาเหตุในภายหลังแต่เขาก็ต้องติดอยู่ในฝันร้ายจากการเห็นภาพพวกเขาตายไปอีกนานเลย
[เมกูสที่ใกล้คลุ้มคลั่งกว่าบ้ายิ่งขึ้นเพราะเด็กทารกสัมผัสได้ถึง ขี้เถ้าเซเลน่า ทำให้เกิดศึกการต่อสู้อย่างดุเดือด เลียวนาร์ดได้ใช้สมบัติพิเศษเส้นเลือดหลอดที่เสริมด้วยพลังของพาลีสในร่างขโมยความสามารถในการพูดของเมกูส ส่วนไคลน์ก็ใช้ยันต์สุริยันจัดการปิดท้าย
ในเวลานั้นไคลน์เห็นดันท์ กำลังยืนอย่างองอาจอยู่ในท่าเดิม สวมชุดกันฝนตัวเดิม เขาเห็นหัวใจกำลังยุบพองอย่างเชื่องช้าในกล่องเถ้ากระดูกเซเลน่า
เช่นเดียวกันดันท์เองก็สังเกตเห็นไคลน์มองเขาอยู่
ใบหน้าซีดเซียวของเขายังคงเผยความอบอุ่นในแบบฉบับพี่ใหญ่ คำพูดสุ้มเสียงลุ่มลึกและไพเราะเฉกเช่นทุกครั้ง ณ ตอนนี้ใบหน้าเขาราวกับย้อนไปในวัยยี่สิบตอนต้น สีหน้าแววตามุ่งมั่น
“พวกเราช่วยทิงเก็นไว้ได้” ]
‘พวกเราช่วยทิงเก็นไว้…’
นั้นคือคำพูดของสุดท้ายของกัปตัน เลียวนาร์ดยังคงมองเพื่อจดจำวาระสุดท้ายที่เขามิอาจเห็นอย่างไม่ลดละแม้บนใบหน้าจะมีน้ำตาไหลออกมาอยู่ก็ตาม
*พรึบ
เอ็มลินยกมือขึ้นมาจับไหล่ให้กำลังใจเลียวนาร์ดอยู่ห่วงๆ แม้พวกเขาจะไม่ค่อยถูกกันแต่มิตรภาพตลอดหลายปีมานี้มันก็แทนกันไม่ได้หรอก…ยกเว้นตอนในคุกน่ะ เรื่องนั้นข้ายังเกลียดเจ้าอยู่
เลียวนาร์ดเองก็รู้สึกเหมือนอ่านความคิดของเอ็มลินได้เลยยิ้มแห้งๆแล้วพยักหน้าให้
“มันเป็นอดีตไปแล้ว”
ใช่ทั้งหมดเป็นอดีตไปแล้ว เราแก้แค้น ลาเวนุส อินซ์•แซงวิลล์ แล้วตอนนี้ถึงเวลาก้าวไปข้างหน้า
[ดันท์ขยิบตาซ้ายให้ไคลน์อย่างแผ่วเบา
กลับกันไคลน์ถึงกับร่างกายทรุดลงหยุดนิ่งอยู่กับที่ราวกับหินเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เพราะหัวใจของดันท์หยุดเต้นไปแล้ว
ดันท์ล้มฟุบลงพร้อมกับท่อนแขนลงปราศจากเรียวแรง
ภาพตรงหน้าไคลน์เกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า แต่มันไม่สามารถทำอะไรได้เลยเพราะร่างกายเองก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
*ตุบ
ร่างเขาเองก็ทรุดลงพิงผนังมองไปยังแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาและมองกล่องขี้เถ้าเซเลน่าซึ่งกำลังคืบใกล้เข้ามาหา
ทันใดนั้น ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบทรวงอกฉับพลัน นัยตาหดเกร็ง ร่างกายแข็งทื่อ
‘เมกูส…ยังไม่ตายหรอ…ไม่สิ..ศัตรูใหม่หรอ? ผู้ชักใยเบื้องหลัง!!‘
สติของไคลน์เลือนลาง ดวงตาเหม่อลอยฉับพลัน ราวกับวิญญาณออกจากร่าง ลมหายใจเริ่มติดขัด หางตามันเหลือบเห็นรองเท้าบู๊หนังคู่ใหม่ไม่คุ้นตาเมื่อมองตามไปไคลน์ได้พบฝ่ามือสีขาวซีดชุ่มเลือดใครบางคนกำลังห้อยลง
ขณะที่อีกฝ่ายกำลังก้มตัวหยิบเถ้ากระดูกพระแม่เซเลน่า การมองเห็นของไคลน์ก็ดับลงเป็นสีดำสมบูรณ์ ]
“อ๊ากกกก!!!“ เสียงกรี๊ดร้องที่เปี่ยมไปด้วยโทสะของเมลิสซ่าดังออกมาหลังจากเห็นภาพพี่ชายตัวเองตายลง และยิ่งโหมกระหน่ำมากขึ้น เมื่อเห็นตัวการกล้ามาปรากฏต่อหน้า อุปกรณ์ต่างๆในชุดเริ่มทำงานอย่างบ้าคลั่ง พลังวิญญาณเริ่มพลุ่งพล่านออกมา
ชายในชุดนักบวชสีขาวลืมตาขึ้นพร้อมกับนวดไม้กางเขนเล็กน้อย คลื่นวิญญาณปลอบประโลมระดับวันวานกระจายเป็นวงกว้างทำให้สาวน้อยค่อยๆสงบลง
ออเดร์ยเช็ดเหงื่อนิดหน่อย เธอเองก็พยายามปลอบประโลมแล้วแต่ยังคงไม่มากพอเพราะเมลิสซ่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ถือครองพรของเดอะฟูลเนื่องจากไคลน์ได้มอบให้จึงมีพลังวิญญาณสูงมาก
“ขอบคุณค่ะ” ออเดรย์หันไปมองนักบวชด้านหน้า
อดัมไม่ได้หันมาตอบเพียงแค่พยักหน้าให้
“แฮ่ก…แฮ่ก..ขอโทษนะค่ะ” เมลิสซ่าที่สงบสติได้แล้วก็หันมากล่าวคำขอโทษแต่คนอื่นๆก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่พยักหน้าให้เพราะพวกเขาเข้าใจดีในความรู้สึกของเธอ
[ในเขตชานเมืองทิงเก็น
บ้านเดี่ยวมาพร้อมสวนสวย แต่เริ่มเหี่ยวเฉาลงเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน เอกลักษณ์โดดเด่นของบ้านหลังนี้คือปล่องไฟสีแดงเข้ม
บนโต้ะมีหนังสือโน้ตวางอยู่ มือซีดเทาหันไปยังกระดาษโน้ตด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้ายกับแผนการของตัวที่สำเร็จลงอย่างงดงาม ก่อนจะทำการเขียนจบบทละครด้วยประโยคสุดคลาสสิค
“เรื่องราวในทิงเก็นจบลงเท่านี้“ ]
“แก…แก” ทุกคนในอดไม่ได้ที่จะแผ่ออร่าครึ่งเทพหรือพลังวิญญาณของตน พวกเขาโกรธมากที่อีกฝ่ายใช้ชีวิตของผู้คนราวกับตัวหนังสือในกระดาษ
แม้ว่าทวยเทพจะไม่ต่างกันแต่จุดประสงค์หลักของพวกเขาก็ทำเพื่อปกป้องโลก ไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวล้วนๆแบบนี้!
“เหอะ แม้แต่คนในโบสถ์ก็เลวร้ายไม่ต่างจากโจรสลัดหรอก“ เดนิสบ่นออกมาด้วยอารมณ์โกรธนิดหน่อย
”เห็นด้วยเลย“ โรซาล์ยยกมือขึ้นก่อนจะหันไปทางสาวชุดนักบวชโบราณสีดำข้างๆ
”ดูท่าเธอจะควบคุมสาวกตัวเองได้ไม่สมบูรณ์น่ะ“
ดวงตาของอมานีเซียหดลีบเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบเสียงอันแฝงไปด้วยความเย็นชา
”ฉันต้องขอโทษที่มีขยะแบบนี้เกิดขึ้น ฉันควรดูแลและจับตามองเหล่าสาวกอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้มีคนแบบอินซ์เกิดขึ้นอีก…มุขนายกมิเชล คุณต้องช่วยฉัน“
”ครับ ท่าน“ เลียวนาร์ดลุกขึ้นก้มตัวลงรับคำพูดของเทพธิดาอย่างกระตือรือร้น
[ณ ชั้นใต้ดินวิหารเซเลน่า
เลียวนาร์ดนั่งบนเก้าอี้อย่างอะไรตายอยาก นัย์ตามันเหม่อลอยขาดสติ แม้จะสภาพร่างกายจะถูกรักษาแล้วแต่จิตใจยังคงด่าถ้อตัวเองยังไม่ลดละ
ในจังหวะนั้นก็มีคนเข้ามาแจ้งเรื่องพบกระดาษจากสำนึกงานใกญ่ว่าให้ระวังปากกา 0-08 เลียวนาร์ดจึงสามารถประติดประต่อทุกอย่างเข้าด้วยกันทำให้เขามีเป้าหมายอย่างการล้างแค้นและจะเข้าร่วมหน่ยวถุงมือแดง
“ศพพร้อมหรือยัง” เลียวนาร์ดกัดฟันถาม
“พร้อม”
“ผมจะไปแจ้งครอบครัวเขาเอง”
ตัดกลับมาที่ บ้านหมายเลข 2 ถนนดารารัตน์
เลียวนาร์ดเดินมากดกริ่งบ้านจนประตูเปิดออกผู้ที่มาคือเมลิสซ่า เธอมองชายตรงหน้าอย่างสงสัย
“เอ่อ…คุณคือ?”
“เพื่อนร่วมงานของไคลน์…พี่ชายคุณ”
จู่ๆหัวใจเมลิสซ่าพลันสั่นไหวอย่างรู้สึกไม่ดี เธอเขย้งเท้าเหลือบไปด้านหลังหวังจะเห็นหน้าของพี่ชายที่คุ้นเคยแต่ปรากฏว่าไม่พบใคร เมลิสซ่าถามด้วยเสียงสั่น
“แล้ว…ไคลน์ไปไหน”
เลียวนาร์ดหลับตาเล่าเรื่อง
“ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ่ง ขณะที่พี่ชายคุณพยายามช่วยเหลือผู้อื่นเขาถูกสังหารด้วยฝีมือของอาชญากรจิตใจต่ำทราม…เขา คือวีรบุรุษ”
ดวงตาของเมลิสว่าสั่นไหว ร่างกายสั่นเท่าไม่หยุด บัตรชมละครสามใบหลุดลงพื้น เผยให้เชื่อละครเวทีชัดเจน
{ท่านเคาต์หวนคืน} ]
พอทุกคนเห็นใบละครกับชื่อก็รู้สึกหนักที่อกขึ้นมา ออเดรย์นึกถึงตอนที่เธอสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติตอนที่เขาพบเมลิสซ่าในมหาลัยเลียวนาร์ดนึกถึงตัวตนดอน ดัสเนส
เมลิสว่ายังคงร้องไห้อยู่ แม้จะสงบลงบ้างแต่มันก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาได้จริงๆ
[ณ งานศพ หลังจากงานจบลง ที่หน้าหลุมศพของวีรบุรุษสลักชื่อ ไคลน์ แสงจันทร์สีแดงเข้มส่องแสงมายังป้ายสุสาน
*ตึง!!
ทันใดนั้น ป้ายสุสานล้มลงพร้อมกับมีมือทะลุชั้นดินออกมา พร้อมกับโลงศพที่ถูกเปิดออกและมีมือซีดพยายามปีนขึ้นมาจากหลุม
ไคลน์ลุกขึ้นมานั่งแล้วมองไปรอบๆอย่างแปลกใจพร้อมกับยิ้มอย่างเศร้าๆพอเห็นชื่อตัวเองบนป้ายสุสาน]
ทุกคนที่อยู่ในบรรยากาศเศร้าๆก่อนหน้าพลันหายไปในฉับพลัน แม้แต่อมานีเซียที่มองอยู่ก็ถอนหายใจ
”อันที่จริงเขาสามารถกลับมาที่โบสถ์ได้เสมอ“ หากเขากลับมาเธอสามารถมอบตำแหน่งคนโปรดเพื่อช่วยเหลือเขาได้ แต่น่าเสียดายความสัมพันธ์ของเธอกับเขายังไม่ดีขนาดพูดคุยกัน เพราะเธอช่วยเขาเพียงแค่เพื่อลงทุน เขาเองก็ช่วยเธอเพราะข้อตกลง…มันคงจะดีกว่านี้ถ้าฉันตัดสินใจไปคุยกับนายตั้งแต่แรก โจว
”เฮ้อ~ อย่างน้อยเขาก็ได้รับการสนับสนุนน้า“ โรซาล์ยยิ้มอย่างอ่อนแรงเรียกร้องความยุติธรรม ทำไมทีเขาไม่เห็นมีใครสนับสนุนแบบนี้บ้างละ!
”หืม? ฉันไม่ได้ดูแลนายหรอ?“ อดัมลืมตาขึ้นแล้วหันมามองโรซาล์ย รอยยิ้มนั้นแสดงถึงคำท้วงหนี้มากมายที่โรซาล์ยติดเขาไว้ในการสนับสนุนต่างๆ
”แฮะๆ ผมพูดเล่นน้า หัวหน้า อย่างซีเรียสสิ“
”เฮ้อ“ แบร์นาเนตไม่เคยรู้สึกอายขนาดนี้มาก่อนเลย ขักจะคิดแล้วว่าการนั่งใกล้พ่อตัวเองเป็นความคิดที่ดีไหม
[หลังจากเคารพสุสานของดันท์ ไคลน์ใช้พลังทำนายแนวทางและตัวการว่าตอนนี้อยู่เบ็คลันด์ เขาจึงไม่สามมรถอยู่ต่อได้แล้ว
หลังออกจากสุสาน ไม่รู้เพราะอะไรแต่ขาเขาเดินกลับมาบ้านอย่างไม่รู้ตัว ด้วยความสุขเปี่ยมล้นหัวใจ ชายหนุ่มรีบข้ามถนนไปยังบ้านแต่ก็ชะงักลงกลางคัน
มันยิ้มอย่างขมขื่น พล่างส่งเสียงพึมพำปลอบใจตัวเอง
“แบบนี้ดีแล้ว”
“ดีแล้วจริงๆ“
”ปัญหาและความวุ่นวานจากฝีมือเราในอนาคตจะได้ไม่หันไปลงกับพวกเขาภายหลัง เงินชดใช้ที่โบสถ์มอบให้น่าจะมากพอให้ครอบครัวมีชีวิตอยู่ต่อได้แม้เบ็นสันจะหางานไม่ได้“ ]
”ฮือ~” เสียงร้องไห้ของเมลิสซ่าดังอีกครั้งอย่างมิอาจอดกลั้น เขาเป็นแบบนี้เสมอ เขาคิดแค่ว่าคนอื่นจะสบายดีไหมแต่ไม่คิดจะห่วงตัวเองเลย
‘นายไม่สังเกตเลยหรือไงว่าใบหน้านายมันเจ็บปวดมากแค่ไหน…ทำไมถึงทำร้ายตัวเองแบบนี้ละ‘
“ไคลน์ พวกเรามีชีวิตที่ดี มีหลานให้นายดูแลด้วย แต่มันมิอาจสมบูรณ์ได้ถ้าขาดนาย…ได้โปรด…กลับมาเถอะนะ พี่ค่ะ”
[ไคลน์ออกมาจากถนนและหามุมนอนในตรอกแห่งหนึ่งแล้วผล็อยหลับไป แต่จู่ๆเขาก็ถูกปลุกโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“แกนอนที่ตรงนี้ไม่ได้!”
“ริมถนนและสวนสาธารณะไม่ได้มีไว้ให้พวกขี้เกียจสันหลังยาว ไร้งาน ไร้บ้านแบบแกมานอนพัก นี่คือกฏหมายสำหรับบังคับใช้คนจนโดยเฉพาะ!“ ]
“ให้ตายสิ แม้แต่วีรบุรุษที่สละชีวิตก็โดนทำแบบนี้” โรซาล์ยบ่นท้อกับระเบียบของโลกนิดหน่อย เขารู้ว่านายตำรวจนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดแต่มันก็อดบ่นไม่ได้ที่เห็นสหายตัวเองโดนด่าทั้งที่พึ่งสละชีวิตช่วยเมืองไว้
[เช้าวันรุ่งขึ้น ไคลน์เดินทางไปถอนธนาคารมา 200 ปอนด์จากบัญชีลับของตนจากนั้นก็ไปซื้อตัวรถไฟ แต่ก็เลือกที่จะเดินทางไปตอนช่วงบ่าย]
“อย่างน้อยเขาก็ยังมีเงินสินะ” ฟอร์สถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่เห็นเขายังมีสบายดีและมีหนทางรอดอยู่
“ฮิฮิ แม้จะช่วยได้ไม่มากแต่ฉันก็ดีใจที่ได้ช่วยนะ” ออเดร์ยซึ่งเห็นเงินนั้นก็รู้ได้ว่ามันคือเงินของเธอที่มอบให้กับข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล ยิ่งพอมารู้ว่าเงินตัวเองได้ช่วยชีวิตผู้มีพระคุณก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข เพราะเธอในตอนนั้นสามารถช่วยได้แค่เรื่องเงินเท่านั้น
[ไคลน์กลับมามองประตูบ้านโมเร็ตติเป็นครั้งสุดท้ายแต่พอมองกลับไป มันให้ความรู้สึกเหมือนตอนเขามาที่นี้ครั้งแรก ความอ้างว้างที่ต้องจากบ้านตัวเองอีกครั้ง สมัยเพิ่งเดินทางมาในร่างของไคลน์ โมเร็ตติ]
”นั้นคือบ้านของนายเสมอ…ประตูบ้านโมเร็ตติจะเป็นบ้านของพี่ตลอดไป พวกเรารอนายกลับมาอยู่นะ” เมลิสซ่ายิ้มดีใจพอได้เห็นความคิดของพี่ชาย ถึงพวกเขาจะไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ แต่การที่เขามองบ้านของพวกเธอเป็นบ้านจริงๆของเขา…มันรู้สึกอบอุ่นจริงๆ
[หลังจากนั้นไคลน์แอบตามสองพี่น้องไปโรงละคร และหลังจากมองอยู่นานแล้วเห็นว่าพวกเขายังคงรู้สึกเศร้าอยู่เลยไปปลอมตัวเป็นตัวตลกแล้วเข้าหาพวกเขาเพื่อให้ดอกไม้สีทองอร่าม สัญลักษณ์แทนความสุข
เมื่อสองพี่น้องเงยหน้า ก็พบรอยยิ้มอย่างจริงจังปรากฏชัดเจนท่ามกลางแถบสีฉูดฉาดบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มแห่งความสุข
สุขจนล้นปรี่
เปี่ยมด้วยความอบอุ่นเหนือคำบรรยาย ]
“พี่ชายบ้า!” แม้จะด่าแบบนั้นแต่เมลิสว่าก็ยังยิ้มอยู่ดี เธอจำความฝันตลอดหลายปีมานี้ได้ ว่าเขาตอนเป็นเดอะฟูลมักมาหาเธอในรูปลักษณ์ตัวตลกแบบนั้น…ภาพสุดท้ายที่มาคือเขามาให้ดอกไม้เธอ สิ่งที่แตกต่างคือคราวนี้เป็นเขาเองที่จากไปแบบไม่กลับมาอีก
พาลีสยิ้มกับภาพสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นแล้วนำโคมไฟมาปล่อยในแม่น้ำพร้อมกับคำอธิฐาน
“เจ้าเด็กน้อย กลับบ้านเถอะ”
เขาไม่เหลือสายเลือดครอบครัวอีกแล้วในตอนนี้ แม้จะมีพอมีอยู่บ้างอย่างเลียวนาร์ดที่เขาเริ่มมองอีกฝ่ายเป็นหลานจริงๆก็เถอะ
‘เพราะอย่างงั้น เธอควรกลับมาหาครอบครัวที่ยังรอเธออยู่นะ‘
หลังจากพาลีสกลับมาก็ไม่มีใครลุกขึ้น ทุกคนตามหันมองหน้ากันแหละกันจนเลือกที่จะเอาหนึ่งในสมาชิกของชุมนุมทาโรต์ให้ไป
อัลเจอร์รีบออกตัวว่าให้รุ่นแรกไปก่อนซึ่งเขาเสนอออเดร์ยเพราะเธอคือผู้ก่อตั้งชื่อชุมนุมทาโรต์จริงๆ
“ฉันหรอ?” ออเดรย์ถามอย่างแปลกใจเล็กน้อยไม่คิดเลยว่าเธอจะโดนโยนมาให้แบบนี้
’เดี้ยวนะ ถ้าเรื่องของเราก็น่าจะเป็นตอนนั้นนิ’ พอคิดถึงสถานการณ์ตอนนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายนิดหน่อยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จึงเดินขึ้นไปจุดไฟ
[รังไหมที่หอยอยู่บนอากาศในความมืดมีบุคคลร่างมากมายที่ใส่ชุดต่างจากโลกปกติ โดยในนั้นมีรังไหมสามอันนั้นว่างเปล่า]
ความคิดเห็น