ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Lotm] เรื่องราวของผู้เสียสละ

    ลำดับตอนที่ #6 : อมานีเซีย

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 67


    แม้ว่าไคลน์จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้น แต่ทุกคนนอกจอที่เคยเข้าร่วมสงครามวันสิ้นโลกก็รับรู้ได้ทันทีว่านั้นคือ ร่างทรงหรือหญิงสาวที่มีสายเลือดเดียวกับเทพธิดารัตติกาล แต่ดูจากในภาพนั้นคงเป็นตัวท่านที่ร่างทรงลงมาด้วยตัวเอง


     

    พูดอีกอย่างคือ มันเป็นฝีมือของเทพธิดารัตติกาลที่โจมตีไคลน์ตอนกำลังขโมยของในประตูยานิส


     

    นั้นเลยทำให้เกิดคำถามขึ้น เทพธิดารัตติกาลไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนหลักของไคลน์หรอกหรอ?


     

    [ก่อนที่สติของไคลน์จะดับลง เขามีเพียงความคิดที่ว่า


     

    “แข็งแกร่งฉิบ! หมดสิ้นต่อต้านเลย…ถ้าตายในสภาพนี้ เราจะคืนชีพได้หรือป่าวนะ?“


     

    ทันทีทีสติเขาดับลง เขาก็ราวกับกำลังล่องลอยในห้วงราตรีแห่งความฝัน เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรก่อนจะสัมผัสได้ถึงสายลมหนาวพัดมาโดนตัว


     

    ไคลน์ค่อยๆลืมตาขึ้นและมองทะเลสายหมอกรอบข้างซึ่งด้านบนมีดวงจันทรสีแดงเข้มซ่อนอยู่หลังหมอก


     

    ’นี้เราคืนชีพแล้วหรอ? หรือนี้คือ โลกแห่งความตาย ถ้าเป็นอย่างหลังเราจะได้ติดต่อมิสเตอร์อะซิกผ่านผู้ส่งสารให้ช่วยพาเราออกจากที่นี้ แต่ปัญหาคือเราจะไม่กลายเป็นอันเดดหรือสัตว์วิญญาณก่อนใช่ไหม?‘


     

    สมองของไคลน์ทำงานอย่างเฉี่อยชา ราวกับมีบางอย่างมาทำให้ความคิดเขาช้าลง]


     

    “ถ้าเขายังสามารถคิดวิเคราะห์ได้แม้แต่ในสถานการณ์แบบนั้น เขาก็ควรได้รับความชื่นชมในด้านสภาพจิตใจเลยใช่ไหม?” เอ็มลิมพึมพำด้วยสีหน้าซับซ้อนและคิดว่าถ้าเป็นตัวเองในช่วงเวลานั้น…ไม่ไหว เราสงบสติไม่ได้หรอก


     

    [หลังจากฟื้นคืนสติและสามารถขยับเขยื่อนร่างกายได้ในระดับหนึ่ง เขาเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมจนพบกับวิหารเก่าแก่ ในฐานะนักทำนายมืออาชีพเขารู้ได้ทันทีว่านี้คือ ต้นตอความอันตรายในยามวิกาลของ ซากสมรภูมิเทพ ในทะเลหมอก!]


     

    อัลเจอร์ที่มองอยู่ก็แปลกใจนิดหน่อย ไม่คิดเลยว่าต้นตออันตรายในยามวิกาลที่คนจะหายไปหากไม่นอนจะเกี่ยวข้องกับที่แบบนี้


     

    ‘แสดงว่าคนที่หายไปคงมาปรากฏที่นี้สินะ‘


     

    [ไคลน์ตรวจสอบตัวเองขณะวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากนั้นยืนยันสภาพตัวเองเรียบร้อยเขาก็ตรวจสภาพยุบพองหิวโหยว่ายังใช้ได้อยู่ก่อนจะหยิบนกหวีดทองแดงมาเป่าเพื่อเรียกผู้ส่งสารแต่ก็ล้มเหลวจนเขาต้องพึ่งไพ่ตายสุดท้าย


     

    “เซียนราชันย์ฟ้าดินประทานโชค“


     

    ”เทพสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค“


     

    ”จักรพรรดิฟ้าดินประทานโชค“


     

    “ราชันย์สวรรค์ฟ้าดินประทานโชค“ ]


     

    แม้ว่าไคลน์จะใช้ภาษาที่พวกเขาไม่คุ้นเคย แต่ทุกคนในปัจจุบันก็เข้าใจความหมายของคำเรียกทั้งสี่ได้ต้องขอบคุณ ผู้ชม ระดับวันวานที่อยู่หน้าสุดของแถวได้แปลคำพูดของไคลน์ลงในทะเลจิตใจทุกคนในห้องสวดมนต์ให้เข้าใจ


     

    แน่นอนว่าทุกคนในที่นี้ไม่ใช่คนแปลกหน้า พวกเขาทราบดีว่านั้นคือพระนามเต็มของใคร เป็นของคนเจ้าเล่ห์ที่สร้างปัญหามากมายให้กับโลกแม้จะตายไปแล้วแต่ก็ยังทิ้งปัญหาไว้ให้คนรุ่นหลัง พอคิดถึงมันแล้วความเกลียดชังของทุกคนก็พลุ่งพล่าน ยิ่งตอนมิสเตอร์ฟูลสละตัวเองพวกเขายิ่งโกรธมากขึ้นกว่าเดิม


     

    [ไคลน์ทำพิธีกรรมสำเร็จ แต่เขากลับไม่ได้ขึ้นมิติสายหมอกตามที่คาดไว้


     

    “น..นี้มัน” ดวงตาไคลน์หรี่ลงและนิ่งเชยไปครู่หนึ่ง สถานที่นี้คือครั้งแรกที่สามารถกันเขากับมิติสายหมอกได้!!


     

    นี้ทำให้ไพ่ตายสุดโกงของเขาเป็นหมัน


     

    หลายเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ไคลน์สามารถหลบหนีอันตรายมากมายโดยอาศัยความสามารถของมิติสายหมอก แต่ตอนนี้ไพ่ตายของเขากลับใช้ไม่ได้


     

    นี้เป็นครั้งแรกเลยที่เลยที่เจอสถานการณ์แบบนี้


     

    ‘ให้ตายสิ รู้สึกเหมือนสูตรโกงโดนแบนเลยแบบนี้‘ ไคลน์พูดติดตลกในใจเพื่อลดความเครียดตัวเอง]


     

    “นายพูดหมายถึงอะไร…หลายเหตุการณ์ก่อนหน้า?… นี้เขาเสี่ยงตายมากี่ครั้งแล้วน่ะ” เมลิสซ่าขมวดคิ้วไม่พอใจ นี้ในระหว่างที่พวกเธอกำลังใช้ชีวิตอยู่ พี่ชายของตนเสี่ยงตายแทบตลอดเวลาเลยหรอ?

     

    อมานีเซียหันมาตอบคำถามเธอด้วยเสียงอันเรียบสงบแต่ก็แฝงอารมณ์เศร้า

     

    “หลายครั้งเลยละ“

     

    เมลิสซ่าที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่กุมมือปิดปากตัวเองอย่างขมขื่น


     

    “ฮ่า! ในที่สุดเกมก็ปรับสมดุล” ผิดกับพวกอมานีดซีย โรซาล์ยกำลังยิ้มดีใจกับภาพตรงหน้าเพราะในที่สุดกลโกงของไคลน์มันก็ใช้ไม่ได้แล้ว


     

    [หลังจากสงบสติลง ไคลน์ควบคุมให้พลเรือเอกโลหิต เซนอล เดินไปก่อนและสำรวจเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกก่อนจะพบวิหารเก่าแก่กลางเมือง


     

    ซึ่งฉากนี้ทำเอาเขานึกถึงภาพฝันที่เคยเห็นตอนที่ทิงเก็น เป็นภาพห้องบัลลังก์บนเทือกเขาโฮนาซิส…


     

    ‘บ้าน่า นี้ขนาดเราพยายามหลีกเลี่ยงยังถูกลากมาเกี่ยวข้องอีกหรอ‘


     

    ใบหน้าของไคลน์พลันกระตุก ราวกับเขาถูกชะตาพานพบมาหามันไม่ว่าจะหนีไปแค่ไหน]


     

    วิลกอดอกและถอนหายใจเบาๆ


     

    “โชคชะตาที่ไม่สมเหตุสมผล”


     

    “จะบอกว่าเขาถูกชะตาลิขิต?” อามุนด์หัวเราะ “ข้าไม่เชื่อในชะตาหรอกนะ”


     

    มิสเตอร์ฟูลเดินบนเส้นทางของนักทำนายซึ่งกลัวโชคชะตาและยอมรับอย่างยินดี แต่ไม่ใช่กลับเขา


     

    เขาคือหนอนกาลเวลาและม้าไม้ชะตากรรม จะไม่มีวันยอมก้มหัวให้โชคชะตาหรอก ต่อให้มิสเตอร์ฟูลจะเป็นคนกำหนดชะตา เขาก็จะหาข้อผิดพลาดให้เจอเอง


     

    อามันด์ยิ้มก่อนจะหันไปมองวิล


     

    ”ถ้าหากเจ้าเชื่อในโชคชะตาจริงๆ จะมานั่งอยู่นี้ทำไมละ?“


     

    วิลตกใจนิดหน่อย ก็จริงชะตาของไคลน์มาถึงจุดสิ้นสุดแล้วแต่พวกเขากำลังต่อต้านโชคชะตาอยู่ในตอนนี้


     

    “หึ นั้นก็จริงละนะ”


     

    [ไคลน์บังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์และควบคุมหุ่นเชิดต่อไปเพื่อสำรวจเมืองแห่งสายหมอกต่อ จนกระทั่งด้านข้างปรากฎ ร่างหญิงสาวเดินออกมา


     

    ‘เธอคง…ไม่ใช่แม่มดหรอกนะ‘


     

    ไคลน์คิดด้านลบและรู้สึกอันตรายตามสัญชาตญาณ]


     

    “ไม่ต้องสงสัยเลย! เธอคือแม่มดแน่นอน!“ โรซาล์ยในฐานะผู้มีประสบการณ์กล่าวขึ้นอย่างมั่นใจ


     

    “ใช่~” แบร์นาเน็ตพูดสนับสนุนด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา


     

    “ก็คุณมีประสบการณ์กับตัวมาแล้วนิ”


     

    โรซาล์ยรู้สึกราวกับสวรรค์ลงทัณฑ์เขาอีกรอบก่อนจะหันไปพูดกับลูกสาว


     

    “แบร์นาเน็ตตัวน้อยที่รัก ฉันอธิบายเรื่องนี้ได้เหมือนกันน่ะ“


     

    ”นั้นไม่จำเป็น“ แบร์นาเน็ตตอบปฏิเสธแม้เธอจะไม่ได้อ่านไดอารี่แต่ก็พอเดาได้จากปฏิกิริยาของไคลน์กับหลักฐานหลายๆอย่างเธอก็พอเดาได้เกี่ยวกับแม่มดโดยเฉพาะเธอที่เกิดมาในเมืองอินทิสยิ่งมั่นใจว่าพ่อเธอ…

     

    ‘หวังว่าข้างนอกนั้นเราจะไม่มีน้องชายหรือน้องสาวที่ไม่รู้นะ‘ เธอคิดอย่างกังวลกับตัวเองในใจ
     

     

    ส้วนโรซาล์ยตอนนี้แทบจะอยากร้องไห้เป็นสายน้ำแล้ว เพราะลูกสาวของฉันได้รู้อดีตอันมืดมนในช้วงวัยรุ่น…


     

    [หญิงสาวตรงมองออกว่าเซนอลตอนนี้เป็นหุ่นเชิดไปแล้ว เธอจึงพูดคุยไคลน์ซึ่งอยู่เบื้องหลังหุ่นเชิดเรื่องที่ยังคงเคร่งครัดสวมบทบาท นักเชิดหุ่น ไคลน์เองก็พูดคุยกับอีกฝ่ายเพื่อสืบหาข้อมูล โดยในเวลานั้นระยะห่างของพวกเขาก็ค่อยๆสั้นลงโดยไม่รู้ตัว]


     

    ซิล ผู้ซึ่งได้ติดต่อกับนิกายแม่มดบ่อยครั้งก่อนวันสิ้นโลก เธอรู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่เธอก็ไม่รู้ว่าต้นตอความรู้สึกนี้มาจากไหน


     

    [ไคลน์ที่ได้รู้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของเมืองสายหมอกจากพานาเทีย รวมถึงเรื่องวิหารโบสถ์นั้นอันตรายกับอาหารที่นี้ไม่สามารถกินได้


     

    พออธิบายจบ เธอก็ยกมือชี้ไปยังพระจันทร์แดงที่หลบซ่อนในหมอก


     

    “อีกสิ่งหนึ่งที่ควรรู้ เมื่อพระจันทร์สีแดงปรากฏ สิ่งต่างๆในที่แห่งนี้จะเปลี่ยนไปและจะอันตรายมากขึ้น ฉันเคยได้รับบาดเจ็บหนักมาแล้วเพราะมัน“


     

    เธอชี้ไปยังรอยเสื้อขาดบนผ้าคลุมสีขาว


     

    ไคลน์มองตามจุดที่พานาเทียชี้ด้วยความเคยตัว พบรอยขาดในตำแหน่งไหปลาล้า บาดแผลลึกจนเห็นกระดูก


     

    ทันใดนั้นผิวหนังอีกฝ่ายก็แปรสภาพยุบพองแพร่ออร่าความชั่วร้ายเต็มเปี่ยม


     

    จิตใจของไคลน์แทบเริ่มระเบิดพังทลาย เสียงเพรียกโหยหวนดังไปทั่วจิตใจ ทางด้านร่างจริงของไคลน์ก็ล้มลงหายใจลำบาก ร่างกายอ่อนแออย่างรวดเร็ว


     

    ไม่นานนักตรงหน้าเขาก็ปรากฏร่างหญิงสาวในผ้าคลุมสีขาว พานาเทียเธอไม่รอช้ามาพบเกอร์มันกำลังนอนดิ้นรนอยู่บนพื้น เธอยิ้มขึ้นเผยให้เห็นฟันสีขาวโดยในซอกฟันมีร่องรอยของเศษเนื้อติดอยู่


     

    “เจอตัวแล้ว” ]


     

    ซิลเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกผิดปกติมากจากที่ไหน เห็นได้ชัดว่าพานาเทียเป็นแม่มดลำดับสูงซึ่งสามารถใช้พลังแพร่กระจายโรคใส่ไคลน์ได้จากระยะไกล


     

    [ไคลน์รีบใช้ จุดไฟเผาใบไม้ใกล้ๆก่อนจะกระโจนไฟหลบหนีสร้างระยะห่างกับพานาเทีย


     

    เมื่อกี้เขามั่นใจแน่นอนว่าสิ่งที่เห็นคือร่างสัตว์ในตำนาน แต่การที่เขายังรอดมาได้เพราะมีสามารถบางอย่างในวิญญาณที่ต้านผลกระทบทางวิญญาณระดับหนึ่ง พอสงบสติได้ในระดับหนึ่งเขาก็เริ่มวิ่งหนีพานาเทียต่อ]


     

    “ถ้ามองร่างสัตว์ในตำนานจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ?!” เมลิสซ่าแทบจะกรี้ดร้องพอเห็นสภาพพี่ชายเธอที่แค่มองก็แทบจะบ้าคลั่งบิดเบี้ยวไปแล้ว


     

    “นี้เขาเสี่ยงตายมากี่ครั้งแล้วน่ะ!” เธอตะโกนถามคนในห้อง


     

    อามุนด์เอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดตอบ


     

    “เยอะมากเลยละ เรียกได้ว่าแทบทุกทีที่เขาไปจะพบปัญหาเสมอเลย”


     

    เมลิสซ่าที่ได้ยินก็โกรธมากขึ้นแต่ก็กังวลในเวลาเดียวกันจนเกือบเป็นลม ออเดรย์ที่เห็นแบบนั้นก็ตกใจมาจนต้อง ปลอบประโลม ถึงสองครั้งอีกฝ่ายจึงสงบลง


     

    [ไคลน์ใช้การจุดไฟพร้อมด้วยการกระโจนเพลิงหลบหนีไปเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่มากพอ เขาจึงต้องสละหุ่นเชิดเพื่อหนีเข้าไปในเมืองหลายร้อยเมตรห่างจากพานาเทียก่อนจะล้มลงเพราะอาการโรคเขาแย่ลง


     

    ไม่นานนักเสียงหัวเราะของพานาเทียก็ดังขึ้น


     

    “ถึงจะหนีไปสุดขอบหมู่บ้าน แต่นายก็ไม่มีวันหลุดพ้นจากระยะเชื้อโรคหรอกนะ และเผื่อนายไม่ทราบ ในเมืองเบ็คลันด์ เขตตะวันออกที่ถูกปกคลุมด้วยโรคระบาดที่ฉันสร้างขึ้น นอกจากย่านที่ห่างไกลอย่างเขตราชินีและเขตตะวันออก เขตอื่นๆภายในเมืองล้วนเสียหายไม่น้อยเลยละ“


     

    ’น..นี่เธอคือมิสสิ้นหวังที่ทำงานร่วมกับมิสเตอร์A…เธอคือหนึ่งในคนร้ายตัวจริงของโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน‘


     

    ไคลน์ตะหนักทันทีว่าตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังแต่ร่างกายเขาเริ่มแย่ลงจากอาการป่วยอย่าว่าแต่สู้เลย พลังของเขาตอนนี้ยังแทบใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ]


     

    โศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน


     

    ภัยพิบัติครั้งนั้นคร่าชีวิตผู้คนนับหมื่นชีวิต หากไม่ใช่เพราะมิสเตอร์ฟูลและชุมนุมไพ่ทาโรต์ เหตุการณ์อาจแย่กว่านั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะ จอร์จที่3 ปกปิดความลับของเขาเพราะความทะเยอทะยานของตน


     

    “เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น แม่มดคนนั้นกับมิสเตอร์ฟูลดูแค้นกันเป็นพิเศษเลยน่ะ”


     

    ทุกคนต่างมองหน้ากัน สงสัยว่าใครจะเป็นผู้ตอบ กระทั่งอะซิกยกมือขึ้น


     

    “ผมจะตอบคำถามให้คุณเองในภายหลัง”


     

    [พานาเทียย่างก้าวเข้าใกล้อย่างใจเย็น ดวงตาอันงดงามเผยให้เห็นความกระหายเลือดอย่างไม่ปิดบัง


     

    โดยเธอแบกศพของเซนอลที่ไคลน์สละไปมาเป็นอาหารสำรองด้วย


     

    “เสียงดีดนิ้วของนายไพเราะมาก ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่านิ้วทั้งสองของนายจะอร่อยแค่ไหน“ พานาเทียจ้องไคลน์ที่กำลังไอทุรนทุรายบนพื้นด้วยสายตาหิวโหย


     

    ในขณะที่ไคลน์กำลังหมดหวัง พระจันทร์สีแดงก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทะลุสายหมอกลงมายังเมือง ทำให้ตัวหญิงสาวชะงักไป


     

    ไคลน์เห็นใบหน้าอันหวาดกลัวสุขขีดของพานาเทีย หันหลังกลับไปโดนไม่ลังเลรีบเข้าไปยังประตูบ้านใกล้เคียงและปิดประตูดังโครม


     

    ไคลน์รีบพยุงตัวเองในบ้านที่มีผ่านม่านถูกปิดมิด ชายหนุ่มไม่คิดสำรวจต่อเพราะสัญชาตญาณนักทำนายกำลังเตือนอย่างรุนแรงว่าหากออกไป เขาจะตายทันที!


     

    หลังจากโรคภัยทุเลาลง ไคลน์ค่อยๆลุกขึ้นและมองไปยังม่านใกล้แล้วพยุงตัวเองเข้าไปในบ้านนั้นพลางพยายามจะทบทวนสถานการณ์ปัจจุบัน


     

    ทันใดนั้นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปกระทันหันเพราะได้ยินเสียงกระซิบบนท้องถนนด้านนอก!


     

    ทั้งทีก่อนหน้ามีเพียงเขากับพานาเทียแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมีเสียงผู้คนมากมายกำลังเดินไปตามท้องถนนพูดคุยกันในชีวิตประจำวันราวกับเป็นเรื่องปกติ!]


     

    สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอาคนดูรู้สึกขนลุกตามกันขณะเดียวกันก็วิเคราะห์ไปด้วยว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนั้น


     

    [ไคลน์จินตนาการฉากด้านนอกไม่ออก ทราบเพียงแค่แม้แต่แม่มดลำดับครึ่งเทพยังต้องหลบหนีซ่อนตัว


     

    ชายหนุ่มถอนสายตากลับ ครุ่นคิดอยู่สองสามวินาที พึมพำกับตัวเอง


     

    ‘เราออกไปไม่ได้และก็อยู่ที่นี้ไม่ได้เหมือนกัน’


     

    ไคลน์ตัดสินใจจะเข้าไปในโบสถ์กลางเมือง โดยใช้ความสามารถในการเดินทางของยุบพองหิวโหยแต่แล้วมันก็ล้มเหลวเพราะที่แห่งนี้ไม่เชื่อมต่อกับโลกวิญญาณ เขาจึงเปลี่ยนไปใช้พลัง กระโจนเพลิง แทน


     

    ทันใดนั้นเชิงเทียนในบ้านข้างๆก็สว่างขึ้น มอบแสงให้กับบริเวณโดยรอบ


     

    ณ เวลานั้น ถนนด้านนอกพลันเงียบสงัด


     

    สิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่กำลังเดินไปมาบนถนน คล้ายกับหันไปมองเปลวไฟเทียนไข พยายามเพ่งมองผ่านบนหน้าต่างและประตู!]


     

    ”เขาไม่ใช่คนหุนพลันรีบร้อนแบบนั้นนะ“ เลียวนาร์ดพึมพำเบาๆ


     

    ”เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกระทันหัน และเพราะสูญเสียไพ่ตายไม่จนเกือบหมด ถ้าเป็นฉันเองก็คงใจร้อนไม่ต่างกันหรอก“ อัลเจอน์ตอบอย่างครุ่นคิด


     

    [หลังจากรู้ตัวว่าตนทำผิดพลาดเขาก็คิดอย่างรวดเร็วและนึกถึงพลังทะลุผ่านของนักฝึกหัด จึงเลือกที่จะเดินผ่านกำแพงไปยังบ้านหลังถัดไป คราวนี้เขาไม่รีบร้อนใช้เหรียญเพื่อทำนายจากพลังวิญญาณตัวเองว่าควร ทะลุกำแพง ออกไปเพราะเนื่องจากไม่ได้รับวิวรณ์จากโลกวิญญาณ ไคลน์ตัดสินใจเชื่อในพลังวิญญาณตัวเอง


     

    ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิดวิเคราะห์การต่อสู้กับพานาเทียจู่ๆก็เห็นเงาดำที่ปกคลุมสภาพแวดล้อมของตนค่อยๆเข้ามาใกล้ร่างกายของเขา


     

    ทันใดนั้นร่างของไคลน์แบนราบเป็นกระดาษก่อนจะสลายเป็นกระดาษสนิมเคอะ


     

    กระดาษตัวแทน! เมื่อทราบถึงอันตรายล่วงหน้าเขาไม่รอช้าใช้พลังกระดาษตัวแทนหลบหนีไปก่อนแล้ว]


     

    “เฮ้อ~ โชคดีที่เขานำกระดาษตัวแทนไปมากพอ” เลียวนาร์ดถอนหายใจด้วยความโล่งอกจนลืมไปว่าสาเหตุที่เขาอยู่นั้นเพราะแอบเข้าไปในประตูยานิสโดยคิดจะขโมยของ


     

    [ผู้ที่โจมตีเขาคือ มิสเตอร์A! ไคลน์หลบหนีอย่างทุลักทุเลเพราะอีกฝ่ายหิวจนบ้าคลั่งไปแล้วและไม่คิดสนใจสภาพแวดล้อมพระจันทร์แดงนี้ด้วย


     

    ในตอนนั้นไคลน์เกือบจะตัดเนื้อตัวเองเพื่อดับความกระหายของอีกฝ่ายแล้วแต่เขาก็พลันนึกขึ้นได้


     

    โชคดีที่เขามีอาหารอยู่!


     

    เห็ดของแฟรงค์ไงละ!!]


     

    เห็ดของแฟรงค์!!


     

    ทุกคนเคยเห็นแสงยานุภาพของเห็ดนี้มาแล้วในช่วงสงครามก็อดไม่ได้ที่จะท้องใส้ปั่นป่วน แม้แต่เทพีแห่งชีวิตยังเอือมระอา แล้วพวกเขาจะเหลืออะไร!!


     

    [หลังจากมิสเตอร์Aได้ทานอาหารเขาก็สงบลงแต่เขาเองก็ไม่มีข้อมูลหลบหนีได้มากนัก


     

    ในเวลาต่อมา ดวงจันทร์สีแดงถูกสายหมอกบดบังอีกครั้งมิสเตอร์Aที่เห็นแบบนั้นก็สลายตัวเป็นเงาหายไปก่อนแล้ว และในเวลาเดียวกันไคลน์ก็รู้สึกร้อนผวาจึงทราบได้ทันทีว่า


     

    พานาเทียกระจายโรคภัยอีกแล้ว ไคลน์ไม่มีทางเลือกมากจึงหนีมาทางวิหารโบสถ์เก่าแก่ก่อนจะใช้พลังทะลุของนักฝึกหัดผ่านประตูสีดำไป บรรยากาศภายในนั้นน่าอึดอัดมาก


     

    ไคลน์ต่อต้านความรู้สึกที่อยากจะออกไปที่นี้เพราะบางทีในที่แห่งนี้อาจมีเบาะแสออกไปอยู่ เขาเริ่มสังเกตภายในโบสถ์จนเห็นภาพคนมากหน้าหลายตากำลังถูกหอยบนอากาศ ไคลน์ควบคุมไม่ให้ด้ายวิญญาณของตัวเองโดนไปด้วยก่อนจะสำรวจโดยรอบและพบกับรูปปั้นของหญิงสาวหน้าต่างคล้ายกับเทวทูตที่ส่งเขาเข้ามาแต่ด้านหลังรูปปั้นมีร่างหนึ่งในชุดคลุมโบราณกำลังนั่งหลับตาอยู่]


     

    เมื่อเห็นคนรู้จักเก่า โรซาล์ยก็ยิ้มเยาะเย้ย


     

    ”ว่าแล้วเชียว ตาเฒ่ามาอยู่นี้เองหรอ


     

    [ไคลน์เรียนรู้จากผู้อาวุโสตรงหน้าเกี่ยวกับทางออก,ชื่อลำดับที่3ของเส้นทางนักทำนายและรางวัลที่ได้คือสูตรโอสถลำดับที่4โดยแลกกับเขาต้องไปปล่อยเถ้ากระดูกที่บ้านเกิดอีกฝ่าย


     

    ”ขออภัยที่ถามช้า แต่ผมควรเรียกคุณว่าไงดี?“


     

    ชายชราไม่ตอบทันที เพียงถอนหายใจแล้วพูด


     

    ”เจ้าสามารถเรียกข้าว่า…ซาราธ“]


     

    ”เฮอะ! ตาเฒ่าชอบทำให้คนกลัวตลอด คิดว่าตัวเองลึกลับไม่พอหรือไง!“ โรซาล์ยอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา


     

    [ไคลน์ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรรัตติกาลและอันทีโกนัส จากซาราธแต่เขาที่กำลังจะถามอีกครั้งจู่ๆ พระจันทร์สีแดงก็สว่างขึ้น ไคลน์รีบปฏิบัติตามแผนฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว หนีออกจากโบสถ์เข้าไปในบ้านที่ใกล้ที่สุดพร้อมกับคิดว่าจะจัดการกับพานาเทียอย่างไงดี


     

    ไคลน์ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว โดยไตร่ตรองรายละเอียดของ "การเจรจา" ใน ขณะที่อดทนรอให้พระจันทร์สีแดงกลับคืนสู่สายหมอก


     

    หลังจากนั้นไม่นาน แสงจันทร์สีแดงเข้มที่ส่องผ่านม่านมืดก็จางหายไปในที่สุด

    ไคลน์เชิดหุ่นเปิดประตูผ่านกำแพงออกไปจากบ้านที่เขาซ่อนตัวอยู่และพบแม่มดสิ้นหวัง


     

    ไคลน์และพานาเทียคุยกันถึงแผนการหลบหนีแต่ก็ยังคงหวาดระแวงซึ่งกันและกันอยู่ ในระหว่างนั้นมิสเตอร์Aก็ปรากฏตัวขึ้นและเสนอวิธีแก้ปัญหา แม้ว่าแผนอย่างให้มิสเตอร์Aเข้ามาในร่างจะดูบ้าบิ่นไปหน่อยแต่สภาพจิตใจของอีกฝ่ายก็ยังดีอยู่ พวกเขาทั้งสามจึงตกลงตามข้อกำหนดนี้


     

    ไคลน์ใช้ให้หุ่นเชิด เกอร์มัน สแปร์โรว์ ดึงเส้นผมของตัวเองออกมากำมือหนึ่งให้พนานาเทียเป็นหลักประกันจากนั้นก็ให้มิสเตอร์Aเข้ามาในร่างกาย


     

    ’หากมีคนรู้จักเราอยู่ที่นี้ พวกเขาคงสงสัยแน่เพราะเราไม่ใช่คนที่ทำร้ายตัวเองได้เลือดเย็นขนาดนี้‘ ]


     

    รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เหล่านี้แม้ความหุนหันพลัน กลัวความเจ็บปวด ด้วยความความรู้สึกแบบนี้ทำให้มิสเตอร์ฟูลเป็นเหมือนมนุษย์มากกว่าพระเจ้าที่มีอำนาจทุกอย่าง ดังที่เขาเคยแสดงมาตลอด


     

    แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามของเขาน้อยลงเลย มีแต่จะทำให้เขาดูยิ่งใหญ่ขึ้น


     

    [เกอร์มัน สแปร์โรว์และ พานาเทีย พร้อมกับด้วยมิสเตอร์Aที่ซ่อนอยู่ในท้องได้เดินเข้าไปในโบสถ์หาซาราธซึ่งอีกฝ่ายก็ได้ให้สัญลักษณ์เปิดประตูและสูตรโอสถ จอมเวทย์พิสดาร


     

    แต่ไคลน์พบว่าสัญลักษณ์ของซาราธมันแตกต่างจากที่เขารู้มาเล็กน้อยจึงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเล่นตุกติก


     

    ขณะที่คิดอยู่ ในที่สุดไคลน์ก็ตัดสินใจวาดสัญลักษณ์ของซาราธเพื่อเปิดประตู โดยก่อนจะไปพานาเทียเธอพยายามจะสาปแช่งไคลน์ แต่ภายในเวลานั้นเธอก็ถูกควบคุมด้ายวิญญาณและลอยไปติดบนผนัง


     

    ในช่วงเวลาเดียวกัน มิสเตอร์Aได้ออกจากร่างเกอร์มันพุ่งไปออกทางประตูแสง แต่ไม่นานก็ถอยกลับมาอย่างปริศนาและอาเจียนเลือดออกมา ร่างกายเริ่มบิดเบือนและบ้าคลั่ง


     

    ด้วยความช่วยเหลือของนิมิตหุ่นเชิด ทำให้เขาสามารถเห็นร่างสัตว์ประหลาดอยู่บัลลังก์หินบนในห้องโถงใหญ่และฉากสุดท้ายที่ได้เห็นคือ


     

    หน้าไพ่ทาโรต์ของจักรพรรดิโรซาล์ย สวมผ้าโพกหัวหรูหราเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด ถือไม้เท้สที่ส่วนปลายห้อยถุงสัมภาระ คล้ายกับเตรียมออกเดินทางไปที่ห่างไกล

    โดยหน้ากระดาษมีอักษรเขียนไว้ชัดเจน


     

    ลำดับที่0 เดอะฟูล!“ ]


     

    เมื่อพวกเขาเห็นไพ่เย้ยเทพ ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกับไคลน์ พวกเขาราวกับชะตากรรมของพวกเขาถูกควบคุมด้วยมือที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะต่อสู้ดิ้นรนมากแค่ไหนก็ไร้ผลทุกอย่าง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้


     

    [ไคลน์ไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก เขาสงบลงอย่างรวดเร็วและคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันโดยมีความคิดที่จะจ้องมอง สัตว์ในตำนานเพื่อดูสูตรยาด้วย!!]


     

    เมลิสซ่าโกรธจนหน้าแดง เธอพูดอะไรไม่ออก เจ้าพี่ชายมากปัญหาคนนี้จะต้องได้รับบทเรียนตอนเขาตื่นขึ้น!


     

    เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่นิดหน่อย…นายจะตื่นขึ้นใช่ไหม


     

    “ผมไม่ได้คาดหวังว่า สูตรยาของผมจะได้มาด้วยวิธีนี้” เสียงของเดอร์ริคเบาลง เขารู้แล้วว่าสูตรยาเขาได้มาแบบไหน การเสี่ยงชีวิตของมิสเตอร์ฟูล…เมื่อเทียบกับของขวัญที่เขาได้รับมา สิ่งที่เขาให้กลับได้ช่างน้อยเหลือเกิน


     

    [ไคลน์หลังจัดการปัญหาเห็ดปีศาจที่กลายพันธุ์จากศพของมิสเตอร์Aจนได้รับ ยุบพองหิวโหยเวอร์ชั่นอัพเกรด


     

    เขาคิดถึงวิธีออกจากที่แบบนี้โดยคิดจะวาดสัญลักษณ์ของ เดอะฟูล แต่ผลที่ได้ก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น


     

    “ได้เมื่อที่นี้เชื่อมโยงกับพลังของรัตติกาล…ถ้าอย่างงั้น”


     

    พอคิดได้แบบนั้นเขาลองวาดสัญลักษณ์ตราศักดิ์สิทธิแห่งความมืดของเทพธิดารัตติกาล


     

    เพียงพริบตาประตูก็เปิดออก เขาลองทำนายผลดูและได้รับการยืนยันว่า ไม่มีอันตราย


     

    มันรีบวาดสัญลักษณ์ พระจันทร์สีแดง กลางหน้าอกทันทีสวมบทบาทเป็นสาวกเคร่งศาสนา!]


     

    ณ เวลานั้นทุกคนต่างหันไปมองสตรีในชุดเดรสหน้าแถว เธอจะรู้สึกอย่างไงกับการเจอสาวกหลอกลวงแบบนี้


     

    อมานีเซียยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าไคลน์มักเรียกเธอบ่อยครั้งในช่วงเวลาการเดินทางที่ผ่านมา แต่การมาเห็นเขามาแสร้งเป็นสาวกของเธอแบบนี้มันก็…


     

    “อย่างน้อย เขาก็พอมีมโนธรรมอยู่บ้าง“ เธอพยายามพูดปลอบใจตัวเองและคิดตัดทบกับสิ่งที่เธอเคยทำกับเขา


     

    [พอออกมาจากประตูสำเร็จ ไคลน์กำลังจะก้าวออกไปก็คิดอีกครั้งและหยุดไปชั่วขณะ


     

    ก่อนจะโยนเหรียญทำนายว่าข้างนอกปลอดภัย โดยคำตอบคือไม่มีอันตรายจากโลกภายนอก


     

    ไคลน์ก็แกล้งทำสาวกอีกครั้งและจึงวาด พระจันทร์สีแดง บนหน้าอกราวกับเป็นผู้ศรัทธาเคร่งครัดหลังจากทำทั้งหมดนี้ก็รีบเดินทางกลับคฤหาสน์]


     

    ”ฮ่าๆๆๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชุมนุมไพ่ทาโรต์ถึงเหมือนองค์กรรวมพวกนอกรีตเพราะแม้แต่หัวหน้าพวกนายก็เป็นไม่ต่างกัน ฮิฮิ“ โรซาล์ยิ้มหัวเราะกับท่าทางของไคลน์ในการปลอมเป็นสาวก


     

    สมาชิกไพ่ชุมนุมทาโรต์เองก็ไม่โต้ตอบอะไรกับ พวกเขาต่างอยู่ในองค์กรที่ต่างกันและหลายความเชื่อซึ่งนั้นทำเอารู้สึกผิดเลยที่เหมือนกับชุมนุมนี้จะเป็นที่ร่วมตัวของคนทรยศ


     

    เมื่อโรซาล์ยหัวเราะจนพอใจ เขาก็ลูบคางพลางมองอมานีเซียอย่างครุ่นคิด


     

    ”นี่คือ การทดสอบสุดท้ายของนักรบต่อเทพธิดาหรอ?“


     

    อมานีเซียยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า


     

    ”ฉันอยากยืนยันว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะให้การสนับสนุน“


     

    โรซาล์ยพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถามต่อด้วยความสงสัย


     

    ”เจ้าจะทำอย่างไง ถ้าเขาออกมาไม่ได้”


     

    “ถ้างั้นพวกเราก็เหลือแค่ อามุนด์ ถึงเขาจะเป็นคนเอาแต่ใจและเข้าใจยากแต่สุดท้ายก็ไม่มีผู้สมัครคนไหนเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว ด้วยเอกลักษณ์เดอะฟูล และสิทธิในการเข้าถึงปราสาทต้นกำเนิด…ข้าคิดว่าตัวเองมีทุนมากพอเจรจากับเขาได้”


     

    โรซาล์ยส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง


     

    “มันช่างเย็นชาซะจริง เธอเป็นแบบนี้มานานแล้วหรอในฐานะสัตว์ในตำนานน่ะ”


     

    “นี้ไม่เกี่ยวกับการเป็นสัตว์ในตำนาน” อมานีเซียส่ายหัว


     

    “เมื่อก่อนในชีวิตแรกฉันก็เป็นคนประเภทแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเลือกลงทุนฉันจะตัดสินจากผลประโยนช์มากกว่าอารมณ์เสมอแต่…ฉันเคยเป็นแบบนั้น” เสียงของเธอเบาลงเหมือนพูดประโยคสุดท้ายเพราะเจตจำของไคลน์ทำให้เธออยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง…


     

    โรซาล์ยขมวดคิ้วแม้จะสงสัยเกี่ยวกับท่าทางสุดท้ายของเธอ แต่ก็ยิ้มขึ้นเพราะดูเหมือนหญิงชราคนนี้จะเปลี่ยนไปเพราะโจวสินะ


     

    อมานีเซียไม่สนสายตาของโรซาล์ยและลุกขึ้นไปหยิบเทียนที่แปรสภาพเป็นโคมสีขาวก่อนจะวางลงในแม่น้ำ


     

    เธอนั่งย่องลงย้อนคิดไปในอดีต เธอคือผู้มาจากยุคเก่าคนแรกที่มาในโลกอันบ้าคลั่งนี้ เดินทางมาจากยุคอันโหดร้ายผ่านกระแสแห่งเวลามานับพันปีมายังยุคปัจจุบัน


     

    ยิ่งอยู่ลำดับสูงเท่าไร ก็ยิ่งเห็นแก่ตัวไม่แยแสสิ่งใดได้ง่ายขี้น และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์มากกว่าความยุติธรรม มันเกิดขึ้นแม้แต่กับฉัน อดัม หรือแม้แต่โรซาล์ยที่มาจากยุคเดียวกัน


     

    แต่นายแตกต่างไคลน์…ไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหนอุดการณ์ในการปกป้องและความยุติธรรมของนายจะไม่เปลี่ยนแปลง จะอ่อนโยนและใจดีอยู่เสมอ แม้กระทั่งเริ่มแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้นจนท้ายที่สุดก็แบกโลกทั้งใบ


     

    เขาเป็นเหมือนดวงประทีปแห่งแสงสว่างในความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด อ่อนแอแต่มั่นคง อบอุ่นและสว่างตลอดกาล เป็นแสงแห่งความหวังของมนุษย์


     

    ตอนนี้…ถึงตาฉันตอบแทนนายแล้ว


     

    เมื่อมองดูโคมไฟล่องลอยจากไปในแม่น้ำ เธอหลับตาภาวนา


     

    “โจว…ช่วยใจดีกับตัวเองหน่อย ตอนนี้นายไม่ต้องแบกรับอะไรแล้ว”


     

    ภัยพิบัติผ่านไปแล้ว นายสามารถปล่อยวางหน้าที่อันหนักอึ่งเหล่านี้และพักผ่อนได้แล้ว


     

    หลังจากอมานีเซียกลับมายังที่นั่ง มิสเตอร์อะซิกจึงลุกขี้นแล้วจุดเทียนไฟเทียนเริ่มการฉายภาพ


     

    [นอกคฤหาสน์โรส ไคลน์ก้าวออกมาจากรถม้าพร้อมไม้เท้าในมือ]


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×