ตอนที่ 8 : บทที่ 7
เหออี้ผิงห่างออกจากเรือนตำราไปไม่นาน คนที่หลิวไป๋หลงไม่อยากจะพบหน้าในเวลานั้นก็มายืนพิงอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมกับท่ากอดอกอย่างยียวน แต่ตนก็แสร้งไม่สนใจทำเป็นอ่านตำราอย่างเคร่งเครียดเช่นเดิม
“ฮูหยินน้อยที่น่ารักไม่อยากขานเรียกเจ้าว่าท่านพี่ แค่นี้ก็ถึงกับต้องกีดกันกักบริเวณเลยหรือ เจ้าเอาแต่ใจตัวเองไปหรือเปล่า” บุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์ดำสลับแดงที่เหออี้ผิงเห็นเอ่ยขึ้นอย่างประชดประชัน
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นใคร เจ้าเองก็ไม่เรียกข้าว่า ‘พี่ใหญ่’ ข้ายังไม่ใคร่จะสนใจ”
ประโยคนี้เป็นความหมายนัย ๆ ว่าเพราะถางเล่อถงไม่มีความสำคัญจึงไม่จำเป็นจะต้องให้ความสนใจนั่นเอง
“ข้าว่า… เจ้าควรต้องสนใจข้าอยู่สักหน่อย” ถางเล่อถงล้วงขวดยาสีขาวขนาดเล็กออกมาจากสาบเสื้อ แสร้งพิจารณาเล่นเหมือนไม่ใช่ของสำคัญ
“จะลงมือเมื่อไหร่” หลิวไป๋หลงเข้าใจถึงความหมายนั้นในทันที พร้อมกับถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“เห็นไหมเล่า ข้าเองก็สามารถมีความสำคัญในสายตาของเจ้าได้เช่นกัน” ถางเล่อถงว่าไว้เพียงเท่านั้นพร้อมกับคลี่ริมฝีปากจนกว้างเผยให้เห็นลักยิ้มสองข้างที่บุ๋มลึกลงบนแก้มแล้วหายวับไปทันที
หลิวไป๋หลงวางตำราลงบนโต๊ะ ก่อนหันไปมองไอร้อนจากเตาที่เหออี้ผิงจุดทิ้งไว้ สุดท้ายก็ได้แต่ต้องไปเผชิญหน้ากับคนที่ไม่อยากจะพบหน้าเสียยิ่งกว่าถางเล่อถง
เรือนรับรองใหญ่ของคฤหาสน์ปกติแล้วจะเงียบสนิท ตอนนี้กลับมีหลิวไป๋หลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสอง ไม่นานนักร่างของบิดาและมารดาก็ปรากฏ พร้อมพ่อบ้านชราเดินตามเข้ามายืนข้าง ๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ได้โปรดละเว้นชีวิตของอี้ผิงด้วย”
“หากถูกใจเจ้าถึงเพียงนั้น ทำไมไม่รีบให้ตามไปรับใช้” หลิวเย่ถามกลับอย่างเฉยชา ไม่สนใจคำร้องของบุตรชาย แม้แต่ฮูหยินหลิวเองก็นิ่งเฉย
“ลูกไม่ต้องการผู้ใดอีกแล้ว อี้ผิงอาสามาแต่งให้ลูกด้วยความกตัญญูต่อสกุลเหอ อายุยังน้อยนักอาจไม่ทันได้คิดว่าชีวิตนั้นมีค่าเพียงใด อย่าให้เด็กคนนี้ต้องมาทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับลูกเลย”
“ไม่ว่าจะอาสามาหรือไม่ จะทำเพื่อความกตัญญูก็ช่าง ‘คนเป็น’ จะอยู่ร่วมกับเราในตระกูลหลิวไปได้นานแค่ไหน ก่อนจะล่วงรู้ความลับของตระกูลเรา ไม่สู้ทำให้เป็นพวกเราให้เร็วหน่อยไม่ดีกว่าหรือไง”
“ถ้าท่านพ่อยืนยันเช่นนั้น ลูกจะเป็นคนบอกความจริงทุกอย่างของตระกูลหลิวให้อี้ผิงรู้ด้วยตัวเอง”
“นี่เจ้า...”
“เสี่ยวหลง เจ้าเหตุใดถึงไม่รู้ความเช่นนี้” ฮูหยินหลิวถึงกับเอ่ยปากเตือนบุตรชาย ไม่คิดว่าเพื่อเด็กหนุ่มคนเดียวจะทำให้กล้ามีปากเสียงกับบิดาอีกทั้งยังขัดคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ อย่าได้พรากชีวิตผู้ใดอีกเลย ที่พวกเราต้องวนเวียน ทุกข์ทนอยู่ในนี้ก็เจ็บปวดจนยากเกินจะรับได้แล้ว ก่อกรรมทำเข็ญต่อไปก็ยิ่งไม่มีวันจะหลุดพ้น”
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้เลือก” หลิวเย่ไม่สนใจคำร้องขอนั้นจากบุตรชาย ทั้งยังยื่นข้อเสนอให้อย่างอำมหิต
“...”
“จะเป็นคนลงมือด้วยตัวเองหรือว่าจะให้ข้าจัดการเหมือนทุกครั้ง”
หลิวไป๋หลงกลับมาที่จวนแปดเหลี่ยมด้านหลังคฤหาสน์ด้วยความเจ็บปวด ข้อเสนอแสนโหดร้ายของบิดายิ่งทำให้ตนไม่มีทางเลือก ไม่ว่าอย่างไรเหออี้ผิงก็จะต้องสังเวยชีวิตแล้ววนเวียนอยู่ในคฤหาสน์ต้องสาปหลังนี้ไปตลอด ไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดใหม่เฉกเช่นผู้อื่น
ยื้อได้มากที่สุดก็เพียงรอให้วันเทศกาลอี๋ว์หลันเผินมาเยือนอีกครั้งเท่านั้น ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรตนจะหาทางส่งเหออี้ผิงกลับไปยังสกุลเหอให้ได้
‘ลูกขอเป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง’
‘ดี เล่อถงเตรียมยาพิษไว้แล้ว เจ้ารีบจัดการเสียให้เรียบร้อยในคืนนี้’
‘แต่ลูกต้องการเวลา ลูกไม่ต้องการพรากชีวิตผู้ใด ในเมื่ออี้ผิงแต่งให้ลูก ย่อมเป็นสมบัติของลูก ผู้อื่นแม้แต่ท่านพ่อ หรือท่านแม่เองก็มาพรากไปจากลูกไม่ได้ ก่อนถึงเทศกาลอี๋ว์หลันเผินมาเยือนอีกครา หากอี้ผิงไม่ยินยอมตายเพื่อลูก ลูกจะเป็นลงมือด้วยตัวเอง’
“อี้เอ๋อร์ ข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าดี”
หลิวไป๋หลงรู้ดีว่าเวลานี้ต่อให้ยื่นเหล้าพิษให้ เหออี้ผิงก็จะดื่มลงไปอย่างไม่ลังเลด้วยอยากจะแสดงความกตัญญูทดแทนบุญคุณของตระกูลเหอ แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้คือหลังความตายนั้นมีสิ่งที่น่ากลัวรออยู่ อีกด้านหนึ่งก็อยากแสดงให้เห็นความจริงหากแต่ไม่มีความกล้าพอ
เพียงสองวันเท่านั้นไม่รู้เหตุใดถึงได้ผูกพันกับคนเป็นอย่างเหออี้ผิงได้มากมายเช่นนี้
คฤหาสน์เร้นลับต้องคำสาปไม่อาจหลุดพ้นเป็นที่วนเวียนของเหล่าวิญญาณซึ่งฝังร่างกายอยู่ในบริเวณนี้เท่านั้น จึงจะสามารถมีชีวิตราวกับไม่ตายได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือยามราตรี แต่ไม่อาจก้าวเท้าออกจากประตูไปข้างนอกได้ ยกเว้นก็เพียงวันเทศเทศกาลอี๋ว์หลันเผินเท่านั้น จึงสามารถเป็นอิสระจะไปไหนก็ได้ตามแต่ต้องการ หากเมื่ออรุณรุ่งมาเยือนจะต้องกลับมาอยู่ในคฤหาสน์เช่นเดิม
หลิวไป๋หลงมองโครงกระดูกขานโพลนของตนในโลง ข้าง ๆ มีโลงเปล่ารอร่างไร้ชีวิตของเหออี้ผิง เวลาอีกหนึ่งปีนั้นอาจยาวนานสำหรับมนุษย์ แต่วิญญาณที่ทุกข์ทนทรมานมาหลายสิบปีแล้วช่างรวดเร็วเหลือเกิน
ในห้องโถงในเรือนหลังคฤหาสน์ พ่อบ้านชรารอฟังคำสั่งอื่น ๆ จากเจ้านายของตน หลังคุณชายได้ขอยื้อเวลาต่อชีวิตให้แก่ฮูหยินน้อยที่สมควรจะต้องตายไปตั้งแต่คืนเข้าหอ
“เสี่ยวหลงไม่มีวันลงมือแน่ เล่อถง... ลุงคงต้องหวังพึ่งเจ้าแล้ว” หลิวเย่เอ่ยขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของถางเล่อถงที่เป็นหลานชายทางฝั่งของภรรยา เป็นญาติผู้น้องของบุตรชายตน
“ข้าจะไม่มีวันทำให้ท่านลุงต้องผิดหวัง”
“ถงเอ๋อร์ของป้าช่างเป็นเด็กดี” ฮูหยินหลิวเองก็เอ่ยชื่นชม
“ท่านป้า ข้าเองโตเกินกว่าจะรับคำชมเช่นนี้แล้ว ถึงอย่างไรข้าก็จะทำเต็มที่เพื่อความสุขท่านป้า ท่านอย่าได้กังวลไปเลย” ถางเล่อถงแสร้งไม่พอใจคำชมราวกับเด็กน้อยของฮูหยินหลิว แต่ท้ายสุดก็รับคำอย่างมั่นเหมาะ สร้างรอยยิ้มบนใบหน้าให้ฮูหยินหลิวไม่น้อย
“ลุงรู้ว่าเจ้าไม่มีวันทำให้พวกเราต้องผิดหวัง” หลิวเย่เอ่ยอย่างเชื่อมั่นก่อนจะเอนตัวนอนลงไปในโลงศพขนาดใหญ่ ส่วนฮูหยินหลิวก็นอนทับลงบนโครงกระดูกบนร่างของตนในโลงข้าง ๆ เช่นเดียวกัน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ใครจะช่วยน้องอี้ได้เนี่ย?