ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    An Unmention Fairly Tale

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1 (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 53


    บทที่1

     

                    แตรยาวเป่าก้องไปทั่วปราสาทเมื่อยามแขกหรือมากหน้าหลายตาต่างยุรยาดผ่านประตูทางเข้าอันโอ่โถงเข้าสู่งานเลี้ยงราตรีอันยิ่งใหญ่ครั้งที่53ของอาณาจักรฟาร์อเวย์       

                    ทุกแห่งห้องในปราสาทถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ทั้งโคมระย้า ทั้งช่อดอกไม้ ทุกๆอย่างล้วนสมบูรณ์แบบที่สุด ทุกๆอย่างดำเนินไปตามแบบที่มันควรจะเป็น เชข่นเดียวกับเขตพระราชฐานด้านหลัง ที่ซึ่งความวุ่นวายทั้งหมดเป็นไปตามปกติ เว้นเสียแต่...

                    “ลิเธียๆ เอาแป้งมาให้ข้าหน่อยเร็วเข้าๆ”หญิงสาวผอมทองยาวจรดบั้นเอวตะโกนก้องบอกแก่สาวน้อยผมน้ำตาลยาวประบ่าผู้กระวีกระวาดลากหีบใบโตเต็มไปด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับมากมายตรงมายังผู้ที่เรียกหาหล่อน

                    “ได้แล้วเจ้าค่ะเลดี้เอมฟีเมีย”สาวน้อยตอบขณะที่มือบอบบางทำอะไรไม่เป็นนอกเสียจากแต่งหน้าคว้าหมับเอาตลับแป้งไปโดยไม่แยแส

                    “ชักช้าจริงแม่คนอืดอาด ข้าไม่น่าจ้างเจ้ามาทำงานนี้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลุงของเจ้าขอร้องมาแล้วละก็”หล่อนพูดผ่านกลุ่มแป้งที่ตบเสียจนฟุ้งหน้ากระจกบานใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นยืดแล้วชี้นิ้วสั่ง “ส่งชุดเดรสสีชมพูนั่นมาซิ” เด็กสาวจัดให้ตามที่อีกฝ่ายสั่ง แล้วช่วงร่างที่มีส่วนเว้าโค้งน่านยัดตัวเองลงไปในชุดรัดรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นห่วงแทนว่าอีกฝ่ายจะหายใจได้อย่างไร  

                    “ตายแล้วๆดูสิใกล้เวลาประกวดเข้ามาทุกที หน้าก็ยังไม่ได้แต่ง ตายแล้วๆ” เอมฟีเมียคราง แต่เมื่อเห็นลิเธียตั้งท่าจะเข้ามาช่วยหล่อนก็โบกมือไล่ “ไม่ต้อง เจ้าน่ะมันตัวหายนะ ขืนแต่งหน้าข้ามีหวังได้กลายเป็นตัวตลกให้คนทั้งวังหัวเราะ ไม่ตั้องล่ะอยู่ตรงนั้นทำตัวสงบเสงี่ยมไปเถอะ”

                    ลิเธียไม่มีทางเลือกนอกเสียจากเดินห่างออกมาแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนฝาหีบใบโตที่เธอเป็นคนขนมันเข้ามาเอง ขณะมองเลดี้เอมฟีเมียกำลังตบแต่งใบหน้าของตัวเองหน้ากระจกอย่างปราณีต

                    ลิเธียมองนายสาวของตนแล้วมองไปยังหญิงสาวคนอื่นๆ พลางคิดว่าในห้องนี้เต็มไปด้วยสาวงามทั่วราชอาณาจักรซึ่งต่างตั้งตารอคอยการประกวดมิสฟาร์อเวย์เช่นเดียวกับทุกๆปี และแน่นอนเลดี้เอมฟีเมีย หญิงสาวที่สวยที่สุดและร่ำรวยที่สุด ลูกสาวของแลนด์ลอร์ดซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่หมู่บ้านของเธอตั้งอยู่ ย่อมไม่มีทางพลาดโอกาสนี้เช่นเดียวกัน

                    ทว่าปีนี้นั้นทุกคนดูจะมุ่งมั่นมากเป็นพิเศษ เมื่อพระราชามีพระราชโองการมาว่า สาวงามผู้ใดที่ชนะเลิศได้เป็นมิสฟาร์อเวย์ในปีนี้จะได้แต่งงานเป็นพระชายาของเจ้าชาย และจะได้เป็นราชินีของอาณาจักรฟาร์อเวย์สืบต่อไป

                    แน่นอนว่าเกียรติยศในฐานะสาวงามที่สุดในราชอาณาจักรนั้นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝัน และการแต่งงานกับเจ้าหนุ่มรูปงามย่อมเป็นที่สุดแห่งความปรารถนาของสาวใดๆ

                    เจ้าชายดิมมิสคือเจ้าชายหนุ่มรูปงามร่างสูงชะลู่ ใบหน้าหล่อเหลาแลดูอ่อนโยนโดยเฉพาะเมื่อดวงเนตรสีฟ้าทอดมองมาก็ทำให้หัวใจของใครหลายคนหลอมละลายกลายเป็นน้ำ อีกทั้งบุคลิกภาพอันแข็งแกร่งสง่างามเป็นผู้นำซึ่งถูกฝึกมาอย่างดี จมูกโด่งคมสันทำให้ใบหน้าดูมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ซึ่งแม้แต่กวีเองก็บรรยายลักษณะของพระองค์เอาว่า เพียงแค่ได้เห็นประองค์ มังกรร้ายจะปฏิญาณเป็นข้ารับฝใช้ผู้ภักดีของพระอวงค์ตลอดไป ...แน่นอนกวีย่อมกล่าวเกินความเป็นจริงอยู่แล้ว

                    แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไม่คิดว่าเจ้าชายดิมมิสไม่หล่อหรือว่าอะไร...แน่นอนสายตาของเธอ            สายตาของลิเธียไม่ได้บอดพร่าขนาดแยะแยะไม่ออก เธอเองก็เห็นด้วยกับคนอื่นๆว่าเจ้าชายนั้นน่าหลงใหล หล่อเหลา และมีเสน่ห์เพียงใด ทว่าพระองค์ไม่ช่าผู้ชายอย่างที่เธอจะชอบหรือสมควรจะชอบ

    เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนสวย แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดคนส่วนใหญ่บรรยาเธอคร่าวๆว่าเป็นเด็กสาวผอมกระหร่องผู้มีผมสีน้ำตาลโคลนน่าเกลียดกับดวงตาสีดำดุจถ่านหิน

    นั่นน่ะไม่เป็นความจริงสักนิด

    ประการแรกเธอไม่ได้ผอมขนาดนั้น ...ผอมใช่ แต่แค่ผอมอย่างคนปกติทั่วไปที่ทำงานหนักอดมื้อกินมื้อบ้างเพราะไม่ได้เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองแต่กำเนิด

    ประการที่สอง ผมของเธอไม่ใช่สีโคลน...เขาเรียกว่าสีน้ำตาลซีด แต่แค่มันไม่เป็นประกายก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเหมือนสวีของโคลนในหนองน้ำเสียหน่อย

     และประการสุดท้ายดวงตาเธอไม่ใช่สีดำถ่าน แต่เขาเรียกว่าดำดุจนิลต่างหาก

    แน่นอนคุณสมบัติทั้งหมดที่เธอมีอยู่ย่อมไม่โดดเด่นพอจะเป็นนางในดวงใจของเจ้าชายได้ แต่เธอไม่สนใจเพราะว่าคนเดียวที่เธอมอบหัวใจให้ทั้งดวงไม่ใช่ชายสูงศักดิ์ที่คนทั่วอาณาจักรหมายปอง แต่เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไร้ศักดิ์ ไร้ความสำคัญ ไร้เกียรติยศหรือเงินทองใดๆ

    ผู้ชายที่หล่อ...ในสายตาเธอต่อให้ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม มีอารมณ์ขัน และมีรอยยิ้มสวยยากจะลืมเลือน...

     “อย่ามัวแต่ฝันค้าง หยิบสร้องจากหีบมาให้ข้าเร็วๆเข้า!!”เสียตะโกนสั่งของเลดี้เอมฟีเมียลอยมาพร้อมกระปุกแป้งที่เหวี่ยงมาโดนหัวเต็มๆปลุกให้ลิเธียตื่นจากห้วงภวังค์ แล้วก็ได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง คลำหัวตัวเองที่ปูดช้าๆพลางหวังจะเจอคนคนนั้นในค่ำคืนนี้

    “ยืนบื้ออะไรแม่คนไม่ได้เรื่อง เร็วสิ การประกวดจะเริ่มภายในสิบนาทีนี้แล้ว!!!”เธอเห็นความประหม่าในดวงตาของเลดี้เอมฟีเมียอย่างชัดเจน และโชคดีที่หลบสิ่งที่ที่ปามาเป้นอย่างที่สองได้ทัน และเมื่อหล่อนหมดความอดทน หล่อนก็สาวเท้ายาวๆของหล่อนตรงมา ผลักเธอลงไปกองอยู่กับพื้น และควานเอาสร้องเพชรแววาวมาสวมเองแล้วกลอกตาขึ้นฟ้าให้กับความไร้ประโยชน์ ไร้ค่า...ไร้....

    พอเถอะ เดี๋ยวนางเอกจะไม่เป็นนางเอกมากไปกว่านี้...

    ตอนนั้นเองที่สุภาพสตรีทั้งหลายค่อยๆทยอยออกจากห้องแต่งตัวคนรแล้วคนเล่า พวกหล่อนล้วนเตรียมพร้อมสำหรับสนามรบที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกหล่อน...เวทีประกวดนางงาม

    ลิเธียหันไปมองนายหญิงของตน เลดี้เอมฟีเมียมีความงามไม่เป็นสองรองใคร...อาจจะน้อยกว่าผู้หญิงผมสีแดงที่ใส่ชุดฟ้าไปสักหน่อย...อ้อ อีกคนที่กำลังออกประตูใส่ชุดเดรสสั้นคนนั้นด้วย...แล้วก็...

    “ พอเลย! ไอ้การเปรียบเทียบไร้สาระของเจ้า เพราะตาของเจ้ามันดูไม่ออกหรอกว่าไหนเพชรแท้ไหนเพชรเทียม หึ เอาค่าจ้างครึ่งแรกของเจ้าไปซะ” หล่อนยัดค่าตอบแทนใส่มือของลิเธีย พูดต่อพร้อมรอยยิ้มหวานจัดปานน้ำผึ้ง “อย่าหนีไปไหน ห้ามทำตัวบ้านนอกวิ่งหลงในปราสาทด้วยเข้าใจไหม เมื่อเพราะเมื่องานคืนนี้จบลง ข้าจะได้เป็นราชินีของฟาร์อเวย์และเป็นสาวงามอันดับหนึ่ง โฮะๆ”แล้วเจ้าหล่อนก็หัวเราะเล่าไม่เกรงสายตาใครหลายบคนที่ตวัดมอง ก่อนจะย่างเท้าจากไปเช่นเดียวกัน

    ลิเธียมองห้องที่ค่อยๆว่างเปล่า คนแล้วคนเล่าที่ค่อยๆเดินจากไป บรรดาหญิงสาวซึ่งมีหน้าที่ช่วยแต่งตัวเองก็ออกจากห้องไปทีละคนสองคนเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

    ขณะที่เท้ากำลังจะพ้นบานทวาร พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้ากระจกกำลังร้องไห้ ลิเธียชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไร แน่ละมันไมใช่กงการของเธอที่จะต้องไปใส่ใจคนแปลกหน้า แต่อีกใจหนึ่งเธอกลับรู้สึกว่าหญิงสาวผู้งดงามคนนี้ไม่สมควรที่จะเศร้าสร้อยเพียงลำพังในขณะที่ผู้คนต่างหัวเราะและเฝ้ารอคอยการประกวดอย่างใจจดจ่อ

    “เอ่อขอโทษนะ ท่านไม่เป็นไรนะมายเลดี้”ลิเธียตัดสินใจเอ่ยขึ้นในที่สุด คนได้ยินฟันมามองช้าๆ แล้วส่ายหน้าไปมาฝืนยิ้มทั้งน้ำตา

    “เปล่าไม่มีอะไร ขอโทษที ข้ากำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” แต่เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นและลิเธียไม่ชอบความรู้สึกนั้นเป็นอย่างยิ่ง

    “ท่านกำลังโกหกข้านะมายเลดี้ข้าดูออก มีอะไรให้ข้ารช่วยไหม หรืออยากเล่าอะไรให้ข้าฟังไหม เผื่อว่ามันจะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น”ลิเธียค่อยๆย่อตัวลงไปแล้วกุมมืออีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ในที่สุดเด็กสาวผู้งดงามก็เอ่ยขึ้นในเวลาต่อมา

    “ข้าไม่อยากเข้าประกวด...ข้ารักเจ้าชาย แต่ว่า...ดูสิ ข้าไม่มีอะไรจะไปสู้กับคนอื่นได้เลย ทั้งชุดทั้ง...”

    “ไม่นี่ ข้าไม่เห็นว่าท่านด้อยกว่าคนอื่นตรงไหน ท่านสวย และงดงามมาก...ทำไมท่านจึงพูดแบบนั้นเล่า”ลิเธียถาม

    “ครอบครัวข้ากำลังประสบปัญหา...ปัญหาการเงินน่ะ พวกเขาต้องการให้ข้าแต่งงานกับเจ้าชายเพื่อให้ข้ากอบกู้ฐานะของทางบ้าน แต่ข้าจะทำได้ยังไง นั่นมันเท่ากับว่าข้าหลอกลวงเจ้าชายหากว่าข้าได้เป็นพระชายา แล้วข้าเองก็ไม่อยากรู้สึกผิด แล้วก็เพราะว่านั้นรักเจ้าชาย แล้วก็เพราะว่า...”หากลิเธียยั้งหล่อนเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าเรื่องราวคงจะยาวเหยียดและซ้ำไปมาแน่หากว่าปล่อยให้หล่อนพูดต่อ

    “ข้าเข้าใจ แต่ว่ามายเลดี้ ท่านรักเจ้าชาย นั่นคือสิ่งสำคัญไม่ใช่หรือ แล้วถ้าเจ้าชายเองก็รักท่าน ท่านก็จะเข้าใจ เพราะข้าดูออกว่าความรักของท่านที่มีให้กับเจ้าชายไม่ใช่ความใหลหลงแต่เป้ฯความระกบริสุทธิ์ และไม่ได้มีความหลอกลวงปนอยู่แม้แต่นิดเดียว” หญิงสาวแสนสวยผู้นั้นพยักหน้าเห็นด้วย

    ลิเธียหยุดไปพักหนึ่งเพื่อล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวออกมาแล้วซับไปที่ดวงตารื่นน้ำ นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่เธอสังเกตเห็นดวงตาสีฟ้าใสราวกับท้องฟ้าในฤดูร้อน และใบหน้าสวยสง่าน่ารักเยี่ยงตุ๊กตากระเบื้อง  ปากอิ่มแต่งแต้มด้วยสีแดงสดเชื้อเชิญให้จุมพิต กับผมสีบทองเป็นลอนเปล่งประกายปล่อยสยายและเคลียไหล่มนน่าทะนุถนอม

    “ข้ารักเจ้าชายจริงๆนะ”เด็กสาวผู้นั้นยืนยัน และดวงตาที่ซื่อตรงก็ยืนยันคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี

    “และที่ท่านมาที่นี่ก็เพื่อจะคว้าหัวใจของเจ้าชาย”ลิเธียยิ้มกว้ากว่าเก่า กระชับมือของอีกฝ่ายแน่นขึ้น “อย่ากังวลไปเลยมายเลดี้ หน้าที่ของท่านตอนนี้คือการออกไปยังเวทีนั่น แสดงให้ทุกคนเห็นว่าท่านคือสตรีที่เพียบพร้อมในทุกๆด้าน และสำคัญเหนืออื่นใด แสดงให้พวกเขาเห็นว่าท่านเหมาะจะเป็นพระชายาเพราะท่านรักเจ้าชายด้วยหัวใจทั้งหมดที่ท่านมี”

    นั่นทำให้หญิงสาวขยับยิ้มออกพมาพร้อมหัวเราะ ลิเธียก็พลอยยินดีไปด้วยที่ได้เห็นหล่อนร่าเริงขึ้น

    “เจ้าเป้นใครกันอะไร ทำไมถึงได้พูดจาจับใจข้าได้ดีเช่นนี้ ข้ามีนามว่าอาเดเล”หล่อนเอ่ยสูงๆต่ำๆราวกับดนตรี

    “ข้าก็แค่สาวรับใช้ผู้ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่บ่อยๆก็เท่านนั้นเองค่ะมายเลดี้ ไม่ได้เป้นใครที่ไหนเลย มายเลดี้อาเดเล”เด็กสาวว่าขณะที่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักมาจากเลดี้สาวแสนสวย

    “เจ้าตลกและก็พูดตรงไปตรงมาดี ข้าชอบเจ้านะ นายหญิงของเจ้าช้างโชคดีที่ได้เจ้ารับใช้ใกล้ชิด”อาเดเลว่า

    “ไม่หรอกค่ะมายเลดี้ ดิฉันแค่สาวรับใช้ชั่วคราวถูกจ้างมาเพื่อช่วยนายหญิงของข้าแต่งตัว แต่โดยปกติแล้วข้าเป็นเพียงข้าติดที่ดิน แต่ถ้าไปถามนายหญิงของข้า ท่านจะประหลาดใจที่ได้ยินคำตอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”ลิเธียพูดพลาดลุกขึ้นยืน ก่อนตัดสินใจเก็บข้าวของของเลดี้เอมฟีเมียไปด้วย

    “ทำไมเจ้าว่าอย่างนั้น?” สาวน้อยสงสัย

    “เพราะว่าข้าได้รับเลือกให้เป็นตัวกาลากินีดีเด่นประจำหมู่บ้านมาถึงสองปีซ้อนอย่างไรเล่าคะมายเลดี้”

    คำว่ากาลากินีทำให้เลดี้อาเดเลตกใจ เพราะอาเดเลดูจะทำหน้าแปลกๆพร้อมใขยับตัวออกห่าง อย่างที่ลิเธียแอบนึกในใจว่า แย่แล้วพูดมากเกินไป เด็กสาวจึงรีบอธิบายเสริมความเพื่อแก้ความเข้าใจผิดในทันที

    “เอ่อในความหมายของคำว่ากาลากินี ข้าไม่ได้หมายความว่าอยู่กับข้าแล้วคนตายหรือจะเกิดโรคระบาด หรืออะไรอย่างนั้นนะคะมายเลดี้ ข้าหมายถึงว่าข้ามักจะทำให้ข้าวของหรืองานเทศกาลอย่างใดอย่างหนึ่งงล่มไม่เป็นท่าอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาเลยให้ตำแหน่งนี้กับข้าอย่างไรเล่าคะ(มีสายสะพายประจำตำแหน่งให้ข้าด้วย) ไม่ได้เป็นเพราะข้ามีมนตร์ดำหรืออะไรอย่างนั้น”ลิเธียเห็นแววตาสงบลงจากอาเดเลแล้วต้องลอบถอนลมหายใจ

    เอาล่ะอย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนใหม่ของเธอเตจลิดไปเสียก่อน...คนส่วนใหญ่เมื่อได้ยินคำว่ากาลากินีก็มักจะเอาตัวออกห่างจากเธอทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้เธออธิบายแม้แต่คำเดียว โชคยังดีที่อาเดเลมีจิตใจงดงามพอที่จะรับฟัง หรือไม่ก็เพราะประตูทางออกอยู่ห่างเกินกว่าที่หล่อนจะวิ่งหนีโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในชุดประโปรงรุ่มร่ามกร่อมเท้าได้ทัน

    ซึ่งลิเธียค่อยข้างมั่นใจว่ามันเป็นประเด็นหลังมากกว่า...

    “อย่างนั้นหรือจ๊ะ”อาเดเลหัวเราะเจื่อนๆกลบเกลื่อน “อ้อถ้าอย่างยนั้นข้าคงต้องรีบไปก่อนนะ”

    “โชคดีค่ะมายเลดี้ อ้อ จริงสิ ให้ข้าช่วยนะคะมายเลดี้ กระโปรงของท่านค่อนข้างยาวคงไปถึงประตูลำบากสักหน่อย”ลิเธียเสนอตัว และยินดีเมื่อเห็นการพยักหน้าตอบรับจากเพื่อนใหม่

    เด็กสาวจึงวิ่งตรงไปเปิดประตู พลันนั้นก็ได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น

    แคว้ก...

    “แย่แล้ว”ลิเธียอุทานเบาๆ

    “นั่นเสียอะไรหรือจ๊ะ?”

    “อ้อไม่มีอะไรค่ะมายเลดี้ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

    หากความจริงคือชายกระโปรงลูกไม้ของเลดี้อาเดเลหลุดลุ่ยเป็นแถบเพียงเพราะเธอเผลอเหยียดมันเข้าอย่างจังขณะที่รีบร้อนจะไปเปิดประตู ทว่าลิเธีรยตัดสินใจทำตัวนิ่งเอาไว้เสียและหวังว่าเลดี้สาวแสนสวยจะไม่ทันสังเกตเห็น และยกชายประโปรงขณะเดินตามหล่อน ทำให้เธอได้เห็นว่ามันลุ่ยน่าเกลียดกว่าที่เธอคาดเอาไว้หลายเท่านัก

    ลิเธียที่พยายามใช้ท้าเขี่ยชายลูกไม้ซึ่งเธอทำหลุดไปไว้ด้านหลังก่อนส่งยิ้มกว้างเมื่อเลดี้อาเดเลหันมาเอ่ยคำขอบคุณและเอ่ยคำลา ซึ่งลิเธียตอบรับเพียงการหัวเราะแก้งและโบกมือน้อยๆอวยพรให้หล่อนโชคดี และรีบรุดไปเก็บข้าวของต่อ แม้จะอดเหลือบมองชายลูกไม้ที่ลากไปเป็นทางเมื่ออีกฝ่ายจากไป

    วินาทีนั้นเองที่เธอหันกลับไป เธอก็ต้องแปลกใจเมื่อชนเข้ากับเห็นแผ่นออกกว้างของใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังง่วนอยู่กับเอกสารในมือจนไม่ทันเห็นเธอ กระทั่งเธอถูกชนเซไปเป็นเมตร

    “ต้องขออภัยเลดี้ข้าไม่เห็นว่า....” เมื่อลดเอกสารลง ชายหนุ่มร่างสูงจึงเห็นว่าคนตรงหน้าหาใช่ใครอื่นความสุภาพจึงแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “อ้อ เจ้าเองหรอ”

    ขณะที่ลิเธียนั้นทำตรงกันข้าม สีหน้าของหล่อนเบิกบานขึ้น และเลือดสูบฉีดแรงจนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังออกมานอกอกอย่างปรีดา เมื่อเห็นเค้าหน้าคมเข้มของชายหนุ่มร่างสูงผมสีน้ำตาลเข้มเป้นลอนคลื่นกับดวงตาสีน้ำตาลของฤดูใบไม้ร่วง

    “เอร์เนส!!

    “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

    “ข้าสบายดีขอบคุณแล้วเจ้าล่ะ”

    “ไม่มีใครอยู่ในห้องแล้วใช่ไหมข้าจะได้ไปเรียนพระราชาว่าให้เริ่มงานได้”

    “ท่านดูแปลกไป ไปทำอะไรมากับผมรึเปล่า หรือว่าออกกำลังกายบ่อยขึ้น?”ลิเธียพูดอย่างร่าเริงขณะที่ชายหนุ่มได้แต่กลอกตาอย่างระอา รู้ดีว่าเขากับเธอกำลังพูดคนละเรื่องกันอยู่

    “งั้นข้าไปล่ะ ลาก่อน”ชายหนุ่มพูดตัดบท แล้วสาวเท้าจากไปไม่แม้แต่หันมามองหญิงสาวที่โบกมือหวือไปมาในอากาศและยิ้มราวกับคนบ้าขณะที่ตอบลกลับว่า

    “แล้วพบกันใหม่นะเอร์เนส”

    ก่อนที่เขาจะเลี้ยงหัวมุมมและหายไปจากเรติน่าของเธอ เมื่อแน่ใจว่าอยู่ตามลำพังแล้ว เธอจึงกำมือแน่นหลับตา หัวเราะร่าอย่างดีใจ นึกแล้วว่าการมาที่นี่ย่อมเป็นประโยชน์ และนั่นคือหนึ่งในเหตุผลหลักที่เธอยอมทนความเรื่องมากและคำถากถางของเลดี้เอมฟีเมียนั่นก็เพราะเธอรู้ว่าเอร์เนสจะอยู่ที่นี่ ในงานเลี้ยงเต้นรำ!!!

    ไม่มีความยินดีใดจะทำให้เธอสุขใจได้มากเท่านั้น เธอรู้ดีว่าหากนี่คือละครเวที ตอนนี้แหละที่ดนตรีจะเริ่มบรรเลงและเธอจะเริ่มร้องเพลง และเต้นรำ พรรณาความยินดีและความรักที่มีต่ออีกฝ่าย....แต่ชีวิตจริงคือเธอได้แต่กรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจและกระโดดไปมา ลีลาศไปมาคนเดียวครู่หนึ่งก่อนจะเข้าห้อง ทิ้งตัวที่เหนื่อยจากอาการตื่นเต้นเกินเหตุกับบานประตูที่ปิดสนิท

    “เอร์เนสที่รัก ท่านช่างหล่อเหลาเช่นเคย”แล้วเธอดันตัวเองขึ้นแล้วเริ่มหมุนตัวไปรอบๆห้อง ทั้งเต้นรำและคลอเพลงอยู่ในลำคอด้วยทำนองที่แต่งเอง

    ก่อนจะจบลงที่หน้าต่าง มองดาวประจำเมืองแล้วถอนหายใจทำหน้าชวนฝันแล้วเริ่มหลับตาแน่นก่อนลงมืออธิษฐาน เธอเชื่อเสมอว่าหากเรารตั้งมั่นและอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่า สักวันความปรารถนาของเธอจะเป็นจริง รวมถึงเรื่องของเธอกับเอร์เนสเองก็อาจจะเป็นจริงเช่นกัน

    คิดพลางขยับยิ้มกว้างอย่างเก้อเขินโดยอัตโนมัติ เมื่อเธอลืมต่าอีกครั้ง หมุนตัวกลับไป ก่อนต้องตกใจเมื่อเห็นผ้าคลุมไหล่ของเลดี้เอมฟีเมียพาดอยู่บนเก้าอี้

    “ตายแล้วผ้าคลุมไหล่!! เลดี้จะต้องหักค่าตอบแทนข้าแน่ถ้าไม่รีบเอาไปให้ พอกลับถึงบ้านข้าก็จะถูกตำหนิ แล้วก็จะไม่มีใครอยากจ้างข้าอีกเพราะว่ามทันขี้ลืมไม่ได้เรื่อง แย่แน่ๆต้องรีบไปๆ”ไม่รอให้ช้าไปกว่านี้ ลิเธียคว้าเอาของสำคัญขึ้นมาแล้ววิ่งห้อออกจากห้องในทันที

    เรื่องราวทั้งหมดจึงเริ่มต้นด้วยประการฉะนี้แล...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×