คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่3 นักล่า การสูญเสีย และหวนทางที่ไม่อาจหวนคืน
บทที่3 นักล่า การสูญเสีย และหนทางที่ไม่อาจหวนคืน
ลมหายใจหญิงสาวเริ่มถี่เป็นระยะ เธอวิ่งตรงไปข้างหน้าไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าต้องวิ่งไปไกลเท่าไหร่ รู้เพียงต้องจัดการผู้ร้ายให้ได้ คิดแล้วเผลอกำมือแน่น ก่อนจะคลายออกเมื่อบานประตูเลื่อนเปิดด้วยแรงลมพายุ พัดเธอเกือบลอยไปตามกระแสหากไม่เกาะขอบประตูเอาไว้
โจแอนเดินเข้าไปในห้อง มองสำรวจไปรอบๆ บานหน้าต่างหลังโต๊ะทำงานเปิดอ้าทิ้งไว้ ผ้าม่านสีเลือดหมูเปียกปอนด้วยน้ำฝน ลมพายุพัดเข้ามาในห้องทำให้กระดาษเอกสารที่เคยอยู่บนโต๊ะลอยกระจัดกระจายอยู่บนพื้น มีคราบน้ำฝนเปื้อนเป็นดวงๆ
ห้องทำงานของพี่เอริค!!
รู้ดังนั้นหัวใจเริ่มเต้นรัวเร็วกว่าเก่าหลายเท่า พลันสายตาเหลือบเห็นบางสิ่งบางอย่างตกอยู่ ลักษณะของมันเป็นมันวาว สะท้อนแสงรำไรส่องลอดบานหน้าต่างกระจกเปิดอ้า เธอค่อยๆเดินเข้าไปใกล้วัตถุนั้นแช่มช้า มองซ้ายมองขวาสำรวจความเรียบร้อย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนอยู่จึงย่อตัวลง
จังหวะนั้นเองที่พายุรุ่นแรง พาร่างดำทะมึนโฉบเข้ามาทางหน้าต่าง ด้วยสัญชาติญาณ ทำให้หญิงสาวรีบเข้าไปหลบใต้โต๊ะทำงานของพี่ชายด้วยความรวดเร็ว ไม่ว่าผู้มาใหม่จะเป็นคนร้ายหรือไม่ก็ตาม
คนผู้นั้นเดินวนไปมาแถวโต๊ะทำงานไม้เก่าหลายหน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาราวขโมย ขากางเกงในชุดสูทร่วมงานเลี้ยงของเขาเปียกปอนด้วยน้ำฝนจนถึงเข่า คราบโคลนติดรองเท้าราวกับเพิ่งกลับมาหลังจากออกไปเดินอยู่รอบๆมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง น่าแปลกใจที่เขาเข้ามาทางหน้าต่างซึ่งไม่มีระเบียงอยู่ด้านนอก
มือไม้สั่นเทาแต่ก็ต้องข่มความกลัวเอาไว้ สองมือช่วยกันควานหาอะไรก็ได้เป็นอาวุธท่ามกลางความมืด ภวนาขอให้คนแปลกหน้าผู้นี้จะไม่เห็นมือที่ยื่นออกมานอกโต๊ะของหล่อน
โจแอนบีบตัวติดกับใต้โต๊ะโดยไม่รู้ตัว อาศัยราตรีไร้แสงอำพรางกายมิให้ใครเห็น หากสายตายังเหลือบมองใบหน้าของชายแปลกหน้าผู้ปกปิดใบหน้าของตนไว้ด้วยหน้ากากเลื่อมพรายอันสวย เรือนผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งในความมืดแลดูเป็นสีดำสนิท นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องมองไปรอบๆราวกับรู้ว่ามีคนอีกผู้หกนึ่งแอบแฝงอยู่
ไม่นานชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่ตู้หนังสือ ขยับหนังสือสองสามเล่มจนกระทั่งเกิดเสียงครูดพื้นในยามราตรี ดังก้องทั่วทางเดิน หากเขาสนใจไม่ กลับก้าวเข้าไปในซอกหลืบหลังตู้หนังสือ ทั้งที่เมื่อก่อนโจแอนสาบานว่าไม่เคยเห็นมันอยู่ตรงนั้นมาก่อน จึงประหลาดใจกว่าเก่า
ห้องทำงานของพี่ชายมีห้องลับซ่อนอยู่!!
ความสงสัยซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าทวีทำให้ร่างบางคลานออกจากใต้โต๊ะ ขาสองข้างยันกายขึ้นยืนตัวตรง แววตาสีม่วงจางสั่นระริก ก่อนส้นสูงรัดข้อเท้าจะสาวตรงไปยังทางลับ ค่อยๆชะเง้อมองหาผู้เข้าไปก่อนหน้านี้ แต่ไร้วี่แวว พบเพียงความมืดมิดรออยู่ภายใน อากาศหนาวเย็นปะทะกับต้นแขนจนขนลุกชันขึ้น ไม่รอช้า หญิงสาวตัดสินใจเสี่ยงลงไปตามทางที่ละก้าว มือบางคลำกำแพงเย็นเฉียบเปียกชื้นขรุขระขณะลงบันไดวนซับซ้อน
สุดทางมีคบเพลงจุดไว้ให้ความสว่างเป็นระยะๆ เปลวไฟวูบไหวไปเล็กน้อยเมื่อลมบางเบาจากภายนอกผ่านมาเยือนจากทางเข้าที่เธอตั้งใจมาเองโดยไม่คิดจะหันกลังกลับไป สายตาสีม่วงกวาดมองไปรอบๆ ประตูทางเข้าโค้ง ทำจากอิฐสีเทาโบราณผุพัง ก่อเป็นกำแพงรอบๆ สภาพห้องไม่ต่างกับในวิหารเก่าเสียแต่เปียกชื้นกว่า เสาสี่ต้นถูกค้ำยันสี่มุม เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนสุดสายตา กลิ่นน้ำเสียโชยอยู่ไม่ไกล
ไม่นานเสียงประหลาดทำให้เธอถึงกับสะดุ้งโหยง
“เก็บกวาดมันเสีย ข้าไม่อยากเห็นหน้ามัน”เสียงเย็นเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายรำพึงกับตนเอง ขณะอีกเสียงแทรกขึ้นกัดฟันตะโกนด้วยความเคียดแค้น
ด้วยความอยากรู้ทำให้ร่างบางบังคับตัวเองเดินตรงไปเรื่อยๆ มือเท้าเย็นเชียบไร้สาเหตุ ใจกระตุกหายใจหอบจนอกกระเพื่อมแรง
เธอพยายามระมัดระวังตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ แม้ไม่รู้ว่าสุดท้ายนี้จะต้องเจอกับใครหรืออะไร แต่สิ่งที่รู้แน่นอนตอนนี้คือ
ผู้บุกรุกคงไม่ได้มีแค่หนึ่ง. . .และคงไม่ใช้หัวขโมยกระจอกๆอย่างที่คิดไว้
โจแอนหลบอยู่ในมุมมืด ชะโงกหน้าออกมาช้าๆ เห็นทางน้ำไหลเอื้อยๆ พร้อมเสียงน้ำตกดังอยู่ไม่ห่าง พื้นสองข้างคูคลองเปรอะเปื้อนด้วยเลือดและซากศพ จังหวะนี้เองที่เธอรู้ว่าทางลับนี้นำพาเธอมาสู่ท่อระบายน้ำใต้ดินใจกลางเมือง
แล้วใบหน้าของชายเคราะห์ร้ายเผยโฉม สร้างความตกตะลึงให้ผู้แอบดูได้อย่างยิ่ง เมื่อเขาคือคนผู้เดียวกับที่โจแอนห่วงหามาตลอด
เรือนผมสีดำยุ่งเหยิงเปียกชุ่มด้วยเลือดสดจากกายของเขา เหนียวเหนอะเสียจนเกาะเป็นปอยหนา บางส่วนสาดกระเด็นโดนคู่ต่อสู้ผู้ใช้ลิ้นลิ้มลองรสชาติคาวคล้ายหิวกระหายมานาน ขณะเลือดบางส่วนไหลเจิ่งนองกับพื้น โจแอนลอบเห็นแววตาเสียดายเลือดของผู้แพ้จากคู่ต่อสู้ ทำให้ร่างบางสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อชายคนนั้นคือพี่ชายของเธอเอง!
“พี่เอริค!!”นางเผลออุทานออกมา
ราวกับฝ่ายตรงข้ามได้ยินจึงหันมายังทิศทางของเสียงเมื่อครู่ด้วยความรวดเร็ว แววตาของนักล่าจ้องตรงมาที่เธอ คมกริบ ดุดัน และกระหายเลือด
“อื้อ!”
มือหนารวบกายเธอเข้ามาปิดปากสนิท อาศัยเงามืดพรางตา ประคองร่างบางเข้ามาแนบอกจนรู้สึกความอบอุ่น รู้สึกถึงกลิ่นกายหอมจากร่างหญิงสาวในอ้อมกอดผู้พยายามดิ้นขัดขืนอย่างหนัก พร้อมหยดน้ำใสไหลลงอาบสองข้างแก้ม
“ชูว์ เงียบซะถ้าเจ้าไม่อยากตายตอนนี้” ร่างบางหยุดขัดขืนอัตโนมัติ เงยหน้าขึ้นสบตากับคนแปลกหน้าผู้ปิดปากเธอแน่นไม่ยอมปล่อย แม้สายตาของเธอจะพร่ามัวด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่รอบๆ แต่ไม่นานภาพเลือนรางกลับแจ่มชัดขึ้น
ผู้ที่ปรากฏกายเพื่อช่วยเธอกลับเป็นคนที่เธอมิได้คาดคิด
เขาเป็นใครกันแน่. . .ขโมย? หรือว่าอย่างอื่น แต่ที่สำคัญตอนนี้คือ เขามาทำอะไรอยู่ตรงนี้
“เงียบซะ แล้วข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังทีหลัง”ร่างหนากระชับร่างบางแน่นกว่าเก่าพร้อมคำขู่ ทำให้ความกลัวที่เคยมี เหือดหายไปกว่าครึ่ง ลืมภาพเลวร้ายเสียหมด จ้องมองแววตาสีครามอย่างหลงใหล อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นก็สามารถสัมผัสโครงหน้าแกร่งนั่นได้ เสียแต่เธอขลาดกลัวเกินกว่าจะเอื้อมถึง
ทั้งสองได้แต่มองดูปิศาจนามอาร์กเดลกวาดสายตามองรอบๆ จมูกฟุตฟิตพยามหาต้นตอกลิ่นแปลกปลอมท่ามกลางกลิ่นคาวโลหิต. . .ไม่พบ มันจึงขู่คำรามในลำคอเบาๆเป็นเชิงข่มขวัญศัตรู ก่อนจะเหลือบสายตาสีเหลืองคม มองร่างสลบไสลไม่ได้สติของเอริค เซซิเลียนด้วยแววตาหยามเหยียด ไม่นานจึงออกห่างร่างนั้น เดินตรงไปสุดทางซึ่งมีม่านน้ำบางเบาขวางกันภายนอกไว้กระโดดพุ่งตัวหายจากไป ทิ้งศพนับร้อยไว้เบื้องหลังอย่างเลือดเย็น
จังหวะนั้นเอง โจแอนรีบสลัดตัวทันทีเมื่อได้สติ ตรงดิ่งประคองร่างพี่ชายไว้ในอ้อมแขน ทำนบน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย มองใบหน้าเต็มด้วยโลหิต สดของเจ้าตัว แล้วสวมกอดไม่เกรงกลัว
“พี่เอริค!! พี่ชาย!! พี่!!”
ดูเหมือนเสียงของเธอ ส่งไปถึงผู้เป็นพี่ทำให้ร่างซึ่งควรจะไร้ลมหายใจ ค่อยๆปรือเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นช้าๆ รอบข้างอื้ออึงไปหมดเพราะเสียงธารน้ำ สิ่งเดียวที่แจ่มชัดในตอนนี้คือวงหน้าอ่อนโยน กำลังวิตกกังวลไม่แพ้แววตาซึ่งกำลังจ้องมองกลับมา
“ร้องไห้ทำไม อย่าร้องไห้สิโจ”คำพูดแผ่วเบานุ่มนวล ยิ่งทำให้หญิงสาวสะอื้น แต่ก็ขยับยิ้มยินดี เมื่อเห็นเขามีลมหายใจอีกครั้ง จึงคว้ามือหนามาแนบแก้ม หวังปันไออุ่นให้เขา
“พี่เอริค โล่งอกพี่ไม่เป็นไร”ประโยคนั้นกลับเรียกเสียงหัวเราะในลำคอของเอริคได้เป็นอย่างดี
“ข้ากำลังจะตายและจะไม่ปิดบังเจ้า อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าตัวเองตายอย่างมีเกียรติ” ชายหนุ่มพูดเพ้อไม่ถูกเวลา จนหญิงสาวไม่สามารถเข้าใจคำพูดได้สักนิด
“ใช่แล้ว ข้าไม่ได้ตายอย่างไร้ประโยชน์ ท้ายที่สุดข้าก็รู้ว่าข้าตายในหน้าที่อันทรงเกียรติ เจ้าเห็นการตายของพี่ มันเป็นเหตุผลที่จะทำให้เจ้าเข้าใจได้เป็นอย่างดีถึงสิ่งที่ข้ากำลังทำอยู่” เขาขยับยิ้มแม้จะยากเต็มที
“ เข้าใจ? มีเกียรติ? ตายในหน้าที่? หน้าที่อะไรของพี่กันข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย”คนเป็นน้องตั้งท่าจะร้องไห้อีกครั้ง
“ฟังนะน้องรัก ข้าเสียท่ามันแต่ก็รู้ว่า. . .ถึงตอนนี้แล้วเจ้าคงจะแทนที่ข้าได้ มันอยู่ในสายเลือด. . .แล้วรู้อะไรไหม. . .เจ้าน่ะเก่งกว่าที่เจ้าคิด”เสียงค่อยๆแหบพร่าลงทุกทีราวคนกำลังขาดอากาศหายใจ มือหนาชุ่มเลือดเอื้อมมาปาดคราบน้ำตาให้หมดไปจากดวงเศร้าหมองของโจแอน
“อย่าร้องไห้สิ เจ้าไม่ใช่เด็กขี้แยนี่นา อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้อีกเลย” ลมหายใจของเอริคติดขัดเป็นห้วงๆ คนเป็นน้องตกใจรีบเขย่าตัวเขาทันที
สุดท้ายก็เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของเขา อยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาว
“ไม่!!! ท่านพ่อไม่นะ!!”
หญิงสาวคร่ำครวญวิ่งร้องไห้ไม่ได้สติไปตามทางเดินรวดเร็ว สำหรับหญิงสาวผู้เพิ่งสูญเสียสิ่งสำคัญไว้ยึดเหนี่ยวครั้งใหญ่ไปนั้น การวิ่งสะดุดชายผ้าหรือแม้กระทั่งการถูกส้นสูงรัดเท้าจนเจ็บปวดไม่เป็นอุปสรรค์อีกต่อไป เมื่อถึงจุดหมาย ความลังเลที่เคยมีหายไปหมดสิ้น เปิดประตูบานหนาเข้าไปโดยมิได้เคาะ
ชายชราเพียงหันมองผู้บุกรุกไม่ใส่เท่าที่ควร แววตาสงบจ้องสบกับแววตาสีม่วงเข้มจัดจ้าน หญิงสาวไม่อาจบอกได้ว่าเขามีเรื่องใดอยู่ในหัวตอนนี้
“ท่านพ่อ!! พี่เอริคตายแล้ว!!”โจแอนคร่ำครวญกรีดร้องเสียงหลง วิ่งถลาไปนั่งข้างกายผู้เป็นพ่อ น้ำตารินหลั่นไม่อาจหยุดยั้ง อีกฝ่ายเพียงชักสีหน้านิ่ง แม้ว่าลูกชายคนโตสายเลือดเดียวกันเพิ่งตายจากไป
“งั้นรึ”นั่นเป็นคำตอบห้วนสั้น แต่ไม่เข้าหูหญิงสาว
“งั้นรึ? ท่านพูดออกมาได้อย่างไร ใจท่านทำจากอะไร ทำไมไม่รับรู้ความเจ็บปวดจากการเสียลุกชายไปสักนิด” ผู้ถูกต่อว่ายังคง “ข้าไม่นึกว่าวันนี้จะมาถึง” น้ำเสียงแหบแห้งเกินกว่าจะเอ่ยคำพูด เบนสายตาจากลูกสาวมองตรงไปยังกองเพลิงสุมลุกโชนอยู่ในเตาผิง ราวกับไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น “ข้ารู้ว่าไม่มีใครหฟลีกเลี่ยงมันได้ ยังไงเสียวันนี้ก็ต้องมาถึง”โจแอนยังคงเงียบ บังคับน้ำตาให้ไหลย้อนกลับไปแม้จะยากเย็นเต็มที
“ว่าแต่พี่ชายเจ้าเขาพูดอะไรก่อนตายไหม”โรเชสเตอร์ชราว่า หญิงสาวเพียงพยักหน้า ในเวลานี้เธอไม่อาจแสร้งทำเป็นเมินเฉยต่อชายตรงหน้าได้อย่างทุกครั้ง “เขาพูดว่า ท้ายสุดแล้วก็ตายอย่ามีเกียรติในหน้าที่”หญิงสาวพยายามสรุปใจความสำคัญแม้จะยากเย็นเต็มที
“มีอะไรอีกไหม”
“เขาบอกว่า. . .ข้าจะสามารถแทนที่เขาได้ มันอยู่ในสายเลือด. . .ข้าไม่เข้าใจ อะไรอยู่ในสายเลือด?. . .อะไรที่ข้าสามรถแทนที่เขาได้?”หญิงสาวเขย่าแขนชายชราพยายามขอคำตอบจากสายตาเย็นชานั้น คราวนี้สายตาทั้งสองสบประสานกับครั้งแรกในรอบสิบปี สายตาไม่อาจโกหกเช่นเดียวกับคำพูด ทำให้นางรู้ทันทีว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเพียงเท่าที่เห็น
มันคงได้เวลาแล้วสินะ. . .
“นักล่า. . .พี่ของเจ้าเป็นนักล่า”เขาเอ่ยขึ้นยากเย็น
“นักล่า? ล่าอะไร?”คำถามเกิดขึ้นภายในใจของหญิงสาวมากมาย
“เขาเป็นนักล่าที่มีความสามารถ เช่นเดียวกับข้า หรือปู่ของเจ้า และผู้ชายทุกคนในบ้านเซซิเลียน”น้ำเสียงราบเรียบไม่สะดุดเล่าโดยมิได้มีการสะดุดแต่อย่างใด หญิงสาวได้แต่นิ่งเงียบเมื่อสิ้นประโยค
“เมื่อหลายร้อยปีก่อน บรรพบุรุษของเรา รุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างก็เป็นนักล่าผู้เก่งกาจไม่มีใครเทียบ เรียกเรียกตัวเองว่ากิเดียน และพวกเราก็คือความหวังของพระเจ้า เราคือนักล่าแวมไพร์”
“เราคือนักล่าแวมไพร์”
ไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไหร่กว่าโจแอนจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกไขกระจ่ายได้ภายในคำตอบเดียว เรื่องมากมายลงล็อกพอดิบพอดีแม้จะไม่อยากปักใจเชื่อ ความเป็นไปได้ต่อสู้ขัดแย้งกับศรัทธาในจิตใจ
ทั้งเรื่องเสียงเอะอะบนหลังคารถม้าในวันที่เธอกลับมา เงาดำเคลื่อนผ่านอยู่รอบบ้าน ชายไร้เงาในกระจก แม้กระทั่งผู้สังหารพี่ชายของนาง ทุกสิ่งทุกอย่างเฉลยได้ในคำตอบเดียวที่ว่า พวกนั้นคือแวมไพร์
“เมื่อนักล่าทั้งสองเผชิญหน้ากัน ความกลัวหมดสิ้นมลายหาย มีเพียงทางเลือกเดียวไม่อาจย้อนกลับในใจ ฆ่าอีกฝ่ายก่อนมันจะฆ่าเรา”ยิ่งพูด ร่างยิ่งสั่นสะท้าน สัมผัสถึงอากาศเย็นจับขั้วหัวใจพัดผ่านท้ายทอย “กรณีของเอริค เขาได้ทำหน้าที่อันทรงเกียรติและตายอย่างสง่าผ่าเผย ยามวาระสุดท้ายเขาก็สู้ไม่หนี นั่นแหละคือความกล้าหาญอย่างแท้จริง”
“พูดบ้าอะไร! ความกล้าหาญ!! ความกล้าหาญที่แลกด้วยชีวิตน่ะหรือ นี่หรือที่ท่านและบรรพบุรุษยกย่องว่ากล้าหาญและตายอย่างมีเกียรติ”หญิงสาวสวนแทบจะทันที เสียงสั่นเครือเจือสะอื้นซึ่งกลับกลายเป็นการตะคอกใส่หน้าคนตรงข้ามแทน
“มันเป็นหน้าที่ที่ต้องสืบทอดต่อกันเป็นรุ่นๆ ยิ่งตอนนี้พวกมันกำลังเพิ่มจำนวนและเข้มแข็งขึ้นทุกที ในฐานะอดีตนักล่าคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้าและพี่ของเจ้าปรารถนาจะอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้ราตรีกลายเป็นสีแดงฉานอีกน่ะหรือ”แววตาเยือกเย็นกลับคุกรุ่นด้วยโทสะ จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา และเมื่อเห็นอีกคนเงียบนานจนชายแก่สามารถควบคุมอารฒณืดกระได้เขาจึงค่อยๆเอ่ยคำพูดใหม่ขึ้น
“โจแอนนาข้ากำลังยื่นทางเลือกอันยิ่งใหญ่ให้กับเจ้า...”
สุสานใหญ่โตหรูหราก่อสร้างตามแบบ โรมันอยู่ไม่ห่างกายหญิงสาวชุดกระโปรงดำสนิท วงหน้าภายใต้หมวกปีกยาวใบโตเศร้าหมองแววตาเหม่อลอย กำลังก้มหน้ามองพื้น
บาทหลวงชรากำลังทำพิธีสวดส่งวิญญาณให้เป็นสุขติ ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์มากมายถูกเปล่งออกเป็นวจีสลับคำกลอนเสนาะ แต่โจแอนกลับฟังไม่ ตอนนี้เสียงรอบด้านมิอาจเข้ามารบกวนจิตใจสิ้นหวังระคนสับสนได้ ในหัวเต็มไปด้วยความคิดมากมายไหลทะลักเข้ามา แม้ไม่เต็มใจจะเปิดรับมันสักเท่าใดนัก
“จงเป็นนักล่า เป็นหนึ่งเดียวกับบรรพบุรุษและพี่ชายของเจ้า”
ประโยคนั้นไม่อาจสลัดทิ้ง จรดลึกในจิตใจในเวลาเดียวกัน ลมหวนพัดผ่านหอบความหนาวเย็นผ่านสันหลังปลุกเร้าความเป็นจริงเบื้องหน้าให้กลับมาปรากฏอยู่ในสายตาซีดจางอีกครั้ง ยามนี้มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น ถูกทิ้งเหลืออยู่หน้าหลุมศพของพี่ชาย ครุ่นคิดทางเลือกที่ได้รับมา
เธอควรปฏิเสธ หรือยอมรับมันด้วยความเต็มใจดี?
“เดี๋ยว!! คนตรงนั้น!! เจ้านั่นแหละ!! บอกสิว่าข้าไม่ได้มาช้าเกินไป?”เสียงนุ่มระคนการหายใจหอบเอ่ยขึ้นทางด้านหลังทำให้หญิงสาวสะดุ้ง รีบปาดคราบน้ำตาเกรอะกรังบนสองข้างแก้มทิ้งไปรวดเร็ว หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงผู้วิ่งตรงมาด้วยความรีบร้อน ในมือถือช่อดอกไม้ใหญ่สีขาวนวลในกระดาษห่อสีสุภาพเพื่อมาร่วมงานศพ
“เกรงว่าท่านจะมาช้าไป งานเลิกได้สักพักหนึ่งแล้ว”หญิงสาวตอบก้มหน้ามองพื้นไม่สบตา มิปรารถนาให้ใครเห็นความน่าสมเพชของนางทั้งสิ้น
ไม่นานชายหนุ่มย่อตัววางดอกไม้หน้าหลุมฟังศพพร้อมโค้งคำนับด้วยความเคารพ ก่อนจะถอยห่างเว้นระยะ เพ่งพิศหญิงร่างผอมโปร่งตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ขยับรอยยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะรีบซ่อนมันไว้ปรับเปลี่ยนสีหน้าราบเรียบไร้พิรุธ
“ถ้าอย่างนั้น. . .เจ้าคงจะเป็น น้องสาวของเซซิเลียน อย่างนั้นใช่ไหม?” หญิงสาวเงยหน้ามองคนตรงหน้าฉงน แววตาสีจางไร้ความรู้สึกกลับมีประกายอีกครั้งด้วยความแปลกใจที่มีคนรู้จักเธอ แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักเขาก็ตาม
ตอนนั้นเองที่หญิงสาวได้เห็นเขาถนัดตาเป็นครั้งแรก เขาเป็นชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลเข้มติดจะดำอมเทา เดินตรงเข้ามาด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยบ่งบอกตำแหน่งได้ดี รอยยิ้มแปลกๆหากอบอุ่นและเจ้าเล่ห์ในคราเดียวกัน สายตาคมกริบสีทองดึงดูดใจจับจ้องราวกับจะล้วงความคิดในหัวของเธอออกมาจนหมด
“เอ่อ. . .ค่ะ แล้วคุณ?”
“ข้าชื่อว่าคริสโตเฟอร์ วัสตัน”จากประโยคนั้นทั้งสองมิได้เอ่ยคำพูดแก่กันอีก จนกระทั่งฝ่ายทำลายความเงียบกลับกลายเป็นลอร์ดหนุ่มคริสโตเฟอร์
“เขาเป็นชายหนุ่มนิสัยดีนะ เสียดายที่ตายก่อนวัยอันควร”จู่ๆเขาก็เอ่ยขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณพูดเหมือนคุณรู้จักเขาดีอย่างไรอย่างนั้น” รอยยิ้มอบอุ่นเคลือบแฝงความนัยขยับเฉียงขึ้นทำมุมตรงปากเล็กน้อย “ถึงเราจะไม่ได้รู้จักกันดีเท่าที่ควร แต่ข้าก็คิดว่าเขาเป็นคนดี ทั้งท่าทางซื่อ กิริยา วาจา ล้วงบ่งบอกว่าเขาฉลาดหลักแหลมและจริงใจแค่ไหน”ชายหนุ่มหันมองหญิงสาวภายใต้หมวกปีกแข็งยาวซึ่งปิดบังใบหน้าของเจ้าหล่อนไว้
“ข้ารู้ว่าเจ้านับถือและเชิดชูพี่ชายของเจ้ามากขนาดไหน มันคงยากมากสินะ กว่าจะทำใจยอมรับได้”คำพูดทิ่มแทงเข้ากลางอก จนต้องกุมมือที่หัวใจเอาไว้ ไม่ต้องการให้สั่นไหวไปมากกว่านี้ มือข้างซ้ายภายใต้ถุงมือสีดำกำแน่น บังคับตัวเองมิให้หลั่งน้ำตาต่อหน้าแขกผู้นี้
จังหวะนั้นเองที่ร่างค่อยๆเบาโหวงโดยไม่รู้ตัว อกแน่นอึดอัดแทบหายใจไม่ออก โชคดีที่ชายหนุ่มเหลือบเห็นความผิดปกติดังกล่าว เข้ามาประคองร่างบางไว้ทันท่วงที
“คุณผู้หญิง คุณผู้หญิง!!” ลอร์ดหนุ่มร้องเรียกใบหน้าตื่นตระหนก หญิงสาวปรือเปลือกตาขึ้นยากเย็น เขาไม่มีทางเลือดมากนักนอกจากประคองนางให้นอนราบกับม้านั่งยาวที่ใกล้ที่สุด ถือวิสาสะคลายปมรัดทรงชำนิชำนาญ เปิดหมวกปีกกว้างของนางออก ใช้มันกระพือให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก กุมมือนางขึ้นจับชีพจร แล้วจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อทุกอย่างเป็นปกติดี
โจแอนสะดุ้งตัวเมื่อรู้สึกว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น หญิงสาวกุมหัวหนักอึ้งด้วยความเจ็บปวด กระหม่อมเต้นตุบๆตลอดเวลาแทบจะระเบิดเสียเดี๋ยวนั้น ไม่นานจึงคลายตัวออก สายตาพร่ามัวมีคราบน้ำตาเกรอะกรังรอบขอบตาชัดเจน พยายามกระพริบถี่ๆไล่ละอองน้ำที่หลงเหลืออยู่จนแน่ใจว่าเหือดแห้งกลับเข้าไปหมด ก่อนจะค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นแช่มช้า อเมทิสต์จางเม็ดงามสองวงมองเห็นใบหน้าลอร์ดหนุ่มชัดเจนกว่าทุกครั้งเป็นครั้งแรก และนั่นทำให้ ลมหายใจของหญิงสาวติดขัดเป็นห้วงๆจนรู้สึกได้
“เอ่อ . . .ข้าไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณท่านมาก. . .ท่านลอร์ดวัสตัน”เธอบอกเบนหน้าหันหนีจากเขา ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่านางมองเขาอย่างไร
“ได้โปรด เรียกข้าว่าคริสเถิด”หญิงสาวหันกลับมามีท่าทีลังเลไม่แน่ใจระคนประหลาดใจ แต่ยอมตกลงในที่สุด “ก็ได้ค่ะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าโจแอน ไม่ก็โจ ตามแต่สะดวกเถิด” คริสโตเฟอร์ยันกายลุกจากพื้น หลังจากเจ้ามองหญิงสาวผู้นั่งอยู่บนม้านั่งเป็นเวลานาน ปัดเศษดินบริเวณเข่าออก ยิ้มรับน้อยๆด้วยท่าทีเป็นมิตร
ท่าทีเย็นชาจางหายได้อย่างน่าประหลาด ยามได้รู้จักเขา ความมีชีวิตชีวากลับมาแทนที่ มิตรภาพก่อตัวขึ้นช้าๆ หญิงสาวแน่ใจว่าเขาคงเป็นคนดี สมควรมอบความไว้วางใจให้ และเขาอาจเป็นคนที่เธอกำลังมองหาเพื่อเป็นที่ปรึกษาดีๆสักคนให้เธอยึดเหนี่ยวได้
“เอ่อ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ข้ามีธุระสำคัญอันน่าเบื่อที่ต้องไปทำ. . .ขอตัวก่อน หวังว่าเราคงจะได้พบกันในเร็ววัน”เขาโบกมืออำลา ก่อนจะเดินจากไปขึ้นรถม้าด้วยท่าทีสง่างาม
ภายในรถม้าหุ้มนวมสีแดงสดราวกับเลือด ลอร์ดหนุ่มคริสโตเฟอร์เอนกายเอกเขนกบนรถม้าคันงามของเขา พร้อมด้วยแขกอีกคนที่เขาเฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว จึงไม่แปลกใจเมื่อได้เห็นหล่อนนั่งรอยู่ฝั่งตรงข้าม มองเขาด้วยสายตาชิงชังเคียดแค้น ก่อนรถม้าจะค่อยๆออกตัวเร่งความเร็วขึ้นทีละนิดจนแทบไม่รู้สึก
“กำลังรออยู่เลย” คริสโตเฟอร์พูด ฉับพลันดวงหน้าอ่อนโยนกลับเหี้ยมเกรียมราวพลิกฝ่ามือ มองหญิงสาวตรงข้ามด้วยความสมเพช
“มีธุระอะไร? ข้าคิดว่าธุระของเราจบลงแล้วเสียอีก”น้ำเสียงอ่อนหวานห้วนสั้นเย็นเฉียบ มือข้างขวาถือผ้าเช็ดหน้าสีขาวเรียบง่ายกำลังกำแน่นบิดไปมา
“ยังหรอก หน้าที่ของเจ้ายังไม่หมด บทของเจ้าที่เราเขียนให้ยังมีอีกหลายหน้า”รอยยิ้มเจ่าเล่ห์ผุดพรายบนมุมปากบางได้รูป
“อะไรน่ะ !! เจ้าคนกลับกลอก!! เจ้ามันปิศาจชัดๆ!!”นางตะโกนสุดเสียงไม่ใส่ใจว่าคนภายนอกจะได้ยินหรือไม่
“อยู่-นิ่งๆ”น้ำเสียงเน้นหนักทุกคำพูดตรงกันข้ามกับท่าทางเฉยชาอย่างสิ้นเชิง มือภายใต้ถุงมือสีขาวสะอาดยื่นบีบคอหญิงสาวผู้น่าสงสาร แววตาจ้องเขม็ง “เจ้าคงรู้บทลงโทษของคนทรยศพวกเราสินะ”ลอร์ดหนุ่มว่า เอื้อมมืออีกข้างจับหน้าท้องหญิงผู้นั้น. . .ได้ผล นางมีมีท่าทีร้อนรนขึ้นทันใด พยายามปัดป้องมือให้ออกไปจากกายนาง
“ไม่นะ!! อย่าทำแบบนั้น!! ได้โปรด ปล่อยข้าไป ข้าขอร้อง ข้ายอมแล้ว จะให้ข้าทำอะไรก็ได้ แต่อย่าทำแบบนี้กับเลย”นางกรีดร้องพยายามอ้อนวอน น้ำตาอาบแก้มพร้อมท่าทีผิดแปลกไปทำให้อีกฝ่ายขยับยิ้มเย็น เมื่อล่วงรู้ว่าสิ่งที่ตนเองคาดการณ์เอาไว้ถูกต้อง
“อา. . .แสดงว่าข่าวนั่นก็เป็นความจริงสินะ”หญิงสาวหน้าซีดภายใต้หมวกคาโนเทียอันเล็ก แต่ก็ไม่อาจหลุดรอดจากสายตาคมกริบราวเหี่ยวนักล่านั้นได้ จึงนั่งตัวสั่นอยู่เงียบๆ กัดฟันแน่น
ตอนนี้สิ่งที่นางทำได้และจะทำก็คือมีชีวิตรอดจนถึงวันนั้นเท่านั้น. . .ขอเพียงแค่วันนั้นวันเดียว
“ค่อยว่าง่ายขึ้นหน่อย. . .จริงไหม เทเรซ่าที่รัก?”
“เจ้า-อย่า-บังอาจ-เรียก-ข้า-แบบ-นั้น”หญิงสาวพูดเน้นคำ อีกฝ่ายหาสนใจไม่ มือกร้านไล้หลังฝ่ามือแผ่วเบาผ่านข้างแก้มอย่างทะนุถนอม “อย่าลืมสิ เจ้าไม่มีอะไรให้เสียแล้ว ลืมแล้วหรือเหตุผลที่เจ้ารับข้อเสนอของข้าตั้งแต่แรก ลืมแล้วหรือว่าครอบครัวของเจ้าทิ้งเจ้าไปไม่ใยดี ลืมแล้วหรือว่าคนเดียวที่จะช่วยเจ้าให้พ้นทุกข์ได้ก็มีแต่ข้าคนนี้เท่านั้น”รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏขึ้น มองวงหน้าขาวจัดจนเกือบจะซีดด้วยความชอบใจ
“ใช่สิ หลังจากที่เจ้าเจอไอ้หนุ่มนั่น เจ้าก็หลงลืมจุดหมายของตัวเองเสียสนิท เป็นแบบนี้แล้วข้าควรจะคิดอย่างไรดีล่ะ”อีกฝ่ายไม่ตอบโต้ มอบชายหนุ่มถอยหายใจเหนื่อยหน่ายเพียงลำพัง “แต่เอาเถอะ ข้าไม่เหมือนคนอื่น ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง และหวังว่าเจ้าคงไม่แสดงท่าทีแปรพักตร์อย่างเห็นได้ชัดแบบนี้อีกไม่เช่นนั้น...”รถม้าหยุดนิ่งจอดสนิท ความเงียบปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ ดวงตาสีรุ่งอรุณเข้มจัดอย่างน่ากลัวพร้อมหรี่เล็กลง มือกร้านไล้อ้อยอิ่งอยู่ที่ลำคอขาวค่อยๆกำแน่นและบีบจนอีกฝ่ายหายใจติดขัด ก่อนจะปล่อยและผลักนางลงจากรถม้าในที่สุด
“เอาล่ะในเมื่อเจ้าเข้าใจบทบาทของเจ้าแล้ว ข้าจะปล่อยเจ้ากลับไป แต่อย่าลืมเสียล่ะ ว่าทางของเจ้าจะไม่มีวันหวนกลับได้อีก. . .ตลอดกาล” ตามด้วยเสียงหัวเราะน่าขนลุกส่งท้าย ขณะที่หญิงถูกทิ้งไว้หน้าประตูคฤหาสน์หลังเก่าท่ามกลางทางเดินร้างไร้ผู้คนและมีหมอกลงหนาทึบ แววตาสีฟ้าเหม่อลอยคล้อยตามรถม้า พบเพียงความอ้างว้างเดียวดาย
คงจะจริงอย่างที่เขาว่า. . .เพราะทางที่เธอก้าวเดินอยู่ตอนนี้ ไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว
โจแอนเดินกลับไปยืนอยู่หน้าหลุมฟังศพของพี่ชายอีกครั้ง จ้องมองขอคำตอบเป็นครั้งสุดท้าย สายตาสีอเมทิสต์เข้มค่อยๆซีดจางกลับเป็นปกติ การตัดสินใจสุดท้ายของเธออาจเปลี่ยนชะตาและชีวิตทั้งหมดของเธอได้ภายในพริบตา
นี่แหละคือจุดหมายที่เธออยากจะมชีวิตต่อไป เพื่อแก้แค้น เพื่อสังหารพวกมันที่พรากเขาไปจากเธอ
ไม่นานร่างผอมเบือนหน้ามองตรงข้างหน้าเดินจากไปตาม โดยไม่คิดจะหันกลับไปมองด้านหลัง
เพราะนี่เองคือทางที่ไม่อาจหวนคืน. . .
((รวมหลายตอนเลยยาวนิดนึง...ไม่นิดแล้วล่ะ-*-))
ความคิดเห็น