ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ท่านหญิงกับการตกแต่งห้องขัง
ทันทีที่ไซคส์กลับมาจากคุก เขาเห็นเอลเลียตกำลังรุกเกี้ยวมาการ์เร็ตอยู่……แต่สถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไป(วอดวาย)
“…….!!”
เอลเลียตไร้ซึ่งคำพูดใดๆเมื่อมาถึงคุกใต้ดินนี้ ส่วนไซคส์ที่ควรจะทำใจกับเรื่องแปลกนี่มาก่อนแล้วก็ยิ่งพูดไม่ออก มันเพิ่งผ่านมาสามสิบนาที แล้วนี่มันที่ไหนกัน?!
คุกใต้ดินนี้จริงๆประกอบด้วยหนึ่งห้องใหญ่ที่แบ่งออกให้เป็นสองด้วยแถวซี่กรงเหล็ก
ทางด้านหน้า ตรงข้ามกรงขังนี้แล้วพื้นที่ว่างสำหรับเฝ้าและสอดส่องนักโทษ บันไดนั่นก็มีไว้เดินออกไปสู่ราชวัง เครื่องเรือนทั้งหมดที่มีในนี้ก็ควรจะมีเพียง โต๊ะธรรมดาและเก้าอี้อีกสองตัว
อาหารของนักโทษเองก็จะถูกส่งมาจากโรงครัวดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องสร้างห้องครัวไว้ อีกทั้งอย่างไรการซักถามเค้นคำตอบล้วนใช้ทหารด้วยกัน ฉะนั้นข้าวของเครื่องใช้ใดๆล้วนไม่จำเป็น (ตรี: อันนี้น่าจะสื่อว่า นักโทษทั้งนั้นจะมีของพวกนั้นมาทำไมน่ะค่ะ)
ส่วนห้องข้างหลังนั่น จะเป็นห้องที่เอาไว้คุมขังนักโทษ-คุกใต้ดิน การตกแต่งภายในทั้งหมดทำจากหินทั้งหมดไม่ว่าจะพื้นหรือเพดาน หินล้วนๆไม่มีอะไรแฝง
มีมุมหนึ่งเป็นสุขา ฝักบัว และอ่างล้างหน้า อยู่กองที่เดียว แล้วห้องทั้งสองนี้แบ่งแยกด้วยเพียงซี่กรง หากโดนถอนออก มันก็จะเป็นห้องที่ใหญ่มากห้องหนึ่งเลยเชียว
และในเมื่อมันคือคุกใต้ดิน นั่นหมายความว่ามันล้วนอยู่ข้างใต้พื้นดิน แต่ก็ยังมีส่วนที่โผล่ออกไปสู่โลกภายนอกให้พอได้สร้างช่องหน้าต่างเล็กๆ เพื่อให้แสงเข้ามาและมีอากาศถ่ายเทมากพอ แต่ก็เพราะมันเป็นวิธีเพิ่มแสงสว่างเดียวในห้องนี้ ทำให้แม้จะเป็นเวลากลางวัน ภายในห้องก็ยังดูสลัวมากอยู่ดี
ไม่ว่าชีวิตในพื้นที่แออัดนี้จะน่าหวาดหวั่นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสถานะของผู้ที่จะเข้ามาอยู่ด้วยรวมถึงระดับความรุนแรงของโทษที่ผู้สั่งขังกำกับไว้
หากเป็นนักโทษสำคัญที่จำต้องรอพิจารณาคดีหรือยังพอมีมิตรภาพให้แก่นักโทษอยู่บ้าง พวกเขาย่อมได้รับการดูแลที่ดีกว่าปกติ ไม่ว่าจะพรมหรือเครื่องเรือนอื่นๆ เตียง,โต๊ะ,เก้าอี้ รวมไปถึงเครื่องหอมอาบน้ำ ได้แม้กระทั่งอ่างอาบน้ำด้วยซ้ำไป
แต่หากจุดประสงค์ในการขังคุกครั้งนี้เป็นการขู่ให้เปิดปากสารภาพหรือนักโทษเป็นที่รังเกียจต่อผู้สั่งขัง พวกเขาล้วนไม่ได้อะไรแทน ต้องฝืนล้มตัวลงนอนบนพื้นหินเย็นๆ กินอาหารที่ให้บนพื้นแทนถาด ถูกจับตามองทุกการกระทำไม่ว่าอาบน้ำหรือขับถ่าย
ฟังมาถึงตอนนี้แล้วต่อให้เป็นบุรุษเพศก็อดจะตัวสั่นไม่ได้ยามนึกถึงหากตนต้องโดนตัดสินโทษขึ้นมา…
อย่างไรก็ตาม เรื่องเล่าเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงคำเล่าลือมาเท่านั้น
เหตุผลข้อแรกคือ มันแทบจะไม่มีเหตุร้ายอะไรให้ถึงขั้นต้องเปิดคุกใช้ หากย้อนกลับไปนึกถึงอดีตแล้ว ศัตรูร้ายกาจอันใดล้วนผ่ายให้แก่เหล่าทหารยามทั้งสิ้น พอเป็นเช่นนั้นแล้ว แทนที่จะจับโยนลงคุกใต้ดิน พวกเขาล้วนถูกลากตัวไปสอบปากคำที่ป้อมยามกันทั้งสิ้น
ในทางกลับกัน มันก็แสดงให้เห็นว่าเหล่าผู้กระทำผิดที่ผ่านๆมาไม่ได้สำคัญถึงขนาดต้องลากเข้าคุกใต้ดินเลย อย่างมากก็แค่ส่งตัวไปยังคุกนอกเมืองเท่านั้นเอง
อันคุกใต้ดินนี้มีหน้าที่เพื่อทรมานเหล่าผู้มีอำนาจที่หลงผิดริวางแผนก่อกบฏ แต่ด้วยทุกวันนี้ช่างสงบสุขเหลือเกินจึงถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่คุมขังพิเศษสำหรับเหล่าชนชั้นสูงและขุนนางแทน
และ ราเชล เฟอร์กูสันเองก็เป็นบุคคลแรกที่ได้มาอาศัยในรอบหลายปีด้วยคดีพิเศษ ล้วนไม่มีใครคาดคิดว่าบุตรีดยุคผู้นี้จะต้องมาเผชิญกับความกราดเกรี้ยวของเจ้าชายจนถูกโยนเข้าคุกเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าทำหรอกนะจริงๆ หรือต่อให้มีโอกาสเกิดก็ยากยิ่ง
แล้ว…เจ้าชายเอลเลียตเขาคิดดีแล้วหรอ?
แน่นอนว่าไม่ พระองค์เพียงต้องการเอาคืนเรเชลที่คอยทำลายบรรยากาศและเอาแต่กลั่นแกล้งมาการ์เร็ตเท่านั้น โดยมิได้ใช้แม้แต่เสี้ยวของสมองคำนึงถึงว่าจะจัดการให้นางใช้ชีวิตอยู่ในนั้นอย่างไร
สิ่งที่คาดหวังอยู่ในหัวเจ้าชายอย่างแรงกล้านั้นมีแต่ สภาพสิ้นหวังของเรเชลหลังจากโดนจับขังแล้วถลามาวิงวอนมาการ์เร็ตขอให้ยกโทษให้หมายจะถูกปล่อยโดยเร็ว
นอกเหนือจากนั้น ไม่มีเลย
เอาจริงๆคือหลังจากขับไล่เรเชลออกจากงานเลี้ยงแล้วก็มัวแต่เกี้ยวพามาการ์เร็ตจนลืมไปเสียสิ้นว่าทำอะไรไว้ ก็จนกระทั่งไซคส์สาวเท้ากลับเข้าโถงงานเลี้ยงนั่นแหละ
ซึ่งแนะนอนว่าพระองค์นึกไม่ออกเลยจริงๆว่ามือขวาของเขาจะมีปัญหากับสตรีนางนั้นได้อย่างไร อีกทั้งยังไม่เข้าใจถึงความประหลาดของสถานการณ์จนกระทั่งได้มาประสบพบเจอเอง
……ตรงหน้าพระองค์ตอนนี้เนี่ย พระองค์ไม่เข้าใจเลยสักกะผีกเดียว!!
ในห้องขังนี้ บุตรีดยุคผู้เพิ่งถูกตัดสินพันธะให้โมฆะและปล่อยทิ้งให้โดดเดี่ยวในที่เปียกชื้นและหนาวเย็น กำลังผ่อนคลายอย่างสบายใจอยู่
ที่แห่งนี้ พื้นเพดานกำแพงใดๆล้วนเป็นหิน มีพรมหยาบวางให้ ห้องน้ำและสุขาที่ควรจะเปิดโล่งให้เห็นทั้งหมดกลับมีม่านกั้นลายดอกไม้ติดแทน
ผู้เข้ามาอาศัยเองในตอนแรกก็เข้ามาด้วยชุดทางการบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองไปเสียแล้ว บนผืนพรมนั้นกลับมีโซฟานุ่มที่ตอนนี้ผู้ถูกขังกำลังใช้เอนกายพลิกหน้าหนังสืออ่านอยู่
เหตุใดนางจึงใส่ชุดคนละชุดกับตอนที่มากัน? แล้วไอ้เครื่องเรือนเหล่านั้นมันมาจากไหน?
เป็นไปไม่ได้…นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว
อีกฝั่งฝากทางนี้ยังดูเป็นคุกใต้ดินอยู่ ทางนู้นมันก็ควรเป็นด้วยสิ ถึงมันจะแคบกว่าก็เถอะ แต่ทำไมถึงมีเครื่องอำนวยความสะดวกวางเรียงรายขนาดนี้กัน?
กลุ่มคนที่มาดูถึงกับพูดอะไรไม่ออก แต่หลังจากที่รู้สึกถึงสายตาที่มองมา สตรีชั้นสูงนางนี้จึงรู้ตัวว่าตนนั้นมีแขกเสียแล้ว
“?”
เรเชลจึงลุกขึ้นนั่งเมินสิ่งมีชีวิตด้านนอกกรงขัง
นางเอื้อมไปยกกาน้ำออกจากตะเกียงแอลกอฮอล์ แล้วเทน้ำร้อนลงกาน้ำชาก่อนจะปิดฝา
และแน่นอน ภายให้ห้องขังเล็กๆเช่นนี้มีรึที่กลิ่นหอมของใบชาจะไม่ขจรลอยออกไป
“อุฮุ…..”
เรเชลสูดกลิ่นหอมนี้พลางยกยิ้มอย่างมีความสุข
ในอีกด้านนั้นเอลเลียตผู้มองตาค้างอยู่นานเริ่มมีอาการอ้าปากค้างเข้ามาเพิ่ม ตัวไซคส์เองก็ไม่ต่างกัน เขาได้แต่จ้องมองใบหน้าของสตรีผู้นี้โดยไม่มีวาจาใดออกมา
เวลาผ่านไปห้าลมหายใจสติของพระองค์จึงกลับคืนพลางวิ่งเข้าประชิดซี่กรงทันที
“เจ้า!! เจ้าไปเอาของพรรคนี้มาจากไหนกัน?!”
เรเชลหันไปมองเจ้าชายด้วยสายตาเหลือเชื่อ และพบว่าตนนั้นไม่เข้าใจปฏิกิริยาของพระองค์แม้แต่น้อย
“ย่อมเป็นหม่อมฉันหามาเองเพคะ แต่หม่อมฉันหาได้ใช้ทรัพย์สินจากคลังหลวงนะเพคะ”
“นั่นใช่ปัญหาที่ไหนกันเล่า!!”
“เช่นนั้น…เครื่องเรือนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หม่อมฉันซื้อมาเมื่อนานมาแล้ว จะให้ระบุว่าซื้อมาจากที่ใดทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้”
“ข้าหาได้อยากรู้ว่าเจ้าได้มันมาอย่างไร!! เจ้าเอามันเข้ามาได้อย่างไรต่างหาก!?”
บทสนทนานี้เริ่มเป็นที่น่ารำคาญทันทีที่พระองค์เริ่มโหวกเหวกโวยวายใส่ อย่างไรก็ตามตัวเรเชลคล้ายจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์จะสื่อเลยสักนิด ดังนั้น แทนที่จะมาบอกพระองค์ทุกอย่างนางเลิกที่จะหันไปเปิดลังไม้ใกล้ตัวเพื่อหยิบขนมมาแทน แล้วก็ลังไม้เหล่านั้นที่นางเปิดเองก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เหล่าลังไม้ที่มาเก็บไว้ที่นี่นั่นแหละ!
“นั่นมัน?!…” ไซคส์อุทาน
“อะไรน่ะ!?”
ผู้คุมขังจึงอธิบายสถานการณ์ให้ฝ่าบาทผู้ขาดความระแวงต่อบรรดากล่องเหล่านั้น ฉับผลันเอลเลียตก็รู้ได้ทันทีว่าพระองค์หลงกลนางเข้าให้แล้ว พระองค์รู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมทันทีที่เห็นอดีตพระคู่หมั้นกำลังนั่งจิบชาทานขนมอย่างสบายใจในที่แบบนี้
“ท-ท่านดยุคทราบเรื่องมาก่อนแล้วจึงส่งของพวกนี้มาไว้ก่อนงั้นรึ?!”
เรเชลผู้อาศัยตอบกลับเจ้าชายผู้เข้าใจผิดไปไกลอย่างยิ่งยวด
“ถ้าระบุให้แน่นอนคือ เป็นการกระทำของหม่อนฉันทั้งหมดเพคะ ก็แหม…หม่อนฉันเพียงเผื่อไว้น่ะเพคะว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น”
อันเจ้าชายนั้นยังหาใจความอะไรในสถานการณ์นี้ไม่ได้เลยเรเชลจึงกลับไปหาหนังสือที่อ่านค้างไว้บนโซฟาแล้วจมลงสู่เนื้อหาในหน้ากระดาษแทน
ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องยอมรับว่าท่านหญิงเรเชล เฟอร์กูสันนั้นงดงาม อีกทั้งยังต้องยอมรับด้วยว่าการรัศมีของนางนั้นเรืองรองอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งเจ้าชายถึงกับลืมว่านางพูดอะไรด้วยซ้ำ ริมฝีปากงามนั้นบ่งบอกทุกอารมณ์บนใบหน้า พวกเขานั้นแทบไม่ได้ยินนางออกความเห็นอันใดราวกับว่านางไม่มีตัวตน หรือต่อให้นางออกความเห็นขึ้นมา ก็เป็นพระองค์เองที่เลือกจะฟังในสิ่งที่ต้องการ
นางนั้นคล้ายกับเงาของพระองค์ เป็นสตรีที่คอยเดินตามอยู่ตลอด
เหล่าสตรีชั้นสูงทั้งหลายล้วนซุบซิบกันว่านางเปรียบดั่งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาไม่เหมาะสมกับพระองค์แม้เพียงนิด
ยามเมื่ออยู่ข้างเจ้าชายผู้งามจรัสแสงอย่างพระองค์แล้ว นางเป็นดั่งผีเสื้อที่แม้ไม่ได้ขวางหูขวางตาอันใด แต่ก็หาได้สะดุดตาเช่นกัน
นางจะไม่เป็นที่สังเกตเลยหากไม่ใช่เพราะต้องไว้หน้าเจ้าชายที่อยู่ข้างๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุว่าทำไมนางจึงคิดว่าไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่
ก็เพราะนางเป็นเช่นนี้ไง เอลเลียตถึงได้คิดว่าคนอย่างนางคงทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าพระองค์จะโยนสัญญาหมั้นหมายนี้ออกไปไกลๆ…
แต่ตอนนี้พระองค์คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
……สาวงามที่กระทำตนตามใจอยู่ในสถานที่บ้าๆนี่มันใครกัน?
[TBC]
——————————————
คืองี้ค่ะ อันนี้ไม่มีข้อแก้ตัว อันนี้ลืมอัพจริงจังมาก ลืมชนิดว่า ถ้าไม่ได้เปิด word ดู
จะลืมไปเลยว่าแปลเรื่องนี้ทิ้งไว้ ขออภัยจริงๆค่ะ รับผิดแต่โดยดี /กราบ
ครั้งนี้จะมาจริงๆจังๆแล้วค่ะ แง
**เรื่องขนาดตัวอักษรและฟอนต์จะมาแก้ไขให้ในภายหลังนะคะ**
ช่วงนี้ก็รักษาสุขภาพด้วย เจอกันค่ะ ;-;
“…….!!”
เอลเลียตไร้ซึ่งคำพูดใดๆเมื่อมาถึงคุกใต้ดินนี้ ส่วนไซคส์ที่ควรจะทำใจกับเรื่องแปลกนี่มาก่อนแล้วก็ยิ่งพูดไม่ออก มันเพิ่งผ่านมาสามสิบนาที แล้วนี่มันที่ไหนกัน?!
คุกใต้ดินนี้จริงๆประกอบด้วยหนึ่งห้องใหญ่ที่แบ่งออกให้เป็นสองด้วยแถวซี่กรงเหล็ก
ทางด้านหน้า ตรงข้ามกรงขังนี้แล้วพื้นที่ว่างสำหรับเฝ้าและสอดส่องนักโทษ บันไดนั่นก็มีไว้เดินออกไปสู่ราชวัง เครื่องเรือนทั้งหมดที่มีในนี้ก็ควรจะมีเพียง โต๊ะธรรมดาและเก้าอี้อีกสองตัว
อาหารของนักโทษเองก็จะถูกส่งมาจากโรงครัวดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องสร้างห้องครัวไว้ อีกทั้งอย่างไรการซักถามเค้นคำตอบล้วนใช้ทหารด้วยกัน ฉะนั้นข้าวของเครื่องใช้ใดๆล้วนไม่จำเป็น (ตรี: อันนี้น่าจะสื่อว่า นักโทษทั้งนั้นจะมีของพวกนั้นมาทำไมน่ะค่ะ)
ส่วนห้องข้างหลังนั่น จะเป็นห้องที่เอาไว้คุมขังนักโทษ-คุกใต้ดิน การตกแต่งภายในทั้งหมดทำจากหินทั้งหมดไม่ว่าจะพื้นหรือเพดาน หินล้วนๆไม่มีอะไรแฝง
มีมุมหนึ่งเป็นสุขา ฝักบัว และอ่างล้างหน้า อยู่กองที่เดียว แล้วห้องทั้งสองนี้แบ่งแยกด้วยเพียงซี่กรง หากโดนถอนออก มันก็จะเป็นห้องที่ใหญ่มากห้องหนึ่งเลยเชียว
และในเมื่อมันคือคุกใต้ดิน นั่นหมายความว่ามันล้วนอยู่ข้างใต้พื้นดิน แต่ก็ยังมีส่วนที่โผล่ออกไปสู่โลกภายนอกให้พอได้สร้างช่องหน้าต่างเล็กๆ เพื่อให้แสงเข้ามาและมีอากาศถ่ายเทมากพอ แต่ก็เพราะมันเป็นวิธีเพิ่มแสงสว่างเดียวในห้องนี้ ทำให้แม้จะเป็นเวลากลางวัน ภายในห้องก็ยังดูสลัวมากอยู่ดี
ไม่ว่าชีวิตในพื้นที่แออัดนี้จะน่าหวาดหวั่นหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสถานะของผู้ที่จะเข้ามาอยู่ด้วยรวมถึงระดับความรุนแรงของโทษที่ผู้สั่งขังกำกับไว้
หากเป็นนักโทษสำคัญที่จำต้องรอพิจารณาคดีหรือยังพอมีมิตรภาพให้แก่นักโทษอยู่บ้าง พวกเขาย่อมได้รับการดูแลที่ดีกว่าปกติ ไม่ว่าจะพรมหรือเครื่องเรือนอื่นๆ เตียง,โต๊ะ,เก้าอี้ รวมไปถึงเครื่องหอมอาบน้ำ ได้แม้กระทั่งอ่างอาบน้ำด้วยซ้ำไป
แต่หากจุดประสงค์ในการขังคุกครั้งนี้เป็นการขู่ให้เปิดปากสารภาพหรือนักโทษเป็นที่รังเกียจต่อผู้สั่งขัง พวกเขาล้วนไม่ได้อะไรแทน ต้องฝืนล้มตัวลงนอนบนพื้นหินเย็นๆ กินอาหารที่ให้บนพื้นแทนถาด ถูกจับตามองทุกการกระทำไม่ว่าอาบน้ำหรือขับถ่าย
ฟังมาถึงตอนนี้แล้วต่อให้เป็นบุรุษเพศก็อดจะตัวสั่นไม่ได้ยามนึกถึงหากตนต้องโดนตัดสินโทษขึ้นมา…
อย่างไรก็ตาม เรื่องเล่าเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงคำเล่าลือมาเท่านั้น
เหตุผลข้อแรกคือ มันแทบจะไม่มีเหตุร้ายอะไรให้ถึงขั้นต้องเปิดคุกใช้ หากย้อนกลับไปนึกถึงอดีตแล้ว ศัตรูร้ายกาจอันใดล้วนผ่ายให้แก่เหล่าทหารยามทั้งสิ้น พอเป็นเช่นนั้นแล้ว แทนที่จะจับโยนลงคุกใต้ดิน พวกเขาล้วนถูกลากตัวไปสอบปากคำที่ป้อมยามกันทั้งสิ้น
ในทางกลับกัน มันก็แสดงให้เห็นว่าเหล่าผู้กระทำผิดที่ผ่านๆมาไม่ได้สำคัญถึงขนาดต้องลากเข้าคุกใต้ดินเลย อย่างมากก็แค่ส่งตัวไปยังคุกนอกเมืองเท่านั้นเอง
อันคุกใต้ดินนี้มีหน้าที่เพื่อทรมานเหล่าผู้มีอำนาจที่หลงผิดริวางแผนก่อกบฏ แต่ด้วยทุกวันนี้ช่างสงบสุขเหลือเกินจึงถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นที่คุมขังพิเศษสำหรับเหล่าชนชั้นสูงและขุนนางแทน
และ ราเชล เฟอร์กูสันเองก็เป็นบุคคลแรกที่ได้มาอาศัยในรอบหลายปีด้วยคดีพิเศษ ล้วนไม่มีใครคาดคิดว่าบุตรีดยุคผู้นี้จะต้องมาเผชิญกับความกราดเกรี้ยวของเจ้าชายจนถูกโยนเข้าคุกเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าทำหรอกนะจริงๆ หรือต่อให้มีโอกาสเกิดก็ยากยิ่ง
แล้ว…เจ้าชายเอลเลียตเขาคิดดีแล้วหรอ?
แน่นอนว่าไม่ พระองค์เพียงต้องการเอาคืนเรเชลที่คอยทำลายบรรยากาศและเอาแต่กลั่นแกล้งมาการ์เร็ตเท่านั้น โดยมิได้ใช้แม้แต่เสี้ยวของสมองคำนึงถึงว่าจะจัดการให้นางใช้ชีวิตอยู่ในนั้นอย่างไร
สิ่งที่คาดหวังอยู่ในหัวเจ้าชายอย่างแรงกล้านั้นมีแต่ สภาพสิ้นหวังของเรเชลหลังจากโดนจับขังแล้วถลามาวิงวอนมาการ์เร็ตขอให้ยกโทษให้หมายจะถูกปล่อยโดยเร็ว
นอกเหนือจากนั้น ไม่มีเลย
เอาจริงๆคือหลังจากขับไล่เรเชลออกจากงานเลี้ยงแล้วก็มัวแต่เกี้ยวพามาการ์เร็ตจนลืมไปเสียสิ้นว่าทำอะไรไว้ ก็จนกระทั่งไซคส์สาวเท้ากลับเข้าโถงงานเลี้ยงนั่นแหละ
ซึ่งแนะนอนว่าพระองค์นึกไม่ออกเลยจริงๆว่ามือขวาของเขาจะมีปัญหากับสตรีนางนั้นได้อย่างไร อีกทั้งยังไม่เข้าใจถึงความประหลาดของสถานการณ์จนกระทั่งได้มาประสบพบเจอเอง
……ตรงหน้าพระองค์ตอนนี้เนี่ย พระองค์ไม่เข้าใจเลยสักกะผีกเดียว!!
ในห้องขังนี้ บุตรีดยุคผู้เพิ่งถูกตัดสินพันธะให้โมฆะและปล่อยทิ้งให้โดดเดี่ยวในที่เปียกชื้นและหนาวเย็น กำลังผ่อนคลายอย่างสบายใจอยู่
ที่แห่งนี้ พื้นเพดานกำแพงใดๆล้วนเป็นหิน มีพรมหยาบวางให้ ห้องน้ำและสุขาที่ควรจะเปิดโล่งให้เห็นทั้งหมดกลับมีม่านกั้นลายดอกไม้ติดแทน
ผู้เข้ามาอาศัยเองในตอนแรกก็เข้ามาด้วยชุดทางการบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองไปเสียแล้ว บนผืนพรมนั้นกลับมีโซฟานุ่มที่ตอนนี้ผู้ถูกขังกำลังใช้เอนกายพลิกหน้าหนังสืออ่านอยู่
เหตุใดนางจึงใส่ชุดคนละชุดกับตอนที่มากัน? แล้วไอ้เครื่องเรือนเหล่านั้นมันมาจากไหน?
เป็นไปไม่ได้…นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว
อีกฝั่งฝากทางนี้ยังดูเป็นคุกใต้ดินอยู่ ทางนู้นมันก็ควรเป็นด้วยสิ ถึงมันจะแคบกว่าก็เถอะ แต่ทำไมถึงมีเครื่องอำนวยความสะดวกวางเรียงรายขนาดนี้กัน?
กลุ่มคนที่มาดูถึงกับพูดอะไรไม่ออก แต่หลังจากที่รู้สึกถึงสายตาที่มองมา สตรีชั้นสูงนางนี้จึงรู้ตัวว่าตนนั้นมีแขกเสียแล้ว
“?”
เรเชลจึงลุกขึ้นนั่งเมินสิ่งมีชีวิตด้านนอกกรงขัง
นางเอื้อมไปยกกาน้ำออกจากตะเกียงแอลกอฮอล์ แล้วเทน้ำร้อนลงกาน้ำชาก่อนจะปิดฝา
และแน่นอน ภายให้ห้องขังเล็กๆเช่นนี้มีรึที่กลิ่นหอมของใบชาจะไม่ขจรลอยออกไป
“อุฮุ…..”
เรเชลสูดกลิ่นหอมนี้พลางยกยิ้มอย่างมีความสุข
ในอีกด้านนั้นเอลเลียตผู้มองตาค้างอยู่นานเริ่มมีอาการอ้าปากค้างเข้ามาเพิ่ม ตัวไซคส์เองก็ไม่ต่างกัน เขาได้แต่จ้องมองใบหน้าของสตรีผู้นี้โดยไม่มีวาจาใดออกมา
เวลาผ่านไปห้าลมหายใจสติของพระองค์จึงกลับคืนพลางวิ่งเข้าประชิดซี่กรงทันที
“เจ้า!! เจ้าไปเอาของพรรคนี้มาจากไหนกัน?!”
เรเชลหันไปมองเจ้าชายด้วยสายตาเหลือเชื่อ และพบว่าตนนั้นไม่เข้าใจปฏิกิริยาของพระองค์แม้แต่น้อย
“ย่อมเป็นหม่อมฉันหามาเองเพคะ แต่หม่อมฉันหาได้ใช้ทรัพย์สินจากคลังหลวงนะเพคะ”
“นั่นใช่ปัญหาที่ไหนกันเล่า!!”
“เช่นนั้น…เครื่องเรือนเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หม่อมฉันซื้อมาเมื่อนานมาแล้ว จะให้ระบุว่าซื้อมาจากที่ใดทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้”
“ข้าหาได้อยากรู้ว่าเจ้าได้มันมาอย่างไร!! เจ้าเอามันเข้ามาได้อย่างไรต่างหาก!?”
บทสนทนานี้เริ่มเป็นที่น่ารำคาญทันทีที่พระองค์เริ่มโหวกเหวกโวยวายใส่ อย่างไรก็ตามตัวเรเชลคล้ายจะไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์จะสื่อเลยสักนิด ดังนั้น แทนที่จะมาบอกพระองค์ทุกอย่างนางเลิกที่จะหันไปเปิดลังไม้ใกล้ตัวเพื่อหยิบขนมมาแทน แล้วก็ลังไม้เหล่านั้นที่นางเปิดเองก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เหล่าลังไม้ที่มาเก็บไว้ที่นี่นั่นแหละ!
“นั่นมัน?!…” ไซคส์อุทาน
“อะไรน่ะ!?”
ผู้คุมขังจึงอธิบายสถานการณ์ให้ฝ่าบาทผู้ขาดความระแวงต่อบรรดากล่องเหล่านั้น ฉับผลันเอลเลียตก็รู้ได้ทันทีว่าพระองค์หลงกลนางเข้าให้แล้ว พระองค์รู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมทันทีที่เห็นอดีตพระคู่หมั้นกำลังนั่งจิบชาทานขนมอย่างสบายใจในที่แบบนี้
“ท-ท่านดยุคทราบเรื่องมาก่อนแล้วจึงส่งของพวกนี้มาไว้ก่อนงั้นรึ?!”
เรเชลผู้อาศัยตอบกลับเจ้าชายผู้เข้าใจผิดไปไกลอย่างยิ่งยวด
“ถ้าระบุให้แน่นอนคือ เป็นการกระทำของหม่อนฉันทั้งหมดเพคะ ก็แหม…หม่อนฉันเพียงเผื่อไว้น่ะเพคะว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น”
อันเจ้าชายนั้นยังหาใจความอะไรในสถานการณ์นี้ไม่ได้เลยเรเชลจึงกลับไปหาหนังสือที่อ่านค้างไว้บนโซฟาแล้วจมลงสู่เนื้อหาในหน้ากระดาษแทน
ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องยอมรับว่าท่านหญิงเรเชล เฟอร์กูสันนั้นงดงาม อีกทั้งยังต้องยอมรับด้วยว่าการรัศมีของนางนั้นเรืองรองอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งเจ้าชายถึงกับลืมว่านางพูดอะไรด้วยซ้ำ ริมฝีปากงามนั้นบ่งบอกทุกอารมณ์บนใบหน้า พวกเขานั้นแทบไม่ได้ยินนางออกความเห็นอันใดราวกับว่านางไม่มีตัวตน หรือต่อให้นางออกความเห็นขึ้นมา ก็เป็นพระองค์เองที่เลือกจะฟังในสิ่งที่ต้องการ
นางนั้นคล้ายกับเงาของพระองค์ เป็นสตรีที่คอยเดินตามอยู่ตลอด
เหล่าสตรีชั้นสูงทั้งหลายล้วนซุบซิบกันว่านางเปรียบดั่งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาไม่เหมาะสมกับพระองค์แม้เพียงนิด
ยามเมื่ออยู่ข้างเจ้าชายผู้งามจรัสแสงอย่างพระองค์แล้ว นางเป็นดั่งผีเสื้อที่แม้ไม่ได้ขวางหูขวางตาอันใด แต่ก็หาได้สะดุดตาเช่นกัน
นางจะไม่เป็นที่สังเกตเลยหากไม่ใช่เพราะต้องไว้หน้าเจ้าชายที่อยู่ข้างๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุว่าทำไมนางจึงคิดว่าไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่
ก็เพราะนางเป็นเช่นนี้ไง เอลเลียตถึงได้คิดว่าคนอย่างนางคงทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าพระองค์จะโยนสัญญาหมั้นหมายนี้ออกไปไกลๆ…
แต่ตอนนี้พระองค์คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
……สาวงามที่กระทำตนตามใจอยู่ในสถานที่บ้าๆนี่มันใครกัน?
[TBC]
——————————————
คืองี้ค่ะ อันนี้ไม่มีข้อแก้ตัว อันนี้ลืมอัพจริงจังมาก ลืมชนิดว่า ถ้าไม่ได้เปิด word ดู
จะลืมไปเลยว่าแปลเรื่องนี้ทิ้งไว้ ขออภัยจริงๆค่ะ รับผิดแต่โดยดี /กราบ
ครั้งนี้จะมาจริงๆจังๆแล้วค่ะ แง
**เรื่องขนาดตัวอักษรและฟอนต์จะมาแก้ไขให้ในภายหลังนะคะ**
ช่วงนี้ก็รักษาสุขภาพด้วย เจอกันค่ะ ;-;
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น