คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ราชวงศ์
บทที่ 9 ราชวงศ์
【ราชวงศ์】คำที่ใช้เรียกเชื้อสายหรือตระกูลของกษัตริย์ โดยคนเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลทั้งในด้านการทหารและการเมือง
พวกเขาอยู่อย่างสุขสบายบนกองเงินกองทองตั้งแต่เกิดและสามารถใช้อำนาจของตนได้อย่างอิสระ
ทว่าสิ่งที่น่าสลดคือราชวงศ์ไม่สามารถรู้สึกต่อบรรดาพี่น้องของตนในทางที่ดีได้
เพราะพี่น้องสำหรับตระกูลราชวงศ์เป็นคำที่แปลความหมายได้ว่า ศัตรูหรือพันธมิตรชั่วคราว เสมือนแค่คนแปลกหน้าที่ดันเกิดมาในยศฐาเดียวกันเท่านั้น
เนื่องมาจากสิ่งที่เรียกว่า บัลลังก์ มีเพียงหนึ่งเดียว สุดท้ายราชวงศ์จึงกลายเป็นอีกชื่อเรียกนึงของสนามรบไปโดยปริยาย
“ราชวงศ์ในปัจจุบันแบ่งออกเป็นสี่ขั้วอำนาจใหญ่ค่ะ...”
“ลำดับแรกคือฝ่ายขององค์ชายลำดับที่หนึ่ง ผู้มีสิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์สูงสุดตามราชกฤษฎีกาของอาณาจักรยุสเทร่า”
“ลำดับที่สองคือฝ่ายขององค์หญิงลำดับที่หนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลค่อนข้างมากและมีพรสวรรค์ในด้านเวทมนตร์”
“ลำดับที่สามคือองค์ชายลำดับที่สาม ผู้ขึ้นชื่อว่ามีความอัจฉริยะภาพเป็นเลิศ และซ่อนสุมกองกำลังเอาไว้มากมาย”
“และสุดท้ายคือองค์หญิงลำดับที่สองผู้รักความสงบ แต่มีพรสวรรค์ที่ลึกลับและหาตัวจับได้ยาก”
“นี่เป็นข้อมูลที่ควรจะรู้กันทั่วไปในหมู่ประชาชน แต่ดิฉันก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมนายท่านถึงไม่ทราบข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ อย่างไรก็ตาม...”
“นายท่านต้องการรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไมงั้นเหรอคะ?”
หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนสั้นถึงติ่งหูและดวงตาสีม่วงอมชมพูซึ่งดูใสซื่อ ใบหน้าของเธอดูไม่ต่างจากวัยฉันมากแม้ในความจริงจะอายุมากกว่าเกือบเท่าตัวก็ตาม
เธอคือสาวใช้ของบ้านตระกูลอาร์ฟอร์ด อีฟ และเนื่องจากเธอเป็นสามัญชนจึงไม่มีนามสกุล
เธอกล่าวถามอย่างสับสนหลังจากฉันขอให้เธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ให้ฟัง...
“ปัจจุบันผมอยู่ในจุดที่ต้องเขียนสุนทรพจน์ดีๆ น่ะ...”
ฉันจึงตอบกลับไป แต่นั่นดูเหมือนจะเพิ่มข้อสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก
“สุนทรพจน์?”
“นายท่านเขียนเป็นด้วยเหรอคะ?”
“.....”
หลังได้ยินคำถาม ฉันก็พลันขมวดคิ้วก่อนจะถามกลับไป
“ก่อนอื่น... เธอควรจะถามว่าเขียนไปทำไมไม่ใช่หรือไง?”
“...ขอโทษนะคะ แต่เรื่องนั้นไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่”
แต่ก็ถูกเธอโต้กลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย สุดท้ายฉันก็ทำได้แค่ตอบคำถามของเธอ
“จะว่าเขียนได้ใหม...ก็คงต้องตอบว่าได้ แต่ถ้าถามว่าจะออกมาดูดีใหมก็คงตอบว่าไม่นั่นแหละ”
“นั่นสินะคะ... คงจะเป็นเรื่องเพ้อฝันหากนายท่านทำมันออกมาได้ดี”
เธอพูดโดยไม่เกรงอกเกรงใจเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะฉันอ่อนหัดในด้านนี้จริงๆ จึงได้แต่ยอมรับมัน
และครั้นจะให้เธอช่วยเขียนให้ก็คงจะถูกปฏิเสธทันควัน หลังได้ฟังเนื้อหาต่อจากนี้...
“แล้ว...เป้าหมายคืออะไรงั้นเหรอคะ?”
อีฟเอ่ยปากถาม และฉันซึ่งรอคำถามนี้จากปากเธอก็ตอบกลับไปในทันที
“ซื้อใจพวกเขาไง...”
“ซื้อใจงั้นเหรอคะ? ด้วยสุนทรพจน์เนี้ยนะ?”
“จะบอกว่าให้ใช้สุนทรพจน์ในการซื้อใจก็คงจะไม่มีวันเป็นไปได้หรอก ผมไม่ใช่นักกวีหรือปราชญ์สักหน่อย”
“เรียกว่ามันเป็นแค่ช่องทางให้คนเหล่านั้นเข้าหาผมง่ายขึ้นจะดีกว่า...”
“ช่องทางเหรอคะ?”
“เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าศัตรูของศัตรูคือพันธมิตรหรือเปล่าล่ะ? มันเป็นรูปแบบคล้ายๆ กันนั่นแหละ เพราะเมื่อเรามีจุดร่วมเดียวกันการผูกมิตรกันก็จะง่ายขึ้นกว่าเดิม”
“แต่... กับสุนทรพจน์เนี่ยนะคะ?”
เธอกล่าวด้วยท่าทีที่ดูไม่เชื่ออกเชื่อใจกันเลยแม้แต่น้อย
ฉันที่คิดว่าคุยต่อไปก็มีแต่จะถูกหยามเหยียดจึงตัดสินใจจบบทสนทนา
“คิดเสียว่ามันเป็นจิตวิทยาของเด็กเพ้อฝันคนนึงก็แล้วกัน... ถึงจะไม่มั่นใจว่ามันจะช่วยอะไรได้ก็เถอะ”
“จิตวิทยา... เดี๋ยวนะ?! นี่นายท่านกำลังคิดจะหลอกลวงพวกราชวงศ์งั้นเหรอคะ!”
แต่อีฟที่เพิ่งรู้สึกตัวพลันเปลี่ยนสีหน้าของเธอในทันทีก่อนจะรีบกล่าวต่อ
“ไม่กลัวถูกประหารยกโคตรหรือไงคะ?!”
“และก่อนอื่นเลยสมองระดับเด็กน้อยอมมือแบบนายท่าน ริอาจจะไปหลอกคนพวกนั้นเนี่ยนะคะ? ถ้าถูกจับได้ไม่วายพาทั้งตระกูลล่มสลายกันหมดแน่เลยค่ะ!”
“อ๊ะ! ไม่ใช่ "ถ้า" สิ.. ฉันเชื่อว่ามันจะถูกจับได้แน่นอนเลยค่ะ!”
“และนี่จะถูกตัดสินว่าผิดฐานหยามเกียรติ์ของราชวงศ์!....”
ในขณะที่อีฟทำท่าทีราวกับกระต่ายที่ตื่นตูมอยู่คนเดียว ฉันพลันกล่าวแทรกขึ้น
“ใจเย็นก่อน... มันก็แค่สุนทรพจน์เองนะ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียวอยู่แล้วด้วย”
“ถึงอย่างนั้นสุดท้ายก็คิดจะหลอกอยู่ดีไม่ใช่เหรอคะ!”
แต่ดูเหมือนมันจะไม่ช่วยแก้ปัญหาตรงหน้าสักเท่าไหร่
“นั่นก็จริง... แต่ถ้าฝ่ายนั้นพอใจจะถูกหลอกก็ไม่มีความผิดแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ตรรกะแบบนั้น...! ก่อนอื่นเลยไปมั่นหน้ามาจากไหนว่าเค้าจะมายอมเล่นด้วยกันล่ะคะ!”
และดูเหมือนยิ่งฉันพยายามแก้ต่าง มันกลับยิ่งเพิ่มความไม่พอใจบนใบหน้าของอีฟมากขึ้นแทน สุดท้ายฉันเลยตัดบทสนทนาอย่างหน้าด้านๆ
“ช่างเรื่องนั้นก่อนก็แล้วกัน... เธอพอจะรู้ลักษณะนิสัยแบบแน่ชัดขององค์หญิงลำดับที่สองหรือเปล่า?”
“นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ปล่อยผ่านได้ง่ายๆ นะคะ!..”
“ตอบมาก่อนเถอะน่า ผมอยากรู้จริงจังนะ!”
ฉันพยายามกล่อมอีฟให้ยอมแต่โดยดี แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ฟังมันเลย
“แล้วนี่นอกจากคิดจะหลอกพวกราชวงศ์ ยังคิดจะหว่านล้อมองค์หญิงอีกหรือไงคะ!”
อีฟบ่นต่อด้วยความหงุดหงิด... แต่หลังจากผ่านไปได้สักพัก
“เป็นคนที่รักสงบ...และจิตใจดีล่ะมั้งคะ...”
สุดท้ายเธอที่สงบสติอารมณ์ได้ก็ปริปากพูดออกมา
“ดิฉันก็ออกมาจากเมืองหลวงนานแล้ว และครั้งล่าสุดที่เจอเธอก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมามากเท่าไหร่หรอกค่ะ นอกจากนี้เพราะเธอค่อนข้างลึกลับด้วย”
ฉันที่ได้ฟังดังนั้นพลันกล่าวถามกลับไปทันที
“ไม่มีด้านแย่ๆ เกี่ยวกับเธอเลยงั้นเหรอ?”
“ตามที่ฉันเห็นก็คือใช่ค่ะ... แล้วนี่สรุปอยากรู้ไปทำไมกันคะ?”
ฉันทำเป็นเมินคำถามของเธอ ก่อนจะกล่าวถามต่อไปแทน
“...งั้นองค์หญิงลำดับที่หนึ่งล่ะ? เธอมีอิทธิพลต่อประชาชนในด้านไหน?”
และแน่นอนว่าต้องถูกอีฟสวนกลับมาด้วยความไม่พอใจ
“นี่เมินกันเหรอคะ? คิดว่าเป็นเจ้านายแล้วจะทำอะไรดิฉันก็ได้หรือไงคะ! นายท่านนี่มันเป็นคนประเภทที่แย่ที่สุดเลยค่ะ!..”
สีหน้าเธอกลับมาหงุดหงิดอีกครั้ง
“อะ-เอาน่า.. ให้ผมถามจนจบก่อนเถอะ”
ฉันที่เห็นท่าไม่ดีจึงกล่าวออกไปเพื่อประครองอารมณ์ของเธอ
“ชิ!... เข้าใจแล้วค่ะ”
อีฟเดาะลิ้นขณะตอบกลับพร้อมกับหมัดที่ถูกกำแน่น
“เริ่มต้นด้วย... อิทธิพลทางโลกใต้ดินที่โด่งดังจนไม่มีใครในราชอาณาจักรไม่รู้ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเธอได้...”
“เนื่องมาจากสิ่งที่ทำให้หล่อนได้ชื่อเสียงจนมีอิทธิพล สารประหลาด ที่เพิ่มพูนพลังเวทมนตร์ในระยะสั้นๆ แต่แลกมากับผลพวงที่ค่อนข้างรุนแรง”
“มันถูกใช้อย่างแพร่หลายทางการทหารและนั่นทำให้เธอถูกถือหางจากเหล่าขุนนางยศสูงๆ”
ในขณะที่พูดเช่นนั้นสีหน้าของอีฟก็ดูไม่สบอารมณ์
“...แต่ไอ้สารบ้านั่นมันไม่ต่างอะไรจากยาเสพติดเลย”
เธอสบถเล็กน้อย
“หล่อนเป็นพวกทะเยอทะยานหรือเปล่า?”
ฉันกล่าวถามเพิ่มเติมโดยไม่สนใจคำสบถของเธอ
“หมั้นกับผู้ชายได้สามคนในสี่เดือน... คิดว่าเธอเป็นคนยังไงล่ะคะ?”
“แล้วองค์ชายอีกสองคนล่ะ”
“นี่หมดหวังกับพวกองค์หญิง แล้วคิดจะหันไปหาพวกองค์ชายแทนเหรอคะ?”
อีฟเริ่มประชดประชันเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ
“คนแรกไม่มีข้อมูลอะไรเลยค่ะแทบจะไม่เคยเห็นออกมาจากปราสาทเลยด้วยซ้ำ”
“ส่วนอีกคนก็ดูจะชอบความบรรเทิงและมีข่าวลือเสียๆ หายๆ ว่ามั่วผู้หญิงอยู่บ่อยๆ คงเป็นพวกตัณหาจัดล่ะมั้งคะ?”
“แต่โดยรวมแล้วคิดว่าบริสุทธิ์แค่องค์หญิงลำดับสองนั่นแหละค่ะ ถ้าจะหลอกก็หลอกได้แค่เธอนั่นแหละ”
ฉันใช้เวลาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมา...
“...ดูเหมือนแผนการนี้จะไปได้สวยนะ”
หลังได้ยินอีฟที่เต็มไปด้วยความสงสัยปนหงุดหงิดพลันกล่าวออกมา
“....ช่วยอธิบายสักหน่อยจะได้ใหมคะ?”
ฉันจึงตอบกลับไป
“ตอนแรกผมก็คิดหนักเลยแหละว่าจะเขียนสุนทรพจน์ออกมายังไงดี แต่ดูเหมือนว่าต่อให้ผมจะพูดอะไรออกไปคนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็พร้อมจะเข้าหาผมกันอยู่แล้วล่ะ”
สาวใช้ที่ได้ฟังดังนั้น ยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย
“อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้นล่ะคะเนี้ย?”
ฉันจึงพูดออกไปด้วยความมั่นหน้าเล็กน้อย
“อย่าลืมสิ... ปัจจุบันผมถือเป็นตัวตนที่มีค่าที่สุดในอาณาจักรด้วยฐานะของนักศึกษาเวทมนตร์ของอาร์ชฟิลด์”
“และสำหรับพวกที่กระหายในบัลลังก์ ทางเลือกเดียวของพวกเขาคือการเข้าหาและยื่นข้อเสนอให้ผมไปเข้าพวก มันคงจะต่างออกไปถ้าราชวงศ์ดันกลายเป็นคนประเภทเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีจนน่ารำคาญ แต่ในกรณีนี้ผมมั่นใจเต็มร้อยเลยล่ะว่าพวกนั้นกระหายจะเข้าหาผมกันแบบสุดๆ”
“และต่อให้เป็นราชวงศ์ที่ไม่ได้คิดจะครองบัลลังก์หรือเพิ่มพูนอำนาจให้มันมากมาย แต่เพื่อรักษาชีวิตหรือความสงบสุขของตัวเองไว้ก็ยังคงต้องเข้าหาผมเพื่อถ่วงดุลอำนาจอยู่ดี”
“แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้... เพราะแบบนั้นผมก็หลีกเลี่ยงการเขียนสุนทรพจน์ไม่ได้ และเพราะนี่เป็นแค่การคาดการณ์จากข้อมูลปากเปล่าของสาวใช้ สุดท้ายนี้ผมก็ไม่สามารถการันตีว่าผลลัพธ์มันจะออกมาตามที่คิดได้หรือเปล่า”
อีฟขมวดคิ้วหลังจากที่ได้ฟัง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“แต่นั่น... มันจะเต็มไปด้วยปัญหาตามมาไม่ใช่เหรอคะ!”
แต่ฉันก็ไม่ได้นำคำพูดของเธอมาใส่ใจสักเท่าไหร่...
ความคิดเห็น