ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รัศมรรันนัญ

    ลำดับตอนที่ #1 : ศรีตรานครที่ยิ่งใหญ่

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 57


                    ซึ่งในยุคนี้สมัยพระเจ้าเวนนาตะ อายุคนในยุคนี้ก็ลดตามเวลา คนในยุคพุทธเจ้ากัสสปมีอายุโดยเฉลี่ย 20000 ปี  ผ่านเวลามากว่า 22770 ปี อายุคนในยุคนี้ลดลงโดยเฉลี่ยปกติเหลือเพียง 200 - 230 ปีเท่านั้น อาจมีบางคนอายุเกินมาไม่มากเท่าไหร่ก็หมดอายุไข  โลกในยุคนี้ไม่มีประเทศ  เเต่เดิมหลายพันปีก่อนนั้นมีประเทศ เเต่ด้วยเหตุที่คนยุคก่อนขัดเเย้งเเละเเตกต่างด้านความคิดจึงได้รบรา จนในที่สุดเเตกความสามัคคีกันไปเรื่อยๆทั่วโลกทั่วผืนเเผ่นดิน จนกระทั่งเกิดเผ่าต่างๆ ตั้งกลุ่มกันขึ้นมากมาย เเต่ละดินเเดนก็ต่างมีผู้นำของตน เมืองศรีตรานครนั้นกึ่งทุ่งหญ้าเเละอุดมสมบูรณ์บรรยากาศอบอุ่น อีกครึ่งหนึ่งของดินเเดนนั้นเป็นทะเลทราย โดยใช้ดินเเดนทะเลทรายเป็นเกาะป้องกันศัตรูทางตะวันออกเเละใต้ได้ ขนาดดินเเดนของเผ่าศรีตรา นั้นมีขนาดประมาณ 2 ล้านตารางเมตรเศษๆ นครเมืองหลวงตั้งห่างดินเเดนทะเลทรายประมาณ 2000 ตารางกิโลเมตรทางทิศตะวันตก เเละห่างทางทิสใต้ 3000 ตารางกิโลเมตร
                   
                    นครเมืองจึงอยู่ในเขตเเดนทุ่งหญ้าอบอุ่นบรรยากาศดียิ่ง เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ถึงเเห้งเเล้งในบางปีก็ไม่มากมายอะไรนัก ทำให้เมืองมีความเข้มเเข็งเเละมีขนาดกลุ่มใหญ่ที่สุดกว่าเผ่าอื่นๆ ที่กระจายกันอยู่ทั่วไป จึงเป็นผู้นำในการตัดสินกรณีที่เมืองต่างๆมีกรณีพิพาทกันอยู่เสมอ เพื่อความมั่นคงของเผ่าไม่ว่าเมืองใดจะมีบุตรชายหรือธิดาส่วนใหญ่เเต่ละเมืองจะจ้างอาจารย์มาฝึกสอนวิชาการทหารเเละศิลปะการต่อสู้ควบคู่กัน ถ้าไม่ฝึกก็ต้องมีวิชาเเขนงอื่นๆติดตัว  พระเจ้าเวนนาตะมีพระชายา 4 พระองค์ เป็นธิดาของเผ่าต่างเมือง 2 องค์เจ้าเมืองอื่นถวายเพือเเทนคุณที่เมืองศรีตราเคยมีบุญคุณช่วยเหลือด้านการเมือง การทหาร  พระนามว่า เทพิไร เเละ คัมบิญ  ส่วนพระชายาอีกสองพระองค์เป็นบุตรสาวของคนมีสกุลในเมืองศรีตรานคร พระนามว่า จัสฑิตา ซึ่งเป็นชายาเอก เเละ ชายา มิตตาลา  
                   
                   คนในยุคนี้จะเริ่มเเก่ชราก็เมื่ออายุย่างเข้า 180 ปี  เเต่อายุในเเต่ละวัยนั้นนับจาก วัยเด็ก เเรกเกิดถึง 16 ปี       วัยหนุ่มสาว 17 - 40 ปี    วัยผู้ใหญ่  41 - 100 ปี  วัยกลางคน 101- 179 ปี   คนสมัยนี้เเต่งงานได้ตั้งเเต่อายุวัยหนุ่มสาวขึ้นไป พระเจ้าเวนนาตะทรงอภิเสกเเละขึ้นครองบัลลังก์ในวันเดียวกันเมื่อตอนพระชนม์ 25 ชันษา  พระบิดาพระนามพระเจ้าเวนตาละทรงสละบัลลังก์เเละสถาปนาบุตรตนสืบสมบัติต่อไป หลังพิธีอภิเสกบุตรของตน พระองค์พร้อมชายาทั้ง 2 พระองค์ ก็ทรงออกบวชในศาสนาพรพรหม โดยพระเจ้าเวนนาตะเป็นบุตรของชายารองโดยพระบิดาเเต่งเข้ามาเนื่องจากพระชายาเอกไม่มีบุตรสืบทอดบัลลังก์ พระเจ้าเวนนาตะจึงขึ้นบัลลังก์โดยปราศจากเสี้ยนหนามทรงเป็นบุตรโอรสเพียงพระองค์เดียว  ชายาเอกของพระเจ้าเวนนาตะมีบุตรธิดา 1 พระองค์ พระนาม จัสชาตะ นามคล้ายพระมารดา เเละพระชนม์ 15 ชันษา เป็นบุตรองค์โต ทรงให้บุตรองค์นี้เรียนทุกสัพพวิชาเพราะคาดหวังกับธิดาองค์นี้มาก ถึงจะเรียนทุกด้าน พระองค์หญิงจัสชาตา ก็ไม่ค่อยสนใจการทหารการต่อสู่เท่าใดนักเพราะพระนางไม่ค่อยถนัด เเต่เชี่ยวชาญด้านวาดภาพมากกว่า    ชายารอง พระนางมิตตาลา พระนางไม่มีบุตรเนื่องด้วยสุขภาพพระองค์ไม่สู้ดี ส่วนชายาองค์ที่ 3 พระนางเทพิไร มีบุตรโอรส 1 พระองค์ นามว่า องค์ชายเทไพร พระชนม์ 10 ชันษา ทรงเรียนด้านประวัติศาสตร์การต่อสุ่ได้บ้างเล็กน้อย  เเละชายาองค์ที่ 4 พระนางคัมบิญ มีบุตรสาว 2 องค์คือ องค์หญิงคัมบัญ พระชนม์ 5 ชันษา เเละองค์หญิงคัมจิญ พระชนม์ 2 ชันษา องค์หญิง 2 พระองค์ยังเกนักยังไม่ได้เอกวิชาศึกษา พระเจ้าเวนนาตะตั้งชื่อบุตรให้คล้ายพระมารดาเพือให้รู้ว่าเป็นบุตรของชายาองค์ใด
           
                  ถัดไปทางด้านทิศตะวันตกของเมืองศรีตรานครมีเผ่าเมืองไม่เล็กมากขนาด 5.43 เเสนตารางเมตร คือเมืองวานบดินทร์ ผู้นำเมืองพระเจ้า เจมะคิน พระชนม์มายุของพระองค์พอๆกับพระเจ้าเวนนาตะ คือ 40 ชันษา เป็นมิตรสหายเเละคอยเป็นเมืองหน้าด่านเฝ้าศัตรูทางตะวันตกให้ศรีตรานคร น้อยครั้งหรือเเทบไม่มีเลยที่ศัตรูจะบุกเข้ามา เพราะเมืองศรีตรานครนั้นเข้มเเข็งมาก บรรยากาศเมืองวานบดินทร์เหมือนศรีตรานครในโซนที่เป็นทุ่งหญ้าเเละอบอุ่นเเต่ทางทิศตะวันตกเเละทางเหนือจะหนาวเย็นมากหน่อยมีฝนตกชายเเดนทางตะวันตกบ่อยๆเสมอ เเละมีท่าเรือขนาดใหญ่มากมายในเมือง   ทางทิศตะวันออกข้ามฝั่งไปถึงเมืองศรีตรานครเพียง 100 ตารางกิโลเมตร เมืองพระเจ้าเจมะคิน เเห่งเมืองวานบดินทร์ มีพระชายา 3 พระองค์เป็นผู้หญิงในเมืองวานบดินทร์ ชายาเอกคือพระนางเทวะฐา เป็นหญิงชาวบ้านที่ถวายภัตราหารต้อนรับพระเจ้าเจมะคิน ตอนเสด็จไปเยี่ยมประชาชนเเละพักผ่อนที่กระท่อมของชาวบ้านจึงตอบเเทนให้มาเป็นชายาเอกในวัง พระนางมีบุตรเเต่ก็เเท้งไปตั้งเเต่ตอน พระครรภ์ได้ 5 เดือนเพราะพระนางครรภ์เป็นพิษโชคดีที่ได้สมุนไพรช่วยรักษาสุขภาพให้ดีขึ้น หลังจากนั้นก็ไม่มีบุตรอีกเลย พระชายารองมีสิริโฉมงดงามเป็นบุตรธิดาของทหารเอกในวังซึ่งถวายให้พระเจ้าเจมะคิน อภิเสกพระนามว่า ชายุพัตร พระนางเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเจมะคินมากที่สุดเพราะทรงฉลาดหักเเหลม มีบุตรโอรส 1 องค์ คือองค์ชายชามะคี พระชนม์ 16 ชันษา เนื่องด้วยองค์ชายเป็นบุตรองค์โตจึงให้เรียนุกสัพพวิชาทรงเชี่ยวชาญการทหารการต่อสู้ เเละด้านทำนายดาราศาสตร์ ทั้งนี้ยังเชี่ยวชาญการปกครองการเมือง ส่วนชายาองค์ที่ 3 พระนาม จินดารัตน์ มีบุตรธิดา 1 องค์ พระนาม จินมณี พระชนม์ 12 ชันษา เชี่ยวชาญงานฝีมือด้านมาลัยดอกไม้งานปักเสื้อ ปักผ้า 

                 ทางใต้ของเมืองศรีตรานคร ซึ่งชายเเดนเขตกั้นเเดนเป็นทะเลทรายยังมีเผ่าเมืองเล็กๆ ขนาด 2.68 เเสนตารางกิโลเมตร คือเมืองนัญตันนคร สภาพอากาศมีทะเลทรายเเถบชายเเดน เเละในเมืองอากาศเย็นชื้นเเห้งเเล้งจัดโซนใต้ มีผุ้นำพระนามว่าพระเจ้าปันคาล มีพระชนม์ 55 ชันษา มีพระชายา 4 พระองค์  ชายาเอกพระนาม มชุวี มีโอรส 1 องค์ พระชนม์ 20 ชันษา เเละธิดา 1 องค์ พระชนม์ 19 ชันษา พระนามว่า องค์ชายปันตะละ กับองค์หญิงปัจพวี ทั้งสองพระองค์เชี่ยวชาญวาดภาพเเละศิลปะการต่อสู้เล็กน้อย ชายาองค์ที่ 2 พระนาง พีชา มีธิดา 2 องค์ พระชนม์ 19 ชันษา กับ 18 ชันษา เเละโอรส 1 พระองค์ พระชมม์ 17 ชันษา คือ องค์หญิงพิจักร มีพระชนม์มายุเท่าองค์หญิงปัจพวี พระนางเกิดปีเดียวกัน พระนางเชี่ยวชาญการปรุงยาเเละอาหารเทียบได้กับหมอ ส่วนอีกพระองค์ องค์หญิงพิตา หน้าตาสะสวย เชียวชาญด้านการเมืองการปกครองเเต่พระเจ้าปันคาลผู้เป็นบิดาไม่สนับสนุนนักเพราะพระนางเป็นผู้หญิงเเละเกรงจะก้าวก่ายด้านการเมืองของพี่ชายตนซึ่งเป็นบุตรของชายาเอกเเละมีสิทธิในด้านราชบัลลังก์ บ่อยครั้งที่พระนางจะเข้ามายุ่ง พระนางเเสดงอย่างเห็นได้ชัดว่าเก่งด้านบ้านเมืองมากกว่าพี่ชายตน อย่างเช่นเหตุการณ์ที่ทหารจากเมืองคัลลันที่เป็นเมืองขึ้นเมืองนัญตันนครอยู่ทางด้านตะวันออกมาขอสวามิภักเเละจะเป็นป้อมปราการดูเเลศัตรูทางตะวันออก โดยเกรงว่าเมืองตนจะเจอสงครามกับเมืองนัญตัน เนื่องจากเมื่อก่อนนั้นเมืองคัลลันเคยยึดเมืองนัญตันนคร เป็นเมืองขึ้นมาก่อน เเต่ด้วยผุ้นำบรรพบุรุษนัญตันนั้นมีความสามารถจึงทำให้กอบกู้บ้านเมืองคืนมาได้สำเร็จ เเละยึดเมืองคัลลันเป็นเมืองขึ้นในที่สุด เเต่มีหลายครั้งที่คัลลันสมคบเมืองอื่นเพื่อนำกองกำลังทหารเข้าโจมตีเมืองนัญตันอยู่หลายครั้งเเต่ไม่สำเร็จ ทำให้การมาขอสวามิภักครั้งนี้นัญตันนครไม่ไหวใจ องค์หญิงพิตาเเอบฟังจึงเดินไปที่กลางห้องท้องพระโรงที่บิดานั่งบัลลังก์เจรจาอยู่นั้น
     พระนางกล่าวออกมาว่า " ทางเราจะเเน่ใจได้อย่างไรเล่าว่าพวกท่านจะสวามิภักจริง " 
    ทหารฝ่ายเจรจามาสองนาย นายหนึ่งพูดขึ้นว่า " เเน่นอนพะยะค่ะองค์หญิง "
     องค์หญิงพิตาจ้องหน้าเหล่าทหาร " พวกท่านจะพิสูจน์อย่างไรกันหนอ "  
    ทหารทั้งสองบอกหน้าเเละกล่าวสั้นๆ " คือ ... "     
    " คืออะไรล่ะ ถ้าพวกท่านคิดไม่ออก เราจะเป็นคนหาวิธีให้ บอกให้ผู้นำเจ้า มาพบเรา ถ้านายพวกท่านตอบรับ เราจะนัดสถานที่ไป จะเอาองครักษ์หรือทหารมาเท่าไหร่ก็เอามา เราอนุญาติ เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของพวกท่าน " 
     " เจ้าหยุดยุ่งซะที เจ้าเป็นผู้นำเมืองนี้หรือไง ถึงไม่เห็นหัวข้า " พระเจ้าปันคาล ตะโกนเสียงดุ
    " ข้าช่วยเสด็จพ่อดูเเลประเทศของเรา ข้าผิดตรงไหนพะยะค่ะ " องค์หญิงพิตา โต้ตอบ
    " เจ้ารีบไปไกลๆ ข้า ก่อนที่ข้าจะได้ขับไล่เจ้าออกจากวัง "
    องค์หญิงพิตา มองพระบิดาอย่างน้อยใจเเละเดินออกจากท้องพระโรงไป
    " พวกท่าน ขอโทษที่เสียมารยาทไม่ต้องฟังที่บุตรข้าพูดหรอก " พระเจ้าปันคาลหันมาสนทนากับทหารทั้งสอง
    " หามิได้พระเจ้าค่ะ "
    " องค์หญิงทรงพูดถูกเเล้วพระเจ้าค่ะ ควรใช้วิธีที่องค์หญิงเสนอเถิดพะยะค่ะ " อำมาตย์คนสนิทพระเจ้าปันคาลเสนอขึ้น
    " อืม........ก็ได้ถ้าท่านเห็นว่าอย่างนั้น ให้ผู้นำพวกเจ้ามาหาข้า เเต่มีข้อเเม้ท่านอำมาตย์ ห้ามพิตามายุ่งอีกเด็ดขาด " อำมาตย์ยิ้มเเละไม่ตอบอะไร ครั้นพูดจบทหารทั้งสองอำลา
                 พระโอรสน้องร่วมมารดาองค์หญิงพิจักรเเละพิตา พระนามว่า ปัจคุรา เชี่ยวชาญการทหารควบคุมทหารในวังได้เป็นอย่างดีครั้นศิลปะการต่อสู้ไม่สู้ดี เเต่ก็ไม่เป็นที่พอใจต่อพระบิดานัก เกรงคิดการใหญ่ในกองกำลังทหาร พระชายาองค์ที่ 3 พระนามปิ่นวดี มีบุตรโอรส 1 องค์ พระนาม ปันรมี เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู่อย่างมาก พระชนม์มายุ 17  ชันษา พระชายาองค์ที่4 สิริโฉมงดงาม พระนางเป็นธิดาเมืองใก้เคียงทางใต้ พระนามว่า  รัศมันต์ ความงามเป็นที่หลงไหลขององค์ชายเเละผู้นำหลายๆเมือง เเต่พระนางอภิเษกกับพระเจ้าปันคาลเพื่อให้เมืองตนไม่โดนยึดเป็นเมืองขึ้น มีบุตรธิดา 1 องค์ คือ รัศมร พระพักตร์คล้ายพระมารดา จิตใจเเห้วหาญ กล้าหาญเชี่ยวชาญการทหารเเละศิปะการต่อสู้ เเละสนใจพันธุ์ไม้เป็นพิเศษ พระชนม์ 15 ชันษา
                   
                 ในวันนี้เป็นวันราชสมภพขององค์ชายปันตะละ พระเจ้าปันคาลจัดเยงเป็นพิเศษให้ประทับอุทยาน มีการเเสดงฟ้อนรำ องค์ชายปันรมี เเละ องค์หญิงรัศมร ถวายคำนับพี่ชาย องค์ชายปันตะละ เเล้วเอ่ยว่า " พวกเราขอสวามิภักเสด็จพี่ ต่อไปภายภาคหน้าพวกเราจะรับใช้ เป็นองครักคุ้มครองเสด็จพี่พะยะค่ะ " ด้วยเหตุนี้พระเจ้าปันคาลจึงไว้ใจองค์ชายปันรมี เเละ องค์หญิงรัศมายิ่งนัก เพราะไม่มีทีท่าเเสดงความมักใหญ่ใฝ่สูงเลย ใบหน้าเปรียบดั่งเด็กไร้เดียงสาทั่วไป " มานี่พวกเจ้าพี่จะป้อนขนมให้กิน " องค์ชายปันตะละ ป้อนขนมให้น้องทั้งสองเมือเดินเข้ามา
    " มีความสุขกันจริงๆนะ พะยะค่ะ ทรงทำอะไรกันอยู่ ขอให้เสด็จพี่มีร่างกายเเข็งเเรงพะยะค่ะ " องค์หญิงพิตาเดินเข้ามา ทันทีที่องค์หญิงพิตาพูดจบ องค์ชายปันตะละหันมาที่องค์หญิงพิตาอย่างนิ่งเฉย " เจ้าก็มานี่ซิ " องค์หญิงพิตายิ้มเเละอ้าปากรับขนมที่องค์ชายปันตะละหยิบให้ " ข้าไม่ใช่เด็กเเล้วนะท่านพี่ " องค์หญิงพิตาพุดเเละเคี้ยว " สำหรับข้าเจ้ายังเด็กอยู่เสมอ " พระเจ้าปันคาลมองมาที่องค์หญิงพิตาอย่างขมึง
    เเต่องค์หญิงก็ไม่ได้หันมองที่บิดา 
                 
                  3 วันต่อมาเจ้าเมืองคัลลัน นั่งรอในตำนักที่สวนอุทยานเมืองนัญตันนคร พร้อมองครักษ์ทหารบางส่วน พระเจ้าปันคาลเสด็จมาถึงเเละทักทาย " เดินทางซะไกลท่านเหนื่อยเเย่เลย " ครั้นพระเจ้าปันคาลเดินไปนั่งที่ประทับตรงข้าม 
    นางกำนัญเมื่อเห็นเจ้าเมืองคัลันมาก็รีบวิ่งไปบอกองค์หญิงพิตา " มาเเล้วเหรอ " องค์หญิงพิตาก็หันไปกระซิบเบาๆที่หูนางกำนัญ เเล้วนางกำนัญพยักหน้ารับเเล้วเดินไป จากนั้นองค์หยิงพิตาก็เดินไปหาเจ้าเมืองคัลลัน  เเละยืนทักทาย " ขออภัยท่านพ่อ " เเล้วองค์หญิงก็หันไปหาเจ้าเมืองคัลลัน ด้วยสีหน้าพระเจ้าปันคาลไม่พอใจนัก " ท่านสบายดีรึ " 
    " ท่านคือองค์หญิงพิตาที่เชิญข้ามาใช่ไหม งดงามจริงๆ เป็นจริงตามคำล่ำรือ "
    องค์หญิงพิตายิ้มมุมปาก " ที่ข้าเชิญท่านก็เพื่อจะพิสูจน์ว่าท่านสวามิภักเเก่เราจริงหรือไม่ "
    " ข้ายินดีให้พิสูจน์ " จากนั้นนางกำนัญมาพร้อมถ้วยเหล้า เเล้วองค์หญิงก็พูดขึ้นว่า " เหล้านี้มีพิษ " ในทันทีเหล่าทหารเเละองครักษ์ฝ่ายเจ้าเมืองคัลลัน ทำท่าจับดาบจะชักออก พร้อมกับพระเจ้าปัลคาลจึงเอ่ยขึ้น " อะไรนะ เจ้าจะทำอะไร " องค์หญิงมองไปที่เหล่าทหารองครักษ์พวกนั้น " พวกเจ้าจะทำอะไร เเค่นี้พวกท่านก็เเสดงท่าทีไม่เป็นมิตรกับเราเเล้ว "  เจ้าเมืองคัลลัน ชูมือให้เหล่าทหารเลิกชักดาบ เเละเอ่ยถามองค์หญิงพิตา " องค์หญิงจะให้ข้าทำอะไร ก็เชิญท่านบอกข้าได้เลย " 
    " ข้าจะให้ท่านดื่มไง เพื่อเเสดงว่าท่านจงรักภักดีเเก่เมืองเราหรือไม่ ท่านจะยอมทำตามที่ขอสั่งได้หรือไม่ "
    เมื่อองค์หญิงพิตาพูดจบ เจ้าเมืองคัลลันยืนขึ้นเอื้อมไปจับจอกเหล้าที่นางกำนัญถือใส่ถาดอยู่ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน เหล่าทหารร้องไม่ให้ท่านเจ้าเมืองดื่ม " อย่าดื่มนะท่าน อย่าดื่ม"  ทหารคนหนึ่งของฝ่ายคัลลันเอ่ย " ขาดท่านเเล้วพวกเราจะอยู่ได้อย่างไร สู้เราตายตามท่านไปเสียดีกว่า เอามาให้ข้าดื่มเเทนท่านเถิด " จากนั้นเจ้าเมืองคัลลันหยิบจอกเหล้าดื่มไปอย่างไม่ลังเล ท่ามกลางเสียร้องครวญของเหล่าทหาร
    " ท่านผ่านเเล้วท่านทำตามที่ข้าสั่ง ข้าเชื่อท่าน " องค์หญิงพิตาเอ่ย เจ้าเมืองคัลลันยิ้ม " เจ้าจะฆ่าคนหรือไง " พระเจ้าปันคาลพูดด้วยความโกรธ 
    " ทำไมท่านไม่เป็นไรล่ะ " เหล่าทหารฝั่งคัลลันกล่าว องค์หญิงจึงรีบพูดขึ้น " ความจริงเเล้วเหล้าของข้า นั้น ไม่มีพิษ ข้าก็เเค่จะอยากพิสูจน์พวกท่านเท่านั้น " พวกทหารเมื่อได้ฟังจึงร้องห๊ะ
    อำมาตย์หันไปเอ่ยกับพระเจ้าปันคาล "  องค์หญิงพิตาทรงพระปรีชายิ่งเเล้ว " เเต่พระเจ้าปันคาลส่ายหัวเเละเดินหนีไป
    องค์หญิงกระหยิ่มยิ้ม  เเล้วก็หันมามองที่พระบิดาพร้อมหุบยิ้มมุมปากลงด้วยความผิดหวังที่พระบิดาไม่พอใจตน 
    หลังจากนั้นเจ้าเมืองคัลลันกล่าวอาพระเจ้าปันคาล เเละกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า " บุตรของท่านเก่งกาจข้าไม่กล้าทรยศเมืองท่านหรอก " เเล้วเจ้าเมืองคัลลันก็หัวเราะเเล้วเดินออกท้องพระโรงไป เเต่สีหน้าพระเจ้าปันคาลก็ไม่มีทีท่าจะพอใจเลย
       
                  " ทุกๆ 10 ปี จะต้องมีการส่งตัวเเทนบุตรโอรส ธิดาเเห่งเเคว้นเมืองต่างๆไปค่ายทหาร บัดนี้อีก 15 วันจะครบกำหนดท่านอำมาตย์ ท่านจงนำสานไปเเจ้งทุกๆเมือง "  พระเจ้าเวนนาตะสั่ง
    อำมาตย์น้อมรับบัญชา 

                    การนำบุตรโอรส ธิดาของเมืองต่างๆ ไปเป็นทหารนั้นเป็นผลดีเเก่บ้านเมืองนั้นๆซึ่งเเสดงให้เห็นว่าเมืองทั้งหลายเชื่อคำสั่งเเละสวามิภักดิ์พร้อมที่จะร่วมมือเเก่เมืองขนาดใหญ่คือศรีตรานคร เมืองใดมีบุตรมากก็ส่งตัวเเทน 2-3 คนเป็นอย่างต่ำถ้าไม่มีเลยก็อนุโลม โดยบุตรจะต้องมีพระชนม์มายุ 17 ปีขึ้นไปเเละไม่เกิน 25 ปี เเต่ประการอยู่ได้นานไม่เกินพระชนม์ 100 ปี  ใครที่เคยมาเเล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาอีก บุตรเมืองใดมีความสามารถหรือประจำการอยู่นานจะมีบำเหน็จรางวัลส่งไปเมืองของตนเอง เพื่อเป็นการไม่เอาเปรียบเกินไปเมืองศรีตรานครก็ต้องส่งบุตรโอรส ธิดาของตนเข้าค่ายทหารเช่นกัน โดยบุตรโอรส ธิดาต้องทำการฝึกที่ค่ายทหารใหญ่ ของเมืองศรีตรานครซึ่งตั้งอยู่บริเวณพื้นดินทุ่งหญ้าติดกับขอบทะเลทรายทางใต้ห่างจากเมืองหลวงศรีตรานครราว 3000 ตารางกิโลเมตร ที่ฝึกจะเป็นบริเวณทะเลทรายซะส่วนใหญ่ เเต่ที่พักเเละที่ฝึกบางส่วนอยู่โซนทุ่งหญ้า เมือทำการฝึกได้ครบ 3 ปี ก็จะส่งไปชายเเดนต่างๆของศรีตรานครเพื่อประจำการเฝ้าศัตรูเเละออกรบ ประจำการอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ปีเป็นอย่างน้อยเมื่อครบกำหนดก็สามารถกลับบ้านเมืองตนได้โดยไม่ต้องกลับมาอีก เป็นการเเลกเปลี่ยนเมื่อมีเหตุร้ายเกิดกับ เมืองเล็กต่างๆโดนศัตรูบุก ศรีตรานครจะส่งกำลังทหารเข้าช่วยเหลือทันที พร้อมเจรจา เเละเป็นการฝึกให้บุตรของผู้นำเมืองนั้นๆมีความสามารถช่วยให้เมืองเข้มเเข็งได้ 
           
                   บุตรธิดาเมืองทั้งหลายจะถนัดการทหารการต่อสู้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ศรีตรานครจะส่งตัวเเทนทหารเดินทางไปเมืองต่างๆ มีเศษผ้าใส่โถ เพื่อจับสลาก ได้ผ้าสีขาวไม่ต้องไป ได้ผ้าสีม่วงต้องได้ไป บุตรที่มีอายุถึง 17 ขึ้นไปจะต้องสุ่มจับฉลากเเละรายงานตนเเละชื่อให้ทหารตัวเเทนจดถวายเเด่พระเจ้าเวนนาตะ ถ้าเมืองใดมีบุตรที่จับได้ผ้าสีม่วง 4 คน ต้องสละออกให้เหลือ 2-3 คน เพื่อส่งไปเป็นทหาร ถ้ามีบุตรมากจับสีม่วงได้คนเดียว บุตรที่จับได้ผ้าสีขาวต้องจับสลากใหม่เพื่อให้ได้ตัวเเทนให้ครบเมืองละ 2-3 คน
         
                   ครั้นตัวเเทนทหารศรีตรานครเดินทางมาถึงเมืองนัญตันนคร ถวายสานเเด่พระเจ้าปัลคาน  พระเจ้าปันคาลสั่งนางกำนัญเรียกโอรส ธิดา เสด็จมาท้องพระโลงเพื่อจับสลาก  เชิญ องค์ชายปันตะละ องค์หญิงปัจพวี องค์หญิงพิจักร องค์หญิงพิตรา เเละองค์ชายปันรมี
       
                   เมื่อมาถึงท้องพระโลง ตัวเเทนทหารศรีตรานครยื่นโถสลากให้โอรส ธิดาจับ ผลปรากฎว่า องค์หญิงพิตา เเละองค์ชายปันระมีจับได้สีม่วง โอรส ธิดาเมืองนัญตันนครได้ไปค่ายทหาร 2 พระองค์ องค์หญิงพิตา ตะลึงการสีผ้าที่อยู่ในมือ ทั้งสองพระองค์รายงานชื่อ " ครบกำหนดอีก 5 วันทั้ง 2 พระองค์ต้องเดินทางพะยะค่ะ ทางเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้โอรส ธิดาที่เป็นกำลังของชาติ ช่วยเหลือ หม่อมฉันทูลลา " ตัวเเทนทหารพูดจบเเล้วเดินออกท้องพระโรงไป
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×