ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Lotm] เรื่องราวของผู้เสียสละ

    ลำดับตอนที่ #1 : วันสุดท้ายของมิสเตอร์ฟูล

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 67


    *{แจ้งเตือน•บทเริ่มจะเป็นช่วงจบภาคแรก ไทม์ไลน์ตอนนี้คือสิบปีหลังศึกแย่งปราสาทต้นกำเนิดผ่านไป ใครที่ยังอ่านไม่จบอาจไม่เข้าใจเนื้อหาขอให้ได้รับรู้ไปทั่วกัน}


     

    .


     

    .


     

    .


     

    .


     

     


     

    หลังจากพูดคุยตกลงกับอามุนด์เขาก็ส่งอีกฝ่ายออกไปนอกมิติสายหมอก ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้ประธานในพระราชวังอันโดดเดี่ยว สายตาของเขากวาดมองดาวสีแดงเข้มที่เป็นตัวแทนของเหล่าสมาชิก เขาค่อยๆหลับตาแผ่พลังวิญญาณไปสัมผัส เฉกเช่นตามปกติ

     

    [เดอะฟูล]•(ไคลน์ โมเร็ตติ)


     

    ทว่า คราวนี้ไคลน์ตัดสินใจไม่ให้หมอกสีเทาทึบบดบังใบหน้าของตัวเอง


     

    แสงสีแดงเข้มส่องว่างจนปรากฏร่างของสมาชิกแต่ละคน การเรียกโดยกระทันหันแบบนี้ทำให้พวกเขาประหลาดใจและบรรยากาศที่หวาดระแวงก็แพร่กระจายไปในหมู่เหล่าสมาชิก


     

    นับตั้งแต่ที่พวกเขาเจอมิสเตอร์ฟูลครั้งแรก  ชุมนุมไพ่ทาโรต์มักจะเกิดขึ้นทุกๆสัปดาห์และจะมีแจ้งก่อนเริ่มเสมอ ทว่าการรวมตัวกระทันหันในครั้งนี้ ทำให้พวกเขามีลางสังหรณ์อันคลุมเครือ ว่าครั้งนี้มิสเตอร์ฟูลจะแจ้งหรือจะทำอะไรอีก



     

    หลังจากได้สงบสติครู่หนึ่ง เหล่าสมาชิกก็หันความสนใจไปที่ด้านบนสุดของโต้ะทองแดงยาวอักขระโบราณ และต้องประหลาดใจที่พบว่าร่างของมิสเตอร์ฟูลตามปกติที่มักจะมีสายหมอกปกคลุมได้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก!


     

    เขาเป็นบุรุษหนุ่มที่มีผมและตาสีดำซึ่งค่อนข้างคล้ายกับ {เดอะเวิล์ด}•เกอร์มัน สแปโร่ มีลักษณะคล้ายเอลฟ์โบราณ สวมชุดสูทอย่างเป็นทางการสไตล์โลเอ็นและสวมถุงมือสีดำคู่หนึ่ง ด้านข้างมีไม้เท้าที่ส่องประกายดวงดาว


     

    ทว่าทันใดนั้นพวกเขาก็นึกถึงวลีที่ว่า [ห้ามจ้องมองเทพ] จึงรีบก้มหน้าลงและหันไปทางทิศตรงข้ามของพวกเขา แน่นอนว่ามีบางคนเห็นโต้ะที่ปลายสุดขอบนั้นว่างเปล่าเหลือเพียงแค่เก้าอี้สูงเท่านั้น



     

    ในฐานะผู้ชม {จัสติส}•ออเดรย์ เป็นคนแรกที่ปรับอารมณ์ของตัวเองแล้วจึงยืนขึ้นพร้อมกับก้มหัวทักทาย

     

    [จัสติส]•(ออเดรย์ ฮอลล์)

     

    “ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล” น้ำเสียงของเธอคมชัดแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ถึงจะสง่างามแต่ก็ไม่สามารถปิดกั้นอารมณ์เศร้าที่ออกมาจากภาษากายได้



     

    “”ทิวาสวัสดิ์ครับ/ค่ะ มิสเตอร์ฟูล“ คนอื่นๆก็ยืนขึ้นทำความเคารพเช่นกัน


     
     

    ไคลน์รอจนทุกคนนั่งลงก่อนจะพูดด้วยเสียงเคร่งครึม



     

    ”เราเสียใจที่ต้องบอกพวกเจ้าว่านี่จะเป็นการรวมตัวครั้งสุดท้ายของชุมนุมไพ่ทาโรต์“



     

    ประโยคนี้เปรียบเสมือนก้อนหินที่ถูกโยนลงทะเลสาบอันเงียบสงบทำให้เกิดคลื่นลูกคลื่นใหญ่กระจายออกไป ทุกคนมองไคลน์ด้วยความตกตะลึงลืมกระทั่งวลีที่ว่า [ห้ามจ้องมองเทพ] ไปชั่วขณะ


     

    {เดอะซัน}•เดอร์ริคมีปฏิกิริยามากที่สุด ร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อยหากไม่ได้ออร่าปลอบปละโลมได้ทัน เขาคงจะคุกเข่าลงต่ออ้อนวอนมิสเตอร์ฟูลไปแล้ว

     

    [เดอะซัน]•(เดอร์ริค เบเกอร์)

     

    เราทำอะไรผิดหรือป่าว? เรากำลังโดนทิ้งอีกแล้วหรอ? นี้พวกเราจะต้องย้อนกลับไปสมัยที่ไร้แสงและไร้ความหวังนั้นอีกงั้นหรือ? ความคิดประเภทนี้เต็มไปห้วงความคิดของเขา



     

    {จัสติส}•ออเดรย์ก็ตกตะลึงมากซะจนแทบรักษาสถานะผู้ชมไว้ไม่ได้ แต่เธอก็รีบตั้งสติจนสังเกตเห็นว่าเดอะซันกำลังสับสนและสิ้นหวังรวมถึงสมาชิกคนอื่นด้วย เธอจึงรีบปลอบประโลมวงกว้างแก่สมาชิกคนอื่นเพื่อรักษาเสถียรภาพของทุกคนรวมถึงความเป็นมนุษย์ด้วย


     

    ไคลน์พยักหน้าขอบคุณออเดรย์แล้วพูดต่อ


     

    “เราจะอธิบายเหตุผลให้ฟัง แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องสารภาพบางอย่างก่อน พวกเจ้าบางคนอาจเดารู้เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วหรืออาจไม่เคยคิดถึงมันแต่ไม่ว่าจะอย่างไร วินาที่สุดท้ายนี้พวกเจ้ามีสิทธิที่จะได้รู้ความจริง“
     


     

    เขายกมือขึ้นเผยให้เห็นร่างหุ่นเชิดของ {เดอะเวิล์ด} โผล่ออกมาจากสายหมอกและนั่งลงที่เก้าอี้ประจำตัว

     

    [เดอะเวิล์ด]•(เกอร์มัน สแปร์โร่)


     

    ”ไม่ว่าจะเดอะเวิล์ด/หรือเดอะฟูล ล้วนแล้วแต่เป็นตัวเราทั้งนั้น“ เสียงผสานของทั้งสองกล่าวพร้อมกัน



     

    ทุกคนมอง {เดอะเวิล์ด} ด้วยความสับสนขณะเดียวกัน {เดอะซัน}•เดอร์ริคถามด้วยความงุนงง



     

    “ท่านหมายความว่าไม่มีมิสเตอร์เวิล์ดงั้นหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นมิสเตอร์สแปร์โร่…”

     


     

    ไคลน์ส่ายหัวเล็กน้อยและยิ้มเบาๆ



     

    “พูดให้ถูกคือ {เดอะฟูล} ไม่มีอยู่จริง เราไม่ใช่เทพโบราณที่กำลังฟื้นคืนพลัง แต่เป็นผู้วิเศษที่ได้รับการเลื่อนลำดับธรรมดาเช่นกับพวกเจ้า จนกระทั่งการรวมตัวกระทันหันครั้งก่อนเราได้เลื่อนเป็น [เดอะฟูล] ที่แท้จริง แต่ก่อนหน้านั้นเราอาศัยข้อมูลและสายหมอกนี้ปลอมเป็นเทพพระเจ้า“


     

    เขาเหลือบมอง {จัสติน} และ {แฮงแมน} อย่างรู้สึกผิด


     

    ”จริงๆในตอนแรกที่พบกัน เรายังไม่ได้เป็นผู้วิเศษเลยด้วยซ้ำ…ในแดนแห่งสายหมอก {เดอะเวิล์ด} ที่พวกเจ้าเห็นคือหุ่นเชิดที่เราสร้างขึ้นด้วยพลังของปราสาทต้นกำเนิดในโลกจริงที่พวกเจ้าเห็นคือตัวตนที่แท้จริงของเรา…ต้องขอโทษด้วยที่หลอกพวกเจ้ามาโดยตลอด…“



     

    ไคลน์หยุดครู่หนึ่ง ตรวจสอบสภาพอารมณ์สมาชิกแต่ละคนโดยไม่รู้ตัว

     


     

    มิสจัสตินและมิสจัดส์เมนต์แปลกใจนิดหน่อยในตอนแรก แต่พวกเธอก็สงบลงอย่างรวดเร็วไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ส่วนมิสเมจิกไม่เป็นแบบนั้น เธอประหลาดใจแต่ก็กลัวเล็กน้อย…ดูเหมือนตัวตนเกอร์มันจะทำให้เธอกลัวสินะ สุดท้ายก็มิสเฮอร์มิส เธอประหลาดใจน้อยที่สุด อาจเพราะได้รับเบาะแสมาจากแบร์นาเนตจนอาจประติดประต่อได้อยู่แล้ว
     

     

    ฝ่ายชายเองก็ มิสเตอร์แฮงแมนดูสับสนที่สุด ตกใจในช่วงแรกต่อมาก็โกรธแต่ไม่นานก็สงบและโล่งใจ เดอะซันน้อยมีเพียงชั่วครู่ที่สับสนและหลาดใจทว่าไม่นานก็ฟื้นกลับมาตั้งมั่นแน่วแน่ มิสเตอร์มูนตะลึงตั้งแต่ประโยคแรกราวกับเสียทักษะในการคิดไปชั่วคราวและ มิสเตอร์สตาร์ แทบไม่มีอารมณ์แปรปวนได้แต่ขมวดคิ้วและมองมาทางเราเพื่อขอคำอธิบายเพิ่ม


     

    เมื่อเห็นว่าทุกคนสงบแล้ว ไคลน์ก็ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ
     

     

    “จริงๆแล้วเราเป็นมนุษย์ในยุคก่อน” เขาหยุดพูดก่อนจะมอง {เฮอร์มิส} 

     

    ”โรซาล์ยเองก็เช่นกันพวกเรามาจากประเทศเดียวกัน ตั้งอยู่ในทวีปตะวันตกปัจจุบัน และภาษาไดอารี่นั้นคือภาษาแม่ของพวกเรา“


     

    “ด้วยเหตุผลหลายประการ เราได้รับเลือกจากอดีตเจ้าของ ปราสาทต้นกำเนิด•อดีตลอร์ดแห่งความลึกลับ ลักพาตัววิญญาณมาเพื่อใช้สำหรับคืนชีพ จนกระทั่งยุคที่ห้าเราได้คืนชีพใหม่ในร่างนักศึกษาหนุ่มคือ ไคลน์ โมเร็ตติ


     

    “หลังจากนั้น เราได้ใช้ตัวตนมากมายด้วยเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะนักสืบเอกชนเซอร์ล็อค โมริอาร์ตี นักผจญภัยผู้บ้าคลั่งเกอร์แมน สแปร์โรว์ นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ดอน ดัสเนส และนักมายากลพเนจร เมอร์ลิน เฮอร์มิส…ฮ่าฮ่า จริงๆแล้วเรามีปฏิสัมพันธ์กับพวกเจ้าไม่มากก็น้อย" เขาแสดงให้เห็นรอยยิ้มจริงใจก่อนจะยืนขึ้นและวางมือบนหน้าอกแล้วโค้งคำนับเล็กน้อย


     

    "ในยุคนี้เป็นเกียรติของเราแล้วที่ได้พบพวกเจ้าทุกคน…แต่น่าเสียดายเพราะการเลื่อนลำดับของเรา เจตจำนงของอดีตลอร์ดแห่งความลึกลับกำลังฟื้นคืนมา…นี่คือสิ่งที่เขาทำเครื่องหมายไว้…เป็นราคาของขวัญที่เราใช้มาตลอด..การนอนหลับครั้งก่อนของเราคือ การต่อสู้กับพระองค์"


     

    ไคลน์หลับตาลง และพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นแต่ก็แฝงความอ่อนล้า


     

    "น่าเสียดายที่เรากำลังจะแพ้ พระองค์กำลังจะฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์ และมีแนวโน้มที่จะนำหายนะมาสู่โลกนี้ หรือแม้กระทั่งทั้งจักรวาล…เพื่อป้องกันไม่ให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น เราจึงคิดจะตายและเปลี่ยนวิญญาณนี้เป็นเจตจำนงลงรอยประทับตะกอนพลังทางจิตวิญญาณชั่วนิรันตร์เพื่อสร้างสมดุลให้กับเจตจำนงของ อดีตลอร์ดแห่งความลึกลับ ปราสาทต้นกำเนิดและตะกอนของเราจะถูกทิ้งไว้ให้อามุนด์เพื่อช่วยให้เขากลายเป็นลอร์ดแห่งความลึกลับองค์ใหม่ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าเขาจะทำร้ายพวกเจ้า เราจะทิ้งข้อจำกัดไว้ในรอยประทับแห่งจิตวิญญาณและจะตัดการเชื่อมต่อพวกเจ้ากับปราสาทต้นกำเนิดก่อนเราจะตาย ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าไม่ต้องกังวลที่จะถูกดึงมาโดยเขา"

     

    เมื่อไคลน์บรรยายมาถึงจุดจบเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองให้สงบลงก่อนจะมองไปยังใบหน้าของทุกคนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พวกเขาทั้งหมดถือเป็นบุคคลสำคัญในโลกลึกลับดังนั้น พวกเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดมิสเตอร์ฟูลโดยธรรมชาติ คิดว่าไงละ? แม้แต่รุ่นบุกเบิกอย่าง {จัสติส} ก็ลืมแม้แต่จะถาม {เดอะสตาร์}•เลียวนาร์ดตอนนี้เขาแทบจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้าไปกระชากของเพื่อนสนิทแล้ว แต่เขาก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นสกัดกั้นไว้ทำได้เพียงจ้องมองเท่านั้น มองเข้าไปในดวงตาสีเข้มของไคลน์ สิ่งสำคัญอันดับแรกของมิสเตอร์ฟูลในวาระสุดท้ายนี้ของเขาคือความปลอดภัยของพวกเรา…


     

    ออเดรย์เป็นคนแรกที่ตระหนักถึงสิ่งนี้ จากนั้นทุกคนก็ค่อยๆ มีปฏิกิริยาโต้ตอบ และสายตาที่พวกเขามองไคลน์ก็เปลี่ยนจากตกใจเป็นโศกเศร้า ไคลน์จงใจหลีกเลี่ยงความสนใจของทุกคน จ้องมองไปยังพื้นสายหมอกที่ปกคลุมด้วยความมืดอยู่สักพักแล้วจึงพูดต่อ


     

    "รางวัลของภารกิจก่อนหน้านี้ยังคงมีผลอยู่ และความปรารถนาที่ยังไม่ได้ชำระสามารถทำได้ในวันนี้…พวกเจ้าสามารถเริ่มคิดได้เลย แต่หากไม่สามารถตัดสินใจได้ในขณะนี้รางวัลจะถูกโอนไปยัง เทพธิดารัตติกาล และ อดัม ซึ่งพวกเขาจะจ่ายรางวัลที่เหมาะสมในนามของพวกเขาแน่นอน“

     

    ไคลน์มองไปที่ {เฮอร์มิส}•แคทลียา

     

    [เดอะเฮอร์มิส]•(แคทลียา)
     

    "การกระทำและเหตุการณ์เกี่ยวกับ ปราชญ์เร้นลับ ของเจ้ามีความสำคัญอย่างมากต่อเทพจักรกลไอน้ำ เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนกับโบสถ์จักรกลไอน้ำและยังสามารถอธิษฐานหาท่านได้หากตกอยู่ในอันตราย


     

    {เฮอร์มิส}•แคทลียาเปิดปากของเธอแต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรและเพียงพยักหน้าเงียบๆ ไคลน์หันไปหาเดอะซันน้อยอีกครั้ง

     

     

    "คริสตจักรต้องการให้เจ้าดูแลต่อไป และจงเลือกวิธีการที่เหมาะสมเพื่อแจ้งให้ผู้ศรัทธาทราบ…เจ้าสามารถศรัทธาในอามุนด์หรือจะเปลี่ยนใจศรัทธาเทพองค์อื่นที่เจ้าชื่นชอบก็…"


     

    เดอะซันรีบโพล่งตะโกนออกมาตัดคำพูดไคลน์โดยไม่แม้แต่จะคิด


     

    ”เมืองเงินพิสุทธิ์จะเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวมิสเตอร์ฟูลเท่านั้นครับ!!"


     

    ไคลน์ส่ายหัวเล็กน้อย
     

     

    "สถานการณ์ในตอนนี้ของโลกนั้นอันตรายยิ่งกว่าตอนดินแดนเทพทอดทิ้ง พวกเจ้าต้องได้รับพรจากเทพเจ้าที่แท้จริง"


     

    {เดอะซัน}•เดอร์ริคจ้องไปที่ไคลน์อย่างว่างเปล่า ท้ายที่สุดก็ก้มศีรษะลงอย่างอ่อนแรงใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโศกเศร้าอย่างมิอาจกลั้นไหว


     

    “เมื่อเจ้ากลับไปให้จัดพิธีสังเวยและขอพร เราจะมอบสมบัติปิดผนึกและตะกอนพลังที่เหลือให้กับพวกเจ้าเพื่อรักษาการทำงานของคริสตจักรต่อไป”

     

     

    ไคลน์หันไปทาง{เมจิกเชี่ยน}•ฟอร์ส

     

    [เดอะเมจิกเชี่ยน]•(ฟอร์ส วอลล์)


     

    "เรารู้ว่าเธอกลัวเราในร่างเกอร์มัน ซึ่งนั้นก็เป็นความผิดของเราที่แกล้งเจ้าแบบนั้น…เราขอโทษด้วย"


     

    ฟอร์สตื่นตัวและลุกขึ้นก่อนจะรีบส่ายหน้าทันที


     

    “ไม่ ไม่ ได้โปรดอย่าพูดแบบ อย่า…“

     


     

    ไคลน์ยกมือขึ้นเพื่อขัดจังหวะเธอก่อนจะพูดต่อ



     

    "ชีวประวัติและนิยายไม่จำเป็นสำหรับเราอีกต่อไปแล้ว…แต่ถ้าเจ้าต้องการจะเขียนต่อก็สามารถทำได้" เขาจำได้ว่ายอดขายซีรีส์ [นักผจญภัย] นั้นขายดีมากจากนั้นเขาก็หันไปหา {เดอะมูน}•เอ็มลิน

     

    [เดอะมูน]•(เอ็มลิน ไวท์)
     

    "สำหรับโรงเรียนกุหลาบและผู้ศรัทธาเทพเจ้าชั่วร้ายอื่น ๆ เพียงปฏิบัติแผนการตามที่คริสตจักรของเจ้าบอกและอย่าลืมใส่ใจกับความปลอดภัย นอกจากนี้เหล่าผู้ศรัทธาและคนงานของบริษัทยาสามารถเปลี่ยนไปนับถือ พระแม่ธรณี ก็ได้เจ้าสามารถทำตามคำแนะนำของคริสตจักรได้ตามสบาย"

     

     

    เมื่อบาเรียอ่อนลงอิทธิพลจากเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามจะรุนแรงขึ้น…ในตอนนั้น ลิลิธต้องการสมอเพิ่มเพื่อต่อต้านอย่างแน่นอน


     

    เอ็มลินทำได้เพียงนิ่งเชยราวกับว่าเขายังไม่ตื่นจากความประหลาดใจก่อนจะพยักหน้าอย่างอ่อนแรง


     

    ไคลน์หันไปหา {จัดส์เมนต์}•ซิล และ {จัสติน}•ออเดรย์

     

    [จัดจ์เมนต์]•(ซิล เดียร์ชา)

     

    "พวกเจ้าสามารถ รายงานต่อเทพธิดารัตติกาลเกี่ยวกับภารกิจของ 'นักบวชสีชาด' และ 'แม่มดบรรพกาล' ได้ พวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาของพระองค์ โปรดอธิษฐานต่อเธอในบางครั้ง..ในยามวิกฤติพระองค์จะทรงให้การปกป้อง… นอกจากนี้ควรอธิษฐานถึงอาดัมเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องมลพิษจากอวกาศด้วย”


     

    ทั้ง ซิล และ ออเดรย์ ต่างไม่พูดอะไรพวกเธอเพียงจ้องมองประธานอย่างเงียบ ๆ แม้จะรู้สึกว่าควรพูดอะไรสักอย่างแต่พวกเธอก็ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากและพยักหน้ารับอย่างโศกเศร้า



     

    สายตาของไคลน์หยุดมองที่{เดอะสตาร์}•ลีโอนาร์ดครู่หนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไรจึงหันตรงไปที่ {แฮงแมน}•อัลเจอร์

     

    [เดอะแฮงแมน]•(อัลเจอร์ วิลสัน)

     

    "ทวีปตะวันตกมีโอกาสสำหรับเจ้า แต่ก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน หากเจ้าไม่ต้องการเสี่ยงก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอะไรก็ตาม…เหล่าผู้ศรัทธาและคำอธิษฐานของเทพสมุทรจะถูกส่งมอบให้กับเจ้า หากต้องเผชิญกับอันตรายและต้องการปกป้องในระดับที่สูงขึ้น เจ้าสามารถอธิษฐานต่อเทพธิดารัตติกาลหรือเจ้าแห่งพายุ..แต่เราไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะตอบสนองเจ้าแต่สิ่งที่แน่นอนคือเขาจะไม่ลงโทษเจ้า"


     

    อัลเจอร์ก้มศีรษะลงด้วยสีหน้าซับซ้อน และตอบกลับด้วยเสียงอันสั่นเครือ


     

    "ทราบครับ"


     

    ไคลน์มองไปรอบๆ อีกครั้ง


     

    "นั่นคือทั้งหมดที่เราต้องการจะพูด พวกเจ้ามีอะไรจะถามอีกไหม?"


     

    เหล่าสมาชิกไพ่ทาโรต์ มองมาที่เธอ เธอมองมาที่เขา ต่างคนต่างมองหน้ากันก็เห็นได้ว่าอีกฝ่ายเองก็มีเรื่องอยากจะพูดแต่ไม่รู้จะพูดยังไงไคลน์ไม่ได้ให้เวลามากนักและเขาเองก็กังวลนิดหน่อยว่าพวกสมาชิกจะถามคำถามที่เขาไม่สามารถตอบได้


     

    “…ถ้าเช่นนั้นแล้ว ข้าก็ขอขอบคุณสำหรับการมีส่วนร่วมเคียงข้างกันในวันโลกาวินาศในปีนี้และอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”


     

     

    ไคลน์ยืนขึ้นก่อนจะโค้งคำนับแด่เหล่าสมาชิกที่ติดตามคอยเคียงและช่วยเหลือเสมอมาอย่างสุดซึ้ง


     

    “ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเธอจะสามารถเริ่มต้นรุ่งอรุณของยุคที่หกได้” หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ตัดการติดต่อโดยไม่รอการตอบกลับ


     



     

    ณ ห้องพัก ในโรงแรมธรรมดาๆ

     

    ออเดรย์จ้องมองโต๊ะที่ยุ่งเหยงเล็กน้อยจนพบว่าตอนนี้ดวงตาของเธอกำลังพร่ามัวจากน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างช้าๆ กระทั่งเธอถูกปลุกด้วยเสียงเรียกของซูซี่


     

    “ออเดรย์ เธอ เพิ่งไปงานชุมนุมอีกแล้วเหร- เกิดอะไรขึ้น…?! ทำไม...เธอดูเศร้ามากเลยละ..."


     

    คำพูดครึ่งหลังของซูซี่ถูกหยุดในลำคอของเพราะจู่ๆออเดรย์ก็โน้มตัวเข้าหาเธอและกอดแผงคอพร้อมกับฝังหน้าของเธอไว้ในขนสีทองที่เรียบเนียนและอ่อนนุ่มพร้อมกันนั้นก็มีเสียงร้องไห้เบาๆแม้จะพยายามกลั้นไว้แต่สุดท้ายก็ดังออกมา ซูซี่สะดุ้งและกำลังจะ(ปลอบปละโลม)อารมณ์ของเธอแต่ออเดรย์พูดอย่างสะอึกสะอืนห้ามหยุดไว้ก่อน


     

    “ไม่ ซูซี่ อย่า (ปลอบปละโลม)  ให้ฉันได้ร้องเถอะ…ห..ให้ฉันได้ร้องไห้เพื่อเขา... "


     

    เพื่อชายผู้อ่อนโยนคนนั้น เพื่อพระเจ้าผู้ทรงเมตตา เพื่อผู้ที่จะไม่มีวันหลับใหลอย่างสงบสุข


     

    ซูซี่รู้ตัวว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นแบบคลุมเครือแต่ก็ไม่ได้พูดหรือใช้ความสามารถพิเศษของเธอเพียงแค่ลูบตัวออเดรย์เบา ๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงบนเส้นผมของเธอ


     



     

    ณ ห้องโดยสารของกัปตันของเรือสีคราม


     

     อัลเจอร์มองดูแผนภูมิที่ยังสร้างไม่เสร็จตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แผนภูมิที่นำไปทางไปสู่ ทวีปตะวันตก ที่เขาวาดไว้ทีละเล็กทีละน้อยในช่วงหลายปีแห่งการเดินเรือ แม้ว่าจะเป็นการสำรวจเส้นทางที่ยาวนานและปลอดภัยในทางทิศตะวันตกแล้ว แต่ก็ยังมีหลายพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกบนแผนที่ ดวงตาของเขาค่อยๆ เลื่อนไปทางซ้ายตรวจดูพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ทางครึ่งซ้ายของแผนภูมิ และสุดท้ายก็หยุดที่กล่องไม้ทางด้านซ้ายในกล่องมีสมุดบันทึก {หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ}


     

    “ถ้าเราไม่ได้พบกับมิสเตอร์ฟูล ก็คงผูกพันกับความหลงใหลในวัยเด็กของตัวเองตลอดไป ล่องลอยขึ้นๆ ลงๆ ในโลกแห่งชื่อเสียงและโชคลาภแล้วอาจไม่ได้ค้นพบสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ในวันที่เราได้ขึ้นมาตำแหน่งสูง ในวันที่ผนึกล้มเหลวและในตอนเช้าเมื่อได้รับสั่งให้ ออกเรือ เราก็รู้จักได้ตัวตนของตัวเองจริงๆ“


     

    อัลเจอร์ถอนหายใจยาว และสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ มั่นคง ไม่สับสนอีกต่อไป ตอนนี้เขาได้เลือกแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียใจ ถ้าทวีปตะวันตกเป็นโชคชะตาของเรา…ก็ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ามัน


     

    อัลเจอร์เงยหน้าขึ้นและมองดูท้องฟ้าที่มืดมน เขาใช้กล้องส่องเล็ก ๆไปยังที่ห่างไกลซึ่งเต็มไปด้วยพายุที่โหมกระหน้ำและกลุ่มเมฆสายไมอกอันน่าพิศวง ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดคือ...ที่นั้นเป็นบ้านเกิดของมิสเตอร์ฟูล...


     



     

    บายัม เมืองเงินพิสุทธิ์ ใต้ดินของมหาโบสถ์เดอะฟูล


     

    เดอร์ริคจัดพิธีกรรมอย่างคล่องแคล่วและชำนาญเพื่อรับการสังเวยขณะเฝ้าดูเทียนสีน้ำเงิน ลอยขึ้นอย่างไร้ความรู้สึกสร้างประตูสังเวยที่คุ้นเคยพอหายไปและเปลวเทียนก็กลับมาเป็นปกติ แสงสีเหลืองสลัวเล็กน้อยปรากฏกล่องของขวัญจากเทพ เดอร์ริคเพียงเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ มองไปที่กองสมบัติปิดผนึกและตะกอนจำนวนมากเปล่งแสงจาง ๆออกมา…เขาไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานานก่อนจะก้มลงในท่าแสดงความเคารพแด่เทพที่เขาศรัทธาสุดหัวใจนี้


     



     

    ณ เรืออนาคตกาล ห้องกัปตัน
     

    ทันทีที่แคทลียากลับสู่ความเป็นจริง เธอก็รีบหยิบกระดาษจดหมายออกมาและเขียนเนื้อหา การประชุมลงบนกระดาษเตรียมรายงาน "ราชินีแห่งความลึกลับ" เธอเขียนอย่างรวดเร็ว เขียนซ้ำทุกคำพูดที่มิสเตอร์ฟูลพูด ปากกาทิ้งร่องรอยที่สวยงามและเรียบเนียนไว้บนกระดาษ เหมือนเครื่องพิมพ์ดีดที่บันทึกรายงานการประชุมโดยอัตโนมัติและด้วยวิธีนี้ เธอสามารถหยุดคิดถึงคำเหล่านี้ได้อย่างมีความหมาย กระทั่งหยดของเหลวอุ่นกระทบกับตัวกระดาษ ทำให้ข้อความกลายเป็นจุดหมึกที่วุ่นวาย ในตอนนั้นเธอก็ตระหนักได้แล้วว่าใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาที่กำลังไหลออกมา


     



     

    ในทวีปทางใต้ สำนักงานใต้ดินของโบสถ์ "พระแม่ธรณี"


     

    เอ็มลินที่ตอนนี้อยู่คนเดียว เขาถอดชุดนักบวชออกแล้ว กลับมาเป็นแวมไพร์หนุ่มผู้หมกมุ่นอยู่กับตุ๊กตาและถูกชักชวนโดยบุคคลสำคัญในเผ่าให้สวดภาวนาต่อตัวตนลึกลับเขาเหลือบมองเอกสารสองกองบนโต๊ะอย่างว่างเปล่า ทางด้านซ้ายมือคือเอกสารสารของโบสถ์ธรณีซึ่งบันทึกการล้อมโจมตีครั้งล่าสุดเพื่อต่อต้านฝ่ายปลดปล่อยแรงปรารถนาของ {โรงเรียนกุหลาบ}


     

    ในช่วงท้ายของเอกสารนั้นมีลายเซ็นของ เลียวนาร์ด•มิชเชล มุขนายกของคริสตจักรรัตติกาล และลายเซ็นของคริสตจักรเดอะฟูลซึ่งลายเซ็นเป็นของ ชารอน นักบุญวิญญาณของเดอะฟูล ทางด้านขวาคือรายงานรายงานบริษัทยาที่มิสเตอร์ฟูลได้ให้เขาดูแล ซึ่งบันทึกถึงรายละเอียดผลการดำเนินงานของปีนี้และแผนงานสำหรับปีถัดไป


     

    สายตาของเอ็มลินเลื่อนไปมาระหว่างเอกสารทั้งสองฉบับ และในที่สุดก็จับจ้องไปที่สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูลที่พิมพ์ไว้อย่างชัดเจนที่มุมซ้ายบนของรายงานมาตรฐานของบริษัทยา

     



     

    อพาร์ทเมนท์สำหรับครอบครัวเดี่ยวใกล้ โบสถ์รัตติกาล

    [เดอะสตาร์]•(เลียวนาร์ด มิเชล)
     

    ลีโอนาร์ดนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าเศร้าโศกและบอกเล่าแผนของไคลน์ให้กับพาลีสฟังด้วยน้ำเสียงแหบห้าว ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ จนในที่สุดเขาก็เผลอทุบที่วางแขนของโซฟา โครงไม้ที่หุ้มด้วยเบาะนุ่ม ๆ แตกออกก่อนจะพูดต่อ ด้วยความโกรธ
     

    "ไอเจ้าบ้านั้น! หมายความว่าอย่างไงที่พูดว่า {ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเธอจะสามารถเริ่มต้นรุ่งอรุณของยุคที่หกได้} แล้วตัวเขาเองเล่า? เขาเสียสละมากมายแล้วนะ…ทำไมกัน ทำไมต้องเป็นแบบนี้วะ!!!”


     

    "แต่ถึงแบบนั้น…ผมก็ยังอยู่กับพวกคุณเสมอ” 


     

    ทันใดนั้นก็มีเสียงอ่อนโยนดังขึ้น เลียวนาร์ดเงยหน้าขึ้นมองและเห็นชายหนุ่มที่คุ้นเคยยืนอยู่ตรงหน้า เขาสวมชุดสูทสไตล์โลเอ็นมาตรฐาน หมวกทรงสูงและเสื้อกันลมสีดำ สวมถุงมือสีดำ ถือไม้เท้าที่แวววาวด้วยดวงดาว เขายังคงรักษาภาพลักษณ์ของไคลน์ โมเร็ตติ มาดชองนักศึกษาจบใหม่และผมสีดำอ่อน รอยยิ้มอ่อนโยนแต่กลับแฝงความเจ้าเล่ห์เล็กน้อยดูไม่ต่างจากตอนที่เขาอยู่ในทิงเกน


     

    ทว่าสิ่งที่แตกต่างไปตอนนี้คือดวงตาอันไร้ซึ่งร่องรอยของอารมณ์ในรูม่านตาสีเข้มของเขาเป็นหลักฐานชัดเจนว่าตอนนี้สติของเขาถูกใช้งานจนมิอาจแสดงอารมณ์ เลียวนาร์ดที่เห็นแบบนั้นก็รีบพุ่งไปคว้าคอเสื้อชายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว


     

    "อย่าคิดจะทำแบบนั้นนะ ไคลน์!!! การประทับจิตวิญญาณลงไปในตะกอนพลังมันจะไปเรียกว่ามีชีวิตอยู่ได้หรือไงกันเล่า!!“


     

    ไคลน์หยุดยิ้มและถอนหายใจเบาๆ


     

    "เลียวนาร์ด ไม่มีใครอยากตายหรอกนะแม้แต่ฉัน…ทว่าสุดท้ายพวกเราก็เป็น
    {ผู้พิทักษ์}"


     

    มือของเลียวนาร์ดอ่อนแรงลงก่อนจะเดินถอยมาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา จับผมยาวสีดำปิดหน้าของเขาอย่างเจ็บปวด และพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา


     

    "ม…มันเป็นความผิดของฉันเอง... ถ้าฉันสามารถเขียนบทกวีดีๆ สักสองสามบทได้…นายก็จะได้อยู่ฝั่งนี้ ไม่ใช่เดินไปทางฝั่งนั้น…จะ...ได้…”


     

    ไคลน์ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะนั่งลงข้างเขาและวางฝ่ามือลงบนไหล่เบา ๆ


     

    “เลียวนาร์ดอย่าพูดแบบนั้นสิ นี่ไม่ใช่ความผิดของนาย เป็นการตัดสินใจของฉันเองและเป็นชะตากรรมที่ฉันต้องเผชิญ… ดังนั้น ไม่จำเป็นต้อง เศร้าแทนฉันหรอก…ทำไมนายไม่ลองคิดถึงความปรารถนาของนายดูละ”


     

    ลีโอนาร์ดเงยหน้าขึ้นและมองเข้าไปในดวงตาสีเข้มของเขา และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยู่กับเนื้อกับรอย


     

    "ความปรารถนาของฉัน...ค..ความปรารถนาของฉันคือการให้นายมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข…ทำได้หรือป่าว“


     

    หลังจากพูดอย่างนั้นโดยไม่รอให้ไคลน์ตอบเขาหัวเราะเยาะตัวเองพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น


     

    “แต่…มันคงเป็นไปไม่ได้สินะ"


     

    เขารู้ดีว่าทำไมไคลน์ถึงเลือกแบบนั้นและถ้าเป็นเขาก็คงจะตัดสินใจแบบเดียวกัน ท้ายที่สุดตั้งแต่วันที่พวกเขาเข้าร่วม เหยี่ยวราตรี พวกเขาก็พร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างเพื่อปกป้องผู้คน เลียวนาร์ดยกมือขึ้นลูบหน้าสงบอารมณ์และน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ


     

    “ให้โอกาสฉันได้เลื่อนตำแหน่ง” หากเราตามเขาไม่ทันอย่างน้อยก็แค่ให้ได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้นและแบ่งปันภาระที่เขาแบกไว้สักนิดก็ยังดี


     

    ไคลน์พยักหน้าเบา ๆ


     

    “เทพธิดาจะช่วยคุณ” ขณะพูดไคลน์ก็ถามกลับ


     

    “พาลีสคุณอยู่ที่นี่หรือเปล่า ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ"


     

    ก่อนที่ลีโอนาร์ดจะทันได้ตอบ หนอนกาลเวลาทั้งสิบสองตัวก็บินออกมาจากด้านหลังศีรษะเลียวนาร์ดมารวมกันบนโซฟาฝั่งตรงข้ามและกลายร่างเป็นชายชราซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก พาลีส โซโรอาตเตอร์


     

    “ตาแก่…ต้องการให้ฉันออกไปไหม?” ลีโอนาร์ดเหลือบมองพาลีสแล้วถามเพราะดูเหมือนเนื้อหามันจะสำคัญมาก


     

    “ถ้าแกไม่อยากฟังละก็...”


     

    “ฉันอยากฟัง!” เขาไม่ต้องการเป็นคนที่ไม่รู้อะไรอีกต่อไปและทำได้เพียงรอพรจากพระเจ้าเท่านั้น


     

    ไคลน์พยักหน้าไม่พูดอะไรอีก และหันไปมองที่พาลีส


     

    “เขาคงบอกแผนของฉันให้คุณฟังแล้วสินะ”


     

    พาลีสไม่พูดหรือแสดงอารมณ์ทางสีหน้าอะไรแต่ภาษากายเขามีความฉุนเฉียวเต็มที่


     

    “ถ้าอย่างนั้นคุณก็น่าจะเดาได้ว่าผมอยากจะพูดอะไร“


     

    “…เจ้าต้องการให้ข้าเป็นผู้ท้าชิงสำรองสินะ“


     

    “ครับ” ไคลน์พยักหน้า


     

    “แน่นอน ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของคุณ แม้ด้วยความช่วยเหลือของผมนี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากคุณไม่ต้องการเสี่ยงก็หวังว่าคุณจะให้ข้อมูลและช่วยเหลือลอร์ดลึกลับคนถัดไป"


     

    พาลีสมองไปยังชายตรงหน้าที่ซึ่งตอนนี้เป็นครึ่งวันวานด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาถามตัวเองว่าเขามีความกล้าพอที่จะทำแบบนี้เพื่อโลกไหม…หึ คงไม่มีทาง ถ้าเป็นเขาคงยอมแพ้ไปนานแล้วและหนีออกจากกาแล็กซีนี้พร้อมกับลูกหลานและผู้ศรัทธาของเขา อาจเป็นเพราะเขามีความคิดแบบนี้เลยรอดถึงปัจจุบัน…… แต่นี่เป็นสิ่งที่ดีจริงๆน่ะหรือ? ที่ต้องให้เด็กหนุ่มตรงหน้าเสียสละ……


     

    พาลีสถอนหายใจยาวแล้วพูดตอบ


     

    "ข้าเข้าใจแล้ว"


     

    ไคลน์พยักหน้าตอบกลับ


     

    “เทพธิดารัตติกาลจะติดต่อคุณเมื่อจำเป็น…ถึงอามุนด์จะทำสำเร็จก็ไม่ต้องกังวล รอยประทับทางจิตที่ผมทิ้งไว้ก็เพียงพอที่จะจํากัดเขาไว้แน่นอนแต่…แฮะๆ เรื่องตลกร้ายบางอย่างคงหลีกเลี่ยงไม่ได้”


     

    พาลีสเยาะเย้ยด้วยอารมณ์ขบขัน


     

    "ข้าต่อสู้กับท่านมาหลายพันปีแล้ว และรู้ว่าจะจัดการอย่างไง"


     

    ไคลน์ไม่พูดอะไรอีกเพียงยืนขึ้น โค้งคำนับแล้วจึงหันหลังเดินเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณ ลีโอนาร์ดมองดูร่างที่หายไปของเขาและทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้กลับมาช่วงสู้กันที่ทวีปทางใต้ ย้อนกลับไปตอนนั้นเขาเห็นไคลน์โยนเหรียญทองขึ้นก่อนจะจากไป…


     

    เขากำลังจะเผชิญหน้ากับชะตากรรมของตัวเองและเราคงทำได้แค่ดูอีกแล้ว


     


     


     

    เบ็คลันด์ ห้องพักแห่งหนึ่ง


     

    ในห้องอ่านหนังสือของ อพาร์ตเมนต์สำหรับครอบครัวเดี่ยว


     

    ฟอร์สนั่งมองโต๊ะและปากกาในมือด้วยใบหน้าหมองคล้ำ ข้างหน้าเธอคือต้นฉบับของเล่มสุดท้ายของซีรีส์ "นักผจญภัย" หลังจากที่กลายเป็นเทวทูตเธอเคยรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์ระหว่าง {เดอะเวิล์ด} และ {เดอะฟูล} แต่การมาได้ยินและรับรู้จากตัวเขาเองแบบนี้…มันก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจและเศร้าไม่น้อย


     

    ขณะที่เธอมึนงงอยู่ จู่ๆ ประตูสู่โลกวิญญาณที่มีดวงดาวระยิบระยับก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอร่างของ เกอร์มัน เดินออกมา เธอจึงยืนขึ้นทักทายอย่างเงอะงะ


     

    “เอ่อ…?!! มิสเตอร์เวิล์ด..ไม่สิ มิสเตอร์ฟูล…อ่า..คือฉันหมายถึง…” แม้ว่าในตอนที่เธอเคยรวบรวบข้อมูลไว้เขียนนวนิยายจากลีโอนาร์ดและออเดรย์จึงรู้ว่านักผจญภัยที่บ้าคลั่งเลือดเย็นเป็นเพียงหน้ากากสำหรับ มิสเตอร์เวิล์ด และด้วยตัวตนมิสเตอร์ฟูลยังถูกพิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นคนอ่อนโยน แต่เพราะยังคงมีความกลัวบางอย่างที่ฝังอยู่ในกระดูกของเธอซึ่งทำให้เสียงของเธอสั่นโดยไม่รู้ตัว


     

    ไคลน์ยิ้มและพยักหน้า


     

    "ผมมาที่นี่เพื่อบอกอะไรบางอย่างกับเธอ“


     

    เธอมีความคิดบางอย่างที่คลุมเครืออยู่ในใจแต่ก็รีบถามเข้าประเด็น


     

    “เอ่อ...ช่วยบอกฉันทีค่ะ”


     

    “มันเกี่ยวกับแผนที่ผมอธิบายถึงก่อนหน้านี้ ผมหวังว่าเธอจะเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงคนถัดไปได้…ผมรู้ว่ามันอันตรายมากและไม่เหมาะกับบุคลิกของเธอ ดังนั้นเธอคือตัวเลือกสุดท้าย…แน่นอนหากไม่ต้องการ ก็จะไม่มีใครมาบังคับ"


     

    ฟอร์สพยักหน้าอย่างว่างเปล่าและเข้าใจถึงบางอย่าฃ


     

    "เข้าใจแล้ว…"


     

    “…เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกกดดันอะไร จะมีคนติดต่อเธอเมื่อถึงเวลาและจะให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่เธอ"


     

    หลังจากพูดอย่างนั้น ไคลน์กำลังจะจากไป แต่จู่ๆ ฟอร์สก็หยุดเขาไว้


     

    "เอ่อ…มิสเตอร์ฟูล..."


     

    ไคลน์หยุดการเคลื่อนไหวของเขาเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปมองเธอ โดยมีความสับสนบนใบหน้าของเขาแม้จะดูไร้อารมณ์ก็ตาม


     

    ฟอร์สมองเขาและพยายามพูดบางอย่าง ริมฝีปากของเธอเพียงแค่ขยับแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆออกมา เธอคือหนึ่งในนักเขียนนวนิยายขายดีที่สุด ได้รับความนิยมมากที่สุดในทวีปทางเหนือเป็นเทวทูตแห่งเส้นทาง [นักฝึกหัด] และเป็นผู้บันทึกของมิสเตอร์ฟูล เทวทูตใต้บัลลังก์ของพระองค์…


     

    แต่ในตอนนี้เธอไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ เธอไม่เคยรู้สึกว่าเพียงแค่พูดสักคำจะเหนื่อยยากขนาดนี้แต่เธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสิ่งที่ทำได้มีเพียงเปิดและปิด ริมฝีปากของเธออย่างเงียบ ๆ เหมือนปลาที่ขาดน้ำ


     

    ไคลน์ที่ สังเกตเห็นความลำบากใจของเธอ จึงละสายตาไปที่โต๊ะแล้วพูดอย่างอ่อนโยน


     

    "เธอช่วยส่ง ปากกากับกระดาษจดหมาย ให้ฉันหน่อยได้ไหม"


     

    "ค..ค่ะ ได้แน่นอน“ ฟอร์ส์ตื่นจากความมึนงงแล้วรีบดึงกระดาษจดหมายหลายสิบแผ่นกับจดหมายสี่ห้าซองออกมาจากลิ้นชัก แล้วยื่นให้พร้อมกับปากกาในมือ


     

    "ขอบคุณ" ไคลน์เอื้อมมือไปรับมัน พยักหน้าขอบคุณ จากนั้นหันหลังกลับและหายไปหลัง ประตูสู่โลกแห่งวิญญาณ


     

    ฟอร์ส์ที่มองดูแสงดาวสุดท้ายหายไป น้ำตาของเธอค่อยๆไหลออกมา ร่างกายเธอทรุดไปกับพื้น เอนตัวลงพิงโต๊ะก่อนจะเริ่มร้องไห้เสียงดัง


     

    ซิลที่เพิ่งกลับมาจาก MI9 เห็นสภาพของห้องที่ต้นฉบับยังเขียนไม่เสร็จกระจัดกระจายอยู่บนพื้น และหมึกสีดำก็ไหลออกมาจากขวดหมึกที่พลิกคว้ำทําให้พรมเป็นสีดำ ซิล ไม่ได้พูดอะไร เธอหยิบต้นฉบับที่กระจัดกระจายมาเงียบๆ และจัดเรียงตามลำดับ ในหน้าสุดท้ายของต้นฉบับ นักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่ในเรื่องกำลังเตรียมเผชิญหน้ากับการผจญภัยครั้ง สุดท้าย แต่ครึ่งหน้าหลังกลับถูกย้อมด้วยหมึกสีด่า เหมือนกับอนาคตที่บุคคลนั้นจะต้องเผชิญ


     

    ซิลวางต้นฉบับไว้บนโต้ะข้างๆและจับไหล่ของฟอร์สเบา ๆ ฟอร์ส์เงยหน้าขึ้นมองอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเธอเพิ่งค้นพบการมีอยู่ของอีกฝ่าย ฟอร์สพุ่งไปกอดเอวของซิลและการร้องไห้อยู่สักพักถึงจะสงบลงและพูด


     

    “ซิล... มิสเตอร์ฟูล…เขา พึ่งมาที่นี่” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและพูดเป็นระยะ


     

    "เขาบอกว่า ฉันเป็นหลักประกันสุดท้ายของเขา…ทั้งๆทีเป็นแบบนั้น เขา…เขาก็ยังคิดถึงความรู้สึกของฉัน…เขาน่ะ…อึก..เขาน่ะ" เธอพูดอย่างสับสนไปมาและสุดท้ายเธอก็พูดต่อไปไม่ไหวเหลือมีเพียงเสียงร้องไห้เท่านั้น ได้แต่กอดซิลและร้องไห้อย่างขมขึ้นแม้จะเป็นแบบนั้น ซิล ก็ยังเข้าใจดีจึงปลอบฟอร์สเธอโดยกอดให้แน่นขึ้น แน่นอนว่าเธอรู้ว่ามิสเตอร์ฟูล มีความอ่อนโยนแค่ไหนทุกวันนี้เรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญของพวกเราเลยก็ว่าได้

     

     ทั้งๆทีเขามีอำนาจมากมายขนาดที่ว่าจะทิ้งโลกไปก็ได้ แต่มิสเตอร์คนฟูลก็ยังคงอยู่และเป็นห่วงทุกคนพร้อมกับวางแผนชีวิตที่ปลอดภัยให้พวกเรา…แม้ว่านั้นจะหมายถึงการเสียสละตัวเองของเขาก็ตามที


     

    ‘ฉันยังอ่อนแอเกินกว่าจะทำอะไรได้ ดังนั้นอย่างน้อยฉันควรจะแสดงความเสียใจและเคารพต่อเส้นทางของเขา‘ ซิลได้แต่คิดแบบนี้กับพวกเอง แม้เธอไม่อยากยอมรับแต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×