ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Lotm] เรื่องราวของผู้เสียสละ

    ลำดับตอนที่ #7 : อะซิก

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 67


    [ไคลน์หลังได้พบกับเจ้าชายเอ็ดซัคที่คฤหาสน์กุหลาบและด้วยทักษะการแสดงของเขาได้หลอกเจ้าชายว่าตัวเองจะไปพักผ่อนทางใต้


     

    ไคลน์เอนตัวพิงเบาะรถม้าที่กำลังออกจากคฤหาสน์ ตอนนี้เขามั่นใจว่าตัวเองกำลังออกจากศูนย์กลางความวุ่นวาย


     

    ขั้นตอนต่อไปคือการออกจากเบ็คลันด์และลงไปทางใต้ก่อนจะย้อนกลับมาด้วยตัวตนอื่น


     

    ทันใดนั้นสัมผัสวิญญาณของเขาก็แจ้งเตือน ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรตรงหน้าก็ปรากฏร่างหญิงสาวในชุดเดรสสีดำหรูสวมแหวนพลอยสีฟ้าเม็ดใหญ่]


     

    ”ทริสหรอ?“ เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจนเลียวนาร์ดก็เผลอพูดคำถามเดียวกันกับไคลน์


     

    แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะได้รับข้อมูลกษัตริย์จอร์จที่3ได้บอกว่า เจ้าชายเอ็ดซัคได้สมรู้ร่วมคิดกับแม่มด แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าแม่มดคนนั้นจะเป็นทริส


     

    [แม่มดทริสขอให้ไคลน์รายงานกับหน่ยววิเศษของโบสถ์ว่าเธออยู่ที่นี้ และเล่าถีงเหตุความบังเอิญต่างๆรอบตัว ราวกับถูกควบคุมอยู่และสุดท้ายคือพวกมันได้เปลี่ยนชื่อเธอ


     

    “พวกเขาเปลี่ยนชื่อคุณเป็นอะไร“


     

    ทริสซี่ขมวดติ้วโดยไม่รู้ตัวก่อนจะพูดอย่างเหม่อลอย


     

    “ทริสซี่•ซีค”


     

    ซีค?..ซีคหรอ!! ทันใดนั้นไคลน์ก็รู้สึกร่างกายแข็งชาราวกับเป็นรูปปั้นหิน ในความคิดตอนนี้คือตอนเขาอ่านไดอารี่ของโรซาล์ยที่เขียนว่า


     

    “เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน เราค้นพบสมุดโบราณที่จดบันทึกนามของแม่มดบรรพกาล เธอมีชื่อว่า ซีค!! ]


     

    “ซีค?” ซิลที่เป็นผู้เกี่ยวข้องและรู้ข้อมูลของแม่มดบรรพกาลมากที่สุดได้ขมวดคิ้วนิดหน่อย


     

    “อืม..เธอน่าจะเป็นภาชนะของท่าน แต่ก็อาจไม่ใช่เหมือนกันเพราะนิกายแม่มดคงไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายที่เป็นภาชนะออกมาง่ายขนาดนี้”


     

    [ทริสได้เสนอว่าจะมอบความสุขอันยากจะลืมเป็นการตอบแทนหากไคลน์ช่วยเหลือเธอสำเร็จก่อนจะล่องหนออกจากรถม้าไป


     

    ไคลน์สงบสติตัวเองลงอย่างรวดเร็วก่อนจะดีดนิ้วใช้ กระโจนไฟ เพื่อเคลื่อนที่ออกจากรถม้าอย่างรวดเร็ว


     

    เขาหยุดชั่วครู่ก่อนจะหยิบนกหวีดทองแดงออกมาเป่าเรียกผู้ส่งสารกระดูกขนาดใหญ่


     

    ไคลน์รีบหยิบกระดาษกับปากกาออกมาและเขียนข้อความสั่นๆ


     

    “ช่วยด้วย!”


     

    จากนั้นจึงพับจดหมายให้ผู้ส่งสารคืน]


     

    อะซิกที่มองอยู่ก็เพียงยิ้มอย่างอบอุ่นเมื่อไคลน์เห็นตัวเขาเป็นพี่ใหญ่ที่จะช่วยเหลือในสถานการณ์วิกฤต


     

    การได้รับความไว้วางใจจากไคลน์และได้รับความช่วยเหลือตอบกลับคืนแบบนี้


     

    “การมีคุณเป็นลูกศิษย์ของผมคือโชคดีที่สุดในชีวิตแล้วละ ไคลน์”


     

    [เมื่อผู้ส่งสารหายไป เขาเก็บนกหวีดทองแดงก่อนจะคุกเข่าสวดภาวนาถึง มิสเตอร์ฟูล


     

    “ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ การสืบสวนของกระผมได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมหญิงสาวสามัญชนที่องค์ชายเอ็ดซัคหลงรักแท้จริงแล้วคือ ทริส ซึ่งเป็นแม่มดและในตอนนี้เธอถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ทริสซี่•ซีค“


     

    หลังจากแสร้งรายงานเสร็จ ไคลน์ถอยหลังสี่ก้าวขึ้นมิติสายหมอกก่อนจะดึงคำภาวนาของตัวเองส่งให้มิสจัสตินพร้อมด้วยคำพูดของตัวเองในฐานะเดอะฟูล


     

    ”ซีคหรือ…หึหึ นั้นคือนามแท้ของแม่มดบรรพกาล“


     

    หลังจากจัดการทั้งหมดแล้วเขาก็รีบกลับโบกความเป็นจริงก่อนจะเตรียมตัวหลบหนี]


     

    ”หึหึ แม้แต่ในจังหวะแบบนี้ก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์ของตัวตนที่ยิ่งใหญ่ได้สินะ“  โรซาล์ยหัวเราะชื่นชมไคลน์ที่แม้แต่ในเวลาแบบนี้ยังสามารถเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับตัวตนเดอะฟูล


     

    สมาชิกทุกคนในชุมนุมไพ่ทาโรต์เองก็ได้ปรับความคิดและเข้าใจเรื่องเดอะฟูลมานานแล้วว่าไคลน์ใช้ปราสาทต้นกำเนิดเพื่อแกล้งเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่


     

    ยิ่งไปกว่านั้น ความสะดวกสบายทั้งหมดที่พวกเขาได้รับมาจากอีกฝ่ายก็มากเหนือคณานับ แต่ราคาของความสะดวกสบายนั้นกลับตกเป็นภาระของไคลน์ทั้งหมด


     

    ถ้าเทียบกับการหลอกลวงเล็กๆน้อยๆที่ไม่เป็นอันตรายแถมยังได้รับการช่วยเหลือแบบนี้พวกเขาจะมีสิทธิอะไรที่จะโทษอีกฝ่ายละ?


     

    [ทันทีที่เขากลับมาสู่โลกความจริง แต่เพียงแค่ก้าวไปไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มก็ชะงักและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตามสัญชาตญาณ


     

    มันพบห่าฝนลูกอุกกาบาตหลายสิบลูกกำลังแหวกชั้นบรรยากาศโลกพุ่งมาหาเขา


     

    เชี่*!! ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะส่งอุกกาบาตมาเก็บเขาแบบนี้!!


     

    ห่างจากจุดนั้น บนโต้ะมีสมุดบันทึกที่มีปากกาขนนกธรรมดากำลังเขียนว่า


     

    ”ด้วยเหตุผลบางประกายที่หาคำอธิบายไม่ได้ กลุ่มฝนอุกกาบาตได้ตกลงสู่โลกเร็วกว่ากำหนดสองวัน และโชคไม่ดีที่จุดตกของอุกกาบาตมีนักสืบ เชอร์ล็อค โมเรียตี้ ซ่อนอยู่โดยบังเอิญ…ใช่แล้ว โดยบังเอิญ!“ ]


     

    ”อุกกาบาตหรอ?“ ออเดรย์ที่สงบนิ่งมาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างตกใจ แล้วนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นเธอรู้สึกถึงการสั่นสะเทือน แท้จริงแล้วมันคืออุกกาบาตที่ถูก 0-08 ส่งไปสังหารไคลน์!


     

    ”เฮ้อ แม้จะมีปากกานั้นอยู่ในมือแท้ๆ แต่กลับเขียนได้แค่บทละครชั้นสาม มันช่างสูญเปล่าจริงๆ“ อดัมส่ายหัวเบาๆพลางถอนหายใจ


     

    คนอื่นๆที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะในสงครามบทละครของอดัมได้ทำให้ศัตรูตกตายไปมากมาย แม้แต่ออเดร์ยที่เคยศึกษาจากอีกฝ่ายอยู่บ้างก็มิอาจทำได้เทียบเท่าเลยแม้แต่น้อย


     

    [ออเดรย์ได้รับรู้เรื่องขององค์ชายเอ็ดซัดกับทริสจากเดอะเวิลด์และยังได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากเดอะฟูล เธอได้ใช้ทักษะในการพูดเล่าอธิบายอย่างไหลลื่นให้กับแม่ของเธอเพื่อแจ้งกับโบสถ์รัตติกาลได้สำเร็จ]


     

    เมื่อเห็นตัวเองในวัยเยาว์ ออเดรย์อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากตัวเองด้วยความคิดถึงนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเข้าไปพัวพันกับวิกฤตระดับสูงในโลกเร้นลับแถมยังเป็นครั้งแรกที่ตัวตนผู้วิเศษของเธอได้ถูกเปิดเผยโดยครอบครัว สำหรับเธอแล้วมันเป็นฉากที่ชวนคิดถึงจริงๆ


     

    [ไคลน์ใช้กระโจนไฟขึ้นมาเหนืออุกบากาบาตและกระโจนไฟอีกหลายครั้งทว่าก็ยังไม่สามารถหนีจากระยะอันตรายได้


     

    ในขณะที่เขากำลังจะถูกเผาทั้งเป็น จู่ๆภาพตรงหน้าก็กลายเป็นภาพวาดสีน้ำมันประหลาดไคลน์หันไปมองผู้มาช่วยเหลือซึ่งอยู่ด้านหลังกำลังยิ้มให้กับเขาอยู่


     

    มิสเตอร์อะซิกปรากฏตัวได้ทันเวลา เขาได้พาไคลน์เข้าสู่โลกวิญญาณได้ทัน เพื่อหลบการโจมตี]


     

    “เฮ้อ~” ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอกให้ไคลน์ที่ผ่านวิกฤตระลอกแรกได้แล้ว


     

    [ปากกาขนนกแสนธรรมดาในสภาพแน่นิ่งถูกวางใกล้กระดาษธรรมดาสีซีดเล็กน้อย ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึมและตาบอดหนึ่งข้างพลางก้มหน้าเขียนบางสิ่ง


     

    “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังของอะซิก•อายเกสยังฟื้นฟูได้ไม่สมบูรณ์ขณะที่เขาและนักสืบเชอร์ล็อก•โมเรียตี้กำลังเดินทางในโลกวิญญาณก็ได้บังเอิญออกมาพบกับอินซ์•แซงวิลล์กับพวกพ้อง“ ]


     

    เมื่อเห็นอินซ์•แซงวิลล์อีกครั้ง เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะกำมือด้วยความโกรธ แต่ไม่นานก็ปล่อยวางเนื่องจากตัวเขาในตอนนี้นั้นสามารถก้าวข้ามอดีตได้แล้ว


     

    แต่จู่ๆเขาก็พึ่งมานึกได้ ว่าตัวเองไม่เคยเห็นภาพร่วมของการต่อสู้ในศึกตอนทิงเก็นเลยเนื่องจากเขาถูกเขียนลงในบทละครของอินซ์•แซงวิลล์ จึงไม่สามารถมองภาพรวมได้


     

    พาลีสเหลือบมองเลียวนา์ดก่อนจะพูดอย่างสบายๆ


     

    “ถ้าแกอยากรู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นเดี้ยวข้าเล่าให้ฟังก็ได้ อย่างไงซะก็เป็นผู้เกี่ยวข้องอยู่แล้ว”


     

    ”ขอบคุณ…ว่าคุณรู้ได้ไงเนี่ยว่าผมคิดอะไร”


     

    “เหอะ! บนหน้าเจ้ามันเขียนความคิดไว้หมดนั้นแหละ”


     

    [ไคลน์และอะซิกหลุดออกจากโลกวิญญาณมาโผล่ยังซากโบราณบางอย่าง


     

    เป็นพื้นที่ใกล้เบ็คลันด์? ในขณะที่ไคลน์กำลังคิดอยู่เขาก็ได้ยินเสียงมิสเตอร์อะซิกพูดด้วยเสียงทุ้มลึก


     

    “คุณรีบหนีไปก่อน ขึ้นไปข้างบน“


     

    หือ? ก่อนที่ไคลน์จะทำความเข้าใจความหมายของคำพูดอะซิกตรงหน้าก็ปรากฎแสงวู่วาบจนรวมกันเป็นประตูคู่ลวงตา


     

    เมื่อเห็นอินซ์•แซงวิลล์เดินออกมาจากประตู ไคลน์ก็หันหลังแล้วรีบออกวิ่งออกจากห้องทันที]


     

    “ใช่แล้ว! นั้นแหละสิ่งที่ควรจะทำ!! ในเวลาแบบนั้นถ้าเองจะมาทำเหมือนกับพวกพระเอกในการ์ตูนอย่าง {คุณไปก่อนเลย} หรือ {ไม่! ไปด้วยกัน} แบบนั้นจะทำให้ทุกคนตกอยู่ในอันตราย ทำได้ดีมากตาเฒ่าโจว!!”


     

    ในขณะที่โรซาล์ยกำลังพูดบ่นอยู่นั้น ฟอร์สในฐานะนักเขียนเองก็เคยเขียนเซตติ้งประเภทแบบนั้นเหมือนกัน เลยอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเหงื่อไหลออกมา


     

    ’โชคดีที่เราไม่เคยส่งเรื่องเซตติ้งแบบนั้นให้กับกองบรรณาธิการ‘


     

    [ไคลน์ที่ได้ยินแบบนั้นก็สับตีนแตกวิ่งหนีขึ้นไปข้างบน ในทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแหบพร่าที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจแห่งคำสั่ง


     

    “ณ สถานที่นี้ไม่อนุญาติให้เดินทางข้ามมิติ!” เจ้าของเสียงเดินออกมาจากในเงามืดข้างๆ อินซ์•แซงวิลล์ โดยเขาสวมหน้ากากสีทอง


     

    อำนาจนั้นได้กดให้อะซิกอ่อนแอลงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชนะได้โดนง่ายจึงพุ่งเข้าสู้กับชายหน้ากากสีทอง


     

    ส่วนอินซ์•แซงวิลล์มิได้จู่โจมอย่างบุ่มบาม เขามองไปยังไคลน์ที่กำลังพยายามหลบหนีขึ้นไปด้านบน ในฐานะครึ่งเทพลำดับ 4 แห่งเส้นทางรัตติกาล {ผู้พิทักษ์รัตติกาล} เขามีอำนาจในการมอบโชคร้ายให้กับศัตรูได้


     

    ทว่านอกจากจะไม่สามารถมอบโชคร้ายให้ไคลน์ได้ อินซ์•แซงวิลล์กลับมองเห็นสายหมอกปกคลุมตัวแทน]


     

    “เหอะ! แม้แต่เส้นทางที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาที่สุดอย่าง สัตว์ประหลาด ก็ยังไม่สามารถทำอะไรกับชะตากรรมของเขาได้ แค่แกไม่ถูก ปราสาทต้นกำเนิด กัดกร่อนไปตอนนั้นก็ดีแค่ไหนแล้ว!” วิลพูดอย่างไม่สบอารมณ์


     

    [ไคลน์อาศัยพลังของ {ผู้ไร้หน้า} เปลี่ยนใบหน้าตัวเองเป็น อินซ์•แซงวิลล์ เดินออกมาหายามที่กำลังเดินหน้ามาเพราะได้ยินเสียงดัง


     

    “มีบางสิ่งข้างนอก! รีบไปตรวจซะ!!”


     

    ยามที่ได้ยินคำสั่งก็รีบมุ่งหน้าออกไปตรวจสอบแต่ก็มีอยู่คนหนึ่งหันกลับมาถามบางอย่าง


     

    “มิสตอร์แซงวิลล์ ได้โปรดแสดงบัตรด้วยครับ”


     

    “รีบๆเข้าละ”


     

    ในจังหวะที่ยามกำลังตรวจ ไคลน์ก็อาศัยจังหวะนั้นกระโจนไฟออกมา กว่าจะรู้ตัวบัตรบนมือยามก็กลายเป็นแค่โปสการ์ดสีฟ้าแสดงความยินดีโดยมีคำเขียนไว้มุมซ้ายมือ


     

    “สุขสันต์วันปีใหม่” ]


     

    หลังจากได้เห็นการแสดงโชว์แบบนั้น ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แม้จะรู้ว่ามันไม่เหมาะสมที่จะมาหัวเราะในสถานการณ์เสี่ยงตายแบบนี้แต่มันก็ยากที่จะกั้นไว้จริงๆ


     

    [อีกด้านหนึ่ง ขณะที่อะซิกกำลังรับมือกับ อินซ์•แซงวิลล์ 0-08 ก็หลุดออกมากจากกระเป๋ากางเกงของ อินซ์•แซงวิลล์ แล้วเขียนข้อความบนกำแพง


     

    “ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น เข็มขัดของอินซ์•แซงวิลล์ เกิดขาดกระทันหันจนขอบกางเกงหลุดลงมาที่ตาตุ่ม“ ]


     

    ”ฮ่าฮ่าฮ่า“ โรซาล์ยไม่คิดจะห้ามตัวเองที่กำลังหัวเราะออกมาอย่างชอบใจเมื่อเห็นประโยคที่ปากกานั้นเขียนเขาก็แทบจะลงไปขำกับพื้นอยู่แล้ว


     

    แม้แต่อมานีเซียที่เงียบสงบมาตลอดภายใต้ม่านคลุมหน้าตอนนี้ก็แอบมีรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างชอบใจที่เห็นคนทรยศนั้นโดนแบบนั้น


     

    [ไคลน์หลังเดินผ่านจุดตรวจเขาก็บังเอิญเปิดประตูออกมาและพบยามคนหนึ่ง ทันทีที่พวกเขาเดินสวนกันไคลน์ก็ตัดสินใจแปลงร่างเป็นอีกฝ่ายแกล้งเดินเนียนไปแจ้งยามคนอื่นว่า อินซ์•แซงวิลล์ มีบางสิ่งผิดปกติ


     

    ตัดกลับมาที่คฤหาสน์กุหลาบ ทริสได้บอกความจริงทั้งหมดแก่เอ็ดซัค หลังจากเจ้าชายในสงบสติตัวเองเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้และตัดสินใจปล่อยทริสไปทางประตู


     

    ทว่า ก่อนทริสจะไปก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาถาม


     

    ”แล้วนายจะทำอย่างไงต่อ?“


     

    เอ็ดซัคไม่หันกลับมาเพียงจ้องมองออกไปทางหน้าต่างด้วยสีหน้าอันเหม่อลอยราวกับกำลังมองไปยังอดีต


     

    “เราหรือ? เราขอจมอยู่กับเรื่องราวอันหอมหวานและน่าประทับใจในอดีต ไปจนกว่าวาระสุดท้ายจะมาถึง…ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม“


     

    ทริสหยุดหายใจไปหลายวินาทีก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่หลากหลายอารมณ์แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจเข้าประตูลับหายไป]


     

    ออเดรย์ที่มองอยู่ก็ถอนหายใจเบาๆ แม้เธอจะไม่ค่อยชอบเอ็ดซัค แต่เขาก็ยังเป็นคนที่เธอสนิทด้วยในระดับหนึ่ง


     

    แม้ว่าเขาจะมีข้อบกพร่องมากมายแต่โดยทั่วไปแล้วเขาเป็นคนดี…สุดท้ายเขาก็ถูกพ่อของเขาสังเวยอย่างง่ายดาย


     

    [ในห้องอันเงียบสงบของมหาวิหารแซมมัว


     

    หนึ่งในสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาล  ประมุขสูงสุดแห่งมณฑลเบ็คลันด์


     

    นักบุญ แอนโทนี•สตีเวนสัน


     

    ผู้ได้รับข่าวจากตระกูฮอลล์ ในตอนนี้เขากำลังเตรียมปลุกสมบัติผิดผนึก 0-017


     

    อีกด้านหนึ่ง ไคลน์เดินไปยังโถงทางออกและบังเอิญได้ยินการพูดคุยของมิสสิ้นหวังและมิสเตอร์A ว่าจะใช้แผนเพลิงเผา? ใช้โอกาสนี้ให้ชุมนุมแสงเหนือทำพิธีจุติของ {พระผู้สร้างแท้จริง}?


     

    ‘นี้มันเป็นการพยายามครั้งที่สามแล้ว และเราดันมาดวงซวยอยู่ทุกรอบ นี้มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!!‘ ไคลน์อดไม่ได้ที่จะสบถเป็นภาษาจีนในใจ ]


     

    สายตาทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหนึ่งในตัวละครหลักอย่าง วันวานข้างหน้าที่ตอนนี้ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งกับ พระผู้สร้างแท้จริง ไปแล้ว


     

    อดัมเองก็สัมผัสได้ถึงสายตาของทุกคน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากน่ะเพียงแค่ยิ้มอย่างอ่อนโยนกลับ ทำให้พวกเขาที่เหลือเองก็รู้สึกผิดชายคนนี้เองก็สาบานไปแล้วว่าจะปกป้องโลกไปตลอดกาลจะให้เขาชดใช้อะไรอีกละ


     

    “พอมาคิดตามดูแล้ว แฮงแมน เจอเขาก่อนพวกเราสินะ แถมยังตามติดตลอดด้วย ฮิฮิ ทำไมถึงได้มองเป็นเป็น ชะตากรรมที่โหดร้ายละ” อามุนด์วางคางลมบนมือแล้วยิ้มอย่างมีเล่ห์กล


     

    [บทสนทนาของพวกเขาถูกขัดจังหวะโดยชายคนหนึ่งที่ไคลน์จำได้ว่าเขาคือ บาลุน ซึ่งเกี่ยวขเองกับคดีการหายตัวไปของทาสบนเกาะจามอาณานิคมมากมาย


     

    การปรากฏตัวของคาพินทำให้ไคลน์สามารถประติดประต่อเบาะแสมากมายที่เขามีทั้งหมดเข้าด้วยกัน แต่ก่อนที่ไคลน์จะทันได้ทำอะไร มิสเตอร์Aก็ได้ส่งมิสสิ้นหวังไปยังฝั่งตะวันออกตามคำขอเธอ


     

    ตัดกลับมาทางฝั่งตะวันออก หมอกควันสี

     

    ดำเหลืองอ่อนเริ่มกระจายไปทั่วบริวเณ ฉากต่างๆปรากฏขึ้นไม่ว่าจะครอบครัวของเหล่าเด็กยากไร้ หรือคนเร่รอนที่วิ่งหนีเอาชีวิตรอด ราวกับชีวิตของมนุษย์เป็นแค่มุดสำหรับครึ่งเทพ


     

    การแสดงออกของมิสสิ้นหวังคือเธอราวกับกำลังสร้างงานศิลปะที่งดงามท่ามกลางเสียงกรี๊ดของผู้คน สุดท้ายเธอก็หัวเราะออกมา


     

    ”ฮ่าฮ่า อาณาจักรโลเอ็นจะจารึกเหตุการณ์ในวันนี้ไว้ในประวัติศาสตร์…มหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์!!“ ]


     

    ภาพการดิ้นรนของผู้คนไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ ชายหญิง หรือรวยจน เมื่อต้องเจอกับภัยพิบัติอันน่ากลัวก็ไร้ความหมาย


     

    ทุกคนในชุมนุมทาโรต์ต่างรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ หลังจากมิสเตอร์ฟูลหลับไป พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งตัวเองและเผชิญหน้ากับโลกที่โหดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ


     

    แต่สิ่งที่ไม่แปรเปลี่ยนก็คงเป็นเรื่องที่ว่า ตัวตนระดับสูงสามารถถักถอชะตาชีวิตของคนธรรมดาได้ง่ายดายโดยไม่คิดสนว่าจะตายไปมากเท่าไรทำให้พวกเขานึกถึงคำพูดหนึ่ง


     

    จงเชื่อมั่นในพลังของเทพ ไม่ใช่ความไว้ใจของพระองค์


     

    แต่คำพูดนี้ใช้ไม่ได้กับมิสเตอร์ฟูล เขาคือคนธรรมดาที่แม้สุดท้ายจะกลายเป็นเทพก็ยังคงเป็นผู้พิทักษ์เสมอมาไม่แปรเปลี่ยน


     

    ด้วยเหตุผลนี้พวกเขาจึงไม่เสียใจที่ได้ติดตามมิสเตอร์ฟูลและจะไม่แปรเปลี่ยนถึงท่านจะจากไป…ชั่วนิรันดร์


     

    โดยไม่จำเป็นต้องสงสัยในความไว้ใจของท่าน เพราะเขาคือมนุษย์ที่สวมบทบาทเป็นเทพพระเจ้า!


     

    [ภายในเขตตะวันออก เฒ่าโคห์เลอร์ที่กำลังวิ่งกลับบ้านโดยมีแฮมอยู่ในอ้อมแขน แต่สุดท้ายเขาก็ล้มลงท่ามการหมอกพิษนั้นเลยทำให้เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย


     

    ภาพสุดท้ายที่เห็นคือคำพูดของคนเมาในร้านตอนกำลังหาข้อมูล


     

    “คนอ่อนแอแบบพวกเราเปรียบพวกฟางข้าวที่จะล้มลงหากมีลมมาพัดเพียงเล็กน้อย หรือไม่ก็ล่วงโรยไปด้วยตัวเอง ]


     

    “ฟาง…” สมาชิกกลุ่มไพ่ทาโรต์พูดคำนี้โดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดน้ำตาเล็กน้อยในดวงตาอย่างช่วยไม่ได้


     

    พวกเขาได้เดินทางไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเพราะเผยแพร่นามอันศักดิ์สิทธิของเดอะฟูลหรือจากภารกิจที่ได้รับ เพื่อหยุดยังภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น


     

    แต่ท้ายที่สุดพลังของพวกเขาก็ถูกจำกัดให้สามารถช่วยเหลือได้เท่ากับพลังที่ตนมี


     

    แม้แต่ออเดรย์หรือฟอร์สที่ลำดับสูงที่สุดในชุมนุมทาโรต์เองก็ไม่สามารถช่วยได้ทุกคน อย่างออเดรย์ไม่เพียงแต่ต้องวิ่งไปมารักษาสภาพจิตใจและปกป้องภัยพิบัติให้ประชาชนแล้วเธอต้องมาเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิทยาแก่ทุกคนเป็นครั้งคราว


     

    หรือแม้แต่ฟอร์สที่แม้เธอมักจะขี้เกียจแต่ก็ทำงานเต็มที่ในฐานะเทวทูตผู้บันทึกของพระองค์ เรียกได้ว่าตอนเช้าทำงานเขียนเรื่องเล่าตอนดึกทำงานของเทวทูตเลยก็ว่าได้แม้ว่านั้นจะทำให้เธอดูลำบากกว่าตอนเป็นแค่นักฝึกหัด เแต่เธอก็ไม่เคยเสียใจที่กลายมาเป็นเทวทูตใต้บัลลังก์ของพระองค์


     

    [ภายในห้องโถงทำพิธีของมิสเตอร์ A


     

    ไคลน์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับระดับสูงคนหนึ่งจึงสามารถมองเห็นภาพลวงตาโปร่งแสงที่มีความขุ่นเคืองอันบิดเบี้ยวและเสื่อมทรามได้ชัดเจนราวกับอารมณ์ด้านลบของฝั่งตะวันได้มาร่วมกันที่นี้


     

    ‘พิธีกรรมเริ่มขึ้นแล้ว?‘ ไคลน์หลับตาดอนหลังพิงกำแพงกำมือขวาจนแน่นแต่ท้ายที่สุดก็ผ่อนคลายลง


     

    สำหรับเขา ทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้คือย่องออกจากห้องไปในขณะที่มิสเตอร์Aกำลังสนใจพิธีแล้วหนีไป


     

    เขากำมือและแบออกอยู่หลายครั้ง ราวกับกำลังคิดลังเลว่าตัวเองควรทำอย่างไงดี]


     

    แม้เธอจะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่เมลิสซ่าก็ยังหวังว่าโดยไม่รู้ตัวให้พี่ชายของเธอหนีไป


     

    แต่เธอรู้ดีว่าเขาจะไม่มีทางยืนเฉยกับเรื่องแบบนี้


     

    เพราะเขาคือไคลน์


     

    คือผู้พิทักษ์


     

    [เจ็ดหรือแปดวินาทีต่อมา ไคลน์ลืมตาขึ้นและมุมปากก็ยิ้มขึ้นอย่างตื่นเต้นปนกลัวไปด้วย


     

    เขาเอื้อมมาออกมาจับปืนลูกพกในชุดแล้วเล็งไปทางมิสเตอร์Aที่อยู่บนแท่นทำพิธี]


     

    ”ตามที่คิดไว้เลย…“ เลียวนาร์ดถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขารู้ว่าไคลน์จะไม่มีทางหนีแน่ เช่นเดิมกับตอนที่เขาบังเอิญไปเจอคนของชุมนุมแสงเหนือในห้องสมุดที่เมืองทิงเก็น


     

    เขาเป็นคนขี้ระแวงจนเกือบจะขี้ขลาด แต่เขาจะไม่มีทางปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายทั้งๆที่เขาสามารถหยุดมันได้…โดยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นอะไรหรือป่าว


     

    [ทว่าเขาก็รู้ดีว่ากระสุนธรรมดาหรือแม้แต่กระสุนมารทั่วไปคงทำลายพิธีกรรมระดับเชิญเทพพระเจ้าไม่ได้ ในขณะที่เขากำลังคิดว่าบนตัวมีอะไรพอใช้ได้อยู่นั้น เขาก็พบกับบางอย่างในกระเป๋าเสื้อ


     

    ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับโยนสิ่งนั้นเข้าไปในแท่นพิธี มันคือกุญแจที่มีรูปร่างเรียบง่าย


     

    นั่นคือ มาสเตอร์คีย์


     

    ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ไคลน์ก็เห็นว่า มาสเตอร์คีย์ สลายตัวกลายเป็นอนุภาคแสงสีแดงเข้มที่บิดเบี้ยว


     

    แต่ทันใดนั้นแสงสีแแดงก็จางหายไปอย่างรวดเร็วแต่พิธีกรรมก็ถูกทำลายไปเช่นกัน]


     

    ทันทีที่เห็นกุญแจสลายกลายเป็นแสงสีแดง ทุกคนทราบทันทีว่านั้นคือผลกระทบของมิสเตอร์ประตูที่ถูก เทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม ซึ่งใช้เอกลักษณ์กัดกร่อนคนในเส้นทาง


     

    แน่นอนว่า {เธอ} ได้ล่วงหล่นไปแล้วในปัจจุบันแต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่วางใจเพราะอีกฝ่ายคือหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดจึงมีความเป็นไปได้ว่าเธออาจกำลังเฝ้ามองพวกเขาจากบนดาวสักดวงในจักรวาลอันมืดมิดข้างนอก


     

    [ผลกระทบที่ได้รับ ไคลน์ใช้กระดาษตัวแทนย้ายมันออกไป หลังจากยืนยันว่าพิธีถูกทำลายแล้วแน่นอนจึงไม่คิดลังเลที่จะวิ่งทันที]


     

    “เฮ้อ~” เสียงถอนหายใจของทุกคนดังขึ้นเพราะในที่สุดเขาก็หนีออกมาจากที่อันตรายซะที


     

    [ออเดรย์ที่มองภาพข้างนอกจากภายในคฤหาสน์ เธอเห็นใบไม้โบกสะบัดไปมา


     

    “ลมกำลังจะมา” ออเดรย์รู้สึกมีความสุขไม่ถูกเพราะคิดว่าทุกอย่างกำลังจะจบ]


     

    “ลมกำลังจะมา…” ออเดรย์ที่มองตัวเองในอดีตที่เหมือนกับเธอทุกอย่างแต่สิ่งที่ต่างไปคือในตอนนี้เธอไม่รู้สึกถึงความสุขเลยในประโยคนี้


     

    [สายลมจากวิหารวายุสลาตัน ได้พัดพาหมอกพิษออกไป ทำให้พานาเทียเสียดายที่เธอไม่สามารถย่อยโอสถได้มากกว่านี้ทว่าก่อนที่เธอจะจากไปหญิงสาวสวมชุดคลาสิกมีฮู้ดสีดำ ดวงตาและผมสีไม่ต่างกัน ใบหน้าสวยงามแต่ไร้ซึ่งอารมณ์


     

    0-17 ได้ลบ พานาเทีย,แหวนไพลินของทริส,พ่อบ้านคนเก่าของเอ็ดซัค และมิสเตอร์Aที่กำลังไล่ตามไคลน์


     

    ทำให้ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเตรียมใจที่ตัวเองจะหายไปจากหญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับคิดว่าจะสามารถคืนชีพได้หรือป่าวนั้น มุมปากของเธอกลับยิ้มตอบเขาแล้วหายไป]


     

    เธอคนนั้น…คือ เทพธิดา!!!


     

    สายตาของสาวกรัตติกาลต่างหันไปมอง หญิงสาวในชุดธีมสีดำด้านหน้าด้วยสายตาเป็นประกาย ทำให้อมานีเซียรู้สึกอายเล็กน้อย


     

    ในความเป็นจริงหากไคลน์ไม่ได้แจ้งข่าวให้เธอผ่านตระกูลฮอลล์ เธออาจไม่สามารถเข้าไปช่วยได้โดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ


     

    ทำให้กว่าจะรู้ตัวศัตรูอาจหลบหนีหายไปในเงามืดโดยแม้แต่เธอก็ตามไปไม่ได้ รอยยิ้มนั้นคือคำขอบคุณที่เธอมีต่อเขา


     

    [การสมรู้ร่วมคิดของเอ็ดซัคถูกรายงานต่อกษัตริย์ จอร์จที่3รู้สึกโกรธแค้นก่อนจะออกคำสั่ง


     

    “บอกพวกเขาไป ถ้าต้องการคำสั่งข้าก็จะออกคำสั่งใหม่ให้พวกเขาสามารถเข้าร่วมสภาขุนนางได้!!” ]


     

    “คำสั่งใหม่?” ซิลอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย้ยหยัน


     

    “แม้แต่การตายของลูกชายตัวเองก็ยังเอามาใข้ประโยชน์ ไอเดนมนุษย์เอ้ย” เธอรู้ดีว่าการกระทำทั้งหมดของจอร์จที่3คือพิธีกรรมเตรียมเทลิงบัลลังก์เทพ จักรพรรดิมืด


     

    แม้แต่กับโรซาล์ยเองกว่าเขาจะเป็น จักรพรรดิมืด ก็เสียสละชีวิตไปมากมายไม่ต่างกันจึงได้แต่ก้มหน้าลงโดยมีลูกสาวคอยจับมือเขาไว้จากด้านหลัง


     

    [ภายใต้บรรยากาศอันเศร้มหมอง เวลาได้เข้าสู่ปีใหม่ 1350]


     

    มหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ได้ทิ้งบาดแผลที่มิอาจลืมไว้ในประวัติศาสตร์ของโลเอ็นตลอดกาล และพระเจ้าจอร์จที่3 หนึ่งในตัวการของภัยพิบัติก็ไม่ถูกลงโทษอย่างแท้จริงจนเวลาผ่านไปนานแสนนาน


     

    อดัมหนึ่งในผู้ร่วมมือก็จับกางเขนในมืออย่างแน่นชิดเพื่อเตือนถึงสิ่งที่เขาเคยทำมาก่อนจะหลับตาลงอย่างสงบ


     

    สุดท้ายมันก็คือเรื่องจริงที่หากพวกเราต้องการให้โลกรอดปลอดภัยจำเป็นต้องมีการเสียสละ


     

    ทว่าตัวเลือกของไคลน์ต่างออกไป เขาต่อต้านและเลือกทีจะเสียสละน้อยที่สุดเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่เย่อหยิ่งและเฉยเมยต่อทุกสิ่ง


     

    คนทั่วไปหากเผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาจะไม่ลังเลที่จะทำทุกอย่างแม้แต่เสียสละผู้อื่นเพื่อรอดต่อไป แต่ไม่ใช่กับไคลน์เขาเลือกที่จะหาทางหยุดยั้งต่อความตายนั้นไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร…รวมถึงชีวิตของตัวเอง


     

    ดั่งเช่นตอนนี้ที่เขาเสียสละตนเอง เป็นเทพที่ไม่สนใจผลประโยชน์ตัวเองและความแค้นในอดีตเพื่อส่วนร่วม เขาคือคนธรรมดา ที่ได้รับความเคารพมากที่สุดในหมู่ทวยเทพ


     

    [หลังจากไคลน์ได้แสดงความเคารพต่อผู้ตายจึงคิดจะเดินทางออกจากเบ็คลันด์ด้วยตัวตนของ เกอร์มัน จังหวะนั้นเขาได้บังเอิญเดินผ่านครอบครัวโมเร็ตติที่พึ่งย้ายมา และมีเพียงแค่เมลิสซ่าหันกลับไปมองเขาด้วยความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างแต่ไม่นานเธอก็เลิกสนใจไป


     

    โดยไม่รู้เลยว่าไคลน์เองภายใต้ใบหน้าอันเย็นชาก็คิดถึงพวกเขาไม่ต่างกัน]


     

    เมลิสซ่าที่เห็นความรู้สึกของไคลน์ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกครั้ง อะซิกยิ้มให้กับความอ่อนโยนของลูกศิษย์คนนี้ก่อนจะลุกขึ้นไปลูบหัวเมลิสซ่าอย่างอ่อนโยน


     

    “เขาเป็นพี่ชายที่ดี”


     

    “ค่ะ…เขาคือพี่ชาย…ที่สุดยอดของฉัน“


     

    อะซิกยิ้มตอบก่อนจะเดินมาที่แท่นและนำโคมไฟมาวางไว้ที่แม่น้ำพลางหลับตาภาวนา


     

    “ผมภาวนาให้ไคลน์ได้แบ่งเบาภาระให้คนรอบข้างและกลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง”


     

    อะซิกสูญเสียครอบครัวไปนับครั้งไม่ถ้วนในการเสียความทรงจำของตนตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา เขารู้จักความหมายของคำว่าครอบครับดีที่สุด และรักกับการใช้เวลากับพวกเขา


     

    แม้ว่าไคลน์คนนี้จะไม่ใช่ไคลน์ที่พวกเขารู้จักแต่…เขาก็คิดกับเบ็นสันและเมลิสซ่าเป็นพี่น้องจากใจจริงมาโดยตลอด แต่เพราะเขามีภาระมากเกินไปจึงไม่สามารถกลับมาหาครอบครัวได้


     

    “แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว กลับมาหาพวกเขาและได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเถอะไคลน์”


     

    พออะซิกกลับไปนั่งที่เดิม พาลีสก็ยืนขึ้นพร้อมกับเดินไปยังแท่นพิธีจากนั้นก็จุดไฟบนเทียน


     

    ฉากที่คุ้นเคยเริ่มปรากฏขึ้น


     

    [ในขณะที่เขากำลังพับหนังสือพิมพ์อยู่ ไคลน์ก็เห็นผู้มาเยือนทางประตู


     

    เธอเป็นผู้หญิงไม่แก่มากประมาณอายุยี่สิบต้นๆ แต่เพราะใบหน้าอันซีดจางกับบรรยากาศโศกเศร้าที่แผ่ออกมาจางๆรอบตัวเธอทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง


     

    ทว่าสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นที่ท้องอันใหญ่โตของเธอ เป็นสัญญาณว่ากำลังท้องมากกว่าเจ็ดเดือนแล้ว]

     


     

    ผมไม่รู้ว่าทุกคนอ่านข้ามหรืออะไรแต่ลิ้งต้นฉบับผมแปะไว้ที่ข้อมูลพื้นฐานครับ ตรงคำว่า {พระคัมภีร์ต้นกำเนิด} กับเจ้าของไม่ได้เขียนชื่อเรื่องไว้นะครับแกเขียนแค่ {ตอนหนึ่ง-ตอนสอง} และถ้าใครเข้าไปอ่านไม่ได้คือเว็บมันอนุญาติเฉพาะคนมีบัญชีเข้าไปแล้วน่ะครับ (อดีตมันไม่ใช่แบบนั้นไง) ผมเองที่เอามาแปลได้เพราะเคยแคบไว้เท่านั้น

     

    ขอบคุณที่ชอบอ่านนะครับ See you~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×