คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนพิเศษ ธรรมชาติของมนุษย์
[เนื้อหามันคือก่อนตอนที่1นะ และจะมีเล่าผ่านมุมมองของอามุนด์]
.
.
.
.
.
.
.
.
ณ อาณาจักรเทพอันมืดมิดอันแสนสงบของเทพธิดารัตติกาล แต่ในวันนี้บรรยากาศรอบตัวเธอมิอาจสงบลงได้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้ {จิตแพทย์} ที่ดีที่สุดก็มิอาจปลอบปละโลมเธอได้
เพราะเธอมีความรู้สึกว่าวันนี้อาจได้เสียสหายคนคำคัญไป!
ณ ทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยดอกไม้มีร่างสี่คนกำลังนั่งมองกันอยู่ พร้อมกับเครื่องดื่มอาหารที่มิอาจหาได้ในยุคนี้วางอยู่บนโต้ะ อาจดูเหมือนการพบพานของสหายเก่าแต่ใบหน้าแต่ละคนล้วนจริงจัง
สองปีแล้วที่ไคลน์ตื่นจากการหลับใหล พร้อมทั้งปรองดองกับ ปราสาทต้นกำเนิด ได้สมบูรณ์และตอนนี้กำลังพยายามปองดองกับเอกลักษณ์ข้อผิดพลาดกับประตู
โดยงานปาตี้นี้จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเพื่อเป็นการแนะนำพูดคุยกันในฐานะสหายร่วมยุคเก่า โดยมีอดัมและโรซาล์ยที่มาในแบบภาพฉายประวัติศาสตร์ที่อาศัยการปลูกถ่ายผสานกับการหลอกลวงระดับเทพแท้จริงพามา
สำหรับสาเหตุที่บรรยากาศปาตี้ในวันนี้ดูจริงมันเกิดจากการที่ ไคลน์เริ่มรู้สึกถึงเจตจำนงของ เร้นลับ กำลังจะกลับมาอีกครั้งและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นซะอีก
นี้รวมถึงสถานะของเทพคนอื่นๆที่สภาพก็ไม่ค่อยดีเพราะ บาเรียของโลกกำลังอ่อนแรงลงทุกวัน และเพราะไคลน์ที่ตั้งใช้สมาธิสู้กับเร้นลับอีกครั้งทำให้ผนึกของโรซาล์ยอ่อนแอลง
อมานีเซียจึงจำเป็นต้องใช้หยดน้ำจาก แม่น้ำแห่งความมืดนิรันดร์ บังคับนิทราโรซาล์ยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าผนึกของทวีปตะวันตกจะยังคงอยู่แต่มันก็อ่อนแรงจนเธอสามารถดึงส่วนหนึ่งของมันมาใช้ได้เพื่อรองรับเอกลักษณ์ของความตายและสงคราม
สำหรับสถานการณ์ของอดัมค่อนข้างซับซ้อน การผสานเป็นหนึ่งเดียวของเขากลับแฮงแมนนั้นทำให้เขามีความเป็นเทพและมนุษย์อย่างสมดุลกันแล้วโดยพื้นฐาน แต่ทางเขาเองก็ยังคงสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพที่ยังคงพยายามจะลืมตาตื่นในร่างกายทำให้มีสถานะคล้ายกับไคลน์แต่ดีกว่าเล็กน้อย
และด้วยความรู้สึกของเขาที่ยังคงไม่แน่นอนกับ เทพวายุ สุริยันเจริดจรัส เทพปัญญาความรู้ ไม่ว่าจะเรื่องที่ถูกทรยศ หรือ เพื่อลดอาการตื่นของวันวานของเขาในอดีต ปัญหาคือตอนนี้มันจำเป็นต้องนำเอกลักษณ์ทั้งสามกลับมาโดยไวเพราะเห็นได้ชัดว่าตอนนี้บาเรียอ่อนแอและเปราะบางแต่นั้นก็ทำให้เกิดปัญหาเช่นกันเพราะบาเรียอ่อนแอจนมิอาจรับมือได้หากเทพล่วงหล่นถึงสามองค์พร้อมกันทำให้การเลื่อนเป็นวันวานของเขาชะงักลง
เทพีแห่งชีวิตก็ต้องคอยระวังการกัดกร่อนของเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม
เทพจักรไอน้ำและปราชญ์เร้นลับยังคงวิ่งไล่กันซ่อนแอบวนไปมาภายในโลก
สำหรับสถานการ์ณของแม่มดบรรพกาลและเมดีซีทั้งสองเหมือนจะมีวิธีตัดสินของตัวเองจึงต้องรอไปก่อน นอกจากนั้นก็ยังมีสาวกของเทพภายนอกเพิ่มขึ้นทุกวันจนสถานการณ์ของโลกทำให้เหล่าเทพแทบจะมองในแง่ร้ายเพราะสงครามที่จะเกิดมิอาจเลี่ยงได้
ไคลน์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ขณะมองโรซาล์ยที่จะเข้าร่วมปาตี้นี้ครั้งสุดท้าย เขายิ้มและพูดอย่างขมขื่น
“ฉันคิดว่าหลังจากตื่นขึ้นในครั้งจะได้เห็นความหวังซะอีก“
ในฐานะกึ่งเร้นลับคนใหม่ ไคลน์ได้คาดการณ์ไว้อยู่ก่อนแล้วโดยไม่ได้ใช้พลังว่าสถานการณ์นี้มันต้องเกิดขึ้นและจากสภาพสหายทั้งสองที่ระดับใกล้เขายังไม่สู้ดีแบบนี้…ทำให้จำเป็นต้องใช้มาตรการสุดท้าย
”สหาย…ฉันว่าเราต้องใช้แผนนั้นแล้วละ“ ไคลน์เงยหน้ามองไปสหายทั้งสาม
อดัมกับอมานีเซียต่างหันมามองที่ไคลน์พร้อมกันไม่เว้นแม้แต่โรซาล์ยที่เริ่มง่วงเต็มทีก็ถึงกับเบิดตาขึ้นมามองและทั้งสามต่างมีร่องรอยอาการตกใจบนใบหน้ากับคำพูดของอีกฝ่าย
”ตาเฒ่าโจว“ โรซาล์ยหันมามองสหายด้วยแววตาเศร้าโศก
”เร้นลับ…” อาดัมเอ่ยขึ้นอย่างเบาบางขณะนวดไม้กางเกงเขนเตรียมปลอบประโลม
“โจว..นายไม่จำเป็นต้อง-” อมานีเซียพยายามจะห้าม
“มันคือการเสียสละที่จำเป็น“ ไคลน์พูดขัดจังหวะเธอด้วยรอยยิ้ม มันทำให้ผู้มาจากยุคเก่าทั้งสามต่างรู้สึกขมขื่น พวกเขาต่างมาก่อนไคลน์ไม่รู้กี่ร้อยปีแต่ความพวกเขากลับมิอาจทำได้เพื่อโลกเท่าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“…” อมานีเซียคือคนที่มีอาการมากที่สุด เพราะเป็นเธอเองที่ลากเขาเข้ามาในสถานการณ์แบบนี้ และยิ่งเห็นไคลน์เสียสละตนเองเพื่อส่วนรวมมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้จิตใจของเธอเต็มไปด้วยรอยบาดแห่งการตำหนิตนเอง
อามุนด์กลับมาแล้ว!!
หลังผ่านไปสิบปีที่เขาได้เดินทางไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ใน ที่สุดผู้เย้ยเทพก็ได้กลับมายังดาวเคราะห์ที่ตอนนี้เขาพูดได้เต็มปากว่ามันคือ บ้าน
ในช่วงสิบปีอามุนด์อาศัยเส้นทางที่เบเธลทำเอาไว้ใช้ในการเดินทางไปในสถานที่ต่างๆมากที่เต็มไปด้วยความอ้างว้างและอารยธรรมแปลกๆมากมาย…พร้อมกับทิ้งตำนานสุดพิสดารของตนเอาไว้ด้วย
ครั้งหนึ่งเขาเคยเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าและพยายามต่อสู้โดยมีสิ่งที่ต้องปกป้องอยู่ด้านหลังคล้ายกับที่เขาคนนั้นเคยทำ
ในการเดินทางที่แสนยาวนานนี้ อาจจะดูไม่มีอะไรมากนักในสายตาชองคนทั่วไปแต่สำหรับเขา อามุนด์รู้สึกได้ว่าภายในหัวใจและวิญญาณของตนกำลังมีบางอย่างเติบโตขึ้น ราวกับเมล็ดพันที่หลับใหลมาอย่างยาวนานค่อยๆเติบโต
เป็นเรื่องที่น่าแปลก ในอดีตเขาเคยใช้ชีวิตเข้าร่วมในประวัติศาสตร์ของโลกมามากมาย ไม่ว่าจะในดินแดนเทพทอดทิ้ง สงครามจักรพรรดิ หรือแม้แต่สร้างครอบครัวด้วยร่างโคลนของตัวเอง สรุปโดยสั้นคือแม้แต่ประสบการณ์อันนับพันปีที่ยาวนานกว่าการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาเลย
แต่อามุนด์ตะหนักได้ว่านี่คือ ธรรมชาติของมนุษย์ และเขาสามารถคาดเดาเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างง่ายดาย ราวกับเขาขาดบางสิ่งในหัวใจและมีคนผลักดันมัน ซึ่งไม่ต้องคิดเลยว่าเป็นฝีมือใคร
ดังนั้นเขาจึงได้กลับมายังโลกเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าตอนนี้เขาเติบโตมากแค่ไหน แต่ทันทีที่เขาก้าวขาลงบนโลกก็สัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกปลอมมากมาย
กลิ่นอายและออร่าของเทพนอกโลก นั้นเหม็นสาปจนเขาไม่อยากเข้าใกล้ แม้ระดับของพวกมันตอนนี้บนโลกจะต่ำมากก็ตามแต่มันก็ทำให้เขารังเกียจจนอย่างบดขยี้ทิ้ง
“หึ ดูท่าพวกมันจะยั่วยุได้เก่งกว่า เมดีซีระดับหนึ่งเลยนะเนี่ย” อามุนด์พูดจิกกัดขณะยื่นมือออกไปขโมยแว่นตาขาเดียวของเขาจากที่ไหนสักแห่งและนำมาวางบนเบ้าตาขวา
ผู้เย้ยเทพเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าผ่านชั้นบรรยากาศไปยังดาวเคราะห์นอกดวงดาว มองไปยังศัตรูแท้จริงซึ่งกำลังรอขย่ำดาวโลกอยู่บนหมู่ดาวเหล่านั้น
ภายในร้านสมุด
“….” ชายผมดำในชุดสีเทาแทบฟ้าผู้สวมแว่นตาขาเดียวพร้อมกับสะพ้ายกระเป๋าขนาดกลางและมีไม้สะพ้ายถุงหย่ามอยู่ที่มือบรรยากาศราวกับนักเดินทางกำลังยืนอ่านหนังสือหน้าร้านค้าในชนบทแห่งหนึ่งของโลเอ็น
ตรงชั้นหนังสือหมวดหมู่นักเดินทาง อามุนด์กำลังไล่อ่านหนังสือแนะนำเพื่อหาว่าในฐานะนักเดินทางที่พึ่งกลับมาบ้านตามปกติแบบที่มนุษย์เขาทำกันอย่างแรกควรจะไปไหนก่อน
“อืม~ อย่างแรกคือครอบครัวสินะ” หลังจากอ่านจนหมด อามุนด์ดีดเหรียญเพนนีที่ขโมยมาจ่ายให้พ่อค้าก่อนจะเดินไปทางฝูงชน แว่นตาขาเดียวสะท้อนแสงเล็กน้อยก่อนจะพาเขาเข้าสู่โลกวิญญาณและปรากฏบนดินแดนเทพทอดทิ้งตรงหน้าโบสถ์อันเก่าแก่มืดทึบที่มีสไตล์อันหาได้ยากในยุคนี้
พอม่านเงาที่ปกคลุมโบสถ์หายไปแทนทีด้วย นักบวชชุดสีขาวผมสีทองกำลังยืนรออยู่ตรงทางเข้า ราวกับพ่อผู้แสนดีกำลังต้อนรับลูกชายกลับบ้าน
“หึ ดูท่าท่านจะยังสบายดีอยู่สินะ ท่านพ่อ” อามุนด์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าซับซ้อนและยิ้มอย่างประหลาดใจ
อดัมยังคงสีหน้าสงบตามเดิม แต่พยักหน้าเบาๆ
“เขาอยากเจอเจ้าแบบลับๆ”
อามุนด์ขมวดคิ้วด้วยแปลกใจที่อีกฝ่ายถามหาเขา จึงไม่ได้พูดอะไรอีกเพียงหันหลังและเดินไปในโลกวิญญาณอีกครั้ง อาศัยการเชื่อมต่อกับเอกลักษณ์ที่คุ้นเคยและฝั่งไคลน์ที่ไม่ต่อต้านทำให้อามุนด์ปรากฏขึ้นในโถงราชวังคนยักษ์ที่ห้อมล้อมด้วยสายหมอกซึ่งมีโต้ะยาวตรงกลางกับเก้าอี้ทั้ง22ตัว
ไคลนที่ไม่ได้ใช้สายหมอกปกปิดหันไปมองผู้มาเยือนที่ตอนนี้อยู่ชุดซึ่งแตกต่างจากเดิม…ในอดีตอีกฝ่ายราวกับจอมเวทย์ขึ้แกล้งอันน่าสะพรึงและลึกลับ แต่ตอนนี้เหมือนนักเดินทางผู้มากประสบการณ์ที่เติบโตขึ้น
“นั่งก่อนสิ” ไคลน์เชิญอีกฝ่ายอย่างสุภาพ
อามุนด์พยักหน้าและมองไปรอบๆเพื่อตัดสินใจหาที่นั่งก่อนจะยิ้มตามสไตล์ผู้เย้ยเทพและเดินมานั่งลงตำแหน่ง {เดอะเวิลด์} แล้ววางของสัมภาระพลางมองท่านประธาน
“มิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ท่านขอให้ข้ามาที่นี้เพื่อสั่นระฆังให้ท่านอย่างงั้นหรอ” มุมปากของอามุนด์ยกยิ้มดังเช่นในอดีตแต่ไร้ซึ่งความเจ้าเล่ห์มีเพียงความขี้เล่นเท่านั้น
ไคลน์ไม่สนใจการหยอกล้อของอีกฝ่ายเล่นพูดเขาเรื่อง
”ฉันอยากให้นายเป็น ลอร์ดแห่งความลึกลับ“
”….“ รอยยิ้มของอามุนด์แข็งค้างบนใบหน้าทันที แม้แต่อดีตเทพจอมซนแบบเขาก็คาดไม่ถึงคำตอบแบบนี้
ไคลน์ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบจึงพูดต่อ
”ฉันจะคืนเอกลักษณ์และตะกอน {หนอนกาลเวลา} ของนายเพื่อให้กลับไปในลำดับที่1 จากนั้นฉันจะเริ่มเป็นการหลอมรวมเจตจำนงของฉันลงไปในตะกอนพลังและหลอกโชคชะตาเพื่อทำพิธีเป็น {เดอะฟูล} และส่งมอบให้นายเพื่อจะได้กลายเป็นเร้นลับที่มีโอกาสมากกว่าฉัน“
ไคลน์ขยับมือขึ้นมาเคาะตามนิสัยเก่า
”จากนั้นด้วยเจตจำนงของฉันที่อยู่ในตะกอนจะช่วยให้นายระงับเจตจำนงของเร้นลับคนเก่าและจะอนุญาติให้นายควบคุม {ปราสาทต้นกำเนิด} ได้เร็วและดียิ่งขึ้นตราบเท่าที่โชคไม่แย่เกินไป เราสามารถมี {ลอร์ดแห่งความลึกลับ} ที่มั่งคงได้ในเวลาอันสั้น“
พอไคลน์พูดแผนการเสร็จก็มองไปยังผู้เย้ยเทพตรงหน้าที่ยังคงทำหน้าแข็งค้างไม่รับบุญอยู่ ทำเอาไคลน์แอบยิ้มมุมปากเล็กน้อย
”หึ ช่างหาได้ยากที่เทพแห่งการหลอกลวงและการกลั่นแกล้งจะแสดงสีหน้าแบบนั้น“ เขารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยกับการได้เห็นปฎิกิริยาหายากแบบนี้จากอดีตศัตรูตัวฉกาจ
อามุนด์ต้องใช้เวลาเกือบนาทีถึงจะตั้งสติได้ก่อนจะขยับมือที่สั่นเครือขึ้นมาขยับแว่นตาของตนและถามแบบเดียวกันในอดีต
”ทำไมเจ้าถึงเลือกแบบนั้น“
ไคลน์ยิ้มและคิดถึงเมื่อสิบปีก่อน
”ฉันเคยพูดไปแล้วนะ“
….ใช่ อามุนด์เคยได้ยินคำตอบจากอีกฝ่ายแล้วในอดีตเมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนนั้นไคลน์ที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันแสนบ้าคลั่งบนใบหน้าและพูดว่า {มีบางสิ่งสำคัญกว่าชีวิตของตนเสมอ}
แต่อามุนด์ยังไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญาซึ่งเคยชนะตัวเขาในอดีตถึงได้วางแผนแบบนี้ ไม่ใช่ว่าอามนุด๋ไม่เคยเห็นการล่วงหล่นของทวยเทพแต่กับชายคนนี้มันแตกต่าง เขาคิดเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเจตจำนงลงไปในตะกอนเพื่อต่อต้านเจตจำนงดั่งเดิมของพลัง…มันคุ้มจริงๆหรอ? กับการอยู่ในความมืดมินชั่วนิรันดร์
ใครมองก็รู้ว่านี้เป็นแผนการที่บ้าบิ่นไม่เปลี่ยนจากเมื่อสิบก่อนเลย!!!
“ทำไมท่านถึงเลือกข้าละ? ข้าเป็นแค่ลำดับที่สองตัวน้อยๆ” อามุนด์พยายามพูดติดตลกขณะถามสิ่งที่เขาสงสัยที่สุด
ไคลน์ถอนหายในและพูด
“นั้นก็จริง…มีผู้สมัครที่เหมาะสมมากมาย ไม่ว่าจะ พาลีส,แอนทีโกนัส,มิสเมจิก หรือแม้แต่ซาราส…อืมขอไม่นับนะสภาพเขาตอนนี้มีชีวิตอยู่ก็บุญตกแล้ว เอาเป็นว่าสาเหตุที่ฉันเลือกนาย…” ไคลน์หยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับตัวขึ้นมาพิงกับโต้ะยาวและวางมือผสานกันขณะมองอดีตศัตรู อตีดอาจาร์ยผู้สอน และ…เพื่อนคนหนึ่งในสายตาของเขาก่อนจะพูดด้วยเสียงเปี่ยมความมั่นใจ
“อามุนด์ นายคือแสงสว่างในวันที่จุดจบของโลกมาถึง”
“…” อามุนด์ตกใจค้างจนออกทางสีหน้า เพราะนั้นคือคำทำนายที่ท่านพ่อเขียนมันเอาไว้ในพระคัมภีร์ตอนยุคแห่งความรุ่งโรจ์นหลังได้อำนาจกึ่งวันวานมาครอบครอง
“แม้พลังทำนายของพ่อนายจะเทียบกับฉันไม่ได้ แต่อัตราความสำเร็จก็สูงมากทีเดียวและฉันคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง” ไคลน์เสนอทางเลือกให้ราวกับเมื่อสิบปีก่อนที่พวกเขาสองคนเดิมพันกัน
แต่ในคราวนี้มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ว่าจะทางไหนไคลน์ก็ต้องหลับใหลไป ชั่วนิรันดร์เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวที่สามารถต่อต้านเจตจำนงของเร้นลับได้
“…นี้มันก็น่าสนใจที่จะลองนะ” อามุนด์พยายามจะยิ้มแบบที่เขาทำประจำแต่กลับพบว่ามันยากซะเหลือเกิน
ไคลน์มองรอยยิ้มที่ฝืนสร้างขึ้นด้วยความรู้สึกดีนิดหน่อยก่อนจะควักมือเรียกตะกอนพลังของ {หนอนกาลเวลา} ในกองขยะด้านหลังบัลลังก์ออกมาและมอบให้อามุนด์
“ฉันจะเตรียมการอื่นๆให้ ส่วนนายก็ไปหาอดัมให้เขาช่วยนายกลับมาลำดับที่1”
พูดจบไคลน์ไม่รอให้อามุนด์อยู่ต่อจึงส่งเขาออกไปทันที ก่อนจะไปพบเหล่าสมาชิกชุมนุมไพ่ทาโรต์และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อแจ้งข่าวเกี่ยวกับแผนการนี้
[ตอนที่หนึ่งเลยครับ]
ภายในโบสถ์จากยุคเก่า
หลังไคลน์จากไป อดัมก็นำหน้ากากเอกลักษณ์ {เดอะฟูล} ซึ่งเกิดลวดลายอันแปลก ประหลาดและตะกอนพลังของ {บริวารเร้นลับ} ทั้งสามที่กำลังหมุนลอยรอบๆหน้ากากซึ่งกำลังจะเป็นหนึ่งเดียวกันเดินมาทางเข้าโบสถ์
“เจ้าพร้อมนะ?” อดัมถามลูกชายที่เพิ่งออกมาจากโลกวิญญาณด้วยเสียงที่อ่อนโยนแฝงความเป็นห่วง
“แน่นอน” อามุนด์ยกแว่นตาของตัวเองขึ้นและซึบซับตะกอนของ {หนอนกาลเวลา} ก่อนจะเริ่มทำพิธีของเดอะฟูลผ่านการหลอกหลวงและข้อผิดพลาดโดยได้ความช่วยเหลืออดัม แต่ในตอนนั้นเอง
“…เจตจำนงของท่านตื่นอีกแล้ว ข้าต้องกลับไปนอนอีกครั้ง เกรงว่าอาจจะช่วยเจ้าได้ไม่มากนักเพราะงั้นหากต้องการอะไรก็-” อดัม
“ไม่ แค่ให้วัตถุดิบกับเตรียมพิธีกรรมก็พอ” อามุนด์พูดขัดจังหวะอดัมก่อน
นักบวชผมทองพยักหน้าและยื่นเอกลักษณ์กับตะกอนทีเหลือให้ก่อนจะเตรียมตัวเดินกลับไปยังด้านหลังโบสถ์ซึ่งเชื่อมกับ ทะเลแห่งความโกลาหล แต่ก่อนจะเข้าไปอดัมก็หันมาพูดด้วยน้ำเสียงราวกับมนุษย์คนหนึ่ง
”เจ้าจะประสบสำเร็จ“
อามุนด์ที่เตรียมจะไปทำพิธีก็หันมามองผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าแปลกใจกับอารมณ์ของอีกฝ่ายตอนนี้
”นี้เป็นเพราะข้อตกลงของเขากับท่านหรอ?“
”ก็ส่วนหนึ่ง…เจ้าคือความหวังของพวกเรา…ความหวังของข้า“
อามุนด์อ้าปากค้างและต้องการจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรออกมาจากปากแม้แต่น้อยก่อนจะเดินกลับไปในโลกวิญญาณ
ส่วนลึกของโลกวิญญาณ ยูโทเปีย
อามุนด์ปรากฏในโบสถ์ใจกลางเมือง ณ จุดที่ไคลน์เคยหลับใหลซึ่งตอนนี้มันว่างเปล่าไม่เหลือร่องรอยอะไรเลย เอกลักษณ์ทั้งสามที่ลอยตามตัวเขาเป็นหลักฐานชั้นดีว่า ไคลน์ โมเร็ตติ ได้จากไปทั้งกายและวิญญาณเพื่อประทับตราจิตลงไปในตะกอนชั่วนิรันดร์
อามุนด์นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าสัญลักษณ์โบสถ์เดอะฟูลและถอดแว่นตาขาเดียวออกเพื่อเริ่มทำพิธีสุดท้ายและเทลิงบัลลังก์เทพทั้งสามพร้อมกับเชื่อมต่อปราสาทต้นกำเนิด แม้จะมีเสียงแปลกปลอมของเร้นลับอยู่บ้างแต่มันก็เบาบางมากหากเทียบกับเสียงและภาพที่อามุด์เห็นในตอนนี้
เขาเห็นเมืองตึกสูงใหญ่ สิ่งแปลกประหลาดมากมายที่ไม่เคยเห็น เหล่าผู้คนอันมากมายตามท้องถนน
เห็นโรงเรียน เห็นนักเรียนมากมาย รอยยิ้มของผู้คน ยุคอันแสนสงบ
ภาพของดวงจันทร์สีแดงเข้ม แขนซีดที่เหยียดออกจากหลุมศพ และตัวตลกที่ยิ้มทั้งน้ำตาในท่อระบายน้ำ
การผจญภัยของชายผู้สุภาพและบ้าคลั่งในท้องทะเลกับภาพของบุรุษวัยกลางคนผู้มากด้วยเสน่ห์ที่สง่างาม
ปราชญ์โบราณที่ดิ้นรนหนีผู้เย้ยเทพ นักมายากาลปฏิหาริย์ที่มอบความหวังให้ผู้คนที่พานพบ
ภาพสุดท้ายคือภาพของชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเขาประตูแห่งแสงและมีเสียงจากกระจกในมือถามเขา
”นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านกลัวไหม?“
”กลัวสิ“
และเขาก็เดินเข้าไปในประตูแห่งแสง
ภาพความทรงจำของชายที่ได้ชื่อว่า ผู้พิทักษ์ ถาโถมปรากฏขึ้นในวิญญาณของอามุนด์ ในขณะที่ดูความทรงจำเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์มากมายเช่นกัน ความกลัว ความสุข ความตื่นเต้น ความเจ็บปวด ความเกลียดชัง ความเศร้า ความสิ้นหวัง ความแน่วแน่อารมณ์เหล่านี้แปรปรวนอยู่ในวิญญาณของเขาเหมือนกระแสน้ำอันอ่อนโยน
ในพริบตานั้นเองในที่สุดอามุนด์ก็ได้สัมผัสถึงความเป็นมนุษย์ของไคลน์ที่แม้แต่เจ้าตัวก็คงไม่รู้ ว่าตนเองนั้นพิเศษ
ไม่ว่าจะผ่านการต่อสู้ที่สิ้นหวังและโหดร้ายแค่นั้นจิตวิญญาณที่สลักลงไปในหัวใจก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความเป็นมนุษย์ที่มิอาจดับสูญสลายไปไม่ว่าด้วยหนทางใดก็ตาม
”…นี้สินะ ความรู้สึกของเจ้าน่ะ“ อามนุด์ที่ตอนนี้เป็นเทพสามเส้นทางสมบูรณ์ก็ได้เดินทางกลับไปยังปราสาทต้นกำเนิดและปรากฏยังที่นั่งของตนเองซึ่งไม่ใช่ที่ของประธานเพราะเขาคิดว่าตัวเองยังไม่คู่ควรจะนั่งลงตรงนั้น
”…“ เขามองภาพอันเงียบงันนี้ด้วยความรู้สึกคิดถึงวันวานเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปยังประตูแห่งแสงเพื่อเตรียมการเป็น ลอร์ดแห่งความลึกลับ แต่แล้วร่างกายของเขาก็ชะงักไป
ทั้งทีแค่เขาเอื้อมมือเข้าไปในประตู ปราสาทต้นกำเนิดที่ไร้ซึ่งเจ้าของก็จะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ เขาจะกลายเป็นลอร์ดแห่งความลึกลับ เส้าหลักแห่งจักรวาล
แต่เขากลับทำไม่ได้
มือของตัวเองมันกำลังสั่นเครือ และเสียงที่ดังก้องอยู่ในวิญญาณ
เจ้ามันเป็นแค่คนขี้ขลาดที่ไม่เคยกล้าเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่แท้จริง!
เจ้ามันแค่เด็กน้อยจอมซนที่ทำอะไรไม่ได้หากไม่มีพ่อของตัวเองปกป้อง!
เจ้ามันแค่วายร้ายที่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่มีความรับผิดชอบ!
เสียงเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความบ้าคลั่งแต่อย่างใด แต่มันเกิดจากหัวใจของอามุนด์ที่ซึมซับความเป็นมนุษย์มาไว้ อารมณ์ที่เรียกความ ความอับยศ
”นายกำลังลังเลอะไรอยู่“ เสียงของไคลน์จากด้านหลังดังขึ้นได้กลบเสียงด่าท้อเหล่านั้นหายไป ในระหว่างที่เสียงด่าอามุนด์ยังคงอยู่เสียงของไคลน์ที่ราวกับคุณครูกำลังสอนนักเรียนได้ปรากฏขึ้นในใจของอามุนด์
”นี่คือการตัดสินใจของฉันและความปรารถนาของนาย…จงเดินต่อไปตามความต้องการของตัวเอง“
ภาพลวงตาของไคลน์ได้ผลักดันตัวของอามุนด์ก้าวต่อไปจากความมืดมิดนี้ มุมปากของผู้เย้ยเทพสั่นเครือด้วยความรู้สึกหลากหลอยอารมณ์ขณะหันไปมองและพบชายผมสีดำดวงตาสีน้ำตาลในชุดสูทกำลังผลักเขาก้าวต่อไปจากด้านหลังที่เต็มไปด้วยความมืดมิด
”ชะตาจะเป็นของนาย และปราสาทต้นกำเนิด…จะเป็นของฉัน“ คำพูดของตัวเองในอดีตทำให้อามุนด์ยิ้มขึ้นก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูแสงและหันมาหาไคลน์
”ชะตาจะเป็นของฉัน แต่อำนาจนี้เป็นของนาย“
*เปล้ง!!!
ราวกับบางอย่างในร่างได้แตกออกและได้รับการพัฒนาลำดับ ในที่สุดเมล็ดพันธุ์ที่เรียกว่าธรรมชาติของมนุษย์ที่อามุนด์ได้รับมาจากไคลน์เมื่อสิบปีก่อนได้เติบโตจนใหญ่พอโอบกอดเหล่าผู้คนเอาไว้
ทำให้ตัวตนของทั้งคู่ผสานเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว
{มีบางสิ่งสำคัญกว่าชีวิตของตนเสมอ}
ประโยคดังกล่าวจะเป็นดั่งเปลวเพลิงในจิตใจของอามุนด์ตลอดไป ในตอนนั้นเองผู้เย้ยเทพก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ร้อนอบอ่าวในหัวใจ ความรู้สึกที่มิอาจอดกลั้นไว้ซึ่งมาพร้อมกับบางสิ่งที่ไหลออกมาจากตา
“นี้คือ…การร้องไห้งั้นหรอ…แสดงว่าความรู้สึกนี้คือ…ความเศร้าสินะ” อามุนด์ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ยังไหลออกมาไม่หยุด แม้จะพยายามยิ้มในแบบที่ตัวเองมักทำประจำแต่ก็พบว่าเขาไม่สามารถยิ้มได้เลย
ผู้เย้ยหยันเทพทรุดลงกับพื้นสายหมอกและขดตัวร้องไห้ออกอย่างสุดเสียงในปราสาทต้นกำเนิด
ลูกชายของเทพสุริยันบรรพกาล ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานตั้งแต่เกิดนี้เป็น…ครั้งแรกที่เขาร้องไห้ออกมา
ใช้เวลาอยู่นานพักใหญ่ อามุนด์ถึงสงบสติตัวเองลงและกลับมายังที่นั่งของตัวเองโดยไม่ลืมที่จะทำความเคารพไปทางเก้าอี้ประธานแม้มันจะไม่มีใครนั่งอยู่ก็ตามที
“กระจก เขาจะตื่นเมื่อไหร่” อามุนด์ถามข้ารับใช้ที่ติดตามไคลน์มาอย่างยาวนานซึ่งล่องลอยอยู่ในสายหมอก
พื้นผิวบนกระจกสั่นไหวระรัวราวกับคำตอบนั้นยากที่จะตอบได้ มันไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับความจริง แต่สุดท้ายด้วยเงื่อนไขของตัวเองมันจึงต้องตอบ
“มันจะไม่เกิดขึ้น” ก่อนที่กระจกจะใช้สิทธิถามต่อ
“ท่านเรียนรู้อะไร…จากนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ของข้าบ้าง?”
อามุนด์มองกระจกและยิ้มขึ้นแบบเดียวกับที่ไคลน์มักทำประจำก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์
“ความรัก ความกล้าหาญ และการเสียสละ”
ณ ตอนนี้ ทูตสวรรค์แห่งกาลเวลาได้เป็นไปดั่งพระคัมภีร์ที่กษัตริย์โบราณจะยอมจำนนต่อพระองค์และกลายเป็นเทวดาผู้สั่นระฆังแห่งสวรรค์แด่พระองค์
หลังจากตีระฆังฉลองปีใหม่เสร็จ อามุนด์ได้กลับมายังปราสาทต้นกำเนิดและมองโน้ตกระดาษที่เขียนคำเตือนมากมากยาวจนตกลงจากโต้ะด้วยคิ้วที่กระตุกอย่างแรง
ห้ามกินลำดับสูงเป็นอาหารเหมือนอดีต
อย่าแกล้งเหล่าเทวทูตและเทพแท้จริง
ห้ามทำร้ายคนธรรมดาโดนไม่มีเหตุผล
อย่าแกล้งหรือทำให้คนกลัว
อย่าลืมส่งตะเกียงกลับไปยังอวกาศ
ช่วยเทพธิดารัตติกาลปรองดองกับแม่น้ำแห่งความมืดนิรันดร์
อื่นๆอีกมากมาย……
ยิ่งอามุนด์อ่านเท่าไรรอยยิ้มบนใบหน้าก็เริ่มหายไป จนอดไม่ได้ที่จะรำพัน
“ไอนั้นก็ไม่ได้ นี้ก็ไม่ได้ ทำไมถึงมีกฏยุ่งยากเยอะขนาดนี้เนี่ย ถ้ารู้ว่าการเป็นเส้าหลักแล้วมีข้อจำกัดขนาดนี้ก็ไม่คิดจะเป็นมันหรอก”
แม้จะปากจะบ่นแบบนั้นแต่ความรู้สึกของอามุนด์ก็ยังคงดีและแสดงรอยยิ้มออกมา ทำให้เขารู้สึกได้เลยว่านี้เป็นผลกระทบของชายที่หลับใหลอยู่ในวิญญาณนี้
“แม้แต่บุคลิกของนายก็ยังส่งผลต่อฉันสินะ ช่างเป็นแบบแผนที่ยอดเยี่ยมจริงๆเลยน่ะ มิสเตอร์ฟูล”
ว่าแล้วอามุนด์ก็ออกไปทำงานในฐานะ ลอร์ดแห่งความลึกลับ วันวานเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ของดาวโลก
ความคิดเห็น