เดอะ มิลเลอร์
เวลาย่อมกลืนสรรพสิ่ง...ทุกสิ่งทุกอย่างจะเลือนหายไป เมื่อเวลาได้คล้อยเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม แต่สำหรับเรื่องการหายสาบสูญไปของนายลู่หาน มิได้เลือนไปจากความทรงจำของแจซอกและซิ่วเจินแม้แต่น้อย
ผู้เข้าชมรวม
254
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
แท็กนิยาย
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เดอะ มิลเลอร์
บทที่ 1
บรรยากาศภายนอกเย็นยะเยือก ลมหนาวบ่งบอกว่าใกล้ถึงคราวเปลี่ยนผันฤดูกาลอีกครา
ท้องฟ้ามืดครึ้มราวฝนห่าใหญ่ กำลังจะตกลงมา
ไม่ปรากฏแม้แสงจันทร์ หรือแสงดาวสักน้อยนิด
เสียงระงมร้องของเหล่าภมรยามราตรีนี้กลับเงียบกริบ ราวกับโลกทั้งใบอุดมด้วยความว่างเปล่า
ซิ่วเจิน ลืมตาโพลงอยู่ในความมืด เธอพยายามข่มตาให้หลับ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ความคิดหลากหลายฟุ้งกระจายอยู่เต็มสมอง แม้จะรู้สึกหงุดหงิดเต็มประดา แต่ซิ่วเจินก็พลิกตัวอีกครั้งหนึ่งหลังจากพลิกแล้วพลิกเล่าเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้
เธอเพ่งมองร่างเหยียดยาวของแจซอกซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ เธอ นึกอิจฉาเขาเหลือเกิน แจซอกไม่เคยใช้เวลานอนเกินสามนาที เรียกว่าหัวถึงหมอนครั้งใด คู่ชีวิตของเธอเป็นต้องหลับสนิท และกรนอย่างสุขารมณ์ทุกครั้ง
ทั้งซิ่วเจินและแจซอก บัดนี้ นับว่าชีวิตดำเนินเข้าสู่วัยกลางคนอย่างสมบูรณ์แล้ว ชีวิตคู่ของเขาและเธอดำเนินมาด้วยดีทั้งที่ไม่เคยรักกันสักนิด เธอกับเขา แต่งงานสมรสกันด้วยการจัดการของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ด้วยว่าเหมาะสมกันเหลือเกิน ยิ่งกว่ากิ่งทองและใบหยกเสียอีก เหตุผลที่ทางผู้ใหญ่ชี้แจงเธอก่อนแต่งงานเพียงไม่กี่วันก่อนแต่งงานคือ อยู่กันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็รักกันเองแหละ
ซิ่วเจินเป็นสาวเชื้อสายจีน ซึ่งติดตามครอบครัวนักการทูตมาดำเนินชีวิตในประเทศกิมจิแห่งนี้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย
เธอเป็นคนหัวอ่อน เชื่อผู้ปกครองมาโดยตลอด นับตั้งแต่จำความได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน แม้กระทั่งการเข้าร่วมหอลงโรงกับใครสักคน แม่สื่อเหลียวเห็นแววความเหมาะสมของแจซอกกับซิ่วเจิน คะยั้นคะยอ ยกข้อดีร้อยแปดพันประการ ที่บ้านของทั้งสองฝ่ายก็เป็นธุระจัดการให้เสร็จสรรพ
ว่าไปก็ดีไปเสียทุกอย่าง ไม่ต้องเหนื่อยเอง และแจซอกก็มิได้สร้างปัญหาอะไรให้เธอสักนิด เขาเป็นสามีที่ดีเพียบพร้อม ซิ่วเจินค่อนข้างจะพอใจกับชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมของเธอทุกประการ แม้มิใช่ดินแดนกำเนิดแต่ยังมีความสุขจนเธอนึกรักแผ่นดินนี้
เธอพยายามนับลูกแกะในใจทีละตัวอย่างช้าๆ คืนนี้..ไม่มีงานสังคมข้างนอกที่ไหน เธอไม่ได้พบปะกับผู้คนสังคมชั้นสูง ระดับไฮโซหรือเพื่อนสมาคมผู้มีอันจะกินผู้อุทิศตนเพื่อสังคมสังเคราะห์อย่างเธอ เหตุนี้กระมังที่ทำให้คืนนี้ไม่ได้สนทนาปล่อยอารมณ์เหมือนปกติ ทำให้อาการนอนหลับยากกำเริบจนเหมือนเธอจะนอนไม่หลับเอาเสียเลย
เธอพลิกตัวอีกครั้ง ครั้งนี้ทำให้เตียงไหวจนแจซอกรู้สึกตัว
“ยังไม่หลับอีกหรือคุณ” แจซอกถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ท่าทางของเขางัวเงียเต็มที ตายังหลับอยู่ทั้งสองข้าง
“อุ๊ย คุณตื่นหรือคะ” ซิ่วเจินถามเบา ๆ เธอรู้สึกตกใจที่ทำให้แจซอกรู้สึกตัวกลางดึกอย่างนี้
แจซอกลืมตาช้า ๆ เขาเริ่มปรับสายตาให้ชินกับความมืดทีละน้อย
“ก็เล่นพลิกไปพลิกมาเป็นนาน ไม่ตื่นยังไงไหว” เขาพูดเนิบนาบ อย่างไม่มีอารมณ์ใด ๆ เคลือบแฝงในคำพูด “สงสัยท่าจะไม่ได้ออกไปงานไหน เลยนอนไม่หลับ”
เธอยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาไม่ได้ขึ้งโกรธที่เธอทำให้เขาต้องตื่นขึ้นกลางดึก
“คงอย่างนั้นแหละค่ะ แหม คนมันเคยออกไปงานสังคมอยู่ทุกคืน พอคืนนี้ไม่ได้ออกไปไหน มันก็เลยรู้สึกอย่างไรไม่รู้ บอกไม่ถูก”
“คุณมันก็อย่างนี้ทุกครั้ง โรคนอนไม่หลับนี่แกยังไงก็ไม่หายสักทีนะ” แจซอกเอามือข้างขวาขึ้นก่ายหน้าผาก อันที่จริง เขาไม่มีปัญหาเรื่องการนอนเลย เห็นก่ายหน้าผากแบบนี้ ถ้าคิดจะหลับเมื่อเมื่อไร เขาก็หลับลงได้ทุกขณะ แบบนี้นี่เอง ใครต่อใครจึงมักบอกว่าเขาเป็นคนนอนง่าย กินง่าย ไม่มีปัญหามากมายในการดำรงชีวิต
“คนเรามันมีกรรมคนละอย่างน่าคุณ แหม ใครจะสมบูรณ์กันไปหมดทุกอย่างละคะ”
“แล้วคืนนี้คิดเรื่องอะไรอกล่ะ คงไม่พ้นเรื่องลูก”
เธอพยักหน้าช้า ๆ
“ความจริงก็คิดสัพเพเหระแหละนะคะ แต่สุดท้ายก็วนเวียนอยู่แต่เรื่องของนายลู่หาน” เธอหมายถึงลูกชายคนเดียวที่รักสุดสวาทขาดใจ
“ไปคิดถึงมันทำไม ลูกเรามันโตแล้ว ปล่อยให้มันใช้ชีวิตและตัดสินใจด้วยตัวของมันเองเถอะ”
“คุณนี่กลับไปกลับมา แล้วแต่อารมณ์ ลู่หานน่ะ มันอายุมากแล้วก็จริง แต่ความคิดมันยังเป็นเด็กอยู่ เรื่องงานมันรับผิดชอบได้ไม่บกพร่อง แต่เรื่องแต่งงานนี่น่ะ ผมว่าให้มันมาบอกเรา แล้วแต่มันจะเลือกจัดการเอาเองดีกว่า ความคิดผม ผมว่ามันไม่พร้อมที่จะแต่งงาน”
“ฉันไม่กลัวอะไรหรอกคุณ กลัวมันจะไปคว้าใครก็ไม่รู้มาเป็นเมีย”
แจซอกหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“นั่นก็เป็นเรื่องของมันอีกแหละ มันเป็นคนที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา ถ้าเลือกไม่ดีเองก็ช่วยไม่ได้ อย่าไปยุ่งกับมันเลย”
ซิ่วเจินกล่าวเสียงกร้าว
“ไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องลูกสะใภ้นี่ เป็นตายยังไงฉันก็ยอมไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเลือกอย่างดี ถ้าไม่ดีก็ไม่ต้องแต่ง”
“คุณนี่คิดมากจริง ๆ อย่างนี้แหละทำให้นอนไม่หลับ”
“คิดมากตอนนี้ ดีกว่าต้องมานั่งกลุ้มใจภายหลังนะคะ”
แจซอกกล่าวเตือนสติซิ่วเจินอย่างเนิบนาบ
“คุณฟังผมให้ดีนะ ผมว่าเรื่องนี้อย่าไปยุ่งกับลู่หานจะดีกว่า ปล่อยให้มันหาของมัน ถ้ามันอยากมีครอบครัว มันก็มารายงานเราเองแหละ ยิ่งคุณไปยุ่งกับมัน เผลอ ๆ มันเบื่อ พาลจะไม่แต่งกันพอดี”
ซิ่วเจินตรองสติในความมืด อันที่จริงในส่วนลึกของจิตใจ เธอก็ยังไม่อยากให้ลู่หานแต่งงานตอนนี้ ความรู้สึกว่า ผู้หญิงที่เป็นคู่ชีวิตของลู่หาน จะมาแย่งความรักของลูกชายคนเดียวที่มีต่อเธอจนหมด
ซิ่วเจินไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
เธออยากให้ลู่หานอยู่ใกล้ชิด เป็นลูกชายของเธอนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่พฤติกรรมเจ้าชู้ไม่เลือกหน้าของลู่หาน ทำให้เธอไม่แน่ใจ ด้วยเกรงว่า ผู้เป็นลูกชายจะไปคว้าใครสักคนที่ไม่มีความเหมาะสมจะเป็นลูกสะใภ้ของเธอเข้าบ้าน ถึงเวลานั้น เธออาจกลุ้มใจมากกว่านี้ก็ได้
“ฉันต้องมีส่วนรู้เห็นในตัวลูกสะใภ้”
“คุณก็ทำได้แค่รู้เห็น ไม่ใช่คนเลือก ลู่หานต่างหากต้องเป็นคนเลือกเอง เพราะมันจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต”
“ฉันกลัวมันจะเลือกแบบห่วย ๆ แล้วทีนี้จะทำยังไง”
“คุณต้องหัดปล่อยวาง ลูกของเรามันมีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์ เราเลี้ยงมันได้แต่ตัว หัวใจของมัน ก็เป็นใจของมัน มันอยากจะทำอะไรเราก็ห้ามมันไม่ได้ มนุษย์ทุกคนมีอิสระทางความคิด สิทธิมนุษยชน เราไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย”
เถียงกันเรื่องลูกทำให้แจซอกหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“ทีเราทำไมผู้ใหญ่ยังจับแต่งงานกันได้ ทั้งที่เราไม่ได้รักกันมาก่อนสักนิด”
“นี่มันคนละยุคสมัย คนละรุ่น ลู่หานมันเป็นเด็กสมัยใหม่ มันเกิดร่วมสมัยที่เทคโนโลยีเจริญแล้ว วัตถุเข้าครอบงำใจมนุษย์มากกว่าก่อน จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เด็กรุ่นลู่หานกับรุ่นพวกเรานั้นมันมีความคิดผิดแผกแตกต่างกันสิ้นเชิง จะเอามาเทียบกันให้ยุ่งยากใจทำไม”
“คุณก็ดีแต่เข้าข้างลูก” เธอกระเง้ากระงอด
“เปล่า ผมไม่ได้เข้าข้างใคร เพียงแต่พูดความจริง”
“ฉันไม่อยากฟัง ถึงยังไงฉันก็ต้องเจ้ากี้เจ้าการหาเมียให้ลู่หานให้ได้ ฉันไม่ยอมให้มันหาเอาเองหรอก”
แจซอกยิ้มอย่างรู้ทันนิสัยลูกชาย
“ถ้าคุณอยากนอนไม่หลับทุกคืน ก็ตามใจ ลู่หานมันหัวรั้นหัวดื้อจะตาย ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ สู้ทำเฉยไม่ได้ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนหรือยัง ถ้ามันมีอยู่แล้ว คุณก็จะปวดหัวเข้าไปอีก”
“คงยังไม่มีหรอกค่ะคุณ ถ้ามีก็น่าจะพามาบ้าน พามาหาพ่อหาแม่ จะได้ช่วย ๆ กันดู เห็นพามาแต่เพื่อนผู้ชายทั้งนั้น”
“นั่นน่ะยิ่งน่าเป็นห่วง เกิดมันชอบผู้ชายด้วยกันท่าจะยุ่งกันใหญ่”
“ไม่หรอกค่ะ เรื่องนี้ฉันรับประกันได้ แววตาลู่หานนี่มันเจ้าชู้จะตาย เราเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องคอยสอดส่องพฤติกรรมบ้าง ไม่ใช่ปล่อยนอกลู่นอกทาง”
“ไปสอดส่องมากเกินไปก็ไม่ดี มันโต ๆ กันแล้ว พูดไปก็มากเรื่อง สู้นิ่งเฉยดีกว่าไม่เข้าตัวเองด้วย” สามีไม่ใคร่อยากเชื่อคำว่า ‘รับประกันได้’ ของภรรยา
คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ แม้บุตรชายจะเคยมีปมเรื่องโดนล้อว่าหน้าตาค่อนไปทางหวาน รูปร่างมิได้ใหญ่โตเรือนกายนายแบบจึงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชายพรรค์อย่างว่าหลายครั้งจนทำให้กระเดียดไปทางเดียดฉันท์สาวประเภทสองก็ตาม แต่รูปแบบอันไม่สามารถระบุได้ทางรสนิยมเพศของสังคมเพิ่มมากขึ้น
...ใครจะรู้
“แล้วถ้าลู่หานไปคว้าคนไม่ดีมาเป็นสะใภ้เราล่ะหือ คุณจะว่ายังไง”
“ก็ไม่ว่ายังไง ปล่อยมัน ถือเป็นกรรมของมันแล้วกัน ส่งเสียจนเรียนสูง ๆ ไปคว้าใครมาไม่ได้เรื่องก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”
“ค่ะๆ ไว้ว่ากัน ปล่อยตาลู่หานได้พักร้อนก่อนก็ได้ ระหว่างที่เขาลาพักร้อนฉันจะไม่พูดจู้จี้อีก พอใจคุณหรือยัง”
ซิ่วเจินพลิกตัวกลับไปอีกด้าน เธอเบื่อจะเถียงกับแจซอกแล้ว แต่ทิ้งท้ายไว้ว่า “แต่ฉันยังยืนยันนะคะ ยังไงเสีย สะใภ้ของฉัน ฉันก็ต้องเป็นคนตัดสินใจว่าจะเอาหรือไม่เอา
เธอยังคงลืมตาโพลงในความคิด ขณะที่แจซอกหลับไป โดยไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายของเธอเสียแล้ว
ลู่หาน หนุ่มหล่อหัวศิลป์เจ้าสำราญ คนที่พ่อกับแม่กำลังกล่าวขวัญถึง นั่งปล่อยอารมณ์ละเมียดอยู่ในสถานอโคจรแห่งหนึ่งใจกลางกรุงโซลด้วยท่าทางเปิดเผยเสน่ห์ดึงดูดใจ ผับชั้นสูงแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในซอยคนรวย ย่านผู้ดีเก่า ภายในจัดแต่งอย่างงามหรู ลอกแบบมาจาก ‘เดอะ เซอร์คัส’ ในส่วนห้องกระจกซับซ้อนจากคาราวานละครสัตว์ ผนังทุกด้าน เพดาน กรุด้วยกระจกชั้นดี เพิ่มความกว้างขวางอยู่แล้วให้กลายเป็นมิติไกลสุดลูกหูลูกตา ซับซ้อนจนเวียนหัวกับผู้ไม่คุ้นเคย ทว่ากลับเป็นสิ่งเร้าใจใหม่ให้หลายคนเข้ามาลิ้มลองมิติกระจกแห่งนี้อย่างเนืองแน่น
หลังทำเรื่องลาพักร้อน ได้รับการการอนุมัติว่าเริ่มจากพรุ่งนี้คือเวลาของเขาแล้วจึงขอใช้ชีวิตเต็มคราบในคืนนี้
ลู่หานคือหนุ่มผู้มั่นใจในรูปร่างหน้าตา เขาภาคภูมิทุกครั้งยามพบตนเองในกระจก จึงเป็นความสะดวกใจในการพักผ่อนแห่งนี้ ซึ่งอาจต่างกับผู้ไม่มั่นใจหลายคนที่นึกชังกระจกรวมถึงฟ้าที่บันดาลให้รูปร่างหน้าตาไม่เป็นที่พอใจของตนและสังคม
ควันบุหรี่ลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ กระจกใสซึ่งควรสะท้อนทุกมุมมองของร้านขมุกขมัวลง ลู่หานสูดดมอย่างไม่ยี่หระ เขาเป็นคนหนุ่มร่วมสมัย ทำตัวตามสบาย ไม่มีมาดผู้ดีแต่อย่างไร ชีวิตกลางวันทำงานอย่างขยันขันแข็ง พยายามถีบตัวในหน้าที่การงานให้สูงที่สุด แต่ชีวิตกลางคืนหลังอาทิตย์ตกดิน กลับเป็นคนละคน
เขาปล่อยตัวปล่อยกายไว้ตามสถานเริงรมย์เกือบทุกคืน
กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบตีสามแทบทุกคืน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ถึงเช้าไปเลย
ยังดีที่งานบริษัทของเขา ไม่ใช่งานจำกัดเวลาประเภททำงานแปดโมง เลิกห้าโมงเย็น แผนกของเขาเป็นแผนกบรรดาศักดิ์ อภิสิทธิ์เหลือหลาย เพราะทำงานเกี่ยวกับศิลป์ จะกำหนดด้วยเวลาไม่ได้ เขาทำงานด้วยอารมณ์และความรู้สึกอย่างเต็มเปี่ยม เวลาจึงไม่ใช่ปัจจัยของลู่หาน
ข้างตัวของเขามีซองบุหรี่ของนอกอย่างดี ไลท์เตอร์เรือนทองลายมังกรซึ่งได้ตั้งแต่สมัยไปเรียนที่จีนวางเคียงคู่กัน ส่วนอีกด้านก็มีโทรศัพท์มือถือ หรือเรียกกันอย่างติดปากแล้วว่าสมาร์ทโฟน(Smart Phone) เครื่องประดับของชาวกรุงยุคใหม่วางอยู่ไม่ห่าง อาจกล่าวได้ว่าเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของคนรุ่นนี้
สักครู่ ลู่หานเพิ่งกรีดนิ้วเลื่อนตามขวางหน้าจอระบบสัมผัสเพื่อวางหูไป เพื่อนสนิทคนหนึ่งโทรมานัดหมายเรื่องธุรกิจการตกแต่งภายในบ้านหลังหนึ่ง ราคางาม ดึงดูดใจให้ลู่หานรับปากทำงานโดยไม่ต้องไตร่ตรองมากมาย
เสียงเพลงในทำนองอะครูสติกของนักร้องหนุ่มน้อยเจ้าของเนื้อเสียงนุ่มละมุนโทนสูงบนเวทีกระชากให้ลู่หานหลุดลืมจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เขาเพ่งมองใบหน้านักร้องผู้นั้นผ่านไฟสีเหลืองนวลสลับแซมด้วยสีอื่นกระพริบวูบวาบวิบวับภายในผับอย่างลืมตัว
ใบหน้าขาวผิวพรรณผุดผ่อง ริมฝีปากบางจัดขยับได้รูปอักษรสีอิ่มชมพู รอยยิ้มอ่อนโยนคาดเดาอายุไว้ไม่เกิน 20 ปีสะดุดความคิดทั้งหลายทั้งมวลของเขาให้หยุดอยู่ตรงนั้น เขานึกชอบคนรูปพรรณสัณฐานนี้เป็นทุน ได้รับฟังเสียงเสน่ห์และเมียงมองอยู่หลายคืนแล้ว
คืนก่อน ๆ เขามาร่วมวงสรวลเสเฮฮาเพื่อนฝูงที่ทำงานเดียวกัน
แต่สำหรับคืนนี้ เขามาเพียงลำพัง สามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ใจปรารถนา
นักร้องหนุ่มรูปร่างเล็กผิดชายทั่วไปร้องเพลงฝรั่งเขย่าอารมณ์ด้วยเสียงใสดุจระฆังเงิน หลายความเชื่อทางเอเชียเชื่อว่า ระฆังคือสิ่งเตือนบอกเวลา แจ้งเหตุ หรือแม้แต่เสียงระฆังจะช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศาสนา
มันเป็นเช่นนั้น ทั้งผิดและถูกในกรณีนี้
เสียงของนักร้องผู้นี้กล่อมเกลา ในทางเดียวกันก็มอมเมาผู้ฟังอย่างลู่หานให้มิสามารถหันเหสติแลร่างกายไปทางอื่นได้เลย
ดวงตากลมใสบริสุทธิ์คู่นั้นจ้องมองมาทางเขาไม่แพ้กัน
ใบหน้าคมได้รูป ไร้สิวเสี้ยน สรุปความหล่อเหลาแกมน่ารักของลู่หานกระตุ้นให้ต้องหันมามองซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักร้องร่างเล็กก็นึกสนใจชายหนุ่มแกมมากับแววทอดสายตา
...ไม่แพ้กับที่ลู่หานสนใจเขาเช่นกัน
ลู่หานเป็นโสดมานาน หลายปีมานี้เขานิยมชีวิตโสดเหลือประดา จะมาจะไปไหน ไม่เป็นเรื่องวุ่นวายยุ่งยากสักนิด ไม่มีห่วงคล้องคอ ไม่มีเรื่องมากมายให้กังวล
เขาเห็นเพื่อนฝูงหลายคนที่แต่งงานไป แต่ละคู่ล้วนแล้วแต่ประสบปัญหาการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันทั้งสิ้น ลู่หานจึงรู้สึกขยาดการมีคู่
เหตุคงทั้งฝ่ายชายและหญิง
ยามแรกเริ่ม สุภาพบุรุษปรากฏ เมื่อหลังแต่งงาน สุภาพบุรุษคนนั้นหายเข้ากลีบเมฆเสียมาก
สุภาพสตรีสาวสวยน่ารัก มักเผยธาตุแท้มนุษย์หลังได้สิ่งที่ต้องการ นั่นคือ ทะเบียนสมรส หลายรายถอดหน้ากากความงามออกแล้วมิใช่อย่างที่สามีฝันใฝ่ จึงกลายเป็นความผิดหวัง
ลู่หานไม่นึกโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มนุษย์ย่อมเป็นมนุษย์ ซึ่งย่อมคาดหวังสิ่งที่เรียกว่า ‘ไร้ที่ติ’ เขายิ้มมุมปากเพราะรู้ดีว่าอย่างไรก็ไม่มีสิ่งนั้นอยู่จริง
เขารู้สึกว่า การมีใครสักคนเพิ่มขึ้นมาในชีวิต จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายไม่รู้จบ
สู้การอยู่คนเดียวเป็นโสดไม่ได้
ใช้เงินก็ใช้คนเดียว ไม่ต้องแบ่งให้ใครใช้
มีชีวิตอย่างมีความสุขไปวัน ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก
เข้าทำนอง ‘อยู่คนเดียวสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองคนสนุกแต่ไม่สบาย’
ซึ่งความสนุกของลู่หานเขาหาได้โดยมิต้องหวาดหวั่นว่าจะมิเกิดขึ้นด้วยรูปร่างหน้าตาอย่างนี้
ระยะหลังนี้ ลู่หานเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาเหลียวมองรอบตัวแล้วไม่เคยเจอใครสักคน ท่ามกลางคนจำนวนมากที่รายล้อมเขา ลู่หานเห็นความไม่จริงใจฉายชัด ชีวิตชาวเมืองหลวงจะหวังความจริงใจจากใครได้
อารมณ์เหงาประดังเข้ามาอย่างโหมกระหน่ำ
ความรู้สึกหวาดกลัวว่าจะต้องอยู่คนเดียวยามแก่ชรา กระตุ้นให้ลู่หานต้องหาใครสักคนมาเป็นคู่คิด คู่ชีวิต แต่ใครคนนั้นต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่เขาต้องการ
ลู่หานเป็นชายหนุ่มเจ้าชู้ เขาเคยคบผู้หญิงไม่เลือกหน้า แต่มิเคยคิดจะจริงจังกับใครสักคน พอผู้หญิงคนไหนคิดจะผูกมัดเขาอย่างจริงจัง ลู่หานก็จะตีตัวออกห่างทันที
ผู้หญิงคนแล้วคนเล่า ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา แต่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จะหาคนรักอย่างจริงจังไม่ได้สักคน
นั่นเองทำให้เขาเริ่มหักเหมาสนใจสิ่งที่มิใช่หญิงสาว
รูปร่างและใบหน้าของนักร้องซึ่งยังเยาว์นักนั้นทำให้เขาไม่กระอักกระอ่วนใจจะนึกทดลองสิ่งใหม่ในชีวิต
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ลู่หานกล่าวอย่างสุภาพอ่อนน้อม ท่าทางสุภาพบุรุษของเขาชนะใจผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าหญิงคนนั้นจะเคยใจแข็งอย่างไรก็ตาม ถ้าใกล้ชิดกับลู่หาน หล่อนจะต้องอ่อนเหลวเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลนในเวลาไม่นานนัก คิดว่าต้องใช้ได้ดีกับนักร้องหนุ่มน่ารักคนนี้ด้วย
เขาเชื้อเชิญนักร้องนั่งเคียงข้างอย่างสุภาพที่สุด นักร้องร่างเล็กอย่างเขาคาด ปกตินั้นนั่งไขว่ห้างร้องเพลงสบาย ๆ บัดนี้มายืนอยู่ใกล้ลู่หานจึงได้รู้ว่านักร้องผู้นี้มีส่วนสูงเพียงใบหูของเขาเท่านั้น
ผู้ถูกเชิญนั่งใกล้ชิดข้างเขาด้วยความเต็มใจ
บริกรที่ลู่หานใช้ให้ไปเชื้อเชิญนักร้องผู้นี้มานั่งกับเขา รับเงินทิปใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว พร้อมเดินจากไปอย่างรู้ใจแขกผู้ใช้บริการ
“ผมลู่หานครับ”
“มินซอกฮะ”
“เบียร์เย็น ๆ สักนิดมั้ยครับ”
“คงได้นิดเดียวเท่านั้นฮะ ผมดื่มไม่เก่ง” นักร้องนามว่ามินซอกกำกับปริมาณเบียร์ในแก้วของเขาด้วยคำพูดและไร้จริตจะก้านอย่างหญิงสาวทั่วไปที่พยายามแสดงความเด็กและใสบริสุทธิ์
ลู่หานพอดูออกว่ามินซอกมิได้แสดง ทุกสิ่งแลดูกลมกลืนเป็นธรรมชาติ หรือหากเขาผิด ก็ยินยอมให้หลอกเพราะการแสดงอันแนบเนียน
“เสียงคุณเพราะมาก ผมมาฟังอยู่หลายคืนแล้ว”
“อ่อ เหรอฮะ เหมือนจะเห็นคุณคืนนี้คืนแรก”
“ผมมากับเพื่อน”
“แล้วทำไมคืนนี้ถึงได้มาคนเดียวล่ะ”
ลู่หานเริ่มเล่นบทเจ้าชู้ ประเภทหมาหยอกไก่ ได้ใกล้ชิดเช่นนี้ฟีโรโมนของเขาหลั่งอย่างไร้สาเหตุ มิอาจรักษามาดสุภาพบุรุษได้อีกต่อไป
“ผมต้องการสนทนากับคุณ”
“มากับเพื่อนก็คุยกันได้นี่นา”
“มันไม่เหมือนกันหรอกครับ” ชายหนุ่มโปรยยิ้ม ยิ้มของเขาทำให้มินซอกรู้สึกสะท้านอารมณ์ลึก ๆ ภายใน แต่กลับเก็บอาการไว้ได้มิดชิด “ผมต้องการสนทนากับคุณเพียงลำพัง”
ร่างเล็กนิ่งเงียบ ใจหนึ่งรู้สึกยินดีไม่น้อย อีกใจหนึ่งรู้สึกประหม่า เคยผ่านการถูกทาบทามอย่างนี้ทั้งหญิงและชายด้วยอาชีพกลางคืน ทว่ามิมีผู้ใดทุกสิ่งแทงลึกเข้าในอกอย่างที่ได้รับคืนนี้
“คุณต้องร้องเพลงอีกรึเปล่าครับ” หนุ่มศิลป์ถามอย่างมีจุดประสงค์
มีการส่ายหัวทุยกลับมาเล็กน้อย
“สำหรับคืนนี้หมดแล้วฮะ ตอนนี้ผมเป็นอิสระแล้ว จนกว่าจะถึงวันจันทร์”
ลู่หานไม่รอให้เกิดช่องว่าง เขารีบป้อนคำถามทันที
“ผมก็เช่นกัน คุณจะรังเกียจมั้ยครับ ถ้าจะไปต่อที่ไหนสักแห่งกับผม”
มินซอกเอียงคอถาม “ไปไหนหรือฮะ”
“อาจจะเป็นทานข้าวต้มมื้อดึก”
“หึหึ แล้วต่อจากนั้นล่ะฮะ”
“ก็แล้วแต่คุณครับ”
มินซอกตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาว่า
“ก็..ก็ได้ฮะ”
::
:: ::
ร่างเล็กผิดชายทั่วไปแต่กลับมีเนื้อหนังน่ากอดก้าวเท้าขึ้นนั่งบนรถยนต์คันงามของลู่หานอย่างระมัดระวัง วางกระเป๋าเป้ใบโตซึ่งภายในมีโน้ตเพลงพร้อมของกระจุกกระจิกอื่น ๆ อัดแน่นอยู่เต็มไปหมดไว้ที่เบาะด้านหลัง ลู่หานส่งยิ้มให้ เขาคิดว่า คืนนี้คงเต็มไปด้วยบรรยากาศของความสุขอีกครั้งหนึ่ง
...การทดลองรูปแบบใหม่น่าตื่นเต้น แต่คงไม่แตกต่างกันมากนัก เขาจะลองพิสูจน์คืนนี้
กลิ่นไอประหลาดของผู้ที่นั่งเคียงข้างเขาตอนนี้ บอกว่านี่อาจเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ครั้งแรกที่เขาอาจต้องตราตรึงไปตลอดกาล มันโชยกลิ่นอย่างนั้น...
ผลงานอื่นๆ ของ สสิสาร ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ สสิสาร
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น