คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 11 ไม่เกี่ยวข้องจริงๆ เหรอ TT_TT
11 ไม่เกี่ยวข้องจริงๆ เหรอ TT_TT
“ให้ตายสิ ไอ้บ้านี่แกพูดอะไรของแก อย่าพูดให้ฉันได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง!”
“แล้วจะทำไม” ไอ้เซฟใช้นิ้วจับไปตรงที่ผมต่อยมันอย่างไม่รู้สึกเจ็บ “แกมันก็คนไร้ค่า งี่เง่า”
นั่นทำให้ปรอทความโกรธของผมพุ่งสูงปรี้ด ถึงเลือดในกายจะเย็นเฉียบแต่ผมก็เงื้อหมัดเข้าใส่เพื่อนของผมเต็มแรง แล้วคราวนี้มันก็ไม่ยอมให้ผมเป็นฝ่ายชกตอบฝ่ายเดียวอีกต่อไป
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ผมไม่รู้ว่าผมเจอมันต่อยไปกี่หมัด แต่ที่รู้แน่ๆ คือมีคนมาจับแยกผมเอาไว้ เพื่อนผมคนหนึ่งวิ่งมาหิ้วปีกไอ้เซฟ ส่วนอีกคนมาหิ้วปีกผมซึ่งถ้าหากปล่อยคนใดคนหนึ่งปล่อยก็พร้อมที่จะพุ่งตัวเข้าใส่อีกคนได้เลย
“เวย์ มึงปล่อย” ผมทั้งผลักทั้งดันมัน จนมันเกือบจะฉุดผมเอาไว้ไม่ได้จนต้องให้เพื่อนผู้ชายอีกคนเข้ามาขวางไว้ข้างหน้า
“พวกมึงเป็นอะไรกันวะ ใจเย็นๆ ก่อน”
แต่รู้สึกว่าคำพูดสมัยพ่อขุนฯ ของมันจะไม่เสียดแทงประสาทของหูของผมเลยซักนิด ผมพยายามจะหลุดออกจากวงแขนที่ล็อคคอของผมเอาไว้ ตอนนี้ผมก็กำลังเลือดขึ้นหน้าสุดๆ และไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกรอบกายผมทั้งนั้น
เพราะสายตาของผมกำลังจ้องไปข้างหน้า รอดผ่านคนที่ยืนเบื้องหน้าผมไปยังคนตัวการที่ยั้วโมโหผม แต่แล้วก็ผมก็ต้องชะงักทันทีเมื่อเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง ร่างที่จวนจะจางหายไปเหล่ไม่หายเหล่
ร่างบางๆ จางๆ เบื้องหน้า มีน้ำตาคลอเบ้า เธอยกมือกางออกเสมือนมาขวางกั้นระหว่างผมกับไอ้เซฟไว้
นั่นทำให้ผมชะงักและเรียกชื่อเธอในลำคอเบาๆ
“ดาลี่...”
แววตาของยัยดาลี่บ่งบอกว่าเธอกำลังมองผมด้วยสายตาดูถูก ทั้งๆ ที่น้ำตาจวนจะไหลอยู่แล้ว นั่นทำให้ผมต้องชะงัก
“พอที่เถอะทั้งคู่นั่นแหละ!” ดาลี่ตะโกนเสียงสั่น นั่นทำให้ไอ้เซฟมันก็พลอยหยุดคลั่งลงด้วย “ทะเลาะกันไปมันจะได้อะไรขึ้นมาเล่า”
“มันไม่เกี่ยวกับเธอ อย่ามายุ่ง!”
คำกระชากเสียงทำเอายัยผีบ้าผงะ “จะไม่เกี่ยวได้ยังไง พวกเธอเป็นเพื่อนกัน แล้วฉันก็เป็นเพื่อนของเธอยังไงล่ะ”
“ไร้สาระ!!” ผมตะโกนแข่งกับเธอ แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่าผมกำลังพูดอะไรอยู่ก็เถอะ แม้แต่ไอ้เวย์มันก็ยืนงงๆ ส่วนไอ้เซฟพอได้ยินคำพูดของผมมันก็ทำท่าจะพุ่งเข้ามาอีกก็ยังมีคนคอยฉุดเอาไว้อยู่ดี
ผมไม่เข้าใจว่าตอนนี้ผมกำลังจะโกรธเธอคนนี้ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมด้วย เธอกำลังปกป้องไอ้เซฟ แล้วคำพูดของยัยนี่อีกเล่า เพื่อน...งั้นหรอ
ผมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอย่างแรง ร่างกายของตัวเองกำลังมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ที่รู้ๆ ตัวต้นเหตุต้องมาจากทั้งคู่นั่นแหละ
ผมกำหมัดแน่น “เก็บคำพูดของเธอไปเลย ฉันเป็นเพื่อนกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีเรื่องอะไรระหว่างเราทั้งนั้น จะไปไหนก็ไป!!”
ผมรู้สึกว่าคนข้างหน้าผมรู้สึกอึ้งกิมกี่เต็มทน ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดนี้มันจะออกมาจากคนอย่างผมได้ ดวงตากลมโตเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่ฝืนยังไงก็ห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ยัยดาลี่สูดลมหายใจลึก แล้วอยู่ดีๆ ก็วิ่งหนีหายไป
ไอ้เซฟมันหันไปตะคอกคนที่จับมันไว้ก่อนจะปัดมือ ก่อนที่มันจะเดินไปก็ดันหันกลับมามองผมด้วยหางตาจากนั้นก็เดินดุ่มๆ ออกไปทางหน้าโรงเรียนอย่างไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ทั้งๆ ที่มีเด็กนักเรียนหญิงบางคนที่ทำท่าจะเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง(เออสิ แฟนคลับมันเยอะ) มันก็ได้แต่เหลือบมองจนใครก็ต่างไม่กล้าเดินตามมันไป ผมเห็นมันเอามือจับแก้มและท่าทางจะเจ็บไม่หยอก
พอพูดถึงเรื่องเจ็บ...ก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันทีเลยแฮะ
แต่ที่ผมรู้สึกเจ็บจนแทบจะลงไปทรุดลงที่พื้น ...นี่ผมพูดอะไรลงไป...
...คำพูดของผมมันทำร้ายจิตใจของใครไปมากมายแล้วนะ ทั้งไอ้เซฟ ทั้งยัยดาลี่ ...ถึงผมจะรู้ว่ามันเป็นแบบนั้น แต่ผมก็ยังไม่เลือกที่จะเดินตามไป ผมเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เลือกที่จะเป็นคนปากร้าย นิสัยชั่วที่เอาดีอะไรไม่ได้ซักอย่าง
“ดีนะ ‘จารย์ไม่อยู่ เฮ้ย... มิกซ์ตกลงว่าไงกันวะ พวกแกทะเลาะกันเรื่องอะไร” ไอ้เวย์ถึงมันจะงงๆ อย่างไม่เข้าใจว่าพวกผมคุยอะไรกัน แต่ก็ยังหันหน้ามาถามเมื่อพยายามบอกให้ทุกคนกลับบ้านไปได้แล้ว ส่วนใครทำเวรก็ทำไป จนทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติ
“อ๋อ ไอ้เซฟมันเป็นวันนั้นของเดือน ก็เลยดุอย่างกับหมาบ้า เอ้อ หมาตัวเมียด้วยนะ”
ผมตอบกลับแต่มันก็ดันสร้างความงุนงงให้กับไอ้เวย์ยิ่งกว่าเก่า ผมโบกมือทำท่าจะเดินกลับบ้านเพียงแต่รู้สึกเจ็บที่แก้มจี้ดๆ ท่าทางจะบวมแน่งานนี้ ไอ้เซฟนี่มันก็ไม่เบามือเอาซะเลย นี่คนเจ็บขาเดี้ยงอยู่นะเนี่ย
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ ขาแกเป็นแบบนั้นแล้วจะกลับบ้านยังไง”
เหมือนว่ามันจะเข้าใจกับมุขที่ผมปล่อยออกไปได้แล้ว...=_= แต่ผมรู้สึกแปลกๆ แฮะ อยู่ดีๆ ไอ้เวย์มันก็รู้สึกเป็นห่วงผมขึ้นมาเสียอย่างงั้น
“เออ...ขนาดมายังมาเองได้ แค่กลับจะไปยากอะไรล่ะ” ผมตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก
‘ ..’
จู่ ๆ ผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบด้วยความโกรธและรู้สึกโมโหจนเส้นเลือดที่ขมับกระตุกกึก ๆ และคำพูดของยัยนี่ก็สะท้อนเข้ามาในระบบประสาทของผมอีก
“แล้วฉันก็เป็นเพื่อนของเธอยังไงล่ะ”
บ้า!! ...บ้าที่สุด!
ผมทั้งเสียใจ น้อยใจ ความรู้สึกมันประเดประดังเข้ามาปะปนกันไปหมด เพื่อนรักของผมตั้งแต่คบกันมา ผมเคยคิดว่าผมกับมันรู้ใจกันมากที่สุด แต่มาถึงวันนี้ผมถึงได้รู้ว่า
...มันไม่ได้เข้าใจอะไรในตัวของผมเลย...
ผมกำลังรู้สึกน้อยใจอยู่ไง ต้องใช่แน่ๆ ไอ้เซฟมันไม่เข้าใจผมเอาซะเลย ถึงแม้เรื่องเล่นสเก็ตบอร์ดไม่ได้ว่าผมคิดยังไงก็พูดออกไปแบบนั้น แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะถือเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น
ยัยดาลี่ก็ด้วย เธอเชื่อคำพูดของฉันด้วยงั้นเหรอ
บ๊ะ เจ็บแก้มโว้ย เจ็บ!!
“เฮ้อ”
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจแว่วมา พอหันไปมองข้างๆ ก็ต้อง อ้าว ไอ้เวย์มันยังเดินอยู่ข้างๆ ผมอีกเหรอเนี่ย เออ...จะว่าไปแล้ว มันเป็นทางเดินไปหน้าโรงเรียนนี่หว่า จะเดินไปด้วยกันมันก็ไม่แปลก
แต่ทำไมมันต้องถอนหายใจด้วยวะ แน่ะ พอมันถอนหายใจแบบนี้ตาที่เล็กจี้ดเดียวของมันยิ่งเล็กลงไปอีก อูย เจ็บ .เจ็บทั้งขา เจ็บทั้งหน้า บ้าที่สุด
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เป็นของไอ้เวย์นั่นเอง มันก็กุลีกุจอรีบรับในขณะที่ผมกำลังเดินออกห่างมัน(ทั้งๆ กระเผลกๆ แบบนี้แหละ)
แต่แล้วมันก็ดันร้องเรียกผมไว้
“มิกซ์ เฮ้ย แย่แล้วว่ะ”
“จะมีเรื่องไหนที่แย่เท่ากับที่ฉันโดนอีกวะ” ผมตอกกลับทั้งๆ ไม่หันหน้ากลับไปมองมัน แต่ดูมันทำท่าร้อนรนชอกกล แต่แล้วมันก็เงียบเสียงไปจนผมต้องเหลียวหลังกลับไปมองด้วยความสงสัยอย่างรู้อยากเห็นแทบจะทันที
“เออใช่ ฉันก็ลืมไป นายมันก็แค่ตามหาคนเขียนจม.รักแค่นั้นใช่มะ ต่อจากนั้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาบอยู่แล้ว”
ผมได้ยินคำพูดของไอ้เวย์ก็ต้องขมวดคิ้ว คนเขียนจม.รัก ก็ต้องเป็นยัยดาลี่
“เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน” ผมเรียกรั้งไอ้เวย์เอาไว้ในขณะที่มันเองก็ดูเร่งรีบชอกกล ยัยดาลี่เป็นอะไร? “ฉันอยากรู้...ว่าไง เรื่องอะไรกันแน่”
“ไดอารี่น่ะสิ”
และที่ผมคิดก็ไม่ผิด ผมจ้องตอบตาตี๋ๆ เบื้องหน้า พร้อมกับหัวใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ แล้วรู้สึกเหมือนกำลังขาดหายใจ ราวกับคนกำลังตกลงมาจากที่สูง
“มะปรางบอกว่า อาการของไดอารี่ทรุดหนัก ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู ถ้าหาสาเหตุที่ทำให้ร่างกายกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ไดอารี่ก็น่าจะอยู่ได้ไม่เกินสามวัน”
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมกำลังโดนตบ ร่างกายของผมรู้สึกชาไปทั้งตัว และนึกถึงคำพูดของเธอเมื่อเช้า
“ดาลี่อยากอยู่กับมิกซ์นานๆ”
“จะบ้าเรอะ ให้อยู่กับผีนาน ๆ ไม่เอาซะล่ะ”
“ง่ะ แค่ไม่เป็นผีก็พอใช่มะ”
“พอถึงตอนนั้นจริง ใครจะให้มาอยู่ที่นี่ล่ะ ยัยดาลี่”
“ว้า แล้วมิกซ์จะเอาไงกันแน่ล่ะ”
ผมนึกถึงคำพูดของเธอ ใช่สิ ตัวเธอกำลังจางลง เพราะว่าร่างกายกำลังทรุดลงเจียนตายนั่นเอง และมันเพราะอะไรที่จู่ๆ อาการของเธอก็ทรุดลงแบบนั้น
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ หมายความว่าไง อยู่ได้ไม่เกินสามวัน”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่นี่ฉันจะไปเป็นเพื่อนมะปราง นายจะไปมั้ย”
ผมพยักหน้าหงึกหงักแทบจะทันที พยายามใช้สมองที่มีอยู่อันน้อยนิด คิดแล้วก็คิด ในขณะที่เปลี่ยนใจไม่กลับบ้าน ได้แต่ให้ไอ้เวย์มันหิ้วปีกผมไปเยี่ยมยัยดาลี่ที่โรงพยาบาล
ถึงไปเจอร่างกาย แต่ตอนนี้วิญญาณเจ้าตัวไปไหนนี่สิ
ผมคันมืออยากโทรศัพท์ไปหาไอ้เซฟยิกๆ แต่ศักดิ์ศรีมันกำลังค้ำคอผมอยู่ และตอนนี้ผมก็กำลังโกรธมันอยู่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องเป็นฝ่ายโทรหามันก่อน
เมื่อคิดได้แบบนั้นก็ได้แต่ใส่โทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเสื้อเหมือนเดิม
“เป็นไงบ้างครับ” ผมรีบเดินไปอย่างทุลักทุเล แม่ของยัยดาลี่รวมถึงเพื่อนของยัยนี่ มะปราง แล้วก็เด็กผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักอีกสองคนแต่เคยเห็นในรูป ละจากอาการเศร้าสลดเสียใจแล้วหันมามองผมด้วยท่าทางแปลกๆ (คงคิดว่าผมเองก็ควรจะนอนโรงพยาบาลเหมือนกันอยู่แน่ ๆ
“ทรุด มีแต่ทรุดอย่างเดียวเลยอ่ะ ฮือ...พี่เวย์” มะปรางตอบผม แล้วกลับไปร้องไห้แทบเป็นแทบตายต่อดูจากการแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนแสดงว่าเธอเองก็เพิ่งจะได้รับข่าวร้ายนี่ได้ไม่นานซึ่งไอ้เวย์มันก็ทำตัวเป็นพี่ชาย(ที่หวงน้องสาว)ที่ดี ได้แต่พยายามปลอบอย่างเต็มความสามารถ ผมไม่อยากจะบรรยายบรรยากาศในช่วงนี้เลย มันดูอึมครึมไปหมด ไม่ว่าจะมองไปยังส่วนไหนของโรงพยาบาลก็ตาม ส่วนผมก็มองลอดไปยังเครื่องช่วยชีวิตนา ๆ ชนิดภายในห้องไอซียู ไหนจะหน้ากากช่วยหายใจ ไหนจะเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ดูแล้วมันก็รู้สึกหดหู่อย่างไรบอกไม่ถูก ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ยืดอายุพวกนี้แต่ผมกลับไม่รู้สึกสบายใจเอาซะเลย
หวั่นไหว และสงสาร ผมบรรยายได้แค่นั้น เพราะผมไม่รู้ว่าในส่วนลึกของจิตใจของผมมันเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ผมไม่ชอบอาการที่เกินขึ้นกับผมในตอนนี้เอาเสียเลย
“หมอว่ายังไงบ้างครับ” ผมตัดสินใจถามต่อเพื่อให้ตัวเองกลับมาสู่โลกปกติ คราวนี้แม่ของยัยดาลี่เป็นฝ่ายตอบขึ้นมาแทนพร้อมเสียงที่พยายามระงับอาการสะอื้นอยู่ไม่ขาดสาย
“มะ...หมอบอกว่าอาการแบบนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ไม่รู้สา เหตุ เห็นว่าพยายามค้นหาอาการที่เกิดขึ้นอยู่นะ ได้ยินแต่หมอว่า นอนอยู่บนเตียงแบบนี้แล้วทำไมอยู่ดี ๆ อาการถึงได้ทรุดลงไปได้ หากคนไข้เป็นแบบนี้ก็มีแต่โรคที่มาจากสภาพจิตใจเท่านั้น อาการของลูกแม่น่ะ นะ นอนแบบนี้จนถึงวันที่ 7 แล้วต้องเข้าไอซียูตอนกลางคืน ตอนเช้าหมอก็บอกว่าปลอดภัยแล้ว แต่กลับ ก็ต้องมาเข้าไอซียูอีกในเมื่อคืนนี้แหละจ๊ะ”
ผมฟังคุณแม่(หรือป้า)ของยัยดาลี่อธิบายได้แต่พยักหน้าอย่างพยายามเข้าใจ ส่วนในหัวผมนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋
ผมเจอยัยดาลี่อาทิตย์ที่แล้ว แล้ววันนั้นก็เป็นวันที่เธอเข้าห้องไอซียูพอดี วันนั้นยัยนี่ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังแล้วผมตกลงรับปากเรื่องจะช่วยดึงความทรงจำของเธอกลับมาให้ได้ แล้วตอนเช้าอาการยัยนี่ก็กลับมาเป็นปกติจนออกจากห้องไอซียูได้ ผ่านมาอีกหนึ่งอาทิตย์เกือบจะพอดิบพอดีที่ผมสามารถตามมาเจอร่างกายของเธอ แล้วยัยนี่ก็กลับเข้าร่างไม่ได้ ทำให้เสียใจสุด ๆ จนไล่ผมกับไอ้เซฟออกมา แล้วผมก็มาเจอกับเธออีกทีก็เมื่อวาน แล้วก็เป็นวันเดียวกันกับที่เธอเข้าห้องไอซียูอีกรอบ มันไม่มีอะไรพอเหมาะพอเจาะไปกว่านี้อีกแล้ว
ทำให้ผมสรุปได้ว่า
อารมณ์แปรปรวนของยัยดาลี่มีผลทำให้ร่างกายของตัวเธอเองแปรปรวณตามไปด้วย
พูดแล้วเหมือนกับสูตรการหาสมการเลยแฮะ --*-- แถมคราวนี้ร่างกายของยัยนี่ดันทำท่าจะไม่รอดเสียอีก
ผมไม่รู้เลยว่า เพราะคำพูดของผมจะทำให้อาการของเธอดูย่ำแย่มากขึ้นไปกว่าเดิม
คำสันนิษฐานของหมอเห็นว่าจะอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ตราบใดที่ยังหาสาเหตุที่ทำให้ร่างกายทรุดลงไปไม่ได้
แต่คำสันนิษฐานของผม ร่างกายกับวิญญาณของเธอยังคงเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ราวกับมีด้ายเส้นบาง ๆ ที่ยังคงผูกนิ้วของเธอกับร่างกายเอาไว้ เพื่อรอเวลากลับเข้าร่างอีกครั้ง
นั่นเป็นแค่คำวิเคราะห์ของผมในแง่ดีนะครับ ส่วนในอีกแง่ ผมไม่อยากจะคิดเลย ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอกำลังปฏิเสธวิญญาณของยัยดาลี่ซะแล้ว และถ้าหากปล่อยเอาไว้แบบนี้ เธอจะต้องตายจากโลกนี้ไปอย่างแท้จริง
ขอให้การวิเคราะห์ของผมในข้อแรกถูกด้วยเถิด สาธุ...
แต่ถ้าหากเป็นข้อสองล่ะ
เพียงแค่คิดก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังแตกสลาย ผมได้แต่ยืนดูทุก ๆ คนที่เป็นห่วงยัยดาลี่เฉย ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะปลอบพวกเขายังไง แม้กระทั้งตัวผมเองที่มีแต่ความอื้ออึงเหมือนมวลอากาศรอบตัวไหลผ่านไปช้าลงเรื่อย ๆ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นผสมกับความสิ้นหวังประแดประดังมาจากทุกทิศทุกทาง
แล้วผม ก็ยังไม่รู้ว่าจะช่วยเธอคนนั้น ช่วยคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่ในห้องไอซียูได้ยังไง มันแทบไม่มีทางที่จะทำให้เธอคนนั้นพื้นขึ้นมาเลย แล้วไหนจะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันอีกเล่า
ผมแทบจะเป็นบ้าคนจนหัวสมองแทบระเบิด สุดท้ายผมก็ขอตัวกลับบ้านอย่างเงียบ ๆ และเหลียวมองคนที่นอนอยู่ในห้องไอซียูเพียงนิดหน่อย และก็คิดไปว่า ถึงร่างกายจะอยู่ตรงนี้ แล้ววิญญาณของยัยนี่กลับไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาวไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยรึเปล่า
แต่มันคงไม่เป็นแบบนั้น เพราะยัยดาลี่คงรู้ตัวเองดีว่าตัวเองมีเวลาอยู่บนโลกนี้ไม่มากนัก...
แล้วผมยังไปตะโกน ไปตะคอกใส่เธออีก
วันนี้ผมแทบจะจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง ผมก้มหน้านิ่งในขณะบำรุงสเก็ตบอร์ดของผมตามปกติภายใจห้องนอนของผม
พอเงยหน้าขึ้นมาก็มารู้สึกตัว
ห้องมันกว้างขนาดนี้เลยหรอ
ทั้ง ๆ ที่ผมใช้ห้องนี้นอนมาตั้งหลายปี แต่กลับไม่เคยรู้สึกว้าเหว่เท่านี้มาก่อนเลย
“โธ่ อย่ายุ่งได้ป่ะ พูดไปเธอนี่มิกซ์ ไอ้นี่น่ะมันเรียกว่าอะไร”
ก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ”
ผมนึกถึงเวลาที่ยัยดาลี่ชี้นิ้วมายังอุปกรณ์ตกแต่งสเก็ตบอร์ดชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่วางเกลื่อนห้อง และผมก็ต้องตัดคำพูดของเธอด้วยคำพูดนี้ทุกครั้ง พอหวนคิดไปก็ทำเอาผมกระตุกยิ้มบางก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แห้งแล้งลงทันควันเมื่อคิดว่า เธอคนนั้น ยัยผีที่บ้า ๆ บอ ๆ ที่วนเวียนอยู่ใกล้ ๆ เธอจะหายไปแล้ว จะไม่มีเธอคนนี้อยู่ในโลกใบนี้อีกแล้ว
“ไม่มีเรื่องอะไรระหว่างเราทั้งนั้น จะไปไหนก็ไป!!”
มิกซ์พูดอะไร...
มิกซ์พูดอะไรกันแน่? หัวสมองของฉันกำลังปฏิเสธคำพูดของคน ๆ นึงอย่างสุดชีวิตแต่ดูเหมือนมันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย เพราะคำพูดของคน ๆ นั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้เลย ยิ่งพยายามจะลืมกลับยิ่งติดแน่นอยู่ในความทรงจำมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่เรื่องอยากจะจำกลับขี้ลืมนัก
แล้วทำไม... ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่า มิกซ์จะทำให้ฉันสับสน น้อยใจ ว้าวุ่นได้มากขนาดนี้
ไม่มีเรื่องอะไรระหว่างเราสองคนเลยเหรอ ไม่มีเลยงั้นหรอ!!!
แค่คิดก็ทำให้ปวดร้าวราวกับหัวใจของตัวเองกำลังจะแหลกสลาย ไม่นะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ความทรงจำของตัวเองมาก็ไม่เป็นไร ถึงจะกลับเข้าร่างของตัวเองไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าฉันจะหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้ก็ไม่เป็นไร
ขอแค่มิกซ์คนเดียวที่รักฉันก็พอ...
ฉันรู้แล้วว่าฉันชอบใคร ชอบเขามาก มากที่สุด มันไม่ใช่สิ่งที่แสดงออกมาทางหน้าตา หรือแม้กระทั่งคำพูด
แต่มันเป็นนิสัยของเขาคนนั้นต่างหาก นิสัยของมิกซ์...
สำหรับมิกซ์แล้ว ฉันมันเป็นเพียงแค่วิญญาณเร่ร่อนที่เธอต้องช่วย เพียงเท่านั้นสินะ
ฉันมันไม่มีค่าอะไรกับเธอเลย
“จะร้องไห้ไปถึงไหนกัน”
“เซฟ”
ฉันสะดุ้งสุดตัว เมื่อเหลียวไปมองคนที่วิ่งตามฉันมา ถึงแม้ว่าฉันเองจะไม่รู้สึกเหนื่อย แต่ว่า คนที่อยู่ตรงหน้าของฉันคนนี้ เหงื่อโทรมกาย ร่างสูง ๆ กำลังหาอะไรเกาะเพื่อบรรเทาอาการเหนื่อยอ่อน พร้อมกับปาดเหงื่อออกจากใบหน้าเกลี้ยงและปล่อยลมหายใจเบา ๆ ราวกับว่า ในที่สุดเขาก็ตามฉันทัน
“แค่คำพูดของไอ้บ้าคำเดียวทำให้เธอสติแตกได้ถึงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ”
มิกซ์ไม่รอให้ฉันได้พูดอะไรเขาก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ ฉันจนทำให้ฉันต้องก้าวถอยหลัง แถมในสถานที่ตอนนี้มันไม่ผิดอะไรไปจากตรอกแคบ ๆ เลย(เพราะฉันกำลังวิ่งไปหามุมที่เงียบสงบ)
“อะ...”
“ฉันอยากจะรู้นัก ว่าถ้าหากว่าฉันพูดแบบนี้กับเธอ เธอจะเป็นแบบที่เธอเป็นตอนนี้มั้ย”
ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าที่ไม่ยอมให้ฉันพูดต่อ แต่แล้วก็ต้องรีบหลบสายตาคม ๆ ของคน ๆ นี้เพราะรู้สึกว่าทนสายตาแบบนี้ไม่ไหว
“มะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”
“แล้วทำไม มันไม่สนใจเธอ แล้วถึงมันจะไม่คิดอะไรกับเธอเลยก็ช่างมันสิ” เซฟซักต่อคำพูดของเขาทุกคำพูดราวกับเสียดแทงเข้าไปใจจิตใจของฉัน
ฉันอ้ำอึ้ง แล้วทำนบน้ำตามันก็กลับไหลออกมาอีก แล้วฉันก็เป็นฝ่ายทรุดตัวลงไปเบื้องล่างบ้าง แต่อีกฝ่ายกำลังตีสีหน้านิ่งสนิทราวกับไม่รู้เลยว่าในตอนนี้ฉันรู้สึกอย่างไร ราวกับกำลังใช้หอกตอกย้ำทุก ๆ คำพูดให้ปักลงในหัวใจที่บอบช้ำของฉันให้ทะลุจนขาดใจตาย
“ฉัน ฉัน”
ฉันพูดอะไรไม่ออกได้แต่ปล่อยให้น้ำตาล่วงลงมา เสียงสะอึกสะอื้นดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย ส่วนคนตรงหน้านั่นนั่งยอง ๆ เพื่อที่จะจ้องหน้าฉัน
“เธอเป็นวิญญาณนะ ดาลี่ จะรักกับคนธรรมดาน่ะ เป็นไปไม่ได้เลย”
แล้วสายตาของฉันก็ตวัดกลับไปยังคนตรงหน้าที่ใบหน้าห่างจากฉันแค่ไม่กี่นิ้ว “แล้วจะทำไม ฉันยังมีร่างกายอยู่นะ”
“แต่ก็กลับเข้าไปไม่ได้”
อึก ฉันจนไปด้วยคำพูดด้วยประการทั้งปวง ฉันกำลังผิดหวังกับชายคนนี้ คนที่เคยช่วยเหลือฉันตามหาข้อมูลเรื่องของฉันทุกอย่าง คอยเอาใจช่วย คอยปลอบประโลม แล้วก็ไม่เคยกลัวทั้งที่ฉันเป็นผี แถมใจดีอย่างกับพี่ชายของฉันคนนึง
แล้วทำไมตอนนี้กลับพูดจาที่ทำร้ายฉันราวกับกลายเป็นคนละคนแบบนี้
“เธอสงสัย?” เขาถามราวกับเข้าใจความคิดของฉัน ฉันไม่ตอบได้แต่พยักหน้าหงึกหงักก่อนที่คนตรงหน้าจะถอนหายใจเบา ๆ
“ฉันชอบเธอ”
คำพูดของเซฟทำให้น้ำตาของฉันหยุดชะงักลง ฉันเงยขึ้นสบตากับคนตรงหน้าอย่างตกตะลึงก่อนจะกลับมาก้มหน้างุดเหมือนเดิม
“อยากจะได้ยินซ้ำอีกรอบมั้ย ไดอารี่...”
“มะ ไม่” ฉันหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เพราะเซฟกำลังใช้คำพูดที่อ่อนลงจนเกือบจะเรียกว่าหวานหยด เรียกชื่อฉันเต็ม ๆ แถมยังเข้ามากระซิบใกล้ ๆ หูของฉัน น่าแปลกที่ร่างกายกลวงๆ หรือจางๆ ของฉันกลับรู้สึกถึงลมหายใจถี่ ๆ ของคนที่อยู่เบื้องหน้าของฉัน และรู้ด้วยว่าคนตรงหน้าหัวใจเต้นแรงมากแค่ไหน ก็ฉันกำลังรู้สึกแบบนั้นนี่หน่า
“ตะ แต่ว่า วิญญาณกับคนธรรมดาไม่มีทางรักกันได้ เซฟเป็นคนบอกเองนี่หน่า”
คราวนี้เขาค่อย ๆ เลื่อนหน้าออกห่างจากฉัน (ที่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก)
“นั่นมันระหว่างเธอ...กับไอ้มิกซ์มันต่างหาก”
คำพูดของเขาทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เซฟรู้ เรื่องระหว่างเธอกับมิกซ์ด้วยอย่างงั้นเหรอ
แต่สายตาที่บ่งบอกถึงคำถามของฉัน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นตกตะลึงตัวแข็งขึ้นมาแทน เมื่อเซฟกำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ฉัน ฉันได้ยินเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาของคนเบื้องหน้า ในขณะที่ตัวฉันกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตกจากที่สูง
ฉันทำอะไรไม่ถูกเลย ในขณะนี้ฉันควรจะทำอย่างไรดี ไม่มีเวลาที่จะให้ฉันคิดแม้ซักนิดเพราะริมฝีปากของคนเบื้องหน้ากำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองจะละลายหายไปท่ามกลางเสียงหัวใจเต้นโครมคราม
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ความคิดเห็น