คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บรรยากาศชวน... ชวนอะไรไม่รู้ =_= แต่พิลึกๆ
พอถึงวันเสาร์ ผมและเซฟก็ได้ไปเยี่ยมดาลี่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่พวกผมก็แปลกใจเมื่อไม่เห็นวิญญาณของคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่เลย ไอ้เซฟมันก็เลยทำหน้าเศร้านิด ๆ ส่วนผมน่ะเหรอ
ไม่รู้สิ
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมกำลังกลับมาเป็นปกติ ตื่นนอนไปโรงเรียนตอนเช้า ตอนเย็นวันจันทร์ฝึกซ้อมเล่นสเก็ตบอร์ด และกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ท่ามกลางใจที่มันหวิว ๆ ชอกกล
ผมรู้สึกว่าผมกำลังคิดถึง
คิดถึงใครบางคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องในโรงพยาบาล
คิดถึงดวงวิญญาณที่เอ๋อ ๆ ไม่ทันคนที่วิ่งผ่านหน้าผมไปมาบ่อย ๆ ในชั่วโมงเรียน
คิดถึงคนที่ตบมือให้ผมเวลาผมเล่นสเก็ตบอร์ด
คิดถึงคนที่ผมต้องปักธูปเพื่อเชิญเธอกินข้าวเป็นประจำทุกวัน
และเจ้าตัวก็ต้องหน้ามุ่ยทุกครั้งกับเวลากินข้าวที่ไม่เหมือนคนอื่น
ทำไมในเวลานี้ ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังขาดหายไป
เหมือนกับวันนี้ .
หลังจากแยกทางกับเซฟแล้ว ในขณะที่ผมกำลังเล่นสเก็ตบอร์ดคู่ใจของผมกลับบ้านโดยผ่านทางลัดทางเดิม จู่ ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกชันบริเวณต้นคอ พลางทำให้ต้องหยุดเล่นสเก็ตบอร์ดอย่างกระหันหัน ดวงหน้าเกลี้ยงของผมเหลียวซ้ายแลขวา ไปทางตรอกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แสงไฟอ่อน ๆ ตามทางไม่ได้ช่วยทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาได้เลย
“อะไรกันวะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง พลางคิดไปว่า น้ำค้างตอนกลางคืนในวันนี้มันคงลงจัดไปหน่อย ที่ทำให้ผมขนลุกได้แบบนี้ ว่าแล้วก็ลูบแขนตัวเองซักหลาย ๆ ที แล้วก็ส่ายหน้าไล่ความง่วงงุนออกไป ในตอนนี้ผมต้องกลับบ้าน และก็รีบกลับไปให้เร็วที่สุดเพราะความเหนื่อยล้า
“เร็วเข้าสิยัยดาลี่” ผมเอ่ยเสียงดัง ในขณะที่จะแล่นสเก็ตบอร์ดไปอีก เมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ก็ถึงกับอึ้งไปนิดหน่อย นี่ตัวผมเองชินกับการที่ยัยดาลี่อยู่ข้างกายแล้วเหรอเนี่ย
ถึงขนาดลืมตัวเรียกผีที่ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลเนี่ยนะ
ก็ยัยนั่นชอบเป็นแบบนี้เสมอ ๆ ชอบทำอะไรชักช้า ทั้งที่ไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำไป แล้วก็มักใจจดใจจ่อกับสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันดาษเดื่อนจนเกินเหตุ แต่เพราะแบบนี้ล่ะมั้งทำให้ผมรู้สึกว่า ผมปล่อยเธอไปไม่ได้...ออกจะใสซื่อไร้เดียงสาเหมือนหมาพันธุ์ชิสุ =_=’’ ในขณะเดียวกันในฝันเธอก็เหมือนกับหมาพันธุ์ร็อคไวเลอร์ที่พร้อมจะขย้ำคอผม(ผมเริ่มเปรียบคนเป็นหมาไปแล้วหรอเนี่ย เฮอ ๆ)
เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็ต้องถอนหายใจออกมาซักรอบอย่างปลง ๆ ผมกำลังคิดถึงเธออีกแล้ว
“นี่”
ผมคงหูแว่วไปเองใช่มั้ยครับ ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของผู้หญิงเลย
“นี่ อย่ามาแกล้งหูหนวกจะได้มั้ย เมื่อกี้มิกซ์เรียกดาลี่ใช่ป่ะ แล้วถอนหายใจทำไมเหรอ”
คราวนี้หูของผมได้ยินประโยคคำพูด(หรือคำถาม?) ยาวเหยียด แถมเป็นเสียงที่คุ้นหู มันทำให้ผมรับรู้ว่าผมหูไม่ฝาด แถมยังเป็นเสียงใส ๆ ที่ผมเคยได้ยินบ่อย ๆ อีกด้วย
ผมหันขวับไปตามต้นเสียงอย่างเร็วไวด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ถาโถม พร้อมกับหัวใจที่เริ่มพองโต แล้วก็เห็นได้สีหน้าแจ่มใสและแววตาระริกระรี้ของเธอ ถึงแม้จะมีแสงเพียงรำไรไม่ได้สว่างอะไรมากมาย แต่ผมก็สัมผัสได้
ว่าคนตรงหน้ากำลังอารมณ์ดี อารมณ์ดีอย่างน่าแปลกประหลาดใจ ยัยดาลี่ทำท่าวันทยาหัตย์และส่งเสียงใสกิ๊กมาอีกว่า
“มิกซ์...ดาลี่ไม่ค่อยอยากอยู่โรงพยาบาลเท่าไหร่เลย แต่คิดถึงที่นอนที่บ้านมิกซ์อ่ะ”
“แล้วเธอ เอ่อ ” ผมแทบจะเอ่ยออกมาไม่เป็นคำพูด ไม่ใช่ว่ายัยดาลี่มาขอผมไปนอนที่บ้านด้วยหรอกนะครับ แต่เป็นอีกเรื่องที่ผมสงสัย ก็คือ
ยัยนี่กลับเข้าร่างได้หรือยัง??
และความสงสัยของผมก็ถูกลบออกไปเมื่อ แสงไฟอ่อน ๆ ที่ทอดตามทางเดินนั้นไม่มีเงาของยัยนี่ซักนิด
“เอ่อ อะไรเหรอ ทำไมต้อง เอ่อด้วยล่ะ” ยัยผีบ้าหัวเราะคิกอย่างคนอารมณ์ดี แปลก? มันช่างน่าแปลก ความรู้สึกดีใจที่ได้เจอหลังจากไม่ได้เห็นหน้ามาวันสองวันก็แปลเปลี่ยนความรู้สึกของผมไปในทันที ก็ก่อนจากกันยัยบ้านี่ยังร้องห่มร้องไห้แทบจะสิ้นชีพชีวาลัยอยู่แท้ ๆ แล้วทำไมเวลาผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ ยัยนี่ถึงได้มีสีหน้าและท่าทางอินโนเซนต์จนน่ากลัวได้ขนาดนี้
พอยัยดาลี่ก้าวเท้าที่ไม่มีแม้แต่เงาเข้ามาหาผม แล้วมีหรือที่ผมจะปล่อยให้ยัยผีบ้านี่เข้าใกล้ผมได้ในระยะสิบเมตร ผมก้าวถอยหลังแทบจะทันทีโดยที่ผมคิดว่ามันคงเป็นปฏิกิริยาของร่างกายผมโดยอัตโนมัติ ส่ายตาทั้งคู่ของผมเริ่มมองหาทางหนีทีไล่ที่พอจะผ่านไปได้ เออแฮะ ด้านหลังโล่งนี่หว่า
แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรมากกว่านี้ เมื่อผมเหลียวหลังกลับมายัยดาลี่ก็หยุดฝีเท้าลงด้วยเช่นเดียวกัน เธอมองผมด้วยสายตาที่ผมไม่อาจจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ มันช่างเป็นสายตาที่ว่างเปล่าแล้วเดียวดาย ดวงตาคู่โตที่เคยฉายแววระริกอยู่เสมอ ไม่ว่าเธอจะร้องไห้ยังไงก็ยังดูมีชีวิตชีวาไม่เหมือนตอนนี้ ผมรู้สึกว่า ยัยดาลี่ราวกับเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิตจิตใจ แถมยังยืนนิ่งมายังผมอีกต่างหาก
“ดาลี่ ไม่สิ ฉันน่ะ ” ยัยดาลี่เปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนตัวเองใหม่ จากดาลี่น่ารัก ๆ เป็นคำว่า ‘ฉัน’ แทน น่าแปลกที่มันทำให้ผมใจหายได้ แววตาที่ปราศจากความรู้สึกของเธอเริ่มมีหยดน้ำตาที่ผมรู้สึกว่าเธอไม่พยายามกลั้นมันอีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้มันไหลราวกับสายน้ำ เธอพูดต่อด้วยลำคอที่แห้งผาก “ดูจากท่าทางของนายแล้วนะมิกซ์ ฉันไม่เข้าใจ ฉันมันเป็นตัวน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ นี่ขนาดว่ายังไม่เดินเข้าไปไกล้นายเลยนะ ยัง ยัง”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็สะอึก และคำพูดต่อไปมันทำให้ผมก้าวเท้าเข้าไปหาเธอเองเป็นครั้งแรก...
“ขนาดนายยังรังเกียจฉัน ใช่สิ ฉันมันเป็นผี เป็นผีที่เข้าร่างตัวเองไม่ได้”
“หยุดเถอะ” ผมร้องบอก และก้าวเท้าเข้าไปหาเธออีกสามก้าว ในขณะที่ดาลี่นั้นกลับเป็นฝ่ายที่เดินถอยหลังผมไปซะเอง
“มิกซ์นั่นแหละหยุด!” เธอตะโกนก้องเล่นทำเอาตัวผมต้องหยุดชะงัก ดาลี่น้ำตงน้ำตาไหลพราก ๆ คราวนี้เจ้าตัวพยายามปาดมันออกอย่างยากลำบากและหลบสายตาผมไปทางอื่น
“ฉัน...ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย แล้วทำไม ทำไม” คราวนี้เธอหันควับกลับมามองผม
มองผมด้วยสายตาตัดผ้อ ดวงตาคู่นั้นทำให้ผมรู้สึกผิด ไม่สิ .มันอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกผิด...อาจจะเป็นไปได้ว่า ผมกำลังโกรธตัวเองที่ไม่สามารถช่วยอะไรเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหน้าผมได้
ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปาก ยัยดาลี่ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว
“ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหายไป นายรู้มั้ยมิกซ์”
ยัยดาลี่ยกมือขึ้นมาทั้งสองข้างขึ้นมาตรงหน้าผม ในขณะที่เราทั้งคู่ยืนอยู่ห่างกันประมาณสี่ก้าว
ผมมองไปยังมือคู่เล็กทันทีอย่างไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่องอะไร เพียงแค่เห็นความรู้สึกชาไปทั้งตัวมันยังน้อยไปกลับความรู้สึกของผมตอนนี้ ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเจ้าของดวงตากลมโต
“ทำไมล่ะ ดาลี่ ทำไมมือของเธอมันจางลงแบบนี้” ผมถามด้วยเสียงแผ่วเบาที่แทบจะกลืนมันลงไปในลำคอ ก็มือของเธอจางลงราวกับหมอกควัน มันค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ ราวกับภาพที่สัญญาณไม่ดี ซึ่งคำถามนี้เรียกเสียงหัวเราะอันขมขื่นให้คนเบื้องหน้าผม
“ฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะ สงสัยเวลาที่จะอยู่ในโลกนี้คงใกล้จะหมดลงไปแล้วล่ะมั้ง” ยัยดาลี่เหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว “เดิมที ฉันอยากจะมาลาจากนายด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสอย่างตอนแรกนะ แต่พอเห็นหน้านายแล้วมัน...กลับรู้สึกว่า ”
เธอหยุดคำพูดลงไปดื้อ ๆ แต่ความอื้ออึ้งที่ผมได้ยินว่าเธอมีเวลาหลงเหลืออยู่ที่นี่น้อยเต็มทีมันทำให้ผมถึงกับเอ่ยอะไรต่อไปไม่ออก ในขณะที่สายลมเย็น ๆ พัดผ่าน แต่ผมกลับรู้สึกตื้อ ตลอดระยะเวลาที่เธอมาอยู่กับผม นอนห้องเดียวกับผมมาเกือบอาทิตย์ ผมไม่รู้สึกตัวเลยว่า เธอเกือบจะเป็นส่วนหนึ่ง่ในชีวิตประจำวันของผมไปเรียบร้อยแล้ว แถมวันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ติด ผมพยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หัวสมองของผมพยายามประมวลผล และผมก็จับใจความในประโยคสุดท้ายของเธอได้ในสามสิบวินาทีต่อมา
“อะไรนะ ดาลี่ รู้สึกว่าอะไร?”
ยัยดาลี่ส่ายหน้าให้กับคำถามของผม “ไม่รู้สิ อย่างการที่นายทำท่าแบบนี้กับฉัน มันทำให้ฉันน้อยใจแปลก ๆ เอ้อจริงสิ ดาลี่เกือบจะลืมเรื่องของตัวเองไปเลย”
จู่ ๆ ยัยดาลี่ก็เปลี่ยนน้ำเสียงเอาดื้อ ๆ แถมยังเปลี่ยนการเรียกตัวเองกลับมาเหมือนเดิมอีก --*-- เล่นเอาผมแทบจะปรับอารมณ์ไม่ถูก เธอทำราวกับพยายามลบความรู้สึกเมื่อครู่นั้นออกไปซึ่งก็ถือว่าเธอพยายามได้ดีมากเลยนะเนี่ย
“ก่อนที่ฉันจะหายไป ยังไงฉันก็ยังอยากจะได้ความทรงจำกลับคืนมานะ อย่างน้อยก็อยากจะรู้ว่า คนที่ฉันอุตส่าห์ส่งจดหมายรักไปให้น่ะเป็นใคร”
“เฮอะ อย่างนั้นเรอะ” ผมอึ้งกับคำพูดของเธอนิด ๆ ก่อนะจะเปลี่ยนเสียงเป็นมะนาวไม่มีน้ำทันใด ขนาดผมเองยังไม่เข้าใจ ว่าผมจะต้องไปคิดมากเรื่องอะไร ก็ยัยดาลี่อยากเจอคนที่เธอชอบแค่นั้น
“ใช่สิ” คราวนี้เธอตอบกลับแทบจะทันที ผมจ้องตอบดวงตาใสแจ๋วของเธอ ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายหลบตาซะเองเพราะรู้สึกใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ผมยอมรับว่าผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่ผมเจอเธอ
แล้วผมก็ไม่เอ่ยอะไรต่อ ปล่อยให้มีความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ต่อไป ในขณะที่ผมหมุนเดินไปหยิบสเก็ตบอร์ด และกวักมือยัยดาลี่หยอย ๆ ให้ตามผมกลับบ้าน แต่แล้วผมกลับต้องชะงักกึก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอดเข้ามาในตรอกแคบ ๆ
คิ้วของผมแทบจะขมวดกันเป็นปม พอมาได้ยินเสียงฝีเท้าในยามวิกาลที่ชาวบ้านชาวช่องเขาเข้าห้องหับหลับนอนกันหมดแล้วเนี่ย จะไม่ให้คิดมาได้ยังไงไหว
และสิ่งที่ผมไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นมากที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้
แม้แต่ยัยดาลี่เองก็เหลียวหลังไปมองพร้อมกับเม็ดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
ผมมองเห็นชายฉกรรจ์สองคนที่เดินเยื้อยระยาดเข้ามาจากตรอกอีกฝั่ง ซึ่งผมไม่คิดว่าคนทั้งสองจะประสงค์ดีกับผมเป็นแน่แท้ ในมือของพวกเขาถือไม้หน้าสาม ที่ ถ้าหากฟาดเข้าที่แขนก็จะทำให้แขนของคุณแตกเป็นเสี่ยง ๆ หรือว่าจะฟาดเข้าที่ศีรษะก็จะทำให้หัวของคุณหลุดได้โดยที่คุณไม่รู้สึกตัว
ผมก้าวถอยหลังไปอย่างอัตโนมัติ และก็ต้องหยุดชะงักเหมือนกับคิดอะไรออก ใช่แล้วตอนซ้อมผมรู้สึกว่ามีสายตาซักคู่ที่มองผมมาอย่างไม่ประสงค์ดี พอมาเจอยัยดาลี่ก็เลยพลอยทำให้ลืมไปแล้ว
และสายตาที่ผมกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ก็คือสายตาที่มองผมตอนซ้อมนั่นเอง ผมตระหนักถึงพลังชีวิตของตัวเอง พยายามใช้หน่วยวัดในจิตใจว่าตอนนี้ผมมีโควต้าที่จะดึงเอาพลังที่ซุกซ่อนอยู่ของผมออกมาได้ซักเท่าไหร่(ทำอย่างกับมนุษย์ผู้มีพลังพิเศษ =_=) ซึ่งหากตีเป็นเปอร์เซนต์คงได้แค่
1% -[]-!!!!~
จาก 100% =_=’’
โธ่ ก็วันนี้ผมไม่ได้หยุดเลยนี่หน่าครับ ไหนจะตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน เลิกเรียนไปโรงพยาบาล แล้วก็มาซ้อมสเก็ตบอร์ดจนดึกจนดื่น แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปสู้ล่ะครับเนี่ย
“มิกซ์ ท่าจะไม่ดีแล้วมั้ง” ยัยดาลี่ส่งเสียงและหรี่ตาอย่างหมาดมาด ว่าแล้วยัยนี่ก็ลอยมายืนอยู่หลังผม เออนะ ถึงแม้เธอจะเป็นผี ยังไง ๆ ก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่วันยันค่ำ =_=’’ แต่ในหัวสมองของผมตอนนี้กำลังเค้นเอาสุดยอดตำราพิชัยสงคราม ว่าด้วยเรื่องของการชิ่งหนีแล้วตีจาก(จะมีมั้ยเนี่ย?) ว่ามีวิธีไหนที่จะทำให้หลุดออกไปจากตรอกนี้ได้บ้าง หากคำนวณระยะทางคร่าว ๆ กว่าจะออกไปเจอถนนใหญ่อีกสายต้องใช้เวลาอีกห้านาที ซึ่งทางนี้ก็ยังไม่เจอบ้านผมโดยตรง แต่ว่า การได้เจอถนนใหญ่ยังไงก็ยังดีกว่าการทีจะหนีไปในตรอกแคบ ๆ แบบนี้แน่นอน ก็อย่างน้อยตรงนั้นยังมีคนเดินบ้างน่ะสิ
“เอาไงดี ๆ” ยัยดาลี่ส่งเสียงหึ่ง ๆ อยู่ด้านหลังผม --*-- ปัดโธ่ อย่าซักมากจะได้มั้ย
“ไอ้น้อง มาอยู่อะไรแถวนี้ หรือว่ามาเดินเล่น” ผู้ชายคนซ้ายมือที่มีหนวดส่งเสียงถามอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับก้าวเท้าอาด ๆ ราวกับกำลังเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งชายหนุ่มที่มีกล้ามเป็นมัด ๆ เริ่มหัวเราะกับประโยคคำถามของคู่หู ที่ผมกล้ารับประกันได้เลยว่าเสียงของมันอย่างกับเด็กทารก!!
“ถามแล้วไม่ตอบ!!”
เหมือนมันจะรู้ว่าผมกำลังเผลอ หรือว่าพวกเดียวกันของมันอีกคนกำลังเผลอก็ไม่ทราบได้มันขว้างไม้หน้าสามหวังที่จะเข้าแสกหน้าผมให้ดับดิ้นแต่อย่างน้อยมันก็พลาด เพราะมันเฉียดใบหน้าเกลี้ยงของผมไปแค่ไม่กี่เซ็นต์ฯ เท่านั้น
แล้วคุณรู้มั้ยมันทำให้ทั้งสมองและร่างกายของผมหยุดชะงักได้โดยไม่ต้องอาศัยยาชาแม้แต่เข็มเดียว!!
พวกมันส่งเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กว่าเมื่อกี้แค่หยอก ๆ (ซึ่งมันกะจะหยอกเอาชีวิตของผมเลยหรอเนี่ย) ปากมันก็พูดว่าถ้าจะไปเอาคืนก็ไปเอาคืนที่บีทมันนะน้อง
0o0 มะหมายความว่ายังไง!!
“มิกซ์เป็นอะไรมั้ย” ยัยดาลี่ส่งเสียงถามด้วยความเป็นห่วง ผมอยากนึกขอบคุณเธอซะจริง อย่างน้อยผมก็ยังไม่ได้ยืนอยู่ตัวคนเดียว และหากเป็นแบบนั้น ผมคงจะยังไม่รู้สึกตัวเร็วเท่านี้
ผมต้องรีบหนีอย่างโดยด่วน!!
ไม่มัวมารีรอเหงื่อแตกรอให้ใครมาประทุษร้ายได้อีกต่อไป ผมหมุนตัวอย่างปัจจุบันทันด่วน ส่งสายตาไปให้เด็กสาววิญญาณตรงหน้าก่อนจะ รีบวิ่งไปยังสเก็ตบอร์ดคู่ชีพที่พื้นในทันที
พวกมันมีสองขาหรือจะสู้สี่ขาได้!! ผมแล่นสเก็ตบอร์ดด้วยความเร็วที่ผมคิดว่าไม่มีความเร็วใดจะสู้ในตอนที่อดินารีนกำลังสูบฉีดได้เท่านี้อีกแล้ว
แม้สายลมเย็นจะปะทะใบหน้า แม้ร่างกายจะเย็นเฉียบซักปานใด แต่ใบหน้าของผมก็ยังเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาไม่หยุดหย่อน
“มิกซ์” ยัยดาลี่ร้องในขณะที่ลอยตามมาในระดับผม “พวกนั้น เขาเล่นสเก็ตบอร์ดเป็นด้วยนี่หน่า”
“ซวยล่ะสิ” ผมสบถเสียงดัง ล้อเลื่อนลั่นเอี้ยดอ้าดไปตามจังหวะขรุขระของพื้นถนนที่ไม่ค่อยเรียบซักเท่าไหร่นัก ซึ่งมันก็เป็นปกติที่จะมีทางเรียบบ้างขรุขระบ้าง
ผมไม่รีรอแม้แต่จะหันไปมองด้านหลัง ว่ามันจะใช้พาหนะอะไรที่จะไล่ตามผมมา(ผมมีกระจกหลังก็คือยัยดาลี่)
แต่ผมก็อยากจะบอกว่า การไล่ตามผมในตรอกเล็ก ๆ แคบ ๆ แบบนี้พวกมันคิดผิด!!!!
ชัยภูมิมีส่วนกำชัยชนะในการรบ! ซึ่งผมเองนั่นแหละที่เป็นคนที่ชำนานในพื้นที่นี้มากถึงมากที่สุด
และเมื่อเป็นแบบนั้น ผมก็จะรู้ว่า ตรงไหนสมควรจะกระโดด พื้นที่ตรงไหนสมควรจะหลบหลีก และตรงไหนสมควรที่จะชะลอความเร็วเนื่องจากพื้นผิวลื่น นั่นทำให้ผมรักษาระยะห่างจากพวกมันเอาไว้ได้ แถมพวกมันเองต่างหากที่ค่อย ๆ ห่างผมไปเรื่อย ๆ
โค้งสุดท้ายก่อนถึงถนนใหญ่ที่เป็นรั้วเหล็กกั้นทางเดิน ซึ่งอาทิตย์ที่แล้วมันยังเปิดค้างอยู่แต่แปลกที่วันนี้มันกลับปิดไปเสียเฉย ๆ ทำให้ผมต้องมองหาวัตถุดิบใกล้ตัวและจำเป็นต้องแล่นสเก็ตบอร์ด้วยความเร็วสูง ผมถีบตัวเต็มแรงก่อนจะอาศัยราวเหล็กใกล้เคียงเป็นตัวนำและกระโดดไต่ไปยังราวเหล็กนั้นจนเกิดเสียงสะเก็ดไฟลั่นเปรี้ยะ ๆ! วินาทีที่ลอยคว้างอยู่บนอากาศ ในขณะที่พื้นเบื้องหน้าอยู่ห่างออกไปหลายเมตร
วินาทีที่ผมกำลังจะหนีพ้น ความรู้สึกบางอย่างกลับถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ผมรู้สึกคลื่นไส้และวิงเวียนหัวขึ้นมาเสียเฉย ๆ ผมกำลังลอยคว้างอยู่บนอากาศ ผมกำลังรู้สึกเหมือนกับอยู่ในงานแข่งเมื่อครั้งที่แล้ว
ครั้งที่ผมผ่ายแพ้หมดรูป ครั้งที่ผมเล่นสเก็ตบอร์ดได้ห่วยแตกที่สุด
ผมตัวโยนปล่อยให้สเก็ตบอร์ดคู่กายหลุดออกจากแรงเหวี่ยงในวิถี มันกำลังตกสู่พื้นด้วยท่าทางที่แสนจะทุเรศ ยัยดาลี่ตะโกนร้องอย่างไม่เชื่อว่าผมกำลังทำอะไร ที่อยู่ ๆ ก็หยุดการเคลื่อนไหวไปเสียเฉย ๆ
ผมหล่นลงพื้นดังตุ๊บอย่างไม่เข้าท่า แต่จะเข้าท่าอยู่หน่อยก็ตรงที่ผมก้าวผ่านรั้วกั้นมาได้แล้ว แต่พวกมันไม่อาจที่จะข้ามโดยการกระโดดเหมือนผมเข้ามาได้ จึงอาศัยการปีนที่ต้องใช้เวลานานหลายวินาทีแทน ซึ่งก็เป็นการดีสำหรับผมที่รีบคว้าหมับไปที่สเก็ตบอร์ดที่นอนแอ้งแม้งกลับหัวกลับหาง รีบกุรีกุจอตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนพร้อมออกวิ่งอย่างทุกลักทุเล
ผมกลับไปถึงบ้าน ผมก็รีบวิ่งเข้าห้องนอน พอจะรู้สึกเจ็บก็ตอนที่ตื่นตอนเช้าขึ้นมาแล้วรู้สึกมีความเจ็บแล่นแปร๊ด ดีที่ยังไม่ถึงสมอง =_=
ยัยดาลี่ส่งเสียงตกใจเมื่อเห็นขาของผมบวมเป่ง จากนั้นก็ลุกลี้ลนลนถามว่าพวกผ้าพันแผลเอย ยานวดเอยอยู่ที่ไหน ทั้ง ๆ ที่ยัยนี่จับต้องอะไรไม่ได้ซักหน่อย(ล่ะมั้ง ผมไม่แน่ใจ -_-)
จากนั้นผมก็ลากขาไปหยิบกล่องยาความจริงแล้วมันก็อยู่ในห้องของผมนี่แหละ และจัดการนวดและใส่ผ้าพันแผลด้วยตัวเอง ส่วนยัยดาลี่ที่นั่งจ้องผมไม่ขยับเขยื้อน พอผมพันเสร็จเรียบร้อยยัยนี่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อะไรมันจะขนาดนั้น” ผมเหน็บแกมหัวเราะ ยัยดาลี่ก็เลยทำหน้ามุ่ย =3=
-
“ทำไมล่ะ ก็ดาลี่อยากอยู่กับมิกซ์นานๆ”
-
“จะบ้าเรอะ ให้อยู่กับผีนาน ๆ ไม่เอาซะล่ะ”
-
“ง่ะ แค่ไม่เป็นผีก็พอใช่มะ”
“พอถึงตอนนั้นจริง ใครจะให้มาอยู่ที่นี่ล่ะ ยัยดาลี่”
“ว้า แล้วมิกซ์จะเอาไงกันแน่ล่ะ”
พูดแล้วผมก็หัวเราะเบา ๆ อย่างคนอารมณ์ดี ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ ^^ ไม่เข้าใจเหมือนกันแฮะ
ผมมองสบตากับกับเธอแล้วก็ส่งรอยยิ้มไปให้ ส่วนยัยดาลี่ก็เลยมองตาผมกลับมาบ้าง ท่ามกลางบรรยากาศยามเช้า ผมรู้สึกว่าจะมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นระหว่างผมกับยัยนี่ซะแล้วสิครับ
แต่ผมก็ตัดสินใจหลบสายตาของเธอและเปลี่ยนไปสนใจกับสิ่งของที่ต้องเอาไปโรงเรียนแทน
.
“นายไปทำอะไรของนายมา!” ไอ้เซฟตกอกตกใจเมื่อเห็นผม ผมโบกมือและไม่เอ่ยอะไรก็สภาพของผมตอนนี้น่ะเหรอ ต้องพันขาเอาไว้ข้างนึง เนื่องจากตกลงมาจากที่สูงทำให้ขาซ้ายของผมเคล็ดน่ะสิครับ
“หกล้ม” ผมตอบ โดยไม่หันไปมองหน้ามัน
“ฟังไม่ขึ้น” ไอ้เซฟเถียงขึ้นทันควัน ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเพราะรู้ว่ามันกำลังดีใจที่เห็นยัยดาลี่ตามมากับผมด้วย
“เออน่า ช่างเหอะ” ผมบอกปัดเอาซะดื้อ ๆ พร้อมกับลากสังขารเข้าห้องเรียนแบบกระเผลก ๆ นี่แหละ
“นี่ มาฉันช่วย อย่าบอกนะว่านายมาทั้ง ๆ แบบนี้” ว่าแล้วมันก็เอาแขนผมพาดไว้บนไหล่กว้าง ๆ ของมันโดยถือวิสาสะ ซึ่งผมก็ยอมทำตาม แต่ก็อดแปลกใจตัวเองอยู่หน่อยว่าผมมาโรงเรียนทั้ง ๆ สภาพแบบนี้ได้ยังไงนี่สิ
“เมื่อวานมีคนมาหาเรื่องมิกซ์อ่ะดิ” ยัยดาลี่สวนขึ้นระหว่างทางเดินไปห้องเรียน
“หา? ตอนที่แยกกับฉันเนี่ยนะ”
ยัยดาลี่พยักหน้ารับหงึกหงักตอบแทนผม
“แล้วนายก็สู้กับมันเนี่ยนะ”
“เฮ้ยฟังก่อน ๆ” ผมท้วง “นายพูดผิดไปนิดว่ะเซฟ พวกมันมีกันสองคน แล้วนายคิดว่าเพื่อนของนายคนนี้มันเก่งเรื่องการทะเลาะวิวาทรึไงกันฮึ ฉันก็วิ่งหนีอ่ะดิ แต่มันผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อยแบบว่า กระโดดลงมาแล้วขาพลิก”
“ขาพลิก” ไอ้เซฟทวนคำอย่างไม่เชื่อหู เพราะอย่างน้อยการเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมมันทำให้อย่างพวกเรา ๆ มีการที่ทรงตัวดีกว่าชาวบ้านเขาอยู่เยอะ ผมถึงไม่แปลกใจอะไรเมื่อไอ้เซฟทำหน้าไม่เชื่ออยู่แบบนี้
“ช่าย ๆ” ยัยดาลี่กอดอกพร้อมทำเสียงยานคาง เมื่อวานแม่ของมิกซ์โมโหใหญ่เลยล่ะ ก็กลับบ้านมาซะเหงื่อท่วมแถมสภาพเปื้อนเศษดินโคลนอย่างกับลูกหมา”
ผมหันขวับไปยังคนที่หาว่าผมเป็นลูกหมาทันใด พร้อมส่งสายตาดุ ๆ ไปให้ ในขณะที่ยัยดาลี่กลับฉีกยิ้มจืด ๆ ส่งให้ผมแทน
ในที่สุดผมก็มาถึงห้องเรียนจนได้ ผมบอกให้ไอ้เซฟมันปล่อยมือจากผมและเดินกระเผลก ๆ ไปนั่งที่นั่งของตัวเองยังริมหน้าต่าง ไอ้เซฟมันก็วางกระเป๋าเรียนแล้วไม่เอ่ยอะไรต่อ ในขณะที่คนอื่น ๆ เห็นทางท่าผิดปกติของผมตั้งแต่แรกที่เดินเข้ามา ก็ทักด้วยความสงสัยผสมกับความเป็นห่วง ก็ผมเรียนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ม.1 นี่หน่า จึงไม่แปลกที่เพื่อน ๆ ของผมทุกคนจะสนิทกันมาก
เมื่อคืนพอกลับถึงบ้าน ผมไม่อยู่รอให้แม่เทศนาผมอย่างทุกวัน หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อนและหลับสนิทเป็นตาย แต่น่าแปลกที่ผมดันตื่นเช้ากว่าปกตินิดหน่อย และมีเวลามากพอที่จะรู้สึกถึงความเจ็บที่บริเวณข้อเท้าซ้ายที่แล่นจี้ดไปถึงสมอง ผมสาละวนอยู่กับผ้าพันแผลในขณะที่ยัยดาลี่นั่นก็นั่งคุดคู้ดูผมอยู่ห่าง ๆ
ผมมองหน้าเธอ เธอมองหน้าผม ตอนเช้าเราปรับความเข้าใจกันนิดหน่อย เอาเป็นว่าผมอาจจะไม่เข้าไปใกล้เธอได้ทันใด แต่อย่างน้อยผมก็คงไม่กลัวเธอจนเข้าใกล้ไม่ได้อย่างเมื่อก่อน เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนอาจจะทำให้ผมคิดได้ว่าผมเองคงจะนึกถึงแต่เรื่องของตัวเองมากจนเกินไป แล้วการทำกิริยาแบบนั้นอย่างไม่รู้สึกเลยว่า คนที่โดนผมทำท่าทางใส่จะมีความรู้สึกยังไง
ดูท่าไอ้เซฟมันจะมองเห็นสายใยแปลก ๆ ระหว่างผมกับยัยดาลี่ แต่แล้วมันก็ตัดสินใจห่วงเพื่อนของมันเองก่อนจะดีกว่า
“ว่าแต่ไอ้พวกนั้นมันไล่ตามนายทันด้วยเนี่ยนะ ทั้ง ๆ ที่นายมี ”
“พวกมันมีสเก็ตบอร์ด” ยัยดาลี่โพล่งขึ้นแทบจะทันที
“สเก็ตบอร์ด?” มันทวน “พวกมันเล่นสเก็ตบอร์ดเป็นด้วยเนี่ยนะ แล้วขานายเป็นแบบนี้ ก่อนจะแข่งใหญ่อีกไม่กี่วันแบบนี้ ทำเอาฉันคิดถึงคน ๆ นึงก่อนแข่งแบบนี้จริง ๆ ว่ะ”
“นายสงสัยไอ้นั่นน่ะหรอ” ผมถาม ขี้เกียจจะเรียกชื่อ มันก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเป็นใคร
“ก็จะมีใครซะอีกล่ะ ก็ไอ้บีทมันนั่นแหละ ที่แกเป็นแบบนี้คิดได้อยู่อย่างเดียวว่าพวกมันหาคนมาเล่นงานนาย”
“ไม่ใช่ลูกผู้ชายเลย” ยัยดาลี่กระฟัดกระเฟียดด้วยความโมโห “แต่พวกนั้นเขาก็พูดถึงเรื่องของคู่แข่งมิกซ์นะ ต้องใช่แน่ ๆ”
“พวกนายมันก็ได้แต่กล่าวหา” ผมบอก “ไม่มีหลักฐาน ถึงพวกมันจะพูดถึงไอ้บีทก็เถอะ”
“ของแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐานหรอกไอ้มิกซ์” เซฟว่าอย่างยัวะ ๆ “นายเป็นก้างขวางคอมัน มันก็จะกำจัดนายไปให้พ้น ๆ ก็แค่นั้น มันอยู่ที่ความรู้สึกต่างหาก การที่พวกมันทำให้นายบาดเจ็บได้แบบนี้ก็ถือว่ามันทำงานได้สำเร็จไงล่ะ”
ผมไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ฟุบนอนลงกับโต๊ะรอให้อาจารย์ประจำวิชาเข้ามาสอนนั่นแหละผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมาและเริ่มเรียนอะไรต่อมิอะไรตลอดช่วงเช้า
ระหว่างเรียน ผมก็คิดอะไรไปเรื่อยๆ ไหนจะเรื่องของยัยดาลี่ ที่ร่างกายกำลังจางลงไปนั่นเล่า เห็นว่าบทสนทนาของเซฟและยัยดาลี่จะเปลี่ยนเป็นเรื่องนี้ขึ้นมา
ไหนจะเรื่องของไอ้เซฟที่ชอบยัยดาลี่อีกล่ะ
แล้วไหนจะเรื่องการแข่งสเก็ตบอร์ดที่จะถึงไหนวันเสาร์นี้อีก
บอกตามตรงนะครับ เรื่องพวกนี้มันกำลังบั่นทอนกำลังกาย และกำลังใจของผมให้หดหายไปเรื่อยๆ ทำไมตัวผมเพียงคนเดียวถึงได้แบกรับเรื่องราวมากมายได้ถึงขนาดนี้ แล้วคนๆ นั้นทำไมไม่เป็นคนอื่น แทนที่จะเป็นผม
แต่พอมองหน้ายัยดาลี่ที่คอยให้กำลังใจทั้งๆ ที่ยังเอาแน่เอานอนเรื่องของตัวเองไม่ได้ และไอ้เซฟที่คอยเป็นห่วงอยู่ข้างๆ ผม มันก็ทำให้ผมหายเหนื่อยไปได้อยู่หรอกครับ
พอผ่านช่วงพักกลางวันผมไม่อยากกินข้าว ไอ้เวย์มันเดินผ่านมันก็เลยโยนขนมปังใส้แกงกระหรี่ไก่ที่ผมชอบมาให้ ส่วนเซฟก็เอานมหวานที่ผมชอบมาให้ถึงที่อีก ส่วนเด็กผู้หญิงในห้องเห็นขาผมในตอนเช้าก็ยังอุตส่าห์ไปถึงห้องพยาบาลเพื่อเอายาแก้ปวดมาให้
ผมรู้สึกว่าคนเรามีเพื่อนไว้ทำไมก็วันนี้เอง วันที่เราท้อแท้หมดกำลังใจ ก็มีพวกมันนี่แหละคอยช่วยเหลือ ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปากออกมาเป็นคำพูด แต่อย่างน้อยมันก็ยังทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง...
“แล้ว ” ไอ้เซฟมันเอ่ยขึ้นในขณะช่วยพยุงผมกลับบ้าน “นายคิดว่ามันจะหายทันก่อนวันแข่งมั้ย”
ผมส่ายหน้า ยัยดาลี่ที่ลอยเล่นอยู่เบื้องหน้าก็ต้องหันหน้ามาฟังอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ไม่รู้ดิ อาจจะทันหรือไม่ทัน แต่ที่แย่กว่านั้นอีกว่ะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองจะเล่นสเก็ตบอร์ดไม่ได้อีกแล้ว”
เพียงแค่คำพูดประโยคสุดท้ายของผม ทำเอาไอ้เซฟหยุดก้าวขาเอาเสียดื้อๆ และก็ปล่อยแขนของผมลงทำให้ผมต้องยืนด้วยขาอีกข้างอย่างทุลักทุเล ส่วนยัยดาลี่ก็อ้าปากค้าง
“นายว่าไงนะ”
ผมมองจ้องมัน มันมองจ้องผม
“ฉันบอกว่า ฉันอาจจะเล่นสเก็ตบอร์ดไม่ได้อีกแล้ว”
“เพราะอะไร” มันถามต่อทันที ส่วนผมก็ตอบด้วยเสียงอ่อนๆ
“เมื่อวานฉันอาจจะเพิ่งรู้สึกตัวก็ได้นะ ว่าฉันน่ะ ทำอะไรซักอย่างไม่ได้หรอก...”
“นายจะบอกว่า นายเล่นสเก็ตบอร์ดเฮงซวยของนายไม่ได้เรื่องก็เลยต้องเล่นงั้นสิ”
“มันไม่เฮงซวย!” ผมเค้นเสียงจนอาจจะเรียกว่าตะคอก เรียกเอาสายตาของเด็กนักเรียนที่เดินกลับบ้านต้องหยุดหันมามองพวกผมสองคน
ไอ้เซฟเลิกคิ้วสูงอย่างกวนโทสะ แล้วนี่ผมก็รู้สึกว่าผมโมโหมันอย่างจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก
“อือหือ นายกำลังโมโห โมโหที่ฉันไปหาว่าสเก็ตบอร์ดของนายมันเฮงซวย ทั้งๆ ที่นายจะทิ้งมันไปอยู่แล้วงั้นสิ”
ผมจ้องมันเขม็งมันกำลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ก่อนจะพูดต่อ
“งั้นฉันว่าอะไรมัน นายก็คงไม่สนใจมั้ง ก็มันเป็นเพียงแค่สเก็ตบอร์ดโสโคร ”
ผัวะ!!
นี่เป็นวินาทีที่ผมพุ่งตัวเข้าไปยกหน้าของเพื่อนรักผมเป็นครั้งแรก ท่ามกลางเสียงวิ้ดว้ายตกใจของบรรดาเด็กผู้หญิง รวมถึงยัยดาลี่ด้วยที่ยกมือปิดปากอย่างไม่เชื่อสายตา
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ความคิดเห็น