คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ฝากด้วยละ
หลังจากออกจากบ้านของฟอร์สไคลน์ก็พบร้านกาแฟแห่งหนึ่งเขาสั่งชาเย็นหวานหนึ่งแก้วก่อนจะหยิบกระดาษที่ได้จาก ฟอร์สแล้วจึงวางลงบนโต้ะพร้อมกับเขียนด้วยภาษาจีน
‘ฮวงเทา ฉันเสียใจจริงๆที่ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาการกัดกร่อนของนายและ…ฉันคงไม่สามารถดูแลแบร์นาเนตอย่างที่นายขอไว้ได้อีกแล้วจากนี้ หากนายอ่านจดหมายนี้ก็หมายความว่าพวกเรารอดจากวันสิ้นโลก เมื่อถึงเวลาที่สมควรฉันอยากให้สร้างอนุสาวรีย์ให้ฉันด้วย ฮ่าฮ่า แต่ช่วยเขียนด้วยชื่อ โจวหมิงรุ่ย นะ…ถ้าเอาให้ดีก็สร้างทางตะวันตกเฉียงใต้…ที่ประเทศจีนซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายและฉัน แต่หากทำไม่ได้ก็ช่วยสร้างที่ทิงเก็น…ส่วนคำจารึกเอาเป็น {ช่วยส่งใบชุบให้หน่อย}..เอ่อ ไม่ดีกว่า ในตอนนั้นถึงจะมีวิธีชุบชีวิตจริงๆแต่ถ้าฟื้นมาเป็นสัตว์ประหลาดก็ไม่เอาดีกว่า’
ไคลน์หยุดเขียนครู่หนึ่งขณะก่อนจะยิ้มราวกับนึกถึงความหลัง
‘คำจารึกเอาเป็น {เขาได้พักอยู่ที่บ้านเกิดของเขาแล้ว} ละกันนะ‘
พอเขียนเสร็จแล้วเขาก็รอหมึกให้แห้งก่อนจะพับใส่ซองจดหมายและเซ็นชื่อ โจวหมิงรุ่ย ไว้ตรงกลางหน้าจ่ายซอง
จากนั้นเขาก็หยิบกระดาษอีกแผ่นออกมาเขียนจดหมายถึงอีกคน
‘ถึงมิสเตอร์อะซิก ผมต้องขอโทษที่ต้องบอกลาคุณด้วยวิธีนี้ เพราะผมไม่รู้จะมองหน้าคุณอย่างไงดีจริงๆ ผมได้อ่านจดหมายที่เล่าการเดินทางของคุณตลอดสิบปีมานี้แล้ว ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่คุณแบ่งปันให้ตลอด ผมรู้สึกขอบคุณมากสำหรับการช่วยเหลือตลอดที่ผ่านมาครับ…หวังว่าคุณจะมีความสุขในอนาคตอย่างงดงาม จากนักเรียนตลอดกาลของคุณ ไคลน์ โมเร็ตติ‘
หลังจากพับกระดาษส่วนนี้เสร็จ ไคลน์ก็หยิบนกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกออกมาเป่าเบาๆ ไม่นานนักกระดูกจำนวนมากก็ไหลราวกับน้ำพุก่อตัวเป็นผู้ส่งสารอันคุ้นเคย
ไคลน์ยื่นจดหมายและนกหวีดทองแดงให้ผู้ส่งสารที่ช่วยมาตลอดสิบปีมานี้ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ฉันจะรบกวนนาย ขอบคุณที่ทำงานหนักมาตลอดหลายปีน่ะ”
เปลวเพลิงสีซีดในดวงตากระดูกสั่นไหวไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองไคลน์และนิ่งไป สักพักมันจึงก้มลงหัวทำความเคารพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไป
เบ็คลันด์ ถนนควีนส์ สวนหลังบ้านของครอบครัวหมอ อลัน•คริส
วิล•อัสติน ซึ่งโตเป็นวัยรุ่น กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกในสวนถือแก้วไอศกรีมรสผลไม้
ทันใดนั้น เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากชะตากรรม จึงลุกขึ้นมองไปทางด้านหน้าและเห็นไคลน์เดินออกมาจากโลกวิญญาณ
“คุณไม่คิดว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วหรอ?” ไคลน์สวมหมวกแล้วถามด้วยรอยยิ้มแตกต่างจากครั้งก่อนที่ไร้ซึ่งอารมณ์
วิลจ้องมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะน้ำตาไหล เขาเม้มริมฝีปากและน้ำเริ่มไหลออกมาอย่างมิอาจหยุดยั้ง
“ข..ข้าไม่ต้องการมัน! หากเจ้าที่เป็นคนโง่มาช่วยข้าปรองดองกับเอกลักษณ์ของข้า นั้นก็หมายความว่าข้าจะเป็นคนโง่แบบเดียวกันเจ้า!“ เขาร้องไห้และวิ่งทุบตีไคลน์ด้วยหมัดอย่างไร้เรี่ยวแรง
”ข..ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าเพื่อต้องการมาเห็นเจ้าตายแบบนี้ ได้ยินไหม! เจ้าโง่“
ไคลน์ยิ้มอีกครั้งก่อนจะย่อเข่าลงให้เสมอกับเด็กวัยรุ่นตรงหน้า
”ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะฝากให้อามุนด์ช่วยคุณเรื่องปรองดองกับเอกลักษณ์แล้วกันนะ“ ไคลน์ลูบหัวเขาอย่างช่วยไม่ได้และทันใดนั้นก็เขาก็รู้สึกบางอย่างทำให้อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
”ผมขอให้คุณเติบโตขึ้นอย่างมีความสุขต่อไปนะ“
ไคลน์ลุกขึ้นและหันหลังกลับก่อนจะหายไป เหลือเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้อย่างโศกเศร้าคนเดียว สาวใช้ที่อยู่ห่างไม่ไกลเห็นเข้าก็เดินมาปลอบแต่ก็ไม่ได้มีผลมากนัก วิลเพียงแค่กระซิบบางอย่าง
”แด่เดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่“
บายัม สำนักงานใต้ดินของ คริสต์จักรเดอะฟูล
ชารอนกำลังปรึกษากับอาจารย์ของเธออย่างไรเน็ตต์•ไทน์เคอร์ ถึงแผนการต่อไปในการตามล่าฝ่ายปลดปล่อยแรงปรารถนาของโรงเรียนกุหลาบ ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ต่างหยุดพูดคุยและหันไปทางประตูเข้าห้องจนพบกับร่างของไคลน์เดินออกมาจากโลกวิญญาณ
ก่อนที่ไคลน์จะพูดอะไร ศีรษะทั้งสีของไรเน็ตต์ได้จับจ้องไปยังชายหนุ่มด้วยสายตาที่หลายหลายอารมณ์
”เจ้า…อยาก…ฆ่าตัวตาย…หรอ?“
”ครับ“ ไคลน์พยักหน้าพูดอย่างตรงไปตรงมาก่อนจะถอดหมวกแสดงความขอบคุณ
”ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่ผ่านมาทั้งหมดครับ น่าเสียดายที่ผมทำให้คุณผิดหวัง ผมสงสัยว่าสามารถทำอะไรตอบแทนให้ได้ไหม?“
ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์ส่ายหน้าพร้อมกัน
”เจ้า…ได้จ่าย…เพียงพอ…สำหรับค่าตอบแทนแล้ว“
ชารอนกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงอันไร้อารมณ์
”คุณช่วยพวกเรามามากแล้วละ“
พูดจบไรเน็ตต์และชารอนต่างถอนสายบัวทำความเคารพคนตรงหน้า
”พวกข้าจะ…ทำหน้าที่…นักบุญและเทวทูตของเจ้า…เพื่อปกป้อง..โลกวิญญาณต่อไป“
”ขอบคุณมากครับ…เป็นเกียรติที่ได้ร่วมมือและเดินทางกับพวกคุณ…ผมหวังว่าพวกคุณจะได้พบจุดที่มุ่งหวังในตอนท้ายสุดของการเดินทาง“ พูดไคลน์ก็จากไป
ในเวลาเดียวกับที่ไคลน์หายไป ประตูห้องก็เปิดออกเป็นเดอร์ริคที่เขามาถามอย่างร้อนร้นเพราะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง
”มิสเตอร์ฟูลมาที่นี้ใช่หรือป่าวครับ“
ชารอนมองเขาและส่ายหัวเล็กน้อย
”เขาไปแล้ว“
เดอร์ริคจ้องไปยังจุดที่ไคลน์เคยยืนอยู่ เขาค่อยๆก้มหน้าลงพร้อมกับกัดริมฝีปากจนแทบเลือดไหลออกมา
”จะร้องไห้ก็ได้…ตามที่คุณต้องการ” เสียงของชารอนที่ปกติจะไร้อารมณ์ตลอดมาตอนนี้ มันดูโศกเศร้าขึ้นเล็กน้อยจนแม้แต่เดอร์ริคก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
“ความอดทนของเรา…ต…แต่ละคนล้วนมีจำกัด” น้ำเสียงอันสั่นเครือของชารอนกล่าวขึ้น
เดอร์ริคที่ได้ฟังก็ต้องเงยหน้าและพบภาพอันหาได้ยากยิ่ง เขาเห็นน้ำตาของชารอนกำลังไหลออกมา เมื่อเห็นแบบนั้นตัวเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตาม เขาไม่สามารถอดกลั้นมันไว้ได้อีกแล้ว เดอร์ริคค่อยๆทรุดลงและร้องไห้อย่างขมขื่น
“ถ..ถ้าผมทำงานให้หนักกว่านี้ เพื่อเผยชื่อของมิสเตอร์ฟูล…อึก และมิสเตอร์เวิลด์ให้มากกว่านี้…ถ..ถ้าผมรวบรวมข้อมูลให้มิสเตอร์ฟูลมากกว่านี้…ถ้าผม..”
ชารอนเดินมาวางมือบนไหล่เดอร์ริคและพูดกล่าว
“อย่าโทษกับตัวเองเลย เขาคงไม่อยากคุณทำแบบนี้หรอก”
เมื่อเสียงร้องไห้ของเดอร์ริคเบาบางลง เธอก็พูดต่อ
“เราสามารถระบายความโศกเศร้าของเราได้ แต่ต้องไม่ลืมความรับผิดชอบที่เขามอบหมายให้แก่เรา”
เดอร์ริคลุกขึ้นและเช็ดน้ำตาบนใบหน้า เขารู้ว่าเขายังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำ เพราะงั้นแล้ว…เขาจะมายอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้
เกาะเมืองมรกต
ราชินีลึกลับ•แบร์นาเน็ต กำลังจ้องมองกระดาษจดหมายที่ปรากฏบนโต้ะทำงานของเธออย่างเงียบๆ เป็นจดหมายที่บันทึกบทสนทนาชุมนุมทาโรต์ครั้งสุดท้ายไว้
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงบางอย่างและเงยหน้ามองผู้มาเยือนเป็นใบหน้าของเกอร์มัน สแปร์โร่ ที่พึ่งออกมาจากโลกวิญญาณ
“มิสเตอร์ฟูล” แบร์นาเน็ตลุกขึ้นทำความเคารพ
ไคลน์ก้มหน้ามองและเห็นจดหมายบนโต้ะจึงเข้าใจได้ทันที
“แคทลียาบอกเธอหมดแล้วหรอ?”
แบร์นาเน็ตมองตามไปยังจดหมายและพยักหน้ายอมรับ
“ใช่”
“ฮ่าฮ่า ถ้าอย่างนั้นก็เรียกฉันว่า ลุงโจว เถอะ” เขาหัวเราะเบาๆ
“เอ่อ จ..โจว…คือว่า ลุงโจวค่ะ” เธอลังเลนิดหน่อยและพยายามออกเสียงภาษาที่ไม่คุ้นเคย
ไคลน์ที่เดิมทีอยากมาเล่าเรื่องตลกนิดหน่อยแต่ก็ดันรู้สึกอายแทน เลยอะแฮ่มแก้เขิลแล้วยื่นซองจดหมายให้เธอ
“นี่คือจดหมายที่ฉันฝากให้พ่อของเธอ หากมีโอกาส…ช่วยส่งมันให้เขาด้วยนะ”
เธอเอื้อมมือรับมันมาพลางพยักหน้าเงียบๆ ไคลน์เองก็พยักหน้ากลับก่อนจะเดินหายไป แบร์นาเน็ตมองไปยังหน้าซองจดหมายที่เขียนชื่อผู้ส่งไว้ว่า โรซาล์ย
ในแดนดารา ไคลน์มาถึงสรวงสวรรค์อันมืดมิดของเทพธิดารัตติกาล ซี่งมีอมานีเซียยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เธอหันมาจ้องมองไคลน์อย่างเงียบๆ
“คุณได้ติดต่อกับอันทีโกนัสบ้างไหม?” ไคลน์ถามเข้าประเด็น
“แน่นอน” ด้วยความช่วยเหลือของเทพีแห่งชีวิต จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตามหาเขาซี่งตอนนี้ไม่ใช่ บริวารเร้นลับ อีกแล้ว
“หากทั้งอามุนด์และพาลีสล้มเหลว ช่วยถามความคิดเห็นเขาแทนผมด้วย”
“อืม” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อมานีเซียก็พูดอีกครั้ง
“แม้ว่ามันอาจจะสายไปแล้วที่จะพูดตอนนี้แต่…โจว อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปนะ การปกป้องโลกเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทุกคน มันไม่ใช่ภาระที่นายต้องแบกมันไว้คนเดียว…นายเหนื่อยมามากแล้ว เพราะงั้น…ได้โปรด อย่างน้อยก็ช่วยใจดีกับตัวเองบ้าง”
ไคลน์ถึงกับชะงักไปหลายวิ ก่อนจะยิ้มด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยความจริงใจไม่ได้สวมหน้ากากอย่างที่ผ่านมา
“ขอบคุณ”
หลังจากออกจากอาณาจักรรัตติกาล ไคลน์ก็เดินทางมายัง อาณาจักรสุริยันก็พบร่างชายหนุ่มที่ด้านหลังประดับด้วยแสงสุริยันกำลังยืนรออยู่ เขามีผมบลอนด์สั้นหล่อเหลาและได้ยกคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจกับการมาของไคลน์
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่ผ่านมานอกเหนือจากที่ให้ช่วยกำจัดอามุนด์แล้ว มีอะไรที่ผมจะช่วยคุณได้ไหม?”
เทพสุริยันไม่ได้ตอบเพียงแค่เหลือบมองคนตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองยังบาเรียของโลก และกางแขนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังท่องบทสวด
“ดวงอาทิตย์จะส่องแสงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะดวงไหนก็ตาม”
ไคลน์มองดูพระองค์อย่างลึกซึ่งแล้วจึงเดินทางไปยังอาณาจักรเทพของพระเจ้าแห่งวายุ แต่ไม่ว่าจะเขาจะพยายามแค่ไหนก็จะถูกสายฟ้าผ่าลงมาก่อนเข้าไปได้ทุกที
ไคลน์จึงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะพูดกับอีกฝ่ายจากระยะไกล
“ขอโทษที่ผมมักจะเรียกชื่อจริงของคุณนะ! และก็ขอบคุณที่ช่วยเหลือมาตลอด ผมจะใส่ข้อจำกัดบางอย่างไว้กับอามุนด์ทำให้เขามายุ่งกับคุณน้อยที่สุดนะ”
ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าผ่าลงมาอีกรอบแต่เป็นการผ่าลงข้างๆ เป็นสัญญาณว่าเขารับรู้ ไคลน์เองก็ไม่ได้พูดอะไรเลยเดินทางไปที่ต่อไป
คือหอคอยขนาดยักษ์ที่สร้างจากหนังสือนับไม่ถ้วน ภายในนั้นมีชายชราหนวดเครายาวสวมชุดคลุมศีรษะนั่งยิ้มอยู่บัลลังก์ที่ทำจากหนังสือรอการมาของไคลน์
เทพแห่งความรู้หัวเราะเล็กน้อย
“โปรดอย่ากังวลไปเลย เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่ข้าลงทุน…พูดตามตรง ข้าไม่ใช่คนที่จะเอาไข่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในตระกร้าใบเดียวหรอกนะ”
ไคลน์พยักหน้าและจากไป ก่อนจะปรากฏในโลกที่มีเครื่องจักรกับฟันเฟืองมากมายกำลังทำงานอยู่ โดยตรงหน้ามีตุ๊กตาจักรกลมองไคลน์อยู่อย่างสงบ
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือก่อนหน้านี้..และคนของผมจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับปราชญ์เร้นลับกับคุณต่อไป นอกเหนือจากนั้น มีอะไรอีกไหมที่ผมสามารถช่วยคุณได้?”
เสียงอันไร้อารมณ์และไร้เพศดังขึ้นจากหัวของตุ๊กตา
“นั่นเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม เจ้ากับข้าไม่ได้เป็นหนี้อะไรกัน…” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะถามอีกครั้งด้วยความลังเล
“แต่ข้ามีคำถามหนึ่งบางที..อาจมีแต่เจ้าที่จะตอบได้”
“เชิญถามเลย”
“มันเป็นเรื่องของโรซาล์ย ทำไมเขาถึงโกรธข้าที่ทำกับโบโนวาขนาดนั้น?“ ในตอนนั้นเขาได้อวยพรโบโนวาเป็นคนโปรดด้วยใจจริง แต่เขาไม่คิดเลยว่าโรซาล์ยจะโกรธขนาดนั้นและเขาเชื่อว่าหนึ่งในเหตุผลที่อีกฝ่ายย้ายไปเส้นทางอื่นก็เพราะเขาส่วนหนึ่ง
‘คำถามนั้นเองหรอ‘ ไคลน์แอบถอนหายใจ ครุ่นคิดครู่หนึ่งพิจารณาคำพูดอย่างรอบคอบก่อนจะตอบ
”อาจเพราะว่า..คุณได้ยึดสิทธิลูกชายของเขาไป…สิทธิในฐานะของมนุษย์คนหนึ่ง”
“สิทธิ..ในฐานะมนุษย์งั้นหรอ” เสียงกลไลที่ทำงานติดขัดเล็กน้อยดังออกมาจากตุ๊กตากลไกเหมือนกับโปรแกรมพบข้อผิดพลาดแต่ยังคงพยายามที่จะทำงานต่อโดยไม่สนใจปัญหา
ไม่นานนักตุ๊กตาก็กลับมาทำงานปกติและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเดิมเล็กน้อย
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ…ข้าจะคิดเกี่ยวกับมันอย่างถี่ถ้วน”
แม้ไคลน์จะสงสัยว่าคำตอบของเขาจะช่วยอะไรได้ไหมแต่ก็ตัดสินใจออกมาอาณาจักรเครื่องกลและปรากฏในอาณาจักรแห่งชีวิตที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้มากมาย
ตรงหน้าเขามีร่างของเทพธิดาแสนสวยกำลังอุ้มทารกลวงตาไว้ในอ้อมกอด เธอพยักหน้ายินดีที่ไคลน์มาหาเธอ
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่ผ่านมา สำหรับเรื่องของบริษัทยาผมได้ให้คนในสายเลือดคุณจัดการต่อแล้ว ที่มาในครั้งนี้ก็เพื่อถามว่ามีอะไรให้ผมตอบแทนคุณได้อีกไหม?”
เทพีแห่งชีวิตมองเขาอย่างอ่อนโยนก่อนจะตอบ
“การช่วยเหลือคุณก็ถือเป็นการช่วยอมานีเซียเช่นกัน และคุณได้จ่ายให้ฉันมาเพียงพอแล้ว”
“…ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณผิดหวัง” เขาพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายได้สนับสนุนเขาตอนให้คำทำนายแก่เอ็มลิน
เธอส่ายหน้าเบาๆ
“ในบรรดาพวกเรา เจ้าเป็นคนเดียวที่เห็นแก่โลกและประโยชน์ส่วนรวมมากที่สุดแล้ว” เธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังพระจันทร์สีแดงนอกม่านบาเรีย
“แตกต่างจากข้าที่ไม่มีความกล้าเหมือนอมานีเซียที่จะก้าวต่อไป…และไม่มีความกล้าพอจะพาเหล่าผู้ศรัทธากับลูกหลานไปดาวดวงอื่น ดังนั้นเราจึงหวังว่าจะช่วยให้พวกเจ้าต้านทานการกัดกร่อนของพวกนั้นได้บ้าง”
”คุณรับแรงกดดันที่แตกต่างจากพวกเราเพราะงั้น..“ ไคลน์ตอบด้วยความจริงใจแต่ก็ถูกหยุดไว้ก่อน
”ไม่หรอก ถ้าเทียบกับเจ้าแล้ว ข้ามิได้ทำอะไรเลย…ข้าจะชื่นชมจิตวิญญาณของเจ้าทั้งจากนี้และตลอดไป“
ไคลน์ยิ้มขอบคุณและหันไปมองพระจันทร์
”ผมหวังว่าคุณจะกำจัดภัยคุกคามของ[เธอ]ออกไปได้นะครับ“
สิ้นเสียงร่างของเขาก็หายไปจากอาณาจักรของเทพีแห่งชีวิต
มหาวิทยาเบ็คลันด์ หอพักนักเรียน
เมลิสซ่าลุกจากเตียงและตะหนักว่าเธอพึ่งฝันเห็นบางอย่าง…ตลอดหลายปีมานี้เธอมักจะฝันเห็นแปลกๆหลากหชายรูปแบบ ไม่ว่าจะความรู้ศาสตร์เร้นลับต่างๆที่คอยช่วยเหลือเธอในชีวิตไม่ว่าจะด้านเร้นลับหรือชีวิตธรรมดา
แต่คราวนี้สิ่งที่เธอเห็นคือสายหมอกที่มีร่างอันคลุมเครือ เขาพูดกับเธอด้วยเสียงอันโศกเศร้า
“เมลิสซ่า ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุข…ในวันพรุ่่งนี้และตลอดไป”
ร่างอันคลุมเครือนั้นยืนช่อดอกไม้มาให้เธอ เป็นช่อดอกไม้อันเดียวกับที่เธอเคยได้รับจากตัวตลกเมื่อสิบปีก่อน แต่ทว่าก่อนที่เธอจะได้รับก็ลืมตาตื่นขึ้นซะก่อน
ทันใดนั้นกลิ่นหอมของดอกไม้ที่คุ้นเคยก็ลอยมาทางจมูกเธอ พอหันไปก็พบแจกันดอกไม้ที่เธอไม่เคยเห็นวางอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรแต่น้ำตาของเธอค่อยๆไหลออกมาอย่างช้าๆ
ท่ามกลางซากแห่งประวัติศาสตร์
ไคลน์เดินข้ามซากปรักหักพังโบราณตั้งแต่ยุคแรกเข้าไปยังโบสถ์สไตล์ที่หาได้ยากในยุคปัจจุบันซึ่งอยู่ลึกข้างในสุด พอเข้ามาเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ของโบสถ์และจ้องไปยังไม้กางเขนขนาดใหญ่ข้างหน้า
ในเวลาเดียวกัน นักบวชผมสีบลอนด์ก็ปรากฏมานั่งข้างๆเขา
ไคลน์มองไปยังอดัมก่อนจะพูดติดตลก
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนสุดท้ายที่มาเจอจะเป็นนาย บ้างที่การได้เจอกับเทียนซุน(ลอร์ดเร้นลับคนก่อน)อาจจะรู้สึกดีกว่ามาเจอนายก็ได้แฮะ” จากนั้นไคลน์ก็ชี้ไปยังจุดหนึ่งซึ่งคือจุดที่หุ่นกระบอกซึ่งอดัมมอบชีวิตให้แทงเขาก่อนจะตายลงอย่างโดดเดี่ยว เป็นการบอกว่าอีกฝ่ายเคยทำอะไรกับเขาเอาไว้
อดัมเหลือบมองไปทางทิศนิ้วของไคลน์ ก่อนจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าขอโทษ”
ในฐานะที่คนอยู่มาตั้งแต่อดีตเหมือนกัน พวกเขานั้นโชคดีที่รอดจากหายนะกลืนกินอารยะธรรม แต่ก็โชคร้ายในเวลาเดียวกันที่ต้องกลายเป็นมดปลวกที่ไม่มีแม้แต่บ้านจะให้กลับ…ในตอนนี้โลกปัจจุบันคือบ้านของพวกเขา แต่ในอดีตเพราะความขัดแย้งทำให้พวกเขาเกือบจะต้องทำลายมันด้วยมือของพวกเขาเอง
“เหอะ! ถ้าคำขอโทษมีประโยชน์จะมีตำรวจไว้ทำไมละ” ไคลน์พูดติดตลกด้วยมุขจากยุคก่อน แต่ดูเหมือนนักวิจัยโบราณคนนี้จะไม่เข้าใจมุขของเขา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ข้าจะปกป้องโลกไปตลอดกาล” หากคำพูดไม่พอชดใช้งั้นเขาจะแสดงมันผ่านการ กระทำ
ไคลน์มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ก่อนจะเงยหน้ามองพระจันทร์ผ่านผิวกระจกของโบสถ์ซึ่งฉายให้เห็นพระจันทร์สีขาวอันคุ้นเคย
ไม่นานนักร่างกายของไคลน์ก็สลายไปเหลือเพียงตะกอนและเอกลักษณ์เท่านั้น อดัมจับไม้กางเขนในมืออย่างแรงกล้าก่อนจะลุกขึ้นสวดภาวนาแก่ผู้จากไป
คริสจักรเดอะฟูล
ในช่วงดึก หลังจากทำงานมาทั้งวัน เดอร์ริคเดินมายังห้องสวดมนต์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้านอน แม้เขาจะทำตามคำแนะนำของมิสเจอร์ฟูลและชี้นำผู้ศรัทธาให้ขอพรจากเทพองค์อื่น แต่ตัวเขาจะไม่มีทางแปรเปลี่ยนความศรัทธาโดยเด็ดขาด
ชายหนุ่มจุดไฟบนเทียนในห้องสวด ก่อนจะเงยหน้ามองตราศักดิ์สิทธิของเดอะฟูลบนแท่นบูชา แม้คริสจักรเดอะฟูลจะไม่ได้จำกัดว่าผู้ศรัทธาไม่ให้เข้ามาตอนกลางคืนแต่มันก็หาได้ยากแตกต่างจากตอนนี้เพราะเดอร์ริคสัมผัสได้ว่ามีคนเข้ามาในโบสถ์ ไม่กี่วินาทีจากนั้นประตูห้องสวดมนต์ถูกเปิดออก
ผู้เข้ามาคือชายผมดำสวมชุดคลุมสีฟ้าสลับดำกับสวมหมวกปลายแหลมและสะพร้ายกระเป๋าใบเล็กเป็นหลักฐานว่าเขาพึ่งกลับมาจากการเดินทาง พอเข้ามาในห้องสวดมนต์ชายคนนั้นจึงถอดหมวกออกเผยให้ใบหน้าอันคุ้นเคยโดยเฉพาะแว่นตาขาเดียว
เดอร์ริคมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งเครียดเพราะผู้ที่มาคือ อามุนด์ เขาก็สงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายมาปรากฏตัวที่นี้ในเวลานี้ ขณะเดียวกันก็คิดว่าควรเรียกอีกฝ่ายมาไงดีแต่สุดท้ายก็สงบสติและตัดสินใจถามด้วยเสียงทุ้มลึก
”ทำไมคุณถึงมาที่นี้ละ?“
อามุนด์ยิ้มตอบด้วยใบหน้าที่โศกเศร้านิดหน่อย
”มาสวดมนต์น่ะ“
เดอร์ริคที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับตกใจจนควบคุมสีหน้าไม่อยู่ อามุนด์เองก็ยิ้มอย่างเข้าใจความรู้สึกก่อนจะพูดต่อ
”นอกจากนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถแก้ไขพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับคำอธิบายของ เทวทูตกาลเวลา ให้กลับมาเป็นแบบเดิมนะ“
พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ… เดอร์ริคจำได้ว่าในอดีตมันอธิบายเกี่ยวกับเทวทูตกาลเวลาว่า เขาเป็นกษัตริย์ในสมัยโบราณที่ดื้อรันแต่สุดท้ายก็ยอมจำนนต่อพระองค์และกลายเป็นเทวทูตที่จะสั่นระฆังแห่งสวรรค์เพื่อพระองค์
”ผมขอถามเหตุผลของคุณได้ไหมว่าทำไม?“
อามุนด์หันไปมองสัญลักษณ์ตราศักดิ์สิทธิของเดอะฟูล
”เพราะนั้นคือความจริงของกษัตริย์ที่ดื้อรันเพื่อที่จะให้ผู้ศรัทธาทุกคนได้รับรู้“ อามุนด์มองไปยังเดอร์ริคก่อนจะยิ้มให้
”แน่นอน ข้าจะปกป้องเจ้าในฐานะเทวทูตของพระองค์ต่อไป“
เดอร์ริคลดความหวาดระแวงลง ก่อนจะก้มหัวลงและพูดอีกครั้ง
”ผมเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดแล้ว เดี้ยวจะรีบเตรียมการให้ครับ“ เมื่อเดอร์ริคเปลี่ยนคำเรียก ก็ทำเอาอามุนด์ตกใจนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้าเข้าใจ
อามุนด์เดินมายังหน้าตราศักดิ์สิทธิของเดอะฟูลและคุกเข่าเอามือผสานหน้าผาก หลับตาภาวนาอย่างเคร่งครัด เดอร์ริคเองก็มานั่งลงข้างๆและอธิษฐานพร้อมกัน
เมื่อเวลา 23.55 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1367 ยุคที่5 เทวทูตกาลเวลาอามุนด์นั่งอยู่เพียงลำพังบนหอคอยสูงใหญ่ของโบสถ์เดอะฟูล ก่อนจะมองไปยังเมืองบายัมด้านหลัง
ในเวลาเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอดีตตอนที่เขามาสั่นระฆังครั้งแรก..แม้สิ่งที่แตกต่างคือครั้งนี้เขาตั้งใจทำด้วยความจริงใจ อามุนด์หมุนค้อนตีระฆังเล่นรอเวลา
เมื่อเวลาถึง 00.00 น. อามุนด์ก็ลุกขึ้นมาตีระฆังทองเหลืองขนาดใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ความรุนแรงของการตีจะไม่ได้มากน่ะ แต่ผู้ศรัทธาทุกคนก็ได้ยิ้มเสียงระฆังอย่างชัดเจน ผู้คนก้มศีรษะลงและสวดภาวนาอย่างเงียบๆต่อเทพที่พวกเขาศรัทธา เพื่อขอให้ปีนี้ปลอดภัยและมีความสุข
‘ฝากที่เหลือด้วยละ‘
เสียงปริศนาล่องลอยผ่านอามุนด์ไป ทำให้ผู้เย้ยเทพยิ้มอย่างเหนื่อยใจเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าอันงดงามที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
“เจ้าติดหนี้ข้าหนหนึ่งแล้วนะ”
ความคิดเห็น