ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Lotm] เรื่องราวของผู้เสียสละ

    ลำดับตอนที่ #3 : แผนปลุกมิสเตอร์ฟูล

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 67


    ยุคที่5สิ้นสุดลง ณ เวลานี้


     

    ในวันนั้นเกิดปรากฏการณ์ครั้งใหญ่แต่มันก็จบลงอย่างเงียบๆ


     

    สำหรับคนธรรมดาทั่วไปนั้น ปี1368 ยุคที่เป็นเพียงเดือนปีธรรมดา


     

    ผู้คนรู้เพียงว่าคืนหนึ่งในเดือนมิถุนายน จู่ๆพระจันทร์สีแดงก็ส่องแสงเจิดจ้าในกลางดึก ไม่นานนักมันก็หายไปเหลือเพียงจันทร์สีขาวส่องแสง


     

    แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัยหรือตื่นตระหนกอะไร ราวกับดวงจันทร์นั้นเป็นสีขาวมาตลอดหลายพันปี


     

    จนกระทั่งถึงเวลาสิ้นปีคริสจักรต่างๆและเหล่าอาณาจักรได้ร่วมกันประกาศถึงยุคสมัยที่5นั้นสิ้นสุดแล้วเป็นการเริ่มยุคสมัยที่6อย่างเป็นทางการ ทว่าผู้คนทั่วไปไม่รู้เลยว่าพวกเขาได้รอดพ้นจากวันสิ้นโลก


     

    เหล่าตัวตนระดับเทวทูตขึ้นไปเท่านั้นที่มีสิทธิรับรู้ร่วมต่อสู้อย่างลึกซึ่งในสงครามวันสิ้นโลก แม้จะได้รับชัยชนะแต่ก็แลกมาด้วยความสูญเสียเกินคณานับ

     

    สุริยัน ผู้เคร่งครัดเลือกจะเสียสละตัวเองแก่อดีตอาจารย์ 

    ทรราช เลือกที่จะต่อสู้ถึงที่สุด 

    ความรู้ ได้ยอมแลกลำดับตัวเองเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ

    ทั้งหมดก็เพื่อให้ 

    พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ มาร่วมสู้ในศึกสุดท้าย


     

    เทพธิดารัตติกาลประสบความสำเร็จในการปรองดองกับ 

    {แม่น้ำแห่งความมืดนิรันดร์} 

    และได้เทลิงบัลลังก์เทพ สนธยา มรณะ กลายเป็น อันธนาการนิรันดร์


     

    ด้วยความช่วยเหลือของสามวันวานอย่าง พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ,

    อันธนาการนิรันดร์,ลอร์ดแห่งความลึกลับ เทพีแห่งชีวิตจึงสามารถใช้ 
    {ความดื้อรั้นของโลก} เพื่อต่อต้านและกำราบ พระมารดาต้นไม้แห่งความปรารถนา ลงได้สำเร็จและ จักรพรรดิมืด ได้ถูกช่วยเหลือจากกัดกร่อนพร้อมกับเข้าร่วมสู้ในศึกสุดท้าย


     

    การต่อสู้ชี้ขาดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นนอกม่านบาเรียโลก สงครามแนวคิดมากมายทั้งงดงาม ศักดิ์สิทธิ์ เสื่อมทราม เกิดขึ้นมากมายแต่โลกไม่ได้หลบผลกระทบอะไรมากน่ะเพราะมีเหล่าเทวทูตคอยจัดการอิทธิพลที่เข้ามาในโลกอยู่ด้านหลัง


     

    แต่พวกเขาต่างรู้ดีแม้จะได้รับชัยชนะและจุดจบที่ดีเยี่ยมแต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับการเสียสละจากคนคนหนึ่ง


     

    เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย


     

    นั้นคือคำจารึกที่อยู่ในใจทุกคน วีรบุรุษที่เสียสละไปมากมายเพื่อโลก


     

    ทว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ไม่อยากยอมรับจุดจบแบบนี้จึงได้เรียกเหล่าผู้มาจากยุคเก่ามาประชุม


     

    “พวกเราจะเขียนตอนจบใหม่นี้ด้วยกัน” เหนือมิติสายหมอกมีร่างชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาวและแว่นตาขาเดียว อามุนด์ ที่อยู่ในชุดนักวิจัยยุคก่อนใช้มือชี้ไปยังจอฉายภาพดิจิทัลด้านหลังและกล่าวแผนการกับ เหล่าผู้มาจากยุคก่อน สามคนตรงหน้า

     

     

    “หา? ตอนจบใหม่? แกพูดถึงเรื่องอะไรเนี่ย” โรซาล์ยขมวดคิ้วด้วยสีหน้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด


     

    “และอีกอย่างนะ ทำไมแกใส่ชุดแบบนั้นฟะ”


     

    อามุนด์ขยับขอบแว่นเล็กน้อยแล้วกางมือสบัดเสื้อคลุม


     

    ”เสื้อคลุมชุดนักวิจัยไง พวกคุณไม่รู้จักหรอ?“


     

    สามคนตรงหน้าเอื้อมระอากับคำพูดของอามุนด์ก่อนที่โรซาล์ยจะถามต่อ


     

    ”แล้วเจ้านั้นละ?“ เขาชี้ไปยังจอโทรทัศน์ข้างหลัง


     

    ”มันคือโปรเจ็กเตอร์หรือจะเรียกโทรทัศน์ก็ได้ ข้าเห็นมันจากความฝันของมิสเตอร์ฟูล ซึ่งมีประโยชน์มากเลยละ” อามุนด์กล่าวภูมิใจและชื่นชมเต็มที่


     

    “เอ่อ…” โรซาล์ยถึงกับพูดไม่ออก


     

    “แล้ว?” อมานีเซียที่เงียบมาตลอดได้พูดขึ้นจากนั้นก็ถามต่อ


     

    “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสงสัยเรื่องนั้น…นายบอกว่ามีแผนที่จะเปลี่ยนตอนจบไม่ใช่หรอ ทำอย่างไง?” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แน่นอนว่าสามหนุ่มก็เข้าใจเพราะเธอเป็นส่วนหนึ่งที่มอบชะตากรรมอันโหดร้ายให้เขา หากช่วยได้เธอก็จะทำเต็มที่


     

    อามุนด์อะแฮ่มเล็กน้อยก่อนจะยกมือกดรีโมทเปิดวิดิโอบนจอภาพ ราวกับนักเรียนที่กำลังพรีเซนต์รายงานกับคุณครู หัวข้อคือ


     

    {แผนปลุกเดอะฟูล} By นักเรียนอามุนด์


     

    “ชิ ดูอย่างไงนี้มันก็เป็นการพรีเซนต์รายงานนี้หว่า” โรซาล์ยพึมพำเบาๆ


     

    “เอาละ พวกเราต่างรู้ดีว่าตัวตนระดับสูงจะไม่มีทางตายง่ายๆ มิสเตอร์ฟูลเคยปฏิเสธที่จะคืนชีพเพื่อปกป้องโลก แต่ตราบเท่าที่มีเงื่อนไขเหมาะสมเราก็สามารถปลุกสัญญาณชีวิตในตราประทับจิตวิญญาณของเขาได้“ อามุนด์อธิบายราวกับนักศึกษามือฉมังก่อนจะสไลด์ไปหน้าถัดไป


     

    ”ขั้นตอนแรกคือสร้างกายหยาบด้วยอำนาจของ เดอะฟูล,ข้อผิดพลาด,ประตู จากนั้นก็ผสานด้วยอำนาจแห่งชีวิตเพื่อสร้างร่างมนุษย์ขึ้น“


     

    ”ขั้นที่สอง” อามุนด์ขยับขอบแว่นตาอีกครั้งก่อนจะเปิดหน้าจอภาพแม่น้ำสีดำ


     

    “ค้นหาร่องรอยมรณะของเขาจาก {แม่น้ำแห่งความมืดนิรันดร์} จากนั้นก็ให้จักรพรรดิมืดบิดเบือนกฏเกณฑ์แห่งความตายโดยได้รับความช่วยเหลือจาก อันธนาการนิรันดร์ ดึงเขาออกมาจากการเร่ร่อนในแดนความตาย แล้วนำวิญญาณใส่ไปในภาชนะที่สร้างไว้”


     

    “ขั้นที่สามคือรวบรวมเพื่อนและผู้ศรัทธามาดูเรื่องราวในอดีตเพื่อปลุกจิตสำนึกของเขาผ่านการสะท้อนความจำและอารมณ์…ส่วนเนื้อหาของวิดิโอที่เราจะดู“ เขาคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขึ้น


     

    “ข้ามีความทรงจำทั้งหมดของเขาอยู่ที่นั้น” อามนุด์ชี้ไปยังกระจกวิเศษอาโรเดสวางอยู่ด้านข้าง


     

    “มันได้บันทึกความจริงทั้งหมดที่ไม่ถูกปกปิดควบคู่ไปกับข้าที่เห็นความจำของเขาในความฝันจึงสามารถถ่ายทอดให้ดูได้”


     

    อดัมที่ฟังอยู่ได้ลืมตาขึ้น


     

    “หากพูดถึงเรื่องนี้แล้วมันสำเร็จจริงๆ เจ้ารู้หรือป่าวว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น…หากเขาหายไปเจตจำนงของเร้นลับคนก่อนจะถูกปลุกและเจ้าจะต้องเผชิญหน้าตามลำพัง…ทั้งทีเป็นแบบนั้นเจ้าก็เลือกที่จะทำอย่างงั้นหรอ?”


     

    “แน่นอน” อามุนด์ยิ้มอย่างไม่เปลี่ยนแปลงและมั่นคง


     

    “การมีชีวิตอยู่โดยได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นมันน่าเบื่อมาก ในเมื่อท่านพ่อและมิสเตอร์ฟูลทำได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะทำไม่ได้”


     

    อดัมยังคงกังวลเล็กน้อย


     

    ”ถ้าเช่นนั้น ข้าจะคอยดูแลสภาพจิตใจเจ้าอย่างใกล้ชิด“


     

    ”ขอบคุณ“ อามุนด์มองไปดวงตาของอดัมที่แม้จะยังคงสงบแต่เพียงชั่วครู่แต่ก็สั่นไหวเล็กน้อยซึ่งนั้นไม่สามารถรอดพ้นสายตาของอามุนด์ได้หรอก


     

    อดัมไม่คิดจะพูดอะไรต่อเพียงพยักหน้าเห็นด้วยที่จะร่วมมือในแผนการนี้ อามุนด์พยักหน้าขอบคุณก่อนจะหันไปอีกสองคนด้านข้าง


     

    “…เจ้าคิดว่าโอกาสสำเร็จนั้นเท่าไร” เสียงของอมานีเซียยังคงแผ่วบางแต่ก็มีความหวังเล็กน้อย


     

    “ประมาณ 70%”


     

    “ก็ดี…มันคุ้มค่าที่จะลอง“ อมานีเซียหลับตาคิดถึงบางอย่างแล้วพูดตอบด้วยเสียงอันแตกต่างซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา


     

    โรซาล์ยที่มองอยู่ก็เอนตัวลุกขึ้นอย่างจริงจัง


     

    ”งั้นมามอบหมายงานกันเลยละกัน รัตติกาลกับฉันจะจัดการเรื่องวิญญาณของเขาใน {แม่น้ำแห่งความมืดนิรันดร์}


     

    ”ข้าจะติดต่อลิลิธให้มาช่วยกันเอง ถ้าเป็นเธอละก็หากเกี่ยวข้องกับเดอะฟูลก็ยินดีช่วยเหลือ“ อมานีเซีย


     

    โรซาล์ยพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ


     

    “เดี้ยวฉันติดต่อจักรกลให้มาช่วยเรื่องระบบหน้าจอแล้วกัน”


     

    อดัมหันมามองและสงสัยเล็กน้อย


     

    “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อยากเห็นหน้าเขาหรอกรึ?”


     

    โรซาล์ยเบ้ปาก


     

    ”แน่นอน ฉันยังเกลียดเขาอยู่แต่ตอนนี้ต้องมาแก้ปัญหานี้ก่อน ไม่ช้าก็เร็ว ฉันจะไปคุยกับเขาเรื่องโบโนวาเอง“


     

    อดัมพยักหน้าเข้าใจ


     

    “ข้าสามารถจัดสถานที่เหมาะในการรับชมได้และเป็นจุดที่ปลอดภัยเพื่อให้แผนการสมบูรณ์ที่สุด”


     

    อามุนด์ลูบคางแล้วพูดกับโรซาล์ย


     

    “ผมต้องรบกวนคุณติดต่อเหล่าคนใกล้ชิดกับผู้ฟังที่เหมาะสมของมิสเตอร์ฟูลให้มาร่วมด้วยนะ เพราะถ้าผมไปเองคงไม่ดีสักเท่าไร” แม้อามุนด์จะดีขึ้นมากแล้วหลังจากได้รับเจตจำนงและอารมณ์ของไคลน์แต่สุดท้ายภาพลักษณ์ในอดีตที่เขาทำมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากในสายตาคนอื่น


     

    “ไม่มีปัญหา เดี้ยวให้แบร์นาเนตติดต่อให้ เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาอยู่แล้ว ลที่เหลือก็ปล่อยให้เด็กๆติดต่อกันเอง“


     

    ”อืม“ อามุนด์ตบมือเป็นสัญญาณจบชุมนุม


     

    ”ผมขอประกาศเริ่มแผนการ {แผนปลุกเดอะฟูล} By นักเรียนอามุนด์และเหล่าคนแก่ทั้งสาม ได้เริ่มขึ้นแล้ว!!“ พูดจบอามุนด์ก็รีบสลายร่างตัวเองหลบดาบอันบิดเบือนของโรซาล์ยและความมืดที่จะกลืนกินเขา


     



     

    ส่วนลึกของโลกแห่งวิญญาณ ยูโทเปีย


     

    ออเดรย์ในชุดเดรสสีเขียวอ่อนเรียบง่ายเดินบนถนนอันว่างเปล่ามุ่งหน้าไปยังโบสถ์ใจกลางเมือง


     

    หลังจากเข้ามาข้างใน เธอรู้สึกว่าหัวใจนั้นเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยราวกับเธอได้ย้อนกลับไปยังวันแรกที่ได้เข้าสู่โลกเร้นลับ…วันแรกที่ได้เจอมิสเตอร์ฟูล


     

    พอเธอเดินมาถึงหน้าห้องสวดมนต์ก็พบหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำตาลเข้มสีหน้ากังวลและกำลังลังเลว่าจะเข้าไปไหม


     

    “มิสเมลิสซา” ออเดรย์พูดด้วยระยะห่างที่พอดีก่อนจะเดินเข้ามาถาม


     

    “เธอไม่เข้าไปหรอ?”


     

    เมสลิซ่าที่เห็นหน้าผู้มาใหม่อย่างชัดเจนก็ประหลาดใจและพูดด้วยความรู้สึกดีใจ


     

    “มิสออเดรย์!” แต่ไม่นานเธอก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง


     

    “ฉัน…แค่กังวลนิดหน่อยนะ เพราะดูเหมือนในห้องจะมีแต่ผู้ยิ่งใหญ่อยู่มากมายจะให้ฉัน..”


     

    ออเดรย์ยิ้มก่อนจะกุมมือเธอเดินเข้าไปในห้องสวดมนต์


     

    “ทุกคนต่างมีจุดประสงค์และความปรารถนาแบบเดียวกัน เพราะงั้นแล้วไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกค่ะ”


     

    เมลิสซ่าเหมือนจะโล่งใจขึ้นจึงเดินตามไป ส่วนออเดรย์ด้วยสัญชาตญาณ {ผู้ชม} ทำให้เธอสังเกตรอบห้องโดยไม่รู้ตัว


     

    เป็นห้องที่มีกระจกโปร่งใส่เหนือหัว ผนังซ้ายขวาประดับด้วยกระจกที่สลักเรื่องราวของใครบางคนจากจุดเริ่มถึงจุดสิ้นสุด มีโต้ะนั่งยาวตามสไตล์โบสถ์ทั่วไป แบ่งเป็น2ฝั่งด้านซ้ายขวา คั่นด้วยทางเดินตรงกลาง ณ ส่วนปลายสุดของทางเดินมีโต้ะโพเดียมวางอยู่ข้างๆ เหนือหัวนั้นมีจอสีเหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งเธอเคยเห็นในฝันมิสเตอร์ฟูงจึงรู้ว่ามันเรียกว่า จอโทรทัศน์


     

    ในเวลานี้ที่นั่งส่วนใหญ่ได้มีคนจองแล้วได้แก่ มีวันวานกับเทพแท้จริงนั่งอยู่แถวแรกส่วนคนอื่นๆก็นั่งตามความสนิทสนมของตัวเอง


     

    เมื่อออเดรย์มองคราวๆผู้ที่นั่งอยู่แถวถัดมาจะมี ชุมนุมไพ่ทาโรต์ มิสเตอร์อะซิก 

    ท่านวิลกับท่านพาลีส โต้ะด้านซ้ายมือมีมิสชารอน และท่านไรเน็นต์


     

    ส่วนถัดท่านพาลีสจะมี ท่านแบร์นาเนตและแคทลียาที่นั่งด้านหลังจักรพรรดิโรซาล์ย แต่ส่วนที่เธอแปลกใจที่สุดคือ เทวทูตสงคราม ท่านเมดีซีที่นั่งอยู่สุดปลายโต้ะคนเดียวก็มาด้วย


     

    ออเดรย์ยิ้มกับภาพอันหาดูได้ยากนี้ก่อนจะเดินนำเมลิสซ่าไปแถวสุดท้ายฝั่งตรงข้ามและนั่งใกล้ฟอร์สที่อีกข้างมีซิลนั่งอยู่


     

    หลังจากนั่งลงเธอก็มุ่งความสนใจไปยังโทรทัศน์ที่หน้าสุดของห้องและทางด้านขวามือก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ซึ่งมีสะพานไม้ที่เชื่อมกับแม่น้ำสีดำ โดยในแม่น้ำมีร่างชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่บนเรือ เป็นใบหน้าอันคุ้นเคยที่มีบรรยากาศคล้ายนักศึกษาจบใหม่กำลังหลับตาอยู่


     

    เมลิสซ่าที่เห็นว่าใครนอนอยู่ก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยแต่เพราะกลัวว่าอาจทำลายบรรยากาศจึงเงียบลง


     

    ไม่นานนักอามุนด์ก็เดินออกมาจากประตูทางฝั่งซ้ายมือในชุดราวกับนักบุญผู้เคร่งครัดเตรียมเทศนาแต่ก็ยังแฝงความขี้เล่น สวมหมวกปลายแหลมตามปกติกับแว่นตาขาเดียว มีสร้อยที่มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูลห้อยอยู่ที่คอ เขาเดินมายังตำแหน่งคนพูดและเริ่มกล่าว


     

    “อะแฮ่ม เนื่องจากทุกคนอยู่ที่นี้แล้ว ผมจะพยายามไม่พูดมากเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลานะครับ” อามุนด์ชี้ไปยังเรือที่จอดอยู่ที่แม่น้ำ


     

    “ข้างในนั้นคือร่างกายหยาบที่สร้างขึ้น เพื่อจะรองรับวิญญาณแต่การจะทำแบบนั้นได้เราจำเป็นต้องปลุกจิตสำนึกของมิสเตอร์ฟูลที่ยังคงหลับให้ตื่นขึ้นซะก่อน”


     

    “โดยสิ่งที่เราต้องทำคือการดูภาพสะท้อนความจำของเขาผ่านพิธีกรรมที่จะฉายบนจอสี่เหลี่ยมอันนี้“ เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะมองไปรอบด้าน


     

    ”เอาละ ถ้าเอาแต่พูดคงไม่เห็นภาพเพราะงั้นแล้วจะมีใครอาสาเป็นคนแรกไหม?“


     

    ทุกคนมองไปรอบๆว่าใครจะไปก่อนดีและมีคุณสมบัติที่จะเป็นคนแรกไหม จนกระทั่งมีเสียงสั่นเล็กน้อยดังขึ้นจากแถวสุดท้าย


     

    ”ให้ฉันทำเป็นคนแรกเอง“


     

    เมื่อทุกคนหันไปก็เห็นเมลิสซ่ากำลังยกมือ แต่เพราะถูกสายตามากมายจับจ้องเธอเลยประมาทนิดหน่อยก่อนจะสูดลมหายใจให้เต็มปอดและพูดอย่างมั่นคง


     

    “ได้โปรด ให้ฉันได้ทำเพื่อเขาเถอะ”


     

    “มิสเมลิสซา” ออเดรย์มองเธออย่างกังวล


     

    “ฉันอยากทำอะไรเพื่อเขาบ้างน่ะ” เธอยิ้มตอบกลับขณะให้กำลังใจตัวเอง

     


    แผนผังคราวๆในห้อง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×