คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เมลิสซ่า
เมลิสซ่าหายใจเข้าลึกๆแล้วหายใจออกอย่างมั่นคง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปที่แท่นด้านหน้าแล้ว
“ฉันต้องทำอย่างไงต่อ”
อามุนด์ยกมือชี้ไปที่แท่นโพเดียมซึ่งมีเทียนหลายเล่มวางไว้อยู่ด้านข้าง
“เธอเอาเทียนไปไว้บนแท่นบูชาเป็นอย่างแรก”
เมลิสซ่าทำตามที่อีกฝ่ายบอกแล้วหยิบเทียนสีขาวที่วางอยู่ด้านข้างมาไว้ตรงกลางแท่น
“ถัดไปก็ จุดไฟด้วยพลังวิญญาณ”
เมลิสซ่าหายใจเข้าออกเบาๆเพื่อสงบสติที่กำลังพลุ่งพล่านของเธอ จากนั้นจึงถูไส้เทียนแล้วจุดด้วยพลังวิญญาณ
เมื่อเทียนถูกจุด เปลวเพลิงสีเหลืองอันอบอุ่นได้ปรากฏออร่าสีเทาคล้ายหมอกออกมาจากตัวไฟ มันได้ผสานกับจอโทรทัศน์ข้างบนจนภาพเริ่มที่จะติดขึ้น
“เอาละ เชิญนั่งก่อน ภาพยนตร์กำลังจะเริ่มแล้ว” อามุนด์ยืนขึ้นเพื่อนำเมลิสซ่ากลับไปยังที่นั่งของเธอแล้วจึงกลับมานั่งที่ตัวเอง
หลังจากทั้งสองคนนั่งลง อมานีเซียโบกมือทำให้ความมืดโอบเข้ามาในห้องหรี่แสงสว่างลง ทำให้บรรยากาศคล้ายอยู่ในโรงหนัง
ภาพฉายบนหน้าจอเริ่มสว่างขึ้นก่อนจะปรากฏภาพมุมจากหน้าต่างห้องแห่งหนึ่งที่มืดสลัวมีเพียงแสงจากดวงจันทร์สีแดงโดยใจกลางห้องนั้นมีร่างชายคนหนึ่งนอนอยู่เขาค่อยๆลุกขึ้นขณะจับทีศีรษะตัวเอง
[ “เจ็บ…เจ็บจัง ทำไมมันเจ็บแบบนี้” ]
[ความรู้สึกเจ็บที่ศีรษะทำให้เขาต้องลืมตาอย่างรวดเร็ว โจว หมิงรุ่ย ที่จำได้ว่าล่าสุดกำลังนอนหลับฝันดีอยู่ก็ดันรู้สึกเจ็บหัวมากจนผิดสังเกต ราวกับมีของแข็งไม่ก็อะไรสักอย่างได้ทะลุเข้าไปในหัวเขาอย่างงั้นแหละ!]
ภาพฉายบนหน้าจอกำลังดำเนินไปอย่างน่าเหลือเชื่อ มันได้แสดงความคิดของชายหนุ่มที่กำลังวุ่นวายกับความคิดของตัวเอง แม้แต่เสียงที่ดังออกมาก็ทำให้เหล่าคนดูรู้สึกเจ็บไปด้วยตามกัน
“นั้น…เสียงของมิสเตอร์ฟูลหรอ?” ออเดรย์ถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ถูกต้อง“ อามุนด์ขยับขอบแว่นแล้วจึงอธิบายต่อ
”เทียนเหล่านี้คือสิ่งบรรจุความทรงจำของเขาในรูปแบบนามธรรม ซึ่งมันรวมถึงความคิดทางจิตของเขาด้วยและ..” เขาหยุดอธิบายไปสักครู่ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่กำลังสนุกขึ้น
“ไม่แน่ว่าพวกเธออาจได้เห็นด้านลับๆของเขาก็ได้นะ”
ด้านลับๆ…ออเดรย์ทวนคำนั้นซ้ำหลายหนในความคิด เธอนึกถึงประสบการณ์ตอนสำรวจเมืองปฏิหาริย์…ตอนนั้นคือช่วงเวลาแรกที่เธอได้เห็นหนึ่งในตัวตนจริงๆของเขาผ่านห้องความจริง แม้มันจะถูกสวมไว้ภายใต้หน้ากากอีกหลายชั้นก็เถอะ
ภาพจอฉาย เปลี่ยนฉากไป
[ห้องเล็กๆที่ถูกอาบด้วยแสงจากดวงจันทร์สีแดงซึ่งเล็ดรอดมาจากหน้าต่าง ชายหนุ่มผมสีดำ ตาสีน้ำตาล เสื้อเชิ้ตผ้าลินิน หุ่นผอมเพรียม ใบหน้าธรรมดากำลังส่องกระจก โจวหมิงรุ่ยอ้าปากค้างกับใบหน้าตัวเองตอนนี้ราวกับไม่ใช่ของเขา ก่อนที่ความทรงจำแแปลกๆจะเข้ามาในหัว
โจวอดทนกับความเจ็บปวดที่ความทรงจำเข้ามากระทันหันของร่างจนรู้ว่าเขามาอยู่ในร่างของ ไคลน์ โมเร็ตติ
ขณะที่กำลังจัดระเบียบความทรงจำเขาอยู่นั้นก็บังเอิญไปเห็นสมุดบันทึกที่เปิดอยู่ที่โต้ะโดยเขียนไว้ว่า
“ทุกคนต้องตาย รวมถึงฉัน“ ]
เมื่องเห็นคำเขียนเหล่านั้น เมลิสซ่าก็คว้าชายกระโปรงของเธอ โดยไม่รู้ตัว
ยิ่งเธอเห็นบาดแผลอันน่าสยดสยองบนหัวของเขาและสมองสีขาวเทาที่ค่อยๆขยับอยู่ข้างใน
เธอไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาที่กำลังไหลออก ราวกับสิ่งที่เธอเคยคาดไว้…สิ่งที่เธอไม่อยากให้มันเป็นจริง แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้น…น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างมิอาจควบคุม
“เมลิสซ่า” ออเดรย์ขยับมือเข้ามากอดเธอ แม้จะอยากพูดปลอบแต่เธอรู้ดีว่าตอนนี้คำพูดของเธอมันอ่อนแอแค่ไหนในเวลาแบบนี้
“ฉ..ฉันรู้มานานแล้ว…แต่…แต่ฉัน อึก…ขอโทษนะ” เธอพยายามอธิบายแต่ก็ทำไม่ได้เพราะน้ำตาและความรู้สึกของเธอตอนนี้มันราวกับเขื่ยนที่แตกออก
เธอรู้มานานแล้วจากการคาดเดาในอดีตและความจริงจากมิสออเดรย์และมิสเตอร์ เลียวนาร์ดว่าไคลน์ตัวจริงได้ตายไปนานแล้ว แม้เธอจะรู้ว่าวิญญาณจากอดีตคนนี้รักเธออย่างน้องสาวจริงๆ
แต่การได้มาเห็นฉากนี้ด้วยตัวเอง มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดว่าความจริงพี่ชายของเธอตายไปนานแล้ว
ออเดรย์ลูบหลังเธอเขาๆพร้อมกับพยายามพูดปลอบใจ
“เธอกำลังไว้ทุกข์ให้กับคนที่เธอรัก…เพราะงั้นเธอไม่จำเป็นต้องขอโทษใครหรอก”
“อืม…ขอบคุณ..ขอบคุณค่ะ”
ขณะที่สองสาวกำลังปลอบกันอยู่ ในห้องไม่มีใครพูดอะไรหรือหันมาสนใจเพื่อให้เธอได้มีพื้นที่ในการปรับอารมณ์ของตัวเอง
[โจวหมิงรุ่ยจุดตะเกียวแก๊สโดยทำตามความทรงจำของไคลน์ ขณะตรวจแผลอย่างระมัดระวังจนแน่ใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ก่อนจะหยิบผ้ามาชุบน้ำและเช็ดคราบเลือดบนโต้ะ
”ต้องรีบเช็ดคราบให้เร็วที่สุด ต่อให้เราไม่กลัว แต่น้องสาวเราตกใจแน่! เมลิสซ่าจะตื่นในตอนเช้าถ้าไม่รีบจัดการได้เกิดปัญหาแน่นอน!“ ]
พอเมลิสซ่าได้ยินความคิดของ โจวหมิวรุ่ย เธอก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลอีกครั้งแต่ก็ยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
”งี่เง่าจริงๆ ยังจะมาห่วงฉันอีก ทั้งๆทีอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น“
[โจวหมิงรุย ทำความสะอาดเลือดบนโต้ะและตามตัวเรียบร้อยก่อนจะไปจัดการตรงจุดอื่นๆ ในห้องขณะเดียวกันเขาก็สามารถสรุปความคิดได้ว่าอะไรพาเขามาที่นี้ มันคือ พิธีกรรมเปลี่ยนชะตา!]
“เขาใจเย็นจริงๆแฮะ” เลียวนาร์ดอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและชื่มชมในเวลาเดียวกัน เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีนิสัยวิเคราะห์เก่งและชอบคิดมากแต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นตั้งแต่ก่อนมายุคนี้ซะอีก
พาลีสที่นั่งอยู่ข้างๆก็ยิ้มขึ้นก่อนจะตบด้านหลังเลียวนาร์ดแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกนิดหน่อย
”ดูสิ ขนาดเป็นคนธรรมดาที่พึ่งมาอยู่ในโลกที่แตกต่างยังใจเย็นและวิเคราะห์ได้ขนาดนั้น..แล้วแกละ? ตอนนั้นทำตัวอย่างกับพวกอ่อนหัด“
”แต่ตอนนั้นผมก็ซ่อนคุณได้แนบเนียนแล้วไม่ใช่หรอ“ เลียวนาร์ดพึมพำขณะลูบหัวหลังตรงจุดที่ถูกตบ
”นอกจากนี้ จะเอาผมไปเปรียบเทียบกับมิสเตอร์ฟูลได้ไง“
”แกดูภูมิใจมากเลยนะ“ พาลีสจ้องเขม้งใส่จนเขาต้องหลบหน้าหนี
ด้วยการพูดคุยเล่นของสองคนนี้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงเล็กน้อย
[ขณะที่โจวกำลังทบทวนส่วนหนึ่งของความทรงจำไคลน์ เขาก็ได้ยินเสียงเมลิสซ่าเดินเข้ามาในห้องเลยรีบโยนปืนเก็บไว้ในลิ้นชักโต้ะ แล้วหยิบนาฬิกามาอ้างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ]
เมลิสซ่ามองนาฬิกาพกพาสีขาวเงินที่มีลวดลายเถาวัลย์และกิ่งก้าน ด้วยความรู้สึกขมขื่นใจ จนถึงทุกวันนี้เบ็นสันยังคงพกนาฬิกาเรือนนั้นติดตัวเสมอ แม้ว่ามันจะใช้ไม่ได้และไม่เหมาะสมกับสถานะเขาก็ตาม
แม้สองพี่น้องจะได้รับเงินชดเชยจำนวนมากพอซื้อของหรูมากมาย แต่พวกเธอก็ยังเลือกที่จะเก็บนาฬิกานั้นไว้
[เมลิสซ่าหยิบนาฬิกาขึ้นมาเข็คสักพักก่อนจะชองปรับเวลาและซ่อมนิดหน่อย จากนั้นทั้งคู่ก็ต่างไปกินอาหารเช้าด้วยกัน]
ขนมปังแห้งกับชาที่ทำจากใบชาด้อยคุณภาพ แม้เมลิสซ่าจะไม่ได้กินมานานเพราะความเป็นอยู่ในตอนนี้ แต่เธอก็ยังคงชอบช่วงเวลาในตอนนั้น…ช่วงเวลาที่พวกเราสามพี่น้องได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน…มันเป็นความสุขที่แม้แต่ชีวิตอันมั่งคั่งในตอนนี้ก็เทียบไม่ได้
หากเธอเลือกได้ เธออยากอยู่บ้านหลังเล็กๆที่ไม่มีแม้แต่ห้องน้ำส่วนตัวดีกว่าสูญเสียพี่ชายของเธอไป
[ก่อนที่เมลิสซ่าจะไปโรงเรียนเธอได้ย้ำไคลน์ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าลืมซื้อขนมปัง เนื้อแกะกับถั่วใหม่
พอเห็นน้องสาวจากไป โจวก็ถอนหายใจและหันไปสนใจพิธีกรรมเปลี่ยนชะตา
“ขอโทษนะ พี่อยากกลับบ้านจริงๆ“ ]
”เจ้าบ้า…จะขอโทษทำไมเล่า นายแค่อยากกลับบ้านเอง“ เมลิสซ่าเช็ดน้ำตาแล้วกระซิบด่า
โรซาล์ยและอมานีเซียแอบถอนหายใจ พวกเขาเองก็เคยมีประสบการณ์แบบนั้นเหมือนกัน…ความหวังที่จะกลับบ้าน
ไม่นานหน้าจอโทรทัศนก็ดับลง อดัมลืมตาขึ้นทำให้แสงในห้องกลับมาเป็นปกติ
เทียนบนโพเดียมหายไปแทนทีด้วยโคมที่มีลายดอกบัวสีขาวขนาดเท่ามือ
“นี่คือธรรมเนียมของเราในสมัยนั้น” โรซาล์ยลุกขึ้นมาอธิบาย
“ในบางเทศกาล เราจะมาวางโคมดอกบัวลงในน้ำแล้วปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสแม่น้ำเพื่อให้เป็นแสงสว่างแก่ทางกลับบ้านของคนตาย…หรือจะหมายถึงการสวดพรก็ได้เช่นกัน“
”จุดไฟกลับบ้าน…“ เมลิสซ่าพึมพำ
”ฉันต้องเอามันลงแม่น้ำมั้ย?
“ใช่แล้วละ“ อามนีเซียตอบ
”แค่วางบนลงแม่น้ำก็พอ เดี้ยวฉันจะเป็นคนแยกความทรงจำในนั้นเอง“
อดัมกล่าวเสริม
”เราได้สร้างผนึกลงบนโคมเรียบร้อย พวกมันจะไม่ถูกแม่น้ำกัดกร่อนแน่นอน“
เมลิสซ่าพยักหน้า ก้าวไปยังสะพานไม้ที่แม่น้ำเธอถือโคมไฟในมือพร้อมกันนั้นเธอก็รู้สึกอบอุ่นราวกับมีมือที่คุ้นเคยในจับมือเธอไว้
เมลิสซ่านั่งยองลงและวางโคมไฟลงแม่น้ำอย่างประณีต
”ขอพรให้เขาสิ เขาจะได้ยินแน่นอน“ เสียงอมานีเซียดังขึ้นจากด้านหลัง
”ขอพร…“ เมลิสซ่ามองโคมไฟที่ค่อยๆลอยไปตามกระแสน้ำ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจนได้คำตอบ
เธอประสานมือวางบนอกและกล่าวภาวนาด้วยใจจริง
”ฉันภาวนาให้ไคลน์หาทางกลับบ้านได้“
หลังจากอธิฐานแล้วเธอก็กลับมานั่งที่เดิม อามุนด์จึงเดินขึ้นไปบนแท่นและถามคนในห้อง
”นี้คือวิธีการคราวๆ มีใครสงสัยอะไรอีกไหม?“
เขามองไปรอบๆจนมั่นใจว่าไม่มีใครถามจึงพูดต่อ
”ใครจะเป็นคนต่อไปดี?“
”ฉันเอง“ เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนหันไปมองและเห็นเลียวนาร์ดลุกขึ้นยืน
อามุนด์ยิ้นราวกับนึกถึงบางอย่างออก ก่อนจะเผยมือเชิญให้ขึ้นมา
เลียวนาร์ดพยักหน้าและเดินมายังโพเดียมก่อนจะจุดไฟบนเทียน กระบวนการทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
[ในสุสานราฟาเอล เมืองทิงเกน
แม้ว่าแสงแดงยามบ่ายจะค่อนข้างแรงแต่ส่วนหนึ่งของสุสานยังคงมืดมน
เลียวนาร์ดมองยังหน้าหลุมศพด้านหน้าซึ่งสลักไว้ว่า
สุดยอดพี่ชาย
สุดยอดน้องชาย
สุดยอดเพื่อนร่วมงาน
ความคิดเห็น